<<
ตุลาคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
30 ตุลาคม 2554

ญี่ปุ่นหมุนรอบตัว ... ตอนที่ ๒ [ที่พัก ในสัปดาห์ใบไม้แดง]

[“ช่วง High Season อย่าคิดจะไปหาที่พักเอาดาบหน้า ... เว้นเสียแต่ว่า จะพกดวง(ดี)ไปด้วย”]



การหาที่พักแบบ Walk –in หรือเดินดุ่มสุ่มหาเอาในวันที่เดินทางไปถึง โดยไม่ได้ทำการจองเอาไว้ล่วงหน้านั้น ในมุมหนึ่งอาจนับเป็นเสน่ห์ของการเดินทางสไตล์แบ็คแพ็กเกอร์ เพราะจะได้เรียนรู้ทักษะการเอาตัวรอด ฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แถมยังได้ลุ้นในสิ่งที่ไม่อาจคาดเดา


ส่วนตัวผมเคยมีประสบการณ์หาที่พักแบบ Walk – in มาบ้าง (แค่ประเทศไทยกับประเทศลาว) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จดี กับการตามล่าหาที่ซุกหัวนอน แม้ต้องเสียเวลามากขึ้นนิดหน่อย แต่ก็แลกกับความตื่นเต้น ความภูมิใจที่ได้ลองทำจนสำเร็จ


อย่างไรก็ดี การเสี่ยงดวงรูปแบบนี้ จำเป็นต้องมีหลักการสำคัญบางอย่างด้วย คือ ควรมีรายชื่อพร้อมรายละเอียดที่พักอยู่ในใจหลายๆแห่ง เพื่อไม่ให้เดินหาอย่างสะเปะสะปะจนไร้ทิศทาง หรือเกินงบประมาณที่ตั้งไว้

... เมื่อรายชื่อพร้อม แหล่งที่จะตระเวนหาที่พักพร้อม จึงค่อยลอง Walk - in


กระนั้นแล้ว ความตื่นเต้นจากการเดินทางหาที่พักเอาดาบหน้า ควรมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง กรณีที่เราเดินทางไปเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง ในช่วง High Season




ดังเช่น เมืองเกียวโต ปลายพฤศจิกายน ถึงต้นธันวาคม ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ร่วง และเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดี คือ “ใบไม้เปลี่ยนสี” ที่เปลี่ยนบรรยากาศเมืองเกียวโตให้เต็มไปด้วยสีสันใบไม้แดง-เหลือง ท่ามกลางสายลมหนาว


ช่วงเวลานั้น จึงไม่เพียงเป็นแค่ High Season ธรรมดาๆของเกียวโต แต่คงเหมาะที่จะเรียกว่า Peak Season เพราะไม่เพียงมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลั่งไหลไปชมความงาม หากยังรวมถึงคลื่นมหาชนคนญี่ปุ่นจากต่างเมืองก็มีจำนวนไม่น้อยไปกว่ากัน


ที่จริงแล้ว การเดินทางไปต่างประเทศ หากใครไม่เก๋าจริง ต้องติดต่อเรื่องที่พักเอาไว้ล่วงหน้ากันอยู่แล้ว ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ประมาทย่ามใจไปเกียวโตในช่วง Peak Season โดยไม่จองที่พักล่วงหน้า ... ตรงกันข้าม กลับทำการบ้านควานหาที่พักประเภทต่างๆจนแทบครบทุกรูปแบบ ทั้งหาเอง ทั้งปรึกษาเพื่อนผู้มีประสบการณ์จากเมืองเก่าแห่งนี้มาก่อน


... กระทั่งท้ายที่สุด ผมตกลงจองผ่านอินเทอร์เน็ตกับเกสต์เฮ้าส์เล็กๆ ชื่อ “Gojo Annex”




หากถามว่าอะไร คือ จุดเด่นที่ทำให้ผมเลือก Gojo Annex ในตอนนั้น ?


ผมตอบได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะแท้จริงแล้ว คือ พลาดจากตัวเลือกแรกๆที่หมายปองไว้ อย่างว่าล่ะ ... ช่วง High Season ที่พักดีๆ ทำเลทองก็โดนจองไปหมด

จนมาได้คำแนะนำจากเพื่อนที่ช่วยกันสืบค้นจนเจอ Gojo Annex จากนั้นลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับความเห็นของนักท่องเที่ยวที่เคยมีประสบการณ์ไปพักมาก่อน ผมพบว่ามีเสียงออกมาระดับกลางๆ ... คนชอบก็ชอบมาก แนะนำให้ไปพัก ส่วนคนไม่ชอบก็ให้คะแนนต่ำๆไปเลย


สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจเลือกจอง ผมจึงใช้แค่เหตุผลง่ายๆจากความต้องการที่พักซึ่งมีห้องเดี่ยว นอนคนเดียว (Single Room) ในราคาไม่แพง และสามารถจองผ่านอินเตอร์เน็ตได้ โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิตเท่านั้นเอง


ส่วนอีกเหตุผลเล็กๆ ด้วยความสอดคล้องกับรสนิยมประหลาดๆส่วนตัว คือ ... ถ้าได้ลองหาที่พัก ที่มีความคิดเห็น หรือประสบการณ์จากนักท่องเที่ยวชาวไทย “น้อยที่สุด หรือไม่มีเลย ยิ่งดี”


แน่นอนว่า ผมสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตคร่าวๆก่อนตัดสินใจ ก็ไม่พบนักเดินทางชาวไทยรายใด บันทึกความคิดเห็น หรือบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเกสต์เฮ้าส์แห่งนี้เอาไว้ (หรือถ้ามี .. ผมก็หาไม่เจอจริงๆ)

เหตุผลข้อหลัง ไม่มีอะไรมาก ... นัยว่า แค่อยากเป็นนักเดินทางที่ไปบุกเบิกสถานที่ใหม่ๆบ้างเท่านั้นเอง


“ป๊อกกี้ ... คนไทยผู้ไปเยือน Gojo Annex เป็นคนแรก !!”

เอาน่ะ หรือ เป็นหนึ่งในร้อยคนแรกก็ยังดี

... ผมว่าคงเท่น่าดูนะครับ





..


ที่ตั้งของ Gojo Annex ค่อนข้างจะไกลจากละแวกแหล่งที่พักยอดนิยมอย่างสถานีรถไฟเกียวโตอยู่สักหน่อย แต่ก็มีทำเลดี ใกล้วัดดัง คือ “Kiyomizudera” หรือ “วัดน้ำใส” ... การเดินทางไป จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากนัก เพราะมีรถเมล์ต้นสายจากสถานีเกียวโตผ่านไปแถวนั้นพอดี


เมื่อถึงป้าย ปลายทาง ผมลงจากรถหันรีหันขวางพอเป็นพิธี ก่อนคว้าแผนที่เดินไปตามเส้นทางสู่ Gojo Annex ซึ่งระบุไว้ว่า อยู่ในซอยเล็กๆของถนนสายรองที่ตัดจากถนนเส้นใหญ่อีกที

แค่อ่านก็งงแล้วนะครับ (ฮา)


... แต่ด้วยความชำนาญ และเป็นนักตีความจากแผนที่ตัวยง ผมก็ใช้เวลาไม่นานในการตามหาเกสต์เฮ้าส์ที่จองไว้จนได้

แรกพบ Gojo Annex ไม่ต่างจากในรูปภาพตัวอย่างที่ผมเคยเห็นทางอินเทอร์เน็ต เป็นบ้านไม้เก่าๆสองชั้นผสมปูน รูปทรงแบบญี่ปุ่นโบราณอย่างที่เคยเห็นในจอทีวี


ความเงียบสงบเนื่องด้วยที่ตั้งซึ่งอยู่ในซอยเล็กๆ บวกกับบริเวณโดยรอบที่เป็นย่านบ้านพักอาศัย ยิ่งเน้นบรรยากาศความเป็นส่วนตัว แถมใกล้ชิดวิถีชีวิตชุมชนคนเกียวโตมากขึ้น เห็นแล้วก็อดยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองไม่ได้


แต่ทว่าบรรยากาศคงสงบสมจริงไปนิด ผมจึงต้องยืนรอรับลมหนาวอยู่อีกราว ๕ นาที กว่าความสงบจะเกิดความเคลื่อนไหว และมีพนักงานเกสต์เฮ้าส์เปิดประตูออกมาต้อนรับ



พนักงานหนุ่มแว่นผมสั้นไว้เครา กล่าวคำทักทาย ก่อนรับเอกสารยืนยันการจองผ่านอินเทอร์เน็ตไปตรวจสอบ คลิกเม้าส์ไปมาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์


จาก ๑ นาที เป็น ๒ นาที - จาก ๒ นาที เป็น ๓ นาที พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำๆกับตัวเองเบาๆ

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ” ผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“อา ... คือ ผมไม่พบชื่อคุณในระบบการจองน่ะครับ” เจ้าหนุ่มแว่นตอบด้วยสีหน้าเจื่อนๆ



เอาล่ะสิ ... เกียวโตในสัปดาห์ใบไม้เปลี่ยนสีที่รัก

หรือเธอจะทดสอบใจหนุ่มไทยตั้งแต่วันแรกที่มาเยือนเสียแล้ว


..


เมื่อได้ยินคำตอบเรื่องความผิดพลาดในการจอง ผมไม่ได้รู้สึกตกใจ โกรธเคือง หรือหงุดหงิดอะไร ออกจะเป็นความรู้สึกงงๆ ปนอารมณ์เฉยๆเสียมากกว่า เพราะถือว่า มีหลักฐานการตอบรับทางอีเมลจากสต๊าฟ Gojo Annex มาเรียบร้อย ถูกต้องทุกอย่าง


อาจเพราะการได้สัมผัสอากาศเย็น ท่ามกลางบรรยากาศสงบๆ ทำให้รู้สึกนิ่ง และเพียงแค่ปล่อยให้เจ้าหนุ่มแว่นแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไป ทั้งยังเชื่อมั่นว่า ระบบความคิด การแก้ปัญหา และความรับผิดชอบของคนญี่ปุ่น คงมีทางออกแบบแฮปปี้ เอนดิ้งให้กับผมได้


หนุ่มแว่นเองก็ทราบดี ว่าความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากตัวลูกค้า จึงกุลีกุจอคลิกหาข้อมูลตามเว็บไซต์ที่พักต่างๆ สลับกับการโทรศัพท์ติดต่อไปสอบถามรายแล้วรายเล่า


แต่นาทีนั้น แอบแวบคิดเข้ามาในหัวเหมือนกันล่ะครับ ว่าเจ้าแว่นจะให้ผมไปขอหลวงพี่ นอนในวัดเซนหรือเปล่านะ ?!!




ผมยืนรออยู่หน้าเคาเตอร์ พลางแกะซองขนมที่ติดตัวมากินอย่างใจเย็น แม้ว่ามาดเข้มๆ นิ่งๆ ถือซองขนมขบเคี้ยวช่างดูไม่เข้ากัน ... แต่คงสร้างแรงกดดันให้หนุ่มแว่นพนักงานได้พอสมควร


หน้าเคาเตอร์ Gojo Annex ในเช้าวันนั้น ค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงคลิกเม้าส์ เสียงคุยโทรศัพท์สอบถาม และเสียงเคี้ยวขนมกรุบกรอบ

... กรุบ กรุบ กรุบ กรุบ

กดดันดีไหมจ๊ะ น้องแว่น ... ??



ผมรออยู่อีกเกือบครึ่งชั่วโมง จนแล้วจนรอด พนักงานดีเด่นแห่ง Gojo Annex ก็หาที่พักในช่วงระยะเวลาตามใบจองให้กับผมจนได้


โดย 3 คืนแรก ผมต้องไปนอนที่ “Gojo Guesthouse” เครือเดียวกันกับ Annex ซึ่งไม่ไกลกันมากนัก เดินถึงไม่ทันเหงื่อซึม ... ส่วนคืนที่เหลือต้องย้ายไปพักเกสต์เฮ้าส์อีกแห่ง ชื่อ “Shibata-Sou” ไกลออกไปถึงย่านโอคาซากิ แต่แลกกับใกล้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่อยู่ในแผนเดินทาง



จากปัญหาความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จึงนับเป็นบททดสอบสำคัญให้ผมได้เรียนรู้ทัศนคติเรื่อง “การมองโลกในแง่ดี” อีกครั้ง เพราะในเวลานั้น หากปล่อยให้อารมณ์ขุ่นมัว ไม่พอใจ แทรกซึมเข้ามาในความคิด ผลลัพธ์ย่อมเท่ากับผมต้องมีเรื่องทุกข์ค้างคาอยู่ในใจ ตั้งแต่วันแรกของการเยือนเกียวโตทันที


ครั้นจะบ่นไป โกรธไป ก็เปล่าประโยชน์ เพราะในเวลานั้น ไม่ว่ายังไงก็ตาม Gojo Annex ก็ไม่มีห้องว่างแล้ว


แต่เมื่อลองคิดบวกในหลายองค์ประกอบ ผมพบว่า หนุ่มแว่นติดต่อห้องพักเดี่ยวให้ได้ตามที่ต้องการ แถมยังได้ห้องใหญ่กว่าเดิม โดยคิดราคาอัตราเดียวกันกับที่ผมจองไว้แต่แรก


ส่วนเรื่องความยุ่งยากของการต้องเปลี่ยนที่พักเป็น 2 แห่ง ต้องเดินทางไกลกว่าเดิม ก็คิดเสียว่า เป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความรู้จักเมืองเก่าแห่งนี้ ในแง่มุมหลากหลายขึ้น



หลังจากแก้ปัญหาไปได้ลุล่วงแบบแฮปปี้ เอนดิ้งตามที่ผมคาดการณ์ หนุ่มแว่นแนะนำตัวว่าเขาชื่อ “มาโอะ” พร้อมกล่าวขอโทษขอโพยกับผมใหญ่จากข้อผิดพลาดที่ต้องทำให้ลำบาก


ทั้งยังเอ่ยชื่นชมว่า “คนไทยใจดีมาก” ถ้าหากเป็นลูกค้าจากฝั่งยุโรป-อเมริกัน ป่านนี้เขาคงถูกต่อว่าโวยวายไปแล้ว ก่อนจะขออาสา เดินไปส่งผมที่ “Gojo Guesthouse” ด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการไถ่โทษไปในตัว


ผมออกมายืนหน้าเกสต์เฮ้าส์ รอให้ มาโอะ เก็บข้าวของก่อนเดินทางไปสู่ที่พักใหม่ด้วยกัน ขณะยืนรอก็ถ่ายรูปบรรยากาศสงบๆไปเรื่อย แม้ว่าไม่ได้พักที่นี่ตามที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ไม่นึกเสียดายอะไร เพราะถือว่าสุดท้ายก็มีที่พักใหม่ ได้ประสบการณ์แปลก แถมด้วยอรรถรสความตื่นเต้นกับการหาที่พักในสไตล์แบ็คแพ็กเกอร์


ผมถ่ายรูปไปได้ครู่หนึ่ง มีแหม่มสาวชาวยุโรปสองคน ผมสีบลอนด์ รูปร่างสูสีนางแบบ เดินนวยนาดกันออกมาจากเกสต์เฮ้าส์อย่างสบายใจเฉิบ

อืมมมม .... จะว่าไปแล้ว ก็เริ่มเสียดาย “Gojo Annex” เหมือนกันแฮะ !!


..


การได้มาซึ่งที่พักในเมืองเกียวโตช่วง Peak Season ในรูปแบบคล้ายการ Walk – in กลายเป็นข้อเท็จจริงให้ได้รู้ว่า ... แม้เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวหลังไหลกันมาชมความงามของธรรมชาติปลายฤดูใบไม้ร่วงกันมากมาย แต่ก็ยังมีห้องพักว่างเล็ดรอดหลงเหลืออยู่บ้างเหมือนกัน


ดังนั้น ใครอยากได้ประสบการณ์ตื่นเต้น ชอบเล่นเกมวัดดวง จะลองดูก็ได้นะครับ ผมสนับสนุนเต็มที่ ... ฮา


แต่อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรก ถ้าคิดจะทำจริงๆ คงต้องพกดวงดีๆไปด้วย ซึ่งดวงดีที่ว่านี้ คือ “จังหวะและโอกาส” ซึ่งบางครั้งมันก็ช่างเหมาะเจาะเคราะห์ดีจนน่าหมั่นไส้ เพราะห้องพักซึ่งผมจองไว้กับ Gojo Annex แต่แรก เป็นเพียง Single Room ธรรมดาๆ


... มีแค่เตียงนอนแบบมาตรฐาน เสื่อกี่ผืนไม่แน่ใจ แต่หมอนน่ะมีใบเดียวแน่นอน


แต่ทว่าเมื่อเกิดความผิดพลาดจนต้องหาห้องพักใหม่ จากห้องธรรมดา จึงกลายเป็นความพิเศษสุดประทับใจ



เริ่มต้นที่ Gojo Guesthouse ผมได้ห้องสไตล์ญี่ปุ่นซึ่งกว้างมาก ชนิดที่ถ้าให้นอนรวมกัน เอาแบบสบายๆ ยังได้ไม่ต่ำกว่า ๔ - ๕ คน ภายในห้องมีทั้งโทรทัศน์ ตู้หนังสืออ่านเล่น โต๊ะสำหรับทานอาหาร พร้อมเครื่องประดับตกแต่งเสริมบรรยากาศให้ดูเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ส่วนห้องน้ำห้องท่าก็เป็นห้องรวมที่สะอาดสะอ้านตามมาตรฐานเกสต์เฮ้าส์ทั่วไป

ด้านหน้าห้อง ยังมีส่วนครัว และตู้เย็น ที่ใช้ร่วมกันได้ หรือหากใครอยากกรึ่มๆชิลๆแบบไม่ต้องไปไหนไกล ชั้นล่างของเกสต์เฮ้าส์ คือ “Gojo Café” ที่เปิดให้บริการไปจนดึกดื่น




สำหรับที่พักแห่งที่สองอย่าง Shibata-Sou นั้นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเป็นเกสต์เฮ้าส์แนวอพาร์ตเมนท์ขนาดเล็กไม่กี่ห้อง เงียบสงบ ห่างไกลแสงสี แต่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งโทรทัศน์ วิทยุ ตู้เย็น อ่างล้างจาน กาต้มน้ำ ไมโครเวฟ แถมด้วยห้องส้วมในตัว

ส่วนเวลาอาบน้ำ แม้ต้องไปอาบในห้องน้ำน่ารักขนาดกะทัดรัดที่มีลักษณะคล้ายตู้คอนเทนเนอร์ และจ่ายครั้งละ ๒๐๐ เยน แต่ก็อาบได้ตามสบายให้มือเปื่อยกันไปข้าง




แล้วจุดเด่นสำคัญของ Shibata-Sou ที่โดนใจผมมาก คือ เจ้าของ คือ “คุณชิบาตะ” (ตามชื่อเกสต์เฮ้าส์) สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้น้อยมาก และการที่มีโอกาสได้มาพักที่นี่ ก็เพราะชาวญี่ปุ่นอย่าง “มาโอะ” เป็นคนติดต่อให้


แต่สิ่งที่คล้ายจะเป็นอุปสรรคตรงนี้ล่ะ ที่ผมกลับมองว่าเป็นเสน่ห์สำหรับการเดินทางไปต่างแดนยิ่งนัก เพราะเวลาเราสื่อสารกัน ผมต้องใช้ภาษาอังกฤษผสมกับญี่ปุ่นแบบงูๆปลาๆ ผนวกกับอวัจนภาษาสารพัด ทั้งน้ำเสียง สีหน้า มือไม้ประกอบกันให้ครบ


แล้วเมื่อกลับมาลองค้นหาตามเว็บไซต์ต่างๆ ก็ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนาม หรือความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทยเลย ทำให้แอบคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า ผมอาจเป็นคนไทยคนแรก หรือลำดับแรกๆ ที่มีโอกาสได้มานอนตีพุงที่ Shibata-Sou หรือเปล่านะ ?





ความจริง ผมก็อยากรู้ให้แน่ใจ จึงถามคุณชิบาตะไปแล้วนั่นล่ะครับ ว่าเคยมีคนไทยมาพักที่นี่หรือเปล่า แต่การสื่อสารภาษาอังกฤษ ไม่สามารถช่วยในการหาคำตอบนี้ได้จริงๆ


กลับกลายเป็นคำตอบจากคุณชิบาตะว่า “ภรรยาของผมเคยไปเที่ยวเมืองไทย แล้วชอบมากครับ”

..



๔ / มุม / เมือง


[“เมืองแต่ละแห่งบนโลกล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่ในความโดดเด่น ก็อาจมีบางแง่มุมที่คล้ายคลึงกับเมืองอื่น”]





“โตเกียว คล้าย กรุงเทพฯ ส่วน เกียวโต คล้าย เชียงใหม่” มาโอะ เอ่ยขึ้นมาขณะที่เรากำลังเดินไป Gojo Guesthouse


ประโยคเปิดประเด็นสนทนาของมาโอะ ไม่ได้กล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ เพราะหนุ่มแว่นเครางาม เคยมาเที่ยวเมืองไทย ทั้ง “กรุงเทพฯ - เชียงใหม่” ส่วน “เกียวโต – โตเกียว” คงเป็นเมืองที่เขาคุ้นเคยอยู่แล้ว


แม้ทั้ง ๔ เมือง มีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำกัน แต่ผมเห็นด้วยกับมาโอะ เพราะเมื่อเทียบเคียงใน “บางมุม” ... ทั้ง “๔ เมือง” ก็มีบางด้านที่คล้ายคลึงพอเปรียบกันได้


เริ่มที่ “โตเกียว” มหานครพื้นที่ ๒,๑๘๗ ตารางกิโลเมตรเศษ ซึ่งแออัดไปด้วยประชากรราว ๑๒-๑๕ ล้านคน เมืองหลวงของญี่ปุ่นมีมุมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความเร่งรีบ ตึกสูงระฟ้า ความทันสมัยของเทคโนโลยีล้ำยุค แหล่งรวมสินค้าแบรนด์เนมจากทั่วโลก และผสานเงาวัฒนธรรมจากตะวันตก


“Shibuya - Shinjuku - Harajuku - Ginza - Roppongi - Akihabara - Ikebukuro - Odaiba - Tokyo Disneyland”

พื้นที่เหล่านี้ ล้วนมีภาพลักษณ์ของวัฒนธรรมสมัยใหม่ ความน่าตื่นตาตื่นใจแห่งจังหวะก้าวย่างของคนเมืองหลวงระดับโลก และในความอึกทึกครึกโครม ล้ำยุค ก็กลายเป็นความโดดเด่นที่ใครต่อใครคุ้นเคย จนบางคนอาจยึดติดว่า “นี่แหละโตเกียว !!”




แต่ในอีกมุมหนึ่ง ... เมืองเดียวกันนี้ ยังมีวัฒนธรรมดั้งเดิม มีพื้นที่เงียบสงบๆ แทรกซึมผสานอยู่ร่วมกัน โดยตัวอย่างที่เห็นภาพชัดและง่ายที่สุด ก็คือ วัดกับศาลเจ้าต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโตเกียว

ถ้าหากยกตัวอย่างวัฒนธรรมแตกต่างสุดโต่ง แต่ผสมกลมกลืนในโตเกียว ขึ้นมาสักอย่าง ผมมักยกต้นแบบ คือ “Meiji Jingu” หรือ “ศาลเจ้าเมจิ” ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัย ค.ศ.๑๙๒๐


แต่ในปัจจุบัน คือ พื้นที่ติดกันกับแหล่งแฟชั่นหลุดโลก – ช้อปปิ้งสุดหรู – วัยโจ๋จี๊ดจ๊าด

... ชนิดที่ในวันหยุด นักท่องเที่ยวที่อยากเข้าไปสัมผัสความสงบแห่งวิถีชินโต อาจต้องฝ่าด่านทดสอบใจเสียก่อน ด้วยการเดินฝ่าเข้าไปกลางวง “คอสเพลย์ - Cosplay (Costume Playing)” ของบรรดาวัยรุ่นโตเกียว ซึ่งออกมารวมกลุ่มกันปลดปล่อยพลังแห่งการสร้างสรรค์การแต่งกาย ที่ได้แรงบันดาลใจจากโลกเอนิเมชั่น เกมส์และภาพยนตร์


แต่เป็นที่รู้กันว่า ภายใน Meiji Jingu นั้น แตกต่างจากปากทางเข้าไปคนละเรื่อง ราวกับหลุดไปอีกโลกหนึ่ง ทั้งเงียบสงบ ร่มรื่น และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีแต่งงานแบบชินโต ท่ามกลางบรรยากาศขลังๆของการสักการะศาลเจ้า แถมมีสาวๆญี่ปุ่นในชุดประจำชาติเดินกันขวักไขว่



เมื่อมองกลับมาที่เมืองหลวงของไทยบ้าง ... กรุงเทพฯก็เต็มไปด้วยบรรยากาศความเป็นมหานครขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก จำนวนประชากรที่แออัดเกือบ ๖ ล้านคน ปะปนเป็นเนื้อเดียวกันกับความเจริญทางด้านวัตถุ


คนส่วนใหญ่ หากนิยามความเป็นกรุงเทพฯแบบผิวเผิน จึงมักสื่อถึงตึกสูงๆ แหล่งรวมความทันสมัย แสงสีของเมืองหลวง ความเร่งรีบ สับสน วุ่นวายในสไตล์คนเมือง


แต่เมื่อมองให้ลึกทุกมุม ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เมืองหลวงของไทยยังมีวัฒนธรรมเก่าแก่ผสมกลมกลืนกันอย่างลงตัวคล้ายกับเมืองหลวงญี่ปุ่น ... นับแค่เรื่องวัดวาอารามที่แทรกอยู่ท่ามกลางความทันสมัยของเมืองฟ้าอมร ก็มีไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ แห่งเข้าไปแล้ว


ถ้าหากเทียบเคียง Meiji Jingu กับสถานที่สักแห่งในกรุงเทพฯ ผมจึงมักนึกถึง “วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร”


วัดที่เรามักเรียกกันติดปากว่า “วัดปทุมฯ” ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถูกขนาบข้างด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แถมยังใกล้แหล่งรวมวัยรุ่นเมืองกรุง แม้ความเงียบสงบอาจไม่เท่าศาลเจ้าดังในโตเกียว แต่ลักษณะของความแตกต่างอย่างกลมกลืนก็คล้ายๆกันอยู่บ้าง




นอกจากเรื่องศาสนสถานแล้ว หากลองมองเรื่องแหล่งท่องเที่ยวดูบ้าง ... เดิมทีก่อนไปตะลอนให้โตเกียวหมุนรอบตัว ผมเองเคยคิดคล้ายคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่เคยไปญี่ปุ่น ว่าเมืองใหญ่แบบโตเกียว คงมีแต่ความทันสมัย ไฮเทค เด็กเปรี้ยว เฟี้ยวฟ้าว สาวโมเอะ*


(*โมเอะ เป็นศัพท์แสลง หมายถึงความรัก ความชื่นชอบที่มีต่อตัวละครในการ์ตูน หรือแอนิเมชั่น แต่ระยะหลังใช้สื่อความหมายว่า “โดนใจ” ก็เป็นที่นิยม)


แต่เมื่อไปสัมผัสประสบการณ์จริง แม้เป็นแค่ช่วงสั้นๆ ผมค้นพบว่า ความทันสมัยล้ำอนาคต เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง แต่อีกหลายมุมในโตเกียวยังมีอะไรๆ แบบดั้งเดิม ของเก่าแก่โบราณ วิถีชีวิตสงบๆ เรียบง่าย ดูบ้านๆ ... เห็นได้ทั้งในใจกลางเมือง และรอบนอก ซึ่งนั่นเป็นส่วนเติมเต็มให้โตเกียวมีมิติที่หลากหลาย


ไม่ต่างกันเลยกับกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้มีแค่ตึกสูงๆ รถไฟฟ้า-รถใต้ดิน ห้างสรรพสินค้าหรูหรา ... แต่พื้นที่เชิงวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเกาะรัตนโกสินทร์ ถนนเจริญกรุง ร้านเจ้าเก่าทั้งหลาย หรือบรรยากาศเขตชานเมืองกรุงเทพฯ ก็ช่วยชะลอความทันสมัย ผสานให้เกิดความลงตัวแก่มหานครแห่งนี้



แล้วเมื่อเปรียบอีกสองเมืองระหว่าง “เชียงใหม่” กับ “เกียวโต” ความคล้ายคลึง ก็เป็นไปในทิศทางที่พอเทียบเคียงกันได้เช่นกัน

เมืองท่องเที่ยวซึ่งติดอันดับโลกอย่าง “เชียงใหม่” จริงอยู่ที่ใครหลายคน อาจมองเชียงใหม่ว่ามีความเจริญ พัฒนาทันสมัย และสะดวกสบายจนเสน่ห์ในยุคก่อนหายไปแล้ว


แต่ทว่าเชียงใหม่ ก็ยังเป็นเชียงใหม่ ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเราไม่อาจหาได้ในกรุงเทพ โคราช หรือ ภูเก็ต ... เพราะถึงจะมีความเจริญอย่างไร เชียงใหม่ก็ยังเป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา มีวิถีชีวิตที่ต่างจากเมืองอื่นๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในอำเภอรอบนอกซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ในตัวเอง


ในเชียงใหม่ยังมีโบราณสถาน วัดวาอารามเก่าแก่ ประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมหลายๆอย่าง ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยนัก แม้ว่าพื้นที่บางส่วนอาจเติบโตไปตามยุคทุนเสรี แต่ภาพรวมของเอกลักษณ์อันโดดเด่นในวัฒนธรรมอาณาจักรล้านนายังสอดแทรกกลมกลืนได้อย่างน่าชื่นชม


... ราวกับ ธรรมชาติ - วัฒนธรรม ของเมืองเหนือแห่งนี้ เริ่มปรับจังหวะการก้าวเดินไปพร้อมๆกับความทันสมัยจนกลายเป็นความลงตัว



แล้วเมื่อถึงคราวที่ผมไปเยือน “เกียวโต” ...

จินตนาการแรกก่อนสัมผัสจริง ผมก็คิดว่าเกียวโตเป็นเมืองเก่าแก่ ที่น่าจะเต็มไปด้วยวัด ศาลเจ้า ร้านรวง บ้านเรือนในแบบที่เคยเห็นในภาพยนตร์ญี่ปุ่นย้อนยุค ... ซึ่งก็ไม่ผิดนัก เพราะปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ยังมีปรากฏให้เห็น

แต่สำหรับ เกียวโต ของจริง ... ความทันสมัยที่ก้าวเดินไปพร้อมกับโลก ก็ผสานเข้าไปในเมืองเก่าแก่อย่างไม่ขัดเขิน




ตัวอย่างเช่น ย่านดาวน์ทาวน์ แหล่งช้อปปิ้งอย่าง Shijo – Karasuma หรือพื้นที่รัศมีโดยรอบของสถานีรถไฟเกียวโต ที่เต็มไปด้วยสีสันในแบบฉบับเมืองใหญ่ทั่วไป แต่ทั้งหมดทั้งปวงในความเติบโตของอาคารร้านค้า ความหรูหราที่ฉาบเคลือบวัฒนธรรมทันสมัย กลับไม่ได้ทำให้เกียวโตขาดเสน่ห์ หากกลับกลายเป็นส่วนผสมให้เกียวโตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ครบครัน และน่าจะกลายเป็นต้นแบบที่ดี เรื่องการจัดการระบบผังเมืองด้วยซ้ำ


นั่นจึงเป็นความคล้ายคลึงระหว่างสองเมืองเก่า “เชียงใหม่ – เกียวโต” ที่ในขณะความเปลี่ยนแปลงของโลกกำลังดำเนินไป ก็มิได้ทำให้เสน่ห์ดั้งเดิมต้องสูญสลาย แต่กลับค่อยๆเติมเต็ม หาจุดสมดุล และปรับตัวไปร่วมกัน


สุดท้ายแล้ว จากความคล้ายคลึงกันใน “บางมุม” ของ “๔เมือง” ซึ่งต่างก็ล้วนน่าหลงใหล ยิ่งทำให้ผมตระหนักได้ดีว่า นอกจากความคล้ายคลึงแล้ว ทั้ง ๔ เมืองยังมี “ความเหมือน” ร่วมกัน


นั่นคือ ... “กรุงเทพ - โตเกียว - เชียงใหม่ – เกียวโต” ล้วนควรค่าแก่การยกย่องให้เป็น “เมืองท่องเที่ยวระดับโลก”






-โปรดติดตามตอนต่อไป-


..



Create Date : 30 ตุลาคม 2554
Last Update : 30 ตุลาคม 2554 4:51:18 น. 7 comments
Counter : 7583 Pageviews.  

 
บรรยายได้ละเอียดดียิบเลยครับ
ส่วนใหญ่ผมไปเกียวโต ผมต้องหาที่พักแถวสถานนีเกียวโตอย่างเดียวครับ เพราะว่าไปอยู่ที่อื่นผมเริ่มต้นไม่เป็น (แบบว่าต้องกลับมาเริ่มต้นที่รถบัสหน้าสถานนีอย่างเดียวครับ)


โดย: ablaze357 วันที่: 30 ตุลาคม 2554 เวลา:9:46:01 น.  

 
น่าสนใจมากๆเลยค่ะ

ส่วนตัวแล้วชื่นชอบญี่ปุ่นอยู่แล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นสักทีกำลังเก็บเงินแล้ว backpack ไปเอง ไม่ค่อยอยากไปกับทัวร์เท่าไหร่ มันไม่อินดี้

แล้วจะมาติดตามตอนต่อไปนะคะ


โดย: annabet วันที่: 1 พฤศจิกายน 2554 เวลา:20:58:02 น.  

 
อ่านแล้วประทับใจจัง
ขอบคุณนะคะ จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ
(ชอบภาพแรกมากๆค่ะ)


โดย: miracle_rainyteddy วันที่: 2 พฤศจิกายน 2554 เวลา:10:36:19 น.  

 
บันทึกได้ละเอีดดีจังครับ


โดย: คนขับช้า วันที่: 6 มีนาคม 2555 เวลา:22:20:18 น.  

 
ตามมาเก็บข้อมูลค่ะ สิ้นมีนานี้จะไปกับทัวร์ก่อน แต่รอบหน้ากะว่าจะไปเองให้ได้ค่ะ


โดย: tarzankku IP: 180.180.30.150 วันที่: 24 มีนาคม 2555 เวลา:13:44:56 น.  

 
ชอบมากค่ะ อ่านแล้วเหมือนได้ไปเอง อย่างที่คุณบอกไว้จริงๆว่าปัญหาคือ จุดเริ่มต้นของเรา มันไม่ไปไหน ถ้าตั้งใจไว้แล้วต้องทำให้เกิดขึ้น....ขอบคุณมากเลยนะคะที่เป็นแรงบัลลดาลใจให้อยากลองก้าวออกไปดู อยากให้ลงข้อมูลการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นแบบคนที่ไม่เคยไปไหน หนุนใจหรือแนะนำอะไรบ้างน่าจะดีนะคะ


โดย: Pbaan IP: 110.171.39.87 วันที่: 23 กรกฎาคม 2555 เวลา:20:33:22 น.  

 
สนใจอยากนำรูปภาพไปลงในนิตยสาร

ไม่ทราบว่าจะติดต่ออย่างไรได้บ้างคะ

หรือ รบกวนติดต่อกลับทาง xymodigital@gmail.com

ขอบคุณค่ะ


โดย: xymodigital IP: 101.109.211.151 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2555 เวลา:16:16:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]