Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ดวงใจในเงาจันทร์ 22+23

ดวงใจในเงาจันทร์
22 - ความจริง


รอบด้านมีแต่ความมืดมิด สายลมเกรี้ยวกราดกระชากกระชั้นบ่งบอกถึงสภาพอารมณ์ของวริสาได้เป็นอย่างดี

เธอกำลังโกรธ...อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ริส!”

ราเชนทร์เรียกอีกรอบ แต่ดูเหมือนวริสาจะไม่เห็นเขาเลยด้วยซ้ำ

เสียงภาวนามนตร์ของรามินทร์หยุดลง ภาพิมลรีบวิ่งเข้าไปหา แล้วทั้งคู่ก็จ้องมาที่ราเชนทร์

“เอ็งเห็นคุณริสใช่ไหม” รามินทร์ถามห้วนๆ วริสาจึงหันขวับไปหา

ผมยาวของหญิงสาวสะบัดปลิวอยู่ในอากาศ มันแผ่ขยายสีดำเป็นแพกว้างๆ เข้ากันดีกับร่างเลือนรางโปร่งแสง

“อยากลองของกันนักใช่ไหม”

ราเชนทร์ไม่แน่ใจนักว่านั่นจะเป็นน้ำเสียงของวริสาจริง เพราะสุ้มเสียงนั้นทั้งต่ำห้าว และห้วน

เขาไม่อาจเดาใจเธอได้เลยว่า เธอกำลังจะทำอะไรต่อ

“ว่าไงไอ้เชนทร์”

รามินทร์ถาม พร้อมกับเดินตรงมาหาเขาโดยมีภาพิมลเกาะหนึบ และก็อีกไม่กี่ก้าว ก็จะชนเข้ากับวริสาที่ยืนขวางอยู่ แต่วริสาคงไม่ยอม

สิ่งอันน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆมีนกกลางคืนตัวใหญ่ร่อนถลาลงมาโฉบตัดหน้ารามินทร์กับภาพิมลไปเกาะโต๊ะพิธี ทั้งคู่หยุดกึก หน้าซีดๆบอกถึงความระแวง

เจ้านกตัวนั้นไม่ได้ร้องสักแอะ มันเพียงแต่จ้องทุกอย่าง สะกดทุกสิ่งเอาไว้ภายใต้สายตา ขนาดราเชนทร์ซึ่งเคยคุ้นกับผีมาในระดับหนึ่ง ก็ยังหวาดๆเจ้านกตัวนั้น เพียงแค่มันขยับปีก เขาก็เตรียมจะเผ่น

“คุณริสใช่ไหม” รามินทร์ร้องถาม จดจ้องอยู่กับนกตัวนั้นโดยไม่รู้เลยว่า ดวงวิญญาณของวริสากำลังลอยเข้าไปหา

“อย่า!!” ราเชนทร์ร้อง เขาตั้งใจร้องห้ามผีสาว แต่มันไม่มีผลกับเธอเลย มีแต่รามินทร์กับภาพิมลเท่านั้นที่หันมา แล้วทั้งคู่ก็ทำหน้าเบี้ยวเหยเก ก่อนจะร้องลั่นแล้วกระโจนถอยห่างออกไป

ราเชนทร์เห็นท่าว่าจะไม่ได้การจึงวิ่งพรวดทะลุร่างของวริสา เย็นเยียบ ตามแนวกระดูกสันหลังก็เสียววาบ

“พี่มินทร์ คุณมล” ราเชนทร์พุ่งเข้าไปเขย่าตัวคนทั้งคู่ที่ยืนทื่อ หน้าซีดหน้าขาว สั่นเทาไปทั่วร่าง แม้แต่จะปริปากพูดก็ยังไม่อาจจะทำได้

นกตัวเดิมกรีดร้อง เสียงแหลมๆบาดหู ราเชนทร์ต้องมองย้อนกลับไปหาวริสาด้วยความอยากรู้ว่าเธอทำอะไร

แต่เปล่าเลย...หญิงสาวดูเป็นปกติทุกอย่าง มีเพียงรอยยิ้มที่มุมปากเท่านั้นที่ติดแววเหี้ยมเกรียมสักหน่อย

หรือสิ่งที่พี่ชายของเขากับภาพิมลเห็น จะไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาเห็น

เขาไม่รู้ว่าวริสามีความสามารถขนาดไหน กล้าแข็งพอที่จะทำอะไรได้บ้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้เขาไม่รู้และไม่เคยคิดอยากจะรู้ เพราะถึงเธอจะมีความสามารถอย่างนั้นจริง แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมา เธอก็ไม่เคยทำให้เขาเห็นว่าเธอเป็นอันตรายกับใคร เขาจึงไม่เคยคิดไม่เคยเชื่อว่าวริสาจะทำร้ายคนอื่นได้...

มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ผิดปกติไป...ต้องมีอะไรสักอย่าง...

...หรือจะเป็นเพราะพิธี

“พี่มินทร์ คุณมล” ราเชนทร์เรียกสติ นกตัวเดิมเอ็ดร้องอีก “นี่ได้ยินที่ผมพูดรึเปล่า พี่มินทร์ คุณมล”

ไม่เพียงแต่ไม่มีการตอบรับ ทั้งคู่ยังนิ่งจนคล้ายกับว่าถูกคำสาปยึดครองไปแล้ว ไม่อาจบังคับร่างกายได้ตามต้องการ มีก็แต่เพียงดวงตาที่กลิ้งกลอกไปมา แสดงอารมณ์ต่างๆ

ราเชนทร์ยังคงเขย่าร่างของทั้งสองคนอย่างไม่ย่อท้อ อย่างไรเสียเขาก็ต้องช่วยเหลือให้ได้

นกร้องขึ้นมาอีก พร้อมๆกับที่วริสามาหยุดยืนอยู่ข้างๆเขา หญิงสาวหันมายิ้มแสยะให้...รอยยิ้มอย่างเดียวกับที่เขาเห็นในคืนวันที่เธอกลับมา

ราเชนทร์ผงะถอย นึกถึงคำพูดของวริสาในวันก่อนตอนที่เขาถามเธอว่า ทำไมถึงเลือกมาเข้าฝันเขา พี่ชาย และภาพิมลแทนที่จะไปเข้าฝันพ่อของเธอ

“ตอนนั้นฉันยังมึนๆงงๆอยู่ในโลกโน้นอยู่เลย จะมาเข้าฝันใครได้ไง...”

โลกโน้น...โลกของวิญญาณ...

เป็นไปได้ไหมว่า สำนึกที่แท้จริงของวริสาจะย้อนกลับไปสู่โลกนั้นอีกครั้ง เพราะคาถาที่รามินทร์โอมอ่าน

มันทำให้วริสากลายเป็นคนละคน

ราเชนทร์ตาค้าง นกร้องเสียงดังหนักๆ เรียวแขนยาวๆของวริสายกขึ้นส่วนมือน้อยๆนั้นก็กางออก ไม่ต่างอะไรจากกรงเล็บของปีศาจ จิกลงไปในเนื้อหนัง ตรงบ่าของรามินทร์ มือของเธอวูบหายลงไปในนั้น

นกร้องดังเข้าอีก ดังอีก แต่ปราศจากเสียงร้องของรามินทร์ ในบรรยากาศวังเวงหดหู่ ราวกับกำลังดูการประหารชีวิตนักโทษ ราเชนทร์เห็นพี่ชายของตัวเองหน้าซีดลงทุกที...

“คุณริส! คุณจะทำอะไรของคุณน่ะ”

เวลาอย่างนี้ไม่สนใจแล้วว่าใครจะรู้หรือไม่รู้เรื่องที่เขาเห็นผี ราเชนทร์ถาตัวพุ่งเข้าใส่วริสาอย่างเต็มแรง แต่มันก็อย่างเคย เธอเป็นแต่เพียงวิญญาณโปร่งๆ ชนใส่ก็ทะลุออกมาเท่านั้น ราเชนทร์ต่อสู้กับความว่างเปล่าจนเหนื่อย เขาไม่อาจช่วยอะไรได้เลย แต่จะปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่ได้...เธอฆ่ารามินทร์แน่ แล้วจะทำอย่างไรดี... ควรทำอย่างไรเพื่อเรียกสติของวริสาให้กลับมา

แว่บหนึ่งในห้วงความคิด...เหมือนกระแสไฟฟ้าเล็กๆแล่นผ่าน ราเชนทร์ก็พอจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง

เขาวิ่งจากที่เกิดเหตุกลับเข้าบ้าน... เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

*********


วริสาเคว้งคว้างอยู่ในความมืดมิด หนทุกแห่ง ไม่ว่าจะด้านข้างๆ ด้านบน หรือแม้แต่ที่ๆเธอเหยียบ ล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น แต่ก็น่าแปลกที่เธอสามารถมองเห็นตัวเองได้แม้รอบด้านจะไม่มีแสงสว่างใดๆเลยอย่างนี้

ไม่แม้แต่จะสลัว... ไม่แม้แต่จะเลือนราง

“ฉันอยู่ที่ไหน” วริสากระซิบถามตัวเองเงียบๆ ใช้ความคิดหนักหน่วงเพื่อจะกู้ความทรงจำกลับคืนมา แต่มันก็ล่องลอย ไม่แจ่มชัด ภาพแต่ละภาพขาดวิ่น ถูกแยกกระจัดกระจายไม่อาจนำมาประติดประต่อได้

อยากจะตะโกนร้องก็ร้องไม่ออก ความเงียบเหงาโถมเข้าสู่จิตใจของเธออีกครั้ง

แล้วลำแสงเล็กๆเหมือนกับแสงสปอตไลท์บนเวทีก็ฉายลงมาห่างจากร่างเธอไม่ไกลสักกี่ก้าว

“กลับมาอีกแล้วนะ”

น้ำเสียงที่ส่อเค้าความคุ้นเคยเอ่ยทักทาย ความรู้สึกค่อยแจ่มชัดขึ้นมาอีกสักหน่อย...หน่อยเดียว แค่รู้ว่าเสียงนี้คืออะไรเท่านั้น

“ฉันมาทำอะไรที่นี่คะ”

“กลัวหรือ ไม่อยากกลับมาหรือ” ไม่มีคำตอบ มีแต่คำถาม

วริสาเองก็พยายามจะนึกภาพต่างๆให้ได้ อดีตที่ผ่านมา สิ่งที่เธอกระทำ บุคคลสำคัญที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ปะติดปะต่อขึ้นทีละน้อย...

“ฉัน...ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่ ยังมีบางอย่างที่ฉันต้องไปจัดการ”

วริสารู้แค่นั้น แต่ก็บอกไม่ได้ว่าที่จะต้องจัดการ คืออะไร...

“เจ้าอาจจะได้กลับ หรือไม่ได้กลับ ก็ต้องขึ้นอยู่กับโชค”

“โชคหรือ...ฉันไม่เชื่อเรื่องโชค” วริสาย้อน

“เชื่อไม่เชื่อแต่มันก็จะเกิด เพราะโชคดีและโชคร้าย ก็ล้วนมาจากสิ่งที่เจ้ากระทำไว้ทั้งนั้น เหมือนอย่างเด็กตั้งใจอ่านหนังสือ เด็กคนนั้นก็โชคดีในการสอบ คนที่มีจิตเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น ยามทุกข์ยากก็มีคนคอยช่วยเหลือนี่เป็นโชคที่เขาสร้างไว้...เจ้าเองก็มีสร้างโชคเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายเท่านั้นเอง”

“ฉันต้องกลับไป” วริสาย้ำเพียงเท่านี้ คำสอนที่เสียงนั้นร่ายมาไม่อาจเข้าหูได้ทั้งหมด “ฉันรู้ว่าฉันต้องกลับไป”

“ไม่มีใครอยากอยู่ในภพภูมินี้หรอก เจ้าก็เห็นว่ามันมืดแค่ไหน”

“แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ มันต้องมีเหตุผลสิ”

“ถูกส่งมา”

“ส่ง...”

“ใช่...เรื่องราวเร้นลับที่ไม่อาจเปิดเผย ความจริงหลายต่อหลายอย่างยังคงถูกซุกซ่อนเอาไว้เบื้องหลังวิทยาการ ไม่มีใครรู้ เพราะไม่เปิดใจรับรู้”

วริสาถอนใจเฮือก ความเคยชิน สิ่งที่ทำมาโดยตลอด...การถอนใจ

“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ช่วยฉันได้ไหมคะ”

กระแสเสียงหัวเราะแจ่มใส ร่าเริง

“เราจะมาดูกันว่า เจ้าจะได้กลับไปหรือไม่...วริสา”

*********


ราเชนทร์คว้าของมาได้ก็รีบวิ่งออกจากบ้าน ทันเห็นพี่ชายของตนคุกเข่าต่อหน้าวริสา มีภาพบิดเบี้ยวเลือนๆเหลื่อมล้ำกับตัวของรามินทร์เอง และ...ราวกับว่าวริสากำลังจะดึงภาพนั้นออกมา

...วิญญาณของรามินทร์!

ราเชนทร์รีบควบคุมสติ จ้องมองเทพเจ้าสุสานที่อยู่ในมือ แล้วพึมพำคาถาตามที่มินตราเคยให้มา นกกลางคืนตัวนั้นยังคงร้องลั่น แต่น้ำเสียงผิดไปจากที่เคย มันร้องกรี๊ดๆเหมือนกับถูกทำร้ายแล้วบินพึ่บพั่บหนีไป ลมพายุขนาดย่อมสลายกำลัง เสียงโหยหวนกรีดร้องระงมมาเป็นระลอกสุดท้ายแล้วก็หายไป หลอดไฟในบ้านกระพริบแสงถี่ๆแล้วติดสว่างไสว บริเวณบ้านกลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไร

วริสาปล่อยมือจากรามินทร์ ภาพกายของเธอสั่นไหวรุนแรงราวกับจะแตกกระจายในทุกขณะ ผีสาวกอดอกทรุดนั่ง แล้วก็มีรังสีเลื่อมพรายแวดล้อมเป็นโดมคลุมรอบๆตัวเธอไว้

รามินทร์หงายหลังล้ม ภาพิมลร้องกรี๊ด

ราเชนทร์หยุดสวดคาถา แล้ววิ่งเข้าไปหาพี่ชายกับภาพิมล

“ไม่เป็นไรแล้วครับคุณมล”

“ริส... ริส...” ภาพิมลชี้ไปยังวริสา

“ไม่มีอะไรแล้วครับ คุณมลมาช่วยผมดูพี่มินทร์ดีกว่า” ราเชนทร์ขอร้องแล้วถามพี่ชายที่นอนนิ่ง กระพริบตาถี่ๆ “พี่มินทร์ลุกไหวไหมครับ”

รามินทร์เสียงสั่น พยายามพูด “เอ็งเห็นคุณริส”

ราเชนทร์ส่ายหน้าเบาๆให้กับความดื้อรั้นดันทุรังของรามินทร์

เอาเถอะ...พยานทนโท่อยู่ตรงนี้แล้ว จะปฏิเสธก็คงไม่ไหว

“เดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนี้กันเถอะครับ กลับเข้าบ้านก่อน”

“คุณเชนทร์คะ แล้วยัยริส...จะเป็นอะไรรึเปล่า”

ภาพิมลเสียงเบา เธอเองก็สั่นไม่แพ้พี่ชายของเขานัก

“ผมตอบไม่ได้ครับ คงต้องถามคุณอ้อยว่าจะทำยังไง”

แววตาของภาพิมลมีคำถาม ราเชนทร์จึงอธิบายต่อ

“คุณอ้อยเขาให้นี่มาน่ะครับ เธอบอกว่าผมจำเป็นต้องใช้...แล้วก็จริงๆเสียด้วย”

ราเชนทร์มองรูปหล่อของเทพเจ้าสุสานขนาดเล็กที่อยู่ในมือก่อนจะเหลือบไปทางวริสา ผีสาวนอนงอก่องอขิง... เห็นแล้วไม่สบายใจนัก

เอาน่า อย่างไรเสียเธอก็ไม่ตายอีกรอบหรอก

*********


ราเชนทร์โทรฯตามมินตรามาเสียเดี๋ยวนั้น และหญิงสาวก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะมาช่วยเหลือ

วริสาต้องอยู่ในบ้านที่เขาซื้อมาให้ บ้านเซรามิกหลังเล็กๆบนกล่องดนตรีนั้นโดยมีรูปหล่อของเทพเจ้าสุสานคุ้มกันไว้ตลอดเวลา มินตราอธิบายว่า เทพเจ้าสุสานมีอำนาจควบคุมภูตผีทั้งหลายให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ขณะเดียวกันก็คอยปกป้องคุ้มครองดวงวิญญาณเหล่านั้น ประหนึ่งว่าทรงเป็นเจ้านายเหนือภูตผีนั่นเอง

“คงต้องรอให้ถึงคือวันพรุ่งนี้ล่ะค่ะ คุณริสถึงจะออกมาได้”

ราเชนทร์พยักหน้าเข้าใจ แล้วนำเอากล่องดนตรีที่ว่านั้นมาวางไว้ชั้นล่าง ในห้องนั่งเล่น โดยมีรามินทร์กับภาพิมลที่นั่งบนโซฟามองตามตาไม่กระดิก

หมดเรื่องวริสาลงไป ก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาไม่ใหญ่แต่ชวนหนักใจต่อ แม้จะยังไม่ปกติเท่าเดิม แต่รามินทร์กับภาพิมลก็ดีขึ้นมาก

มากพอที่จะซักไซ้ไล่เรียงเขา

“ว่าไงไอ้เชนทร์ ทีนี้จะยอมสารภาพแล้วหรือยังว่าเอ็งเห็นคุณริสจริง”

“ครับ” ราเชนทร์ก้มหน้ารับผิด แล้วเอนหลังพิงตู้วางของที่สูงเพียงระดับเอวซึ่งใส่พวกของตกแต่งบ้าน และบ้านเล็กของวริสาก็อยู่ตรงนั้น

“คุณเชนทร์คะ คุณน่าจะบอกพวกเราตั้งแต่แรก” ภาพิมลช่วยซ้ำ จนราเชนทร์ลำบากใจ หันไปขอความช่วยเหลือจากมินตรา แต่ฝ่ายนั้นเพียงแค่ยักไหล่ แล้วบอกว่า

“ฉันบอกคุณแล้ว ไม่เชื่อเอง”

“โห...พอเลยคุณ พึ่งพาไม่ได้เลย”

รามินทร์มองข้ามทีเล่นของเขาเสีย แล้วคุยแต่ทีจริง

ราเชนทร์ถูกซักถามถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น และเขาก็จำเป็นต้องเล่าโดยละเอียดตั้งแต่การพบวริสาครั้งแรก การที่เธอมาอยู่ด้วย และเงื่อนไขว่าเขาจะช่วยเป็นคนรักให้เธอ เพื่อให้เธอได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ถูกต้อง

ระหว่างที่เล่ามินตราก็คอยเสริมเรื่องที่ตกหล่น ฝ่ายคนฟัง ภาพิมลก็คอยสอดแทรกเสียงที่แสดงให้รู้ว่าตื่นเต้นเต็มที่เข้ามาเรื่อยๆ มีแต่รามินทร์เท่านั้นที่วางท่าขรึมตลอดต้นจนจบ

“พี่มินทร์คิดว่าเป็นยังไงครับ เรื่องมัน...เป็นแบบนี้ ใครจะอยากเล่า”

รามินทร์ไม่ได้ตอบว่าคิดอย่างไร แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากนั้นก็ทำให้คนในห้องสะดุ้งกันพอดู

“ถ้าอย่างนั้น ให้ฉันจัดการเรื่องนี้ไหม ให้ฉันเป็นคนรักคุณริส เพื่อเธอจะได้ไปเกิด”

เหมือนฟ้าผ่ากลางหัว ราเชนทร์ไม่คิดไม่ฝันว่าพี่ชายเขาจะพูดแบบนี้

“บ้าไปแล้วเหรอพี่ อยู่ดีๆจะมารักผีเนี่ยะนะ”

“แล้วเอ็งล่ะ”

“ผมจำเป็นนี่...ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ชอบคาดคั้นผมนักหนา จะไล่แต้มผมตลอดเลยเหรอไง”

“ไอ้เชนทร์” รามินทร์อ่อนเสียงลง คล้ายถอนหายใจไปในตัว “เอ็งแน่ใจแค่ไหน ว่าเอ็งจะรักคุณริสได้”

“ผมไม่รู้... แต่ผมจะพยายาม”

“จะบอกให้นะ...ตามตรงเลย เอ็งมันเป็นคนเหลาะแหละ กะอีแค่เรื่องง่ายๆยังไม่เคยจะทำให้สำเร็จ แล้วปัญหาขนาดนี้ ไม่มีใครเขาเชื่อหรอกว่าเอ็งจะแก้ไขได้ด้วยตัวคนเดียว”

ราเชนทร์เห่อชาไปทั่ว โดนพี่ชายตีแสกหน้าจะๆแบบนี้ก็ทำให้โมโหได้เหมือนกัน

อยากจะตอบโต้กลับไป แต่มินตรารีบแทรกเข้ามาเพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่เริ่มระอุเสียก่อน

“ดิฉันเชื่อนะคะ เชื่อว่าคุณเชนทร์จะทำได้”

รามินทร์หัวเราะหึๆในลำคอ ภาพิมลที่นั่งข้างๆก็กุมมือเขาไว้แน่น

“มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าเขาจะทำให้คุณริสรู้จักคำว่ารักได้หรือไม่หรอกครับ สิ่งที่น้องชายผมต้องทำจริงๆก็คือ เขาต้องเปลี่ยนตัวเอง” ราเชนทร์หันมาจ้องราเชนทร์ตรงๆ “ยังมุ่งมั่นไม่พอ จากที่ฟัง ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่า เอ็งอยากจะช่วยคุณริสจริงหรือเปล่า บทจะกระตือรือร้นก็มาเป็นพักๆแล้วก็เอื่อยเฉื่อย จนกลายเป็นคนจับจด บอกว่าจะพยายาม แต่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ ถามจริงๆนะ รู้รึเปล่าว่าจะต้องทำอะไรบ้างถ้าอยากจะช่วยคุณริส”

“แต่ความรักมันไม่ใช่ของที่จะบังคับกันได้” ราเชนทร์โต้

“ไม่เถียง...ความรักมันบังคับกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยู่เฉยๆแล้วมันจะวิ่งมาหานี่หว่า ถ้าเอ็งอยากจะช่วยคุณริสจริงๆ เอ็งก็คงหาหนทางที่จะรักเธอแล้ว แต่นี่ไม่ ไม่แม้แต่จะหาจุดเริ่มต้น คนเราต่อให้ปิ๊งกันยังไง ถ้าไม่สานต่อ มันก็ไม่มีทางกลายเป็นความรักหรอก ฉันถึงบอก ว่าเอ็งขาดจุดนี้”

ราเชนทร์เถียงไม่ออก ไม่รู้จะโต้ตอบอะไร เพราะสิ่งที่รามินทร์พูดมานั้นก็ถูกทั้งหมด เขามันก็พวกเรื่อยเปื่อย ฉุยฉายไปวันๆ เวลาจะทำอะไรก็ไม่เคยตั้งใจมั่นอย่างแท้จริงว่าต้องทำให้ได้

และถ้าหากว่าเขายังเป็นอย่างนี้อยู่ ก็ไม่มีทางที่รามินทร์จะวางใจในตัวเขาได้เลย

..แม้แต่ช่วยวริสาก็คงทำไม่ได้

“คุณเชนทร์คะ” ภาพิมลยกมือขึ้นขออนุญาตพูดบ้าง “มลไม่รู้หรอกนะคะว่าคุณมินทร์พูดถูกหรือเปล่า แต่ถ้า...คุณเชนทร์ทำไม่ได้ มลก็อยากให้คุณมินทร์ทำ ริสจะได้ไปสู่สุคติเสียที”

ราเชนทร์เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคำว่า‘ถูกสบประมาท’แล้ว มันเต็มไปด้วยความเสียใจ ผิดหวังในตัวเอง ประกอบกับความรู้สึกอับอายที่เสียหน้า อัดอั้นจนยากจะกลั่นออกมาเป็นคำพูด

มองพี่ชายตัวเอง มองภาพิมล แล้วเหลียวไปทางมินตรา สายตาทุกคู่ที่จ้องมาราวกับจะบอกว่าเขาเองไม่มีคุณค่าพอ

จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้หรือ...คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องมีความมุ่งมั่นจริงๆจังๆสักที

“พี่มินทร์ครับ...ถ้าผมจะขอโอกาสสักครั้ง จะได้ไหม”

รามินทร์ขมวดคิ้ว แสดงออกถึงความไม่มั่นใจอย่างแจ่มชัด

“จะทำจริงๆงั้นสิ”

ราเชนทร์ผงกหัวหงึก เขาตัดสินใจแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างควรจะเริ่มต้นสักที

“ผมต้องทำทุกทางเพื่อช่วยคุณริสให้ได้...ผมสัญญา”

*********

*********

*********




ดวงใจในเงาจันทร์
23 - ปัญหาใหม่


วริสาอยู่ในบ้านหลังเล็ก ยืนเท้าแขนตรงหน้าต่าง มองออกไปก็เห็นห้องนั่งเล่น ทุกอย่างดำรงอยู่ในความสงัด แม้อากาศภายในห้องก็ปราศจากการเคลื่อนไหว กลิ่นเครื่องเรือนลอยนิ่งอยู่อย่างนั้น ขณะที่ริ้วแสงก็ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามา พาดไปตามเฟอร์นิเจอร์เป็นทางยาว เจิดจ้าแต่ไร้ประกายระยับ มันนิ่งสงบอยู่อย่างนี้ จนเผลอคิดไปว่า จะไม่มีกาลเวลาอีกต่อไป

นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ คำสัญญาของราเชนทร์เหมือนบอกกลายๆว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องรักเธอ ภารกิจที่เขาจะต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม... หากเธอไม่ต้องการเช่นนั้น ถ้ามันเป็นการฝืนใจเขามากจนเกินไป เธอก็ไม่ปรารถนา

เสียงบันไดดังออดแอด ราเชนทร์ก้าวลงมาช้าๆ มือหนึ่งเกาะราว ส่วนอีกมือหิ้วถุงกระดาษ ดูจากท่าเดินโซเซแล้ว เขาคงยังไม่หายงัวเงีย

วริสาจะเอ่ยปากทักทาย แต่ก็ต้องอ้าปากค้างโดยไม่มีถ้อยคำหลุดออกไป เธอนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับเขาดี หรือถึงนึกออกก็ไม่กล้าเอ่ย

รู้สึกละอายใจอยู่ลึกๆ...ที่เป็นต้นเหตุแห่งความยุ่งยากให้เขาเรื่อยมา

ราเชนทร์บิดขี้เกียจ หาว แล้วตรงมาที่บ้านหลังเล็กของเธอ วริสาแอบชะโงกหน้ามอง เลยเห็นว่าเขากำลังใช้นิ้วเคาะตรงประตูบ้าน

“ตื่นยังคุณริส”

วริสาอมยิ้ม แล้วลอยออกจากบ้านหลังน้อยมาหยุดยืนข้างหลังเขา

“จะตื่นได้ไง ในเมื่อฉันไม่เคยหลับ”

ราเชนทร์เหลียวกลับมามองแล้วนิ่วหน้าใส่

“นี่คุณ บอกแล้วไงว่าอย่าทำแบบนี้ ผมตกใจ”

“นี่ตกใจแล้วเหรอคะ”

ราเชนทร์ยักคิ้วให้ ก่อนจะอ้อมไปนั่งที่โซฟา พลางล้วงเข้าไปในถุงกระดาษ โดยมีเธอคุกเข่า เกาะตรงด้านหลังอีกที

“อะไรน่ะ”

ราเชนทร์เหยียดยิ้ม ริมฝีปากปิด ทำท่าทางเจ้าเล่ห์ก่อนจะดึงเสื้อออกมาให้เธอดู เป็นชุดกระโปรงสีชมพูขาว ประดับลูกไม้ ดูเหมาะกับผู้หญิงหวานๆ

“เป็นไงคุณ ผมเลือกมาให้คุณโดยเฉพาะเลยนะ สวยไหม”

วริสามองหน้าชายหนุ่ม ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนหล่อสักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ ค่อนข้างจะบกพร่องกว่ามาตรฐานไปหน่อยด้วยซ้ำ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอต้องนับถือเขาก็คือ ความจริงใจ...และอาจเป็นเพียงคุณสมบัติข้อเดียวที่ทำให้เขาดูดีกว่าคนอื่นทั้งหมด

“คุณลำบากใจรึเปล่าคะที่ต้องทำแบบนี้” วริสาถาม

“ยังไง”

วริสาหายตัวแวบ แล้วมานั่งอยู่ข้างๆชายหนุ่มโดยไม่มองหน้าเขา เอาแต่เพ่งจ้องโทรทัศน์ที่ไม่ได้เปิด แล้วอธิบาย

“เมื่อวาน ฉันได้ยินตอนที่คุณพูดกับคุณมินทร์ ดูเหมือนฉันจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย”

“คิดอะไรไม่เข้าท่า” ราเชนทร์ตำหนิ

“งั้นคุณก็บอกฉันมาสิ ว่าฉันทำให้คุณลำบากใจรึเปล่า ฉันเข้าใจค่ะ ว่าความรู้สึกตอนที่ถูกบังคับให้ชอบในสิ่งที่คิดว่าไม่ชอบมันเป็นยังไง และถ้าเป็นฉัน อะไรที่มันขัดใจ ฉันก็จะไม่ทำ”

ราเชนทร์ยิ้ม แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งขึ้นพาดพนักอิง...ตรงด้านหลังเธอ

“ผมก็คิดอย่างเดียวกับคุณนั่นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้น...”

“ผมถึงได้ยอมรับสัญญาจากคุณไง” ราเชนทร์ตอบ แล้วยื่นเสื้อผ้าให้เป็นการตัดบท “เอ้านี่...ดูซะว่าสวยไหม ถ้าสวยเดี๋ยวจะส่งไปให้”

วริสามองดูเสื้อในมือแล้ว แต่ในความคิดนั้นไม่เกี่ยวกับมันแม้แต่นิดเดียว เธอกำลังรู้สึกดีขึ้น หลังจากที่เมื่อคืนหมกมุ่นอยู่กับความคิดหนักๆมานาน และตอนนี้ก็กลับกลายเป็นว่า ความคิดนั้นเป็นเพียงการคิดไปเอง

“ว่าไงล่ะ สวยหรือเปล่า”

ราเชนทร์ถามย้ำ วริสาเลยชูเสื้อขึ้น ทำน้ำเสียงให้ร่าเริง

“ก็...พอดูได้”

“แค่เนี๊ยะ” ราเชนทร์มุ่ยหน้า

“อือ... ก็ฉันพูดตามความจริงนี่ จะให้โกหกหรือไงเล่า”

“เอ้าๆ... พอดูได้ก็พอดูได้”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ดูเหมือนเขาจะพยายามโน้มน้าวให้เธอชอบเสื้อตัวนี้ให้ได้ ราเชนทร์ชี้นู่นชี้นี่ บอกรายละเอียดเกี่ยวกับชุด ซึ่งก็คงจำมาจากคนขาย เลยมาบอกต่อกับเธอ วริสาเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ และแอบเออออตาม

สักพัก โทรศัพท์ก็กรีดร้องกริ๊งๆ... ราเชนทร์เลยลุกอย่างอิดออด ส่วนเธอก็รีบเกาะติด

“ตามมาทำไมคุณ จะแอบฟังล่ะสิ นิสัย...”

“นี่...เดี๋ยวแม่โบกเลย เป็นห่วงย่ะ”

ราเชนทร์หัวเราะหึหึ ส่ายหน้า แล้วรับโทรศัพท์

“ราเชนทร์พูดครับ”

“นี่นาถยานะคะ วันนี้คุณเชนทร์พอจะว่างไหมคะ”

ราเชนทร์หันมาสบตากับวริสา แล้วกรอกเสียงลงไป

“ครับ”

“ที่บริษัทมีตำแหน่งว่างน่ะค่ะ เป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับคุณเชนทร์ดี เลยอยากให้มาคุยกันที่บริษัท” นาถยาอธิบาย

“อืม...” ราเชนทร์อ้ำอึ้ง ไม่ตอบ แต่ด้วยความที่วริสาเป็นผีใจร้อน เธอเลยขยุ้มแขนเสื้อเขาเขย่าๆ จนเขาเอ็ดเบาๆ “อะไรเล่าคุณ”

“ก็บอกเขาไปสิว่าตกลง” วริสาบอกบท

“เออ รู้แล้วน่า เจ๊าะแจ๊ะอยู่ได้ เดี๋ยวก็ได้คุยเองซะหรอก”

“หัวโกร๋นแน่ถ้างั้น”

ราเชนทร์ขมวดคิ้วทำตาดุ วริสาเลยชักแขนกลับมากอดอก แล้วหันหน้าไปทางอื่น แต่ก็แอบเอียงหูฟัง

“ว่าไงคะ คุณเชนทร์จะมาใช่ไหมคะ” นาถยาถามซ้ำ

“ครับ... อีกประมาณสองชั่วโมงผมจะไปถึงนะครับ สวัสดีครับ”

ราเชนทร์วางหูโทรศัพท์กลับที่เดิม ส่วนวริสายิ้มละไมเต็มที่

“ฉันรู้ว่าคุณต้องรับงานนี้”

“เหรอ ผมไม่รู้ตัวมาก่อนเลยนะเนี่ยะ... ขืนไม่รับก็โดนคุณเล่นงานแย่สิ”

ราเชนทร์บอกแล้วก็ตรงไปที่ครัว แต่วริสาโวยวาย

“จะไปไหน...คุณ ไปเตรียมตัวก่อน”

“สองชั่วโมงทันถมเถ” ราเชนทร์เถียง พอเธอวิ่งไปดักหน้าเขา เขาก็เดินผ่านตัวเธอเสียเฉยๆ

“นี่คุณ ไปเตรียมตัวก่อน เดี๋ยวมาตาลีตาเหลือกแล้วเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา พ่อฉันก็อายแย่สิ”

“เรื่องมากอีกแล้วนะคุณ” ราเชนทร์หยุดเดินแล้วถอนใจหนักๆ “ผมว่าเรามาทำข้อตกลงเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนไหม”

“ขอโทษ ไม่ทำย่ะ ฉันเป็นผีไม่ใช่คน... ไปๆๆ ทำตามที่บอกน่ะ”

วริสาไม่บอกเปล่า แต่ยังรีบรุนหลังเขา ราเชนทร์เกาหัวแต่ก็ยอมไปโดยดี

“เออ รู้แล้ว... หยังกะแม่นิ”

“ว่าอะไรยะ”

“บอกว่าคุณน่ะเหมือนแม่เลย เฮ้ย!” ราเชนทร์กระโดดหย็อยๆ เมื่อเห็นวริสาเริ่มเงื้อหมัด แล้วร้องลั่นบ้าน “อย่าตามมานะเฟ้ย เดี๋ยวโดนๆ”

พูดจบเขาก็วิ่งหนีกลับขึ้นไปชั้นบน ปล่อยให้วริสาเต้นเร่าๆอยู่คนเดียว

“ไอ้บ้า!”

*********


ราเชนทร์มาถึงบริษัทก่อนเวลานัดประมาณสิบห้านาที โดยมีวริสาเป็นคนคุมมาตลอด

ตึกหลังนี้เป็นตึกใหญ่ สูงแค่ห้าชั้น แต่กินพื้นที่กว้างเพราะปีกสองข้างที่แผ่ขยาย อาคารหลังนี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางที่รวบรวมทุกอย่างไว้ ยกเว้นก็แต่โรงงานผลิตที่แยกออกไปทางพื้นที่ด้านหลัง และมีสัดส่วนเฉพาะตัว

เมื่อเข้าไปในบริษัท สิ่งแรกที่เห็นคือโถงขนาดใหญ่ เหมือนโถงรับแขกของโรงแรมหรู มีเครื่องแก้วและของสวยงามประดับประดาจนระยิบระยับไปหมด ด้านหน้า เยื้องกับปากประตูทางเข้านิดหน่อยมีโต๊ะยาวสำหรับประชาสัมพันธ์เพื่อคอยรับแขกที่มาติดต่องาน

ผู้คนมากมาย ผิดจากที่คาด เขาเคยคิดว่างานวิชาการเป็นงานที่น่าเบื่อ ยิ่งถ้าเกี่ยวกับยาเอย เคมีภัณฑ์เอย คงไม่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไหร่ สถานที่ทำงานจึงต้องเงียบๆ เรียบๆ ไม่ค่อยมีใคร จะพบจะเห็นก็แต่พนักงานหน้าเก่า ที่คุยกันกี่ครั้งก็มีแต่เรื่องเก่าๆ

ผิดไปถนัดสำหรับที่นี่...

“พ่อออกแบบไว้น่ะค่ะว่าต้องการแบบนี้ พ่อเคยบอกว่า ด้านหนึ่งของอาคารจะทำเป็นที่ทำงาน ส่วนอีกด้านจะจัดเป็นพื้นที่วิทยาการสำหรับให้เด็กๆได้มาเรียนรู้ พ่อชอบบอกว่าถ้าหากเด็กรุ่นใหม่ได้เห็นวิธีการทำงานจริงๆ เขาก็จะเอาไปคิดต่อยอด ทีนี้ก็เลยมีนักเรียน นักศึกษา หรือไม่ก็ผู้สนใจมาเยี่ยมชมกันค่อนข้างมาก ต้องนัดคิวจองไว้ด้วย” วริสาอธิบาย “แต่ส่วนที่เป็นความลับก็คือความลับนะคุณ ที่เอาออกมาให้ความรู้นี่เป็นพวกเรื่องพื้นฐานทั่วไป และผลิตภัณฑ์ที่ออกมาแล้ว เลยไม่มีปัญหา”

“เสียเงินตรงนี้เยอะพอดูนะนี่”

“ฉันว่าไม่น่าจะนะ... เพราะถ้าหากว่ามีเรื่องการกุศลมาเกี่ยวข้องเนี่ยะ จะสามารถหักภาษีได้ไง แต่ฉันไม่รู้อยู่ดีว่าพ่อทำยังไงกันแน่ ก็อย่างที่บอก ไม่เคยเข้ามายุ่งกับที่นี่... ไปเถอะคุณ ได้เวลาแล้ว”

วริสาเตือน เขาพยักหน้าหงึกหงักไปตามเรื่องแล้วตรงไปยังจุดประชาสัมพันธ์ เพื่อแจ้งธุระที่มา แต่ยังไม่ทันที่พนักงานจะตอบว่าอะไร เสียงเรียบๆก็ทักเขา

“คุณเชนทร์คะ”

ราเชนทร์หันกลับไปมอง ก็เห็นนาถยากำลังตรงมาทางเขา รองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้องดังสะท้อนเป็นจังหวะ

“สวัสดีครับ”

“เรากำลังจะประชุมกันพอดีเลยค่ะ” นาถยาบอก ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม

“สงสัยจะเครียดนะ” วริสาเขย่งมากระซิบบอก ราเชนทร์กระแอมไอนิดหน่อยแล้วค่อยพูดต่อ

“งั้นผมรออยู่แถวนี้ก่อนก็ได้ครับ”

“คุณเชนทร์เข้าประชุมด้วยกันเถอะค่ะ”

“หา!” ราเชนทร์อุทาน ก่อนที่จะรู้สึกตัว “เอ่อ...ขอโทษครับ คงไม่เหมาะมั้งครับถ้าผมจะเข้าไปประชุมด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะอยู่ในขอบข่ายธุระที่เราจะคุยกัน”

“ตายแน่คุณ” วริสาล้อ ราเชนทร์เลยหันไปทำตาดุใส่

“ตามนี้นะคะ อีกประมาณสิบห้านาที...” นาถยายกนาฬิกาข้อมือดู แล้วหันไปทางประชาสัมพันธ์สาว “เดี๋ยวช่วยพาคุณราเชนทร์ไปที่ห้องประชุมด้วยนะ... ฉันขอตัวไปจัดการธุระก่อนนะคะ”

นาถยาบอก แล้วยิ้มให้นิดหนึ่งก่อนจะก้าวฉับๆจากไป

ราเชนทร์มองจนหญิงสาวหายไปตรงประตูกระจก แล้วก็สบตากับวริสาอย่างงุนงง

*********


“เอาเหอะน่าคุณ สู้ตายสู้ๆ ยังไงฉันก็อยู่ข้างคุณนะ” วริสาให้กำลังใจ แต่ราเชนทร์หน้าเริ่มหน้าหงิก

“ผมเครียดนะเนี่ยะ”

“ฉันรู้ค่ะ ฉันรู้ คุณก็ไม่ต้องเครียดมากหรอกน่า แค่เข้าไปฟังที่เขาพูดกันแค่นั้นเอง”

“โหคุณ.. ผมคนนอกนะ เข้าไปอย่างนั้นมีหวังโดนเขม่นตายเลย”

“ฉันว่าดีออก คนอื่นจะได้รู้ไงว่าคุณน่ะเด็กเส้น อย่าแหยม” วริสาหัวเราะคิกคัก แล้วประชาสัมพันธ์สาวที่ได้รับมอบหมายก็ตรงมาทางเขาเพื่อพาไปตามนัดหมาย

“อย่าทำให้พ่อฉันเสียหน้าล่ะ” วริสาขู่เป็นครั้งสุดท้าย

ราเชนทร์เข้ามาในห้องประชุม อากาศเย็นๆพุ่งมาปะทะเขาเป็นอันดับแรกพร้อมกับกลิ่นเครื่องปรับอากาศ พื้นที่กลางห้อง มีโต๊ะประชุมวางยาว ปลายโต๊ะด้านหนึ่งมีโปรเจ็กเตอร์ติดตั้ง ด้านตรงกันข้ามซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านในสุดจึงควรเป็นที่นั่งของประธานบริษัท

ราเชนทร์นั่งที่เก้าอี้พิเศษที่แยกออกมา แต่ก็ใกล้กับเก้าอี้ท่านประธานพอสมควร ไม่นานนัก นาถยาก็เข้ามาในห้อง ตามด้วยกรรมการบริษัทคนอื่นๆ ซึ่งพอแต่ละคนเห็นเขาก็สงสัย บางคนเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นใคร

“คนสนิทของคุณวันชนะค่ะ” นาถยาตอบแทน ด้วยน้ำเสียงที่บอกว่า อย่าถามอีก ดังนั้นเมื่อมีคนใหม่ๆเห็นเขาและอยากรู้ คนที่ทราบคำตอบแล้วก็จะกระซิบกันอย่างเบาๆว่า เขาเป็นคนของวันชนะ จากนั้นทุกคนก็เลิกใส่ใจ แล้วหันไปพูดคุยจุกจิกเบาๆ

ระหว่างที่เขานั่งฟังเสียงพูดคุยของเหล่าคณะกรรมการ ก็มีคนผ่านประตูเข้ามา

...ชายหนุ่มร่างสูง มาดเยี่ยม ตัดผมทรงสกินเฮด ติดยิ้มประดับหน้า

“อ้าว! คุณนนท์ มาเองเลยเหรอครับ นึกว่าจะส่งตัวแทนมา” ใครคนหนึ่งในคณะกรรมการทักขึ้น นนท์ยิ้มกว้างแล้วเข้านั่งตรงที่ที่ถูกจัดไว้ ก่อนจะตอบคำถาม

“งานสำคัญน่ะครับ ผมเลยต้องมาเอง”

ราเชนทร์เห็นเขาแอบยิ้มเยาะไปทางนาถยา

“หวังว่าวันนี้คงไม่มีใครลุกขึ้นมาชกกันนะคุณ” ราเชนทร์ขมุบขมิบพูด

“ไม่มีหรอกน่า ถ้าคุณไม่ทำนะ ก็ไม่มีใครทำหรอก” วริสาย้อนกลับ ราเชนทร์ตาเขียวใส่

“เห็นผมบ้าเลือดขนาดนั้นเลยเหรอไง”

“ใครจะไปรู้ พิษรักแรงหึง” วริสาหัวเราะเสียงแหลม
พอนนท์นั่งที่ได้สักพัก พ่อของวริสาก็มาถึง พร้อมกับชายวัยไล่เลี่ยกัน แต่ผู้ชายคนนั้นตัวใหญ่ และหน้ากว้าง คอตัน

...เงียบ... เสียงพึมๆงึมงำดับลง ไม่มีทีท่าว่าใครจะคุยกันต่อ

“คนที่คุณควรจับตามองให้ดีๆคือตาลุงคนนั้น” วริสาพยักเพยิดไปยังชายที่เดินมาข้างพ่อของเธอ และตอนนี้ทั้งคู่ก็กำลังผ่านหน้าเขาไป “เขาชื่ออมรหน้าหมู คุณดูที่จมูกเขาดีๆ เหมือนเด๊ะเลย”

ราเชนทร์หัวเราะพรืดอย่างไม่ตั้งใจ อมรหันขวับกลับมาทำตาขวาง

“มานานหรือยัง คุณราเชนทร์” วันชนะถาม

แต่ราเชนทร์ยังไม่ทันได้ตอบ อมรก็ชิงถามขึ้นเสียก่อนว่า

“ลูกน้องคุณเรอะ”

วันชนะพยักหน้า อมรเลยพูดต่อ

“อย่าหาว่าผมเรื่องมากเลยนะ แต่คุณน่าจะดูแลคนของคุณดีๆหน่อย เรากำลังจะประชุมกัน ทำอย่างนี้เสียมารยาท”

ราเชนทร์รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ และหน้าก็ชาเพราะตอนนี้คณะกรรมการทุกคนในห้องกำลังหันมามองเขาเป็นตาเดียว

ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เขาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกด่าคุณวันชนะ

“ขอโทษครับ” ราเชนทร์ลุกยืน แล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย “ผมนึกว่าบางทีอาจมีการผ่อนคลายได้บ้างเล็กๆในการประชุมที่ตึงเครียด”

อมรหัวเราะเยาะในคอ พวงแก้มย้วยกระเพื่อมไหว

“คงไม่เคยได้เข้าประชุมเป็นการเป็นงานที่ไหนมาก่อนล่ะสิ เอาเถอะ พวกเด็กหนุ่มก็เป็นอย่างนี้แหละ” อมรว่า

ราเชนทร์อยากจะหาคำพูดแรงๆมาตอบโต้กลับ แต่พ่อของวริสาก็ออกโรงปกป้องเขาก่อน

“คุณก็อย่าหาว่าผมเรื่องมากเลยนะ เราก็เสียมารยาทที่ปล่อยให้คนอื่นรอนานขนาดนี้ ไปนั่งที่เถอะ”

อมรหน้าตึง แล้วตรงไปนั่งที่โดยไม่ยอมมองหน้าใครเลยสักคน ราเชนทร์เห็นอย่างนั้นแล้วก็พอใจเล็กๆ จึงนั่งลงที่เดิม ส่วนวริสาก็นิ่งเงียบ ทำหน้าครุ่นคิด

...สถานการณ์ตึงเครียด ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ

การประชุมเริ่มต้นขึ้น นาถยาชี้แจงว่าที่นนท์มาร่วมประชุมก็เพราะเขาจะอธิบายเกี่ยวกับการที่ บริษัท เอ็นพี เคมิคัล จะมาร่วมทุนในงานวิจัยรากสามสิบให้ทุกคนทราบ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ แล้วต่อจากนั้น นนท์ก็ลุกขึ้นชี้แจงข้อมูลต่างๆ แต่โดยรวมแล้วสิ่งที่เขาเน้นก็คือจำนวนเงินที่ร่วมลงทุนด้วย

ทว่า...จำนวนเงินหลายล้านไม่อาจทำให้ทุกอย่างราบลื่น เพราะมีบางคนที่คัดค้านว่า การทำสัญญาในลักษณะนี้ย่อมทำให้ทาง เอ็นพี เคมิคัล มีสิทธิ์ในการเข้าไปดูขั้นตอนการวิจัยได้ เสียงฝ่ายหนึ่งจึงไม่ยอมรับ ในขณะที่อีกฝ่ายซึ่งมีอมรเป็นแกนนำให้เหตุผลว่า เพื่อลดทุนในการทำวิจัย พวกเขาจึงเห็นด้วย

“ผมยังไม่รู้อยู่ดีว่า เราจำเป็นอะไรที่จะต้องรับคุณเข้าเป็นหุ้นส่วน” วันชนะถามหน้านิ่งราเชนทร์มองหน้าเขาสลับกับมองหน้าวริสา มีเค้าโครงความคล้าย และนิสัยดื้อรั้นก็เหมือนๆกัน

“ผมหวังว่าท่านคงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเรานะครับ อย่างที่ทุกคนก็รู้กันดี การทำรีเสิร์ชแต่ละชิ้นต้องใช้เงินมากขนาดไหน ถ้าทุนซัพพอร์ทไม่หนาพอก็คงทำไม่ได้ และอีกอย่าง ถ้าหากสภาพการเงินของบริษัทเป็นไปด้วยดี หุ้นในตลาดก็จะกระเตื้องขึ้น ท่านไม่ชอบหรือครับ” นนท์อธิบายด้วยรอยยิ้ม

“แล้วคุณจะได้อะไร” วันชนะถาม

“สิทธิ์ร่วมในตัวโปรดักท์”

“นั่นสิ” อมรแทรกขึ้นมา กระตือรือร้นที่จะสนับสนุนนนท์เต็มที่ “จะคิดมากอยู่ทำไมคุณวันชนะ วิน-วินน่ะ”

“วิน-วินบ้าน... ล่ะสิ” วริสาหน้างอ เบ้ปาก “คุณดูเถอะ คนเรา คิดว่าตัวเองถือหุ้นเยอะแล้วกร่างตลอด”

ราเชนทร์ยิ้มให้กับเธอ แต่ก็คิดตามไปด้วย เขาเองไม่สันทัดเรื่องธุรกิจนัก จึงต้องเค้นพลังสมองอย่างมากเพื่อตามให้ทัน

“ผมยังเห็นว่าไม่เหมาะอยู่ดี” วันชนะแย้ง

“โนวเลดจ์-แชร์ริ่ง น่ะครับ” นนท์ว่า

“แต่ผมทำธุรกิจ” วันชนะสวนกลับทันควัน “และคุณก็กำลังทำธุรกิจ... เพราะฉะนั้น คำตอบคือไม่”

“คุณทำแบบนี้ไม่ได้คุณวันชนะ กรรมการบริษัททุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้” อมรท้วง วันชนะเพียงเหลือบมาทางเขาอย่างจริงจัง

“ปัญหาของคุณก็คือ อำนาจการตัดสินใจกว่ากึ่งหนึ่งเป็นของผม... คุณอมร อย่าพยายามให้เสียเวลา”

อมรตัวสั่น เสียงสั่น “คุณวันชนะ อย่าคิดนะ...”

“ขอโทษนะคะ ดิฉันมีข้อเสนอบางอย่างจะชี้แจงให้ทราบ” นาถยาตัดบท

“ผมยังพูดไม่จบ!”

“คุณอมรคะ กรุณาค่ะ” นาถยาตอบนิ่มๆ แต่สายตาที่ใช้นั้นดุดัน อมรจึงยอมสงบลงบ้าง นาถยาเลยพูดต่อ “อย่างที่ท่านประธานได้ชี้แจงไปเมื่อสักครู่นะคะว่าทางเราไม่ต้องการร่วมทุนกับบริษัทเอ็นพี เคมิคัล เพราะข้อสัญญาที่คุณนนท์เสนอมานั้นค่อนข้างจะทำให้ลำบากใจเกี่ยวกับเรื่องสิทธิ์ในงานวิจัย แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคณะกรรมการบางท่านที่ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคุณอมร เพราะมันจะมีผลต่อสถานภาพความน่าเชื่อถือของเรา จะเป็นไปไหมคะ ถ้าหากว่าทางเราจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขเอง แล้วให้ทางเอ็นพีพิจารณา”

“ยังไง” อมรกร้าวถาม นาถยาพูดต่อ

“ข้อเสนอก็คือ ทางเราจะทำสัญญาเฉพาะส่วนของตัวผลิตภัณฑ์ โดยทางเอ็นพีจะมีสิทธิ์ในตัวผลิตภัณฑ์เป็นรายแรก แต่จะต้องไม่ข้องเกี่ยวกับการวิจัยจนกระทั่งได้ผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“ผมไม่เห็นด้วย” อมรส่ายหน้า แต่ดูเหมือนนาถยาจะไม่สนใจนัก

“คุณนนท์เห็นด้วยไหมล่ะคะ”

ราเชนทร์มองไปทางนนท์ที่นั่งกอดอก แววตานิ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้ม แล้วตอบว่า

“ได้... ตกลงตามนี้”

...ท่าทีลึกซึ้งจนยากจะบอกได้ว่าผู้ชายคนนี้คิดอะไรอยู่

...หรือไม่ เขาก็ไม่คิดเลย!

*********




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2551
2 comments
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 8:20:22 น.
Counter : 648 Pageviews.

 

โย้ เผลอหลับไปคืนเดียว วิ่งตามไม่ทันสะแล้ว

เวลาหมด ต้องไปทำงานแล้วค่ะ เดี๋ยวกลับมาอ่านน้า
เสียดายจัง

 

โดย: พรายทราย 10 ตุลาคม 2551 11:41:53 น.  

 

แหะ...ช่วงนี้ต้องสปีดครับ เดี๋ยวตามพี่พลอยไม่ทัน หุหุ

(อัพเสร็จก็แว่บไปนอนมั่ง....มึนมาหลายวันแย้ว....)
..................................

 

โดย: รักดี (ploy666 ) 12 ตุลาคม 2551 0:40:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.