Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
19 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ดวงใจในเงาจันทร์ 26+27

***ช่วงนี้คนเขียนเกิดอาการสับสนในความคิดเล็กน้อยนะครับ
หากผู้ใดพบและแจ้งเบาะแสข้อผิดพลาดได้ วานช่วยบอกผมทีเต๊อะ
มึนสุดๆแย้ว T_T***

ขอบคุณก๊าบบบ!

************




ดวงใจในเงาจันทร์
26 - คนร้าย


คืนนี้ท้องฟ้าไม่สดใสเอาเสียเลย แม้แต่ดวงดาวบนท้องฟ้าก็กระพริบแสงอย่างหม่นๆ ไร้สีสัน ไร้ประกายระยิบระยับ

วริสาเดินเล่นบนสนามหญ้าหน้าบ้านของมินตราโดยมีแม่หมอสาวอยู่เป็นเพื่อน บรรยากาศสงบแต่ไม่เงียบดี เพราะถ้าเงี่ยหูฟังก็จะได้ยินเสียงรถราสัญจรบนถนนหลวงที่อยู่หากออกไป

พอแกล้งแพรไหมเสร็จ วริสาก็ลอยเคว้งคว้างมาถึงบ้านของมินตรา แทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำในระหว่างที่มาที่นี่ รู้สึกเจ็บแปลบลึก...ยอกอก

“ฉันไม่ชอบใจทั้งคู่เลย อีตาราเชนทร์ก็รู้ๆอยู่ว่าแฟนเก่าตัวเองมาเพราะมีจุดประสงค์ก็ยังอี๋อ๋ออยู่นั่น ส่วนแพรไหม แค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตาแล้ว”

วริสาบ่นหลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มินตราฟังจนจบ ฝ่ายเจ้าของบ้านเพียงแต่พยักหน้าช้าๆ ท่าทีสุขุม แล้วก็ตอบกลับง่ายๆ

“คุณหึงเขาแล้วล่ะค่ะ”

คำตอบที่ทำให้วริสาต้องชะงัก และจ้องหน้าคนตอบอย่างจริงจัง

“หึงเหรอคะ คุณแน่ใจรึเปล่า ทำไมฉันไม่คิดอย่างนั้นล่ะ”

“ก็มันไม่ใช่เรื่องที่ควรคิดนี่คะ แต่เป็นเรื่องที่ รู้สึกได้”

ฟังคำอธิบายของมินตราแล้วต้องทบทวนตัวเองในฉับพลัน เธอหึงเขาหรือเปล่า ...เธอรักเขาหรือเปล่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ราเชนทร์ก็เป็นคนดีที่น่าคบหา แต่ จะมีอะไรมากกว่านั้นล่ะ เอาล่ะ เธอชอบเขา แต่มันพัฒนาไปถึงขั้นรักแล้วเหรอ เธอยังไม่คิดอย่างนั้นเลย ออกจะไกลเกินไปหน่อยไหม กับคำว่าหึงด้วย มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเป็นอย่างนั้น

แต่กับมินตราอาจไม่แน่ เพราะเท่าที่เธอเคยเห็น แม่หมอสาวมักจะมีสายตาแปลกๆยามมองดูราเชนทร์

ไม่สบายใจขึ้นมาอีกแล้วสิ...

“ฉันอาจหึงจริงๆก็ได้” วริสายอมรับหน้าตาย “แล้วคุณล่ะคะ คิดยังไงกับราเชนทร์”

สิ้นคำถาม ก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายมินตราที่ต้องชะงักบ้าง วริสาจดจ้องเข้าไปในสีหน้า ในแววตา ภายใต้ท่าทีสงบนิ่ง กลับมีความวุ่นวายซุกซ่อน เหมือนผิวน้ำเรียบสนิทที่ปิดบังคลื่นที่ไหลหลากข้างใต้

มันเป็นอย่างนี้จริงๆสินะ... เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆเสียด้วย

“ฉันก็แค่” มินตราพยายามอธิบาย “ฉันก็แค่...สนใจดวงแปลกๆของเขาเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้”

“จริงเหรอ คุณแน่ใจนะ”

“ค่ะ”

วริสาหัวเราะอยู่ในใจ เป็นเสียงหัวเราะที่ปร่าแปร่ง มันเหมือนตอนที่เธอรู้สึกว่าพ่อถูกแย่งไป เหมือนตอนที่เธอรู้สึกว่าพ่อไม่สนใจเธอเลย นั่นแหละ ความรู้สึกเดียวกัน แต่ด้วยเหตุผลต่างประการ

กลั้นใจเอาไว้ แล้วเค้นเสียงให้ออกมาราบเรียบปกติ

“ก็ดีแล้วค่ะ ที่คุณไม่คิดอะไรกับราเชนทร์ ถ้าอย่างนั้น ฉันขอความช่วยเหลือได้ไหม”

“ว่ามาเถอะค่ะ ฉันยินดี”

“เพราะฉันเป็นผี ฉันคงลงไปแย่งชิงตบตีกับแพรไหมไม่ได้ ฉันอยากให้คุณเข้าไปช่วยหน่อย เป็นตัวแทนของฉัน ขัดขวางแพรไหมไว้ หวังว่าคุณคงทำให้ได้”

มินตราเลิกคิ้ว เบิกตากว้าง คงตกใจจนคิดไม่ออกว่าจะตอบเธอว่าอย่างไรดี

“ตกลงตามนี้นะคะ ขอบคุณมากที่ยอมช่วยฉัน” วริสาพูด แล้วก็เดินต่อไปบนสนามหญ้า ทิ้งมินตราให้นิ่งอยู่กับที่

...ต่อให้เธอรักและหึงราเชนทร์จริงๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะอยู่กับเขาตลอดไปได้ เพราะเมื่อถึงเวลา เธอก็จะต้องไปจากที่นี่ ถ้าอย่างนั้น สู้ให้เขาได้อยู่กับคนที่ดีไม่ดีกว่าหรือ

ระหว่างแพรไหมกับมินตรา ฝ่ายหลังเข้าท่ากว่าเยอะ

เหลือบตามองดูท้องฟ้า ท้องฟ้าไม่ได้หม่นหมองหรอก จิตใจของเอต่างหากที่เป็นอย่างนั้น

*********


ร่วมสัปดาห์แล้วที่ราเชนทร์ไม่พบสิ่งปกติตามที่วริสาบอก แม้ผีสาวจะลงทุนบังตาพาเขาเข้าห้องทำงานของอมรได้ แต่ก็ไม่มีเอกสารใดที่บ่งชี้ถึงความทุจริตของผู้ชายคนนี้

“โอ๊ย... ทำไมหายากหาเย็นอย่างนี้วะ”

ราเชนทร์บ่น พลางเหยียดแขนขึ้นเหนื่อยศีรษะบิดขี้เกียจ จากนั้นก็เอนหลังพิงพนัก มองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดค้าง ดูความมืดยามหัวค่ำที่โรยตัวลงมา

เขานั่งอยู่ในแผนกบัญชี ร่วมมือกับวริสาตรวจสอบบัญชีทั้งหลาย ทั้งรายการอนุมัติต่างๆอย่างเคร่งเครียด และตอนนี้เขาก็เบื่อเต็มแก่

แกล้งหลับตาลง แต่ก็ยังแอบชำเลืองมองดูวริสาที่ผละจากกองเอกสาร แล้วพูดกับเขา

“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ ของแบบนี้ ใจร้อนไปก็ไม่ดีหรอก”

“คร้าบ คุณแม่”

“เดี๋ยวเหอะ” วริสาเอ็ด แล้วเขาก็หัวเราะ

ถือเป็นความบันเทิงใจอย่างหนึ่งในชีวิต นับตั้งแต่เจอกับวริสามา เขารู้สึกว่า ชีวิตเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง มีสีสันใหม่ๆ ไม่ได้ล่องลอยคล้ายความฝัน ทั้งที่วริสาเป็นผี แต่เธอกลับนำเขาเข้าสู่โลกแห่งความจริงได้

แล้ววริสาล่ะ ยอมรับความจริงของโลกได้หรือยัง

“คุณไปหาพ่อคุณบ้างหรือเปล่า”

“ไปสิคะ ไปทุกวันแหละ”

“หายโกรธท่านหรือยัง”

วริสานิ่งไปนิด ก่อนจะยกมือกอดอก แล้วเอนหลังบ้าง

“ว่าไงคุณ หายโกรธท่านหรือยัง”

“ไม่รู้สิ... บอกไม่ถูก”

ราเชนทร์ยิ้มบางๆให้เธอ บางที ตอนนี้อาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้รู้ถึงความรู้สึกจริงๆของวริสาที่เธอมีต่อครอบครัวของตัวเอง

“ผมขอถามอะไรคุณอย่างนะ...คุณโกรธอะไรท่านนักหนา ถึงได้หนีออกจากบ้านแบบนั้น”

วริสาเบ้ปากใส่

“ไม่ได้หนีออกจากบ้าน ฉันย้ายออกเพื่อความสบายใจต่างหาก”

“ยังไงล่ะ”

วริสาเหมือนชั่งใจเล็กน้อยว่าจะเล่าดีหรือไม่

แล้วเธอก็เล่า

“ที่ฉันไม่อยากเห็นพ่อ เพราะมันทำให้ฉันคิดถึงแม่ พ่อบอกเสมอว่า พ่อรักแม่ แต่แล้วพอพ่อเจอนาถยา พ่อกลับเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอ แล้วก็ลืมความรักที่มีต่อแม่ไปจนหมด ฉันยอมรับไม่ได้ มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น ถ้าความรักมีจริง พ่อก็ควรที่จะรักแม่ตลอดไป ไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนี้”

ราเชนทร์พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ทำไมวริสาถึงได้จงเกลียดจงชังความรักนักหนา มันเป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง

แต่...นาถยาก็เพิ่งเข้ามาในชีวิตเธอได้ไม่นานไม่ใช่หรือ วริสาคงไม่ได้เกลียดความรักมาตั้งแต่แรกหรอกมั้ง

หรือใช่...

“คุณเคยรักใครบ้างไหม” ราเชนทร์ถาม และคราวนี้ วริสาก็จ้องหน้าเขาอยู่นาน กว่าจะยอมตอบ

“ไม่เคยค่ะ”

“ทั้งชีวิต”

“อืม... ถ้าหมายถึงความรักเชิงชู้สาว ไม่เคยค่ะ...ตลอดชีวิต ฉันไม่ชอบผูกมัด เอาใจใครไม่ค่อยเป็น รำคาญเวลามีคนมาเกาะแกะ แล้วก็เอาแต่ใจพอดู...”

“มากเลยล่ะคุณ”

“มากก็ได้... แต่ฉันเป็นแบบนี้แหละ ความรักเลยไม่สำคัญน่ะ”

“ยิ่งมาเจอเรื่องของพ่อคุณ มันก็เลยเป็นหนักขึ้น...ใช่ไหม”

“ก็คงจะอย่างนั้น”

ถ้าสิ่งที่วริสาอธิบายคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆกับชีวิตของเธอ มันก็มีความเป็นไปได้สองทางสำหรับการกลับขึ้นมาบนโลกของเธอ ทางแรกก็คือ วริสาต้องทำความเข้าใจพ่อของเธอให้ได้ เพื่อที่เธอจะได้มีความรัก หรือทางที่สอง เธอจะต้องรู้จักมีความรัก เพื่อที่ว่าเธอจะได้ปลดบ่วงพันธนาการเรื่องพ่อของเธอ

ทั้งสองเรื่องมีความสัมพันธ์กัน

ราเชนทร์นิ่งคิดอยู่ แล้วก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้ลอยเข้ามาในห้อง เขาทำจมูกฟุดฟิด

“ริส คุณได้กลิ่นอะไรไหม”

“เหมือน...” วริสารีบวิ่งไปเกาะตรงกระจกหน้าต่าง แล้วกรี๊ด “ไฟไหม้! คุณ...ไฟไหม้ที่โกดังเก็บของ!”

*********


ราเชนทร์วิ่งออกมาได้ครึ่งทาง และเกือบที่จะออกไปยังที่เกิดเหตุแล้ว แต่วริสาร้องห้ามเขาไว้

“คุณ อย่าไป”

“ผมต้องไปช่วยเขาดับไฟนะคุณ”

“ฟังฉันก่อนสิ...” วริสาตวาด “นี่มันเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจ”

ราเชนทร์ขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่เข้าว่าวริสาจะพูดอะไร แต่เบี่ยงเบนความสนใจงั้นหรือ

แลป!!!

ราเชนทร์เปลี่ยนเป้าหมาย เขาวิ่งสุดฝีเท้า ส่วนวริสาที่ใจร้อนกว่าคงหายตัวไปแล้ว

โถงทางเดินมีแต่เสียงฝีเท้าสะท้อนก้องไปมา แล้วพอวิ่งมาได้อีกสักหน่อย ไฟก็ดับพรึ่บลง จนเขาแทบจะสะดุดหกล้ม พอจะมีแสงสลัวๆจากภายนอกส่องเข้ามาให้เห็นบ้าง เขาจึงคลำทางต่อไปได้ แต่ก็ทำให้ช้าพอดี

ถ้าไม่เพราะเกี่ยวข้องกับไฟไหม้ การที่ไฟฟ้าดับก็อาจเป็นเพราะมีใครไปตัดระบบ

ราเชนทร์กำหมัดแน่น ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น โชคยังดีที่วริสาเตือนเขาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงทะเล่อทะล่าออกไปข้างนอกแล้ว

ตรงมาจนถึงปากทางเข้าห้องปฏิบัติการทดลอง ก็เห็นปลายเท้าที่ยื่นออกมาจากช่องทางเดิน มีคนนอนอยู่ตรงนั้น พอตรงเข้าไปหา ก็พบว่าเป็น รปภ. ที่ต้องเฝ้าเวรในกะดึก

ราเชนทร์เขย่าตัวชายคนนั้น พลางเรียกชื่อ แต่ไม่มีการตอบรับ ที่ตรงพื้นใต้ศีรษะของเจ้าหน้าที่คนนี้มีเลือดไหลนอง ราเชนทร์สับสน ร้อนรน แล้วก็คว้าเอากระบองห้อยเอวของยามคนนี้ออกมา จากนั้นก็ล้วงโทรศัพท์มือถือ โทรออกไปหาตำรวจ แจ้งความพร้อมกับบอกรายละเอียดอย่างเร่งด่วน

ทันใดนั้นเอง ภายในห้องแลปก็มีเสียงกึกกักโครมคราม วริสาลิ่วตรงมาหาเขา

“คุณ มันกำลังพังห้องแลป เข้าไปหยุดมันเร็วเข้าสิ”

“เออ” ราเชนทร์บอก กระชับกระบอง แล้วเก็บโทรศัพท์กลับที่เดิม

“คุณระวังหน่อยนะ มันมีปืน”

“เฮ้ย!!”

“ไม่เฮ้ยล่ะ รีบไปเลย เดี๋ยวฉันช่วยคุณเอง”

แค่คำว่าปืนก็ทำให้สะท้านแล้ว แต่ก็...เอาวะ ลุกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้เว้ย สู้!!

ราเชนทร์ย่องไปจนถึงประตูห้อง ภายในมีแสงสว่างของไฟฉายที่สาดไปมา คนร้ายที่ว่าคงเป็นผู้ชาย เพราะแม้จะใส่หมวกไอ้โม่ง แต่ดูจากรูปร่างสูงใหญ่แล้วก็น่าจะเป็นเช่นนั้น

...ตัวใหญ่กว่าเขาเสียอีก

“เดี๋ยวฉันจะล่อให้มันหันไปทางอื่นนะ แล้วคุณก็อ้อมไปข้างหลังมัน ตีหัวมันให้หนักๆเลยล่ะ เอาให้สลบเลยรู้ไหม”

วริสาบอกแล้วก็ลอยไปทันที ราเชนทร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือชื้นเหงื่อ ประสาททุกส่วนตื่นตัว

รออยู่สักพัก ก็มีเสียงโครมคราม แสงไฟฉายวิ่งแว่บเฉียดตัวเขาไป แล้วไปจ่อฉายตรงที่ที่วริสาอยู่ ราเชนทร์ก้มตัววิ่งเร็วๆเบาๆ จนกระทั่งไปถึงด้านหลังของคนร้าย เงื้อกระบอง แล้วหวด

แต่พลาด! คนร้ายไวกว่า มันพลิกตัวหลบแล้วเตะเอาจังๆที่ท้องของเขาจนเขาล้ม ราเชนทร์ทำกระบองหลุดมือ แต่ก็ยังพยายามจะลุกขึ้นมาอยู่

...จุกถึงลิ้นปี่เลยทีเดียว

ยังไม่ทันจะยืนขึ้นได้เต็มที่ ผู้บุกรุกก็สายไฟมาส่องที่หน้าของเขา ราเชนทร์ต้องยกมือขึ้นป้องเพราะความแสบตา และตอนนั้นเอง มันก็ใช้สอยเขาด้วยหมัดตรง กระแทกเข้าเต็มๆหน้า เฉียดจมูกไปหน่อยเดียว ส่วนเขาเองก็ถีบสุดแรง มันร้องคำรามอยู่ในคอ แล้วพุ่งออกไปยังประตูทางออก

“ริส ขังมันไว้” ราเชนทร์ตะโกนร้อง และในทันที ประตูห้องปิดปัง คนร้ายไม่อาจหนีออกจากห้องนี้ได้ และแย่ก็ตรงที่ เขาเองก็ติดอยู่กับมันด้วย

...ทำไมไม่บอกให้วริสาขังมันไว้ในนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่รู้ ถ้าทำอย่างนั้นก็แค่รอให้ตำรวจมาจับมันไปก็จบแล้ว ...โง่จริงๆ ราเชนทร์ เอ๊ย...ราเชนทร์...

พอมันเห็นทีท่าว่าไม่อาจจะเปิดประตูออกไปได้ โจรร้ายก็หันมาจะเล่นงานเขาเต็มที่ มันยังเก้าอี้ในแล้วเหวี่ยงมาทางเขา ราเชนทร์พุ่งตัวหลบ เก้าอี้กระแทกเครื่องแก้วราคาแพงแตกกระจาย

เขาลุกขึ้นอีกที แต่คราวนี้ไม่เห็นมันแล้ว

“ริส...มันอยู่ไหน” ราเชนทร์กระซิบถาม พลางเดินกลับไปยังกระบอง วริสาเองก็ขมวดคิ้วมุ่น ไม่แน่ใจ เพราะลักษณะการวางโต๊ะในห้องแลปนั้นจะใช้โต๊ะยาว วางตัวตามแนวกว้าง เรียงๆกัน ทำให้มีที่หลบซ่อนได้มาก

ถ้าวมาถึงกระบองที่หล่นตก แล้วย่อตัว จะหยิบ ฉับพลัน วริสาก็กรีดร้อง

“ระวัง!”

ราเชนทร์ได้ยินเสียงหวืดลงมา ตามด้วยเสียงโครม จากนั้นเขาก็ลงไปนอนกองกับพื้น เห็นภาพโจรร้ายวิ่งไปยังหน้าต่าง ใช้เก้าอี้ทุ่มกระจก แล้วมุดรอดออกไปได้

วริสาวิ่งกลับมาที่เขา...

“คุณ อย่าเป็นอะไรนะ คุณ... คุณ...”

แล้วทุกอย่างก็เหลือเพียงแค่เสียง...

*********


วริสาปล่อยให้ราเชนทร์นอนอยู่ตรงนั้น แล้วหันไปยังกระจกหน้าต่างที่แตก ความรู้สึกตกใจ เสียใจในตอนแรกกลายเป็นโทสะที่ร้อนรุ่ม

เธอจะไม่ปล่อยมันไว้แน่...

วริสาหันไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท ถอนจิตที่ปิดกั้นเอาไว้ ให้ประตูสามารถเปิดออกได้ เมื่อครู่ราเชนทร์เรียกตำรวจแล้ว เดี๋ยวก็คงมีคนตามมาช่วยเอง แต่ตอนนี้เธอต้องไปจับคนร้ายก่อน ...ก่อนที่มันจะลอยนวลไป

ลอยตามออกมา เห็นหลังไวๆของคนร้ายคนนั้นวิ่งไปกำแพงบริษัท วริสากะเล็งจังหวะให้พอเหมาะ เมื่อเขาวิ่งลอดใต้ต้นไม้ เธอก็หักกิ่งไม้ให้ร่วงลงมา

กิ่งไม้มหึมากระแทกเข้าเต็มๆไหล่ของคนร้าย แม้จะร่างใหญ่แค่ไหน แต่ก็คงบาดเจ็บมากพอดู จึงได้ทรุดลงและร้องครวญคราง

วริสายิ้มเหี้ยมเกรียม ลอยเข้าไปใกล้ๆ บรรยากาศรอบด้านกดหนักลง แล้วละม้ายว่ามีหมอกบางๆโปรยทับตามลงมา เจ้าคนร้ายท่าทางเลิกลั่ก หวาดกลัว ใบหน้าต้องแสงจันทร์บิดเบี้ยวเหยเก

“กลัวเป็นด้วยหรือ” วริสากระซิบเบาๆ มันหันขวับๆ ไปซ้ายไปขวา แต่เธอไม่ยอมให้เห็นตัวเธอง่ายๆนักหรอก

“กลัวเป็นด้วยหรือ”

วริสาถามย้ำอีก คราวนี้โจรร้ายพนมมือแต้ ไหว้ประหลกๆ ร้องครางแทบไม่เป็นภาษา

วริสาหัวเราะเสียงแหลมสูงผิดปกติ จากนั้นก็บันดาลให้ร่างโปร่งแสงกลายเป็นเรือนร่างที่มีเนื้อหนัง แล้วเดินตรงเข้าไปยังคนร้าย ย่อตัวลง ใช้มือเชิดคางมันขึ้น แต่คนร้ายหลับตาแน่นสนิท

“มองฉันสิ” วริสาตะคอกเสียงต่ำๆแหบๆ “มองฉันสิ”

มันส่ายหน้าแรงๆ แต่วริสายิ่งจิกมือที่จับคางนั้นไว้แน่นมากขึ้น

“ทำไมไม่มอง บอกให้มอง!”

วริสาถลึงตาจนเหมือนกับว่าลูกตาจะถลนหลุดออกมาจากเบ้าได้ ภาพที่มันทำลายข้าวของ ภาพที่มันทำร้ายราเชนทร์

วริสาใช้มือข้างหนึ่งกดไปที่เปลือกตาของคนร้าย แล้วพยายามเปิดเปลือกตาของมันขึ้น เสียงร้องครวญครางโหยหวน ยิ่งวริสาเปิดให้กว้างมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งดังมากขึ้นทุกขณะ

จนไม่เหลือเสียงใดๆให้หลุดลอดออกมา

วริสาสะบัดมือทิ้ง แล้วยืนขึ้น เห็นท้องที่กระเพื่อมของมันอยู่ก็รู้ว่ายังไม่ตาย อาจแค่สลบไป ก็ดีแล้ว จะได้เป็นหลักฐานให้ตำรวจต่อ

ไฟโทสะมอดลงบ้าง หมอกที่ปกคลุมเมื่อครู่สลายสิ้น วริสาหันกลับไปทางห้องแลป เห็นมีไฟเปิดสว่างขึ้นแล้ว และมีนายตำรวจคนหนึ่งกำลังชะโงกหน้ามองมายังจุดที่เธออยู่

ทุกอย่างคงเรียบร้อยดีแล้วล่ะ...

วริสาถอนใจเฮือก รู้สึกอ่อนเพลีย เรี่ยวแรงเหือดหาย นึกถึงเทพเจ้าสุสานขึ้นมาก็ตั้งใจจะกลับไปเข้าบ้านหลังเล็ก

พอเริ่มถอยกลับสู่โลกสีน้ำเงิน เธอก็เห็นนกแสกตัวเดิม โฉบลงมาจากต้นไม้

ในดวงตาแดงก่ำของมัน บ่งบอกถึงความไม่ประสงค์ดี

*********

*********

*********






ดวงใจในเงาจันทร์
27 - สืบ


ยังรู้สึกมึนและปวดหน่วงตรงท้ายทอย โชคยังดีที่คนร้ายฟาดเก้าอี้ตัวนั้นลงมาเพียงเฉียดๆ ถ้าโดนเข้าไปจังๆ เขาคงต้องระเห็จไปอยู่เป็นเพื่อนวริสาในโลกโน้นแน่

แต่จะว่าไป เขาก็เฉียดตายมาแล้วถึงสามครั้ง และในแต่ละครั้งนั้น วริสาก็จะอยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วยทั้งสิ้น แต่เขาไม่คิดหรอกว่าเธอเป็นผู้นำพาความโชคร้ายมาให้ กลับคิดอีกแง่ว่าวริสาเป็นผู้ที่มาช่วยเหลือมากกว่า

คล้ายๆว่าจะเป็นอย่างนั้น... คล้ายๆ... เพราะเมื่อย้อนนึกกลับไปตอนที่โดนนนท์ขับรถเฉี่ยว ช่วงที่สลบไสล เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีใครสักคนคอยฉุดรั้งตัวเขาไว้ไม่ให้มีอันเป็นไป...

นี่อาจไม่ใช่ความบังเอิญ มันยิ่งใหญ่กว่านั้น บางที อาจเป็นโชคชะตา

...แต่เป็นโชคชะตาที่เขาลิขิตขึ้นเอง ชะตากรรมที่เขาเลือก...

เมื่อคืน หลังจากเขาโดนฟาดหัว ไม่นานนักตำรวจก็เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ พาตัวเขาส่งโรงพยาบาล และรวบตัวคนร้ายซึ่งนอนสลบอยู่ใกล้กับกำแพงรั้วบริษัทได้ มีคนบอกว่า ใบหน้าของคนร้ายบิดเบี้ยว เหยเก จนน่าแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ส่วนตัวของราเชนทร์เอง หลังจากแพทย์ตรวจสอบอาการแล้วไม่พบอะไรที่ให้ต้องเป็นกังวล จึงปล่อยให้กลับบ้านได้ พอมาถึงก็เวลาเที่ยงคืนกว่าๆ แต่กว่าจะข่มความเจ็บและหลับลง ก็ล่วงเข้าไปตีสองตีสาม สรุปแล้วเมื่อคืนเขาก็ได้นอนไม่ถึงห้าชั่วโมง..

วันชนะกับนาถยามาเยี่ยมตั้งแต่เช้า ท่าทางอิดโรย ท่าทางเมื่อคืนนี้ ทั้งคู่คงต้องคอยจัดการเรื่องต่างๆมากมายเลยทีเดียว

“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้คุณเชนทร์ มันคงได้เอกสารโปรเจ็คไป”

นาถยากล่าว คำขอบคุณทำให้ราเชนทร์เก้อกระดาก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็แค่ทำตามหน้าที่”

“แต่คุณเก่ง” วันชนะบอก “คุณรู้ว่ามันเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าไม่ใช่คุณ คนอื่นก็คงไม่รู้”

ราเชนทร์รู้สึกอึดอัดเต็มแก่ เขาไม่รู้หรอก ไม่รุ้อะไรเลย ทั้งที่เขาเห็นมาตลอดว่าเป้าหมายของอมรกับนนท์คืออะไร แต่เมื่อเกิดเหตุเขาก็ไม่ทันได้ฉุกคิดว่า ทั้งคู่จะวางแผนการไว้อย่างนั้น คนที่ช่วยครั้งนี้จริงๆจึงเป็นวริสา และเธอก็ควรได้รับคำยกย่องมากกว่าเขาเป็นไหนๆ

แต่...เขาก็ไม่อยากบอกวันชนะ เพราะถ้าหากว่าวริสาอยากจะให้รู้ เธอคงสั่งเขาให้บอกไปนานแล้ว

“ผมไม่ฉลาดถึงขนาดนั้นหรอกครับ... เป็นสังหรณ์จากคุณริสมากกว่า” ราเชนทร์ตอบ เขาสังเกตเห็นว่านาถยากำลังเลิกคิ้ว ส่วนวันชนะก็มีทีท่าไม่มั่นใจในคำพูดของเขา

“คุณเห็นริส...” วันชนะพึมพำถามเบาๆ

ไม่ใช่แค่เห็น...แต่อยู่ในบ้านหลังเดียวกันเลยด้วยซ้ำ...

“ก็แค่...แว่บๆน่ะครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเธอ” ราเชนทร์บอก พอเห็นท่าว่าจะไม่ดีเขาเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้ว... คนร้ายบอกไหมครับว่าเขาทำไปทำไม และใครสั่งมา”

พอถามเสร็จ นาถยาก็ถอนใจเฮือกใหญ่

...อะไรบางอย่างผิดปกติ!

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

หญิงสาวหันกลับไปมองวันชนะอีกครั้งหนึ่ง แล้วถอนใจเฮือกก่อนตอบกลับมาว่า

“เขาตายแล้วค่ะ... ตำรวจกำลังจาไปที่โรงพัก แต่มีมือปืนมาดักยิง ตอนนี้กำลังสืบหามือปืนกันอยู่”

ราเชนทร์พูดไม่ออก เอาล่ะ...เขารู้ว่างานนี้เสี่ยง และงานนี้ก็ต้องอาศัยความเฉลียวฉลาดอยู่สักหน่อย แผนการหลายอย่างที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นนั้น ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นไม่เคยคิดถึงมาก่อน แต่นี่ถึงขนาดเอากันตายเลยเหรอ

“แล้วที่บริษัทเป็นไงบ้างครับ ยามคนนั้นอีก เขาเป็นยังไงครับ” ราเชนทร์เปลี่ยนเรื่องถามเสียดื้อๆ เพราะไม่อยากคิดถึงความน่ากลัวที่เกิดขึ้น

“ปลอดภัยค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนสินค้าในโกดังที่ถูกไฟไหม้ไม่ได้เสียหายอะไรมาก ตอนนี้จะแย่ก็ตรงที่มีข่าวลือระบาดไปทั่วก็แค่นั้นเอง”

“ข่าวลือว่าอะไรครับ”

นาถยานิ่ง เหมือนไม่อยากจะพูด จึงส่งสายตา โยนไปให้วันชนะตอบ

“คุณพอจะรู้แล้วใช่ไหม ว่าทางฝ่ายอมรกำลังคอยหาทางเล่นงานผมอยู่ พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาก็ต้องโทษผมว่าบริหารงานไม่ดี พวกพนักงานเลยลือกันไปว่า ตำแหน่งประธานใกล้จะหลุดเต็มที” เสียงพูดทุ้มๆมากับเสียงหัวเราะ แต่ถึงอย่างนั้น ความใจเย็นที่วันชนะแสดงออกก็ปิดบังความกังวลใจไว้ไม่มิด

“ถ้าอย่างนั้น เราจะทำยังไงล่ะครับ”

“เราต้องหาพยาน หลักฐาน เพื่อชี้ตัวคนผิดให้เร็วที่สุดค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้น พวกคุณอมรคงใช้เรื่องนี้มาโจมตี”

“เหมือนการเมืองเลยนะครับ”

“ทั้งเหมือนและต่างค่ะ” นาถยาตอบ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ ประตูห้องที่ปิดไว้ก็เปิดพรวด พร้อมกับเสียงแหลมๆ

“พี่เชนทร์ เป็นไงบ้างคะ”

แพรไหมเข้ามาไวอย่างกับพายุ จนนาถยากับวันชนะต้องหลบทางให้ หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียง และทำเหมือนกับว่า ในห้องนี้ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเขา

...แล้วจะทำยังไงดีเนี่ยะ ครั้งก่อนเขาก็ยังไม่ได้อธิบายให้วริสาฟัง ถ้ามาเจอกันอีกคราวนี้ มีหวังโดนฉีกอกแน่...

“ทำไมพี่เชนทร์ไม่โทรฯไปบอกไหมตั้งแต่เมื่อคืนคะ จะได้มาดูแล”

ราเชนทร์ยิ้ม ไม่ตอบ กระอักกระอ่วนกับท่าทีที่แพรไหมแสดงออก

เมื่อก่อนไม่ใช่อย่างนี้ แพรไหมคนเก่าไม่ได้มีนิสัยแบบนี้สักหน่อย เธอแปลกไป เพราะสิ่งที่ทำไม่ได้ออกมาจากใจ แต่เป็นเสแสร้ง

“นี่ถ้าไหมไม่ดูข่าวเมื่อเช้านะ ก็คงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพี่” แพรไหมว่า แล้วตวัดสายตาไปยังนาถยากับวันชนะครั้งหนึ่ง ก่อนจะเชิดหน้ากลับมา เบ้ปาก “คราวที่แล้วก็เกือบตายเพราะลูกสาว คราวนี้ก็เกือบตายเพราะพ่อ ไม่รู้เวรกรรมอะไรกัน”

ราเชนทร์อึ้งกับคำพูดของแพรไหม คำกระทบพวกนั้นเจาะจงไปที่วันชนะโดยตรง

“ไหม ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ”

“หรือไม่จริงคะ ครั้งก่อนพี่เชนทร์ก็ถูกรถชน ครั้งนี้ก็ถูกโจรตีหัว”

“พี่เคยโดยนนท์ขับรถชนด้วยนะจำไม่ได้เหรอไ

พอโต้ตอบกลับไป แพรไหมก็หน้าเสีย แล้วรีบปัดประเด็น

“เอาเถอะค่ะ ไหมรู้ว่าพี่เชนทร์เป็นคนดี ไม่เอาเรื่องใครอยู่แล้ว” แพรไหมว่า “แต่คนอื่นก็ไม่น่าจะทำให้พี่เดือดร้อนนะคะ พี่บาดเจ็บอยู่ก็ควรจะพักผ่อนให้มากๆ”

ราเชนทร์ได้แต่ลอบระบายลมหายใจเบาๆ เขาอ่อนแรงที่จะพูดกับแพรไหมจริงๆ

นาถยากับวันชนะก็ดูท่าจะเหนื่อยหน่ายกับหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาใหม่ จึงเอ่ยปาก

“ถ้ายังไง พวกเรากลับก่อนนะคะ ไว้ถ้ามีข่าวคืบหน้าจะรีบแจ้งค่ะ”

นาถยาบอกและขอบคุณเขาอีกครั้ง ก่อนจะตรงไปยังประตูห้อง ทว่า ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะออกไป หญิงสาวอีกคนก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาจนเกือบจะชนกัน

“ว๊าย! ขอโทษค่ะ”

มินตราก้มศีรษะให้นาถยากับวันชนะ แล้วหันหน้ามาทางเขา

“มาได้ไงคุณ” ราเชนทร์ถาม รู้สึกดีใจลึกๆที่ไม่ต้องอยู่กับแพรไหมตามลำพัง

แต่คำตอบไม่ได้ออกมาจากปากของมินตรา เสียงนั้นดังมาจากวริสาที่ลอยตามหลังมาต่างหาก

“ฉันเป็นคนพามาเองแหละ”

แล้ววริสาก็ทำสายตาเฉือดเชือนไปยังแพรไหมซึ่งนิ่งนิ่ง คอเชิด ปั้นหน้าตึง มินตราคงเห็นท่าไม่ค่อยดี เลยรีบแทรกขึ้นว่า

“คุณมินทร์โทรฯไปบอกน่ะค่ะ เลยรีบมา”

ตอบแล้ว หมอดูสาวก็ก้าวเข้ามาในห้อง ราเชนทร์เพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเธอมีกระบะพลาสติกใส่ผลไม้มาด้วย ระหว่างนั้น นาถยากับวันชนะก็หันมาส่งยิ้มให้ราเชนทร์ก่อนหายลับไปจากกรอบประตู เหลือเพียงวริสาที่ยืนเท้าสะเอว จ้องหน้าเขาเอาเป็นเอาตาย

“ความจริงไม่จำเป็นเลยนะอ้อย ฉันดูแลพี่เชนทร์เองได้” แพรไหมว่า

“ก็คงจะดูแลกันไปถึงไหนๆเลยล่ะสิ” วริสาพูดยิ้มๆ แล้วลอยตามเข้ามา มาหยุดอยู่ข้างๆ แพรไหม “ฉันไม่ไว้ใจแม่นี่ เลยให้คุณอ้อยมาอยู่เป็นเพื่อน”

ราเชนทร์อยากจะบอกเธอไปแทบใจจะขาดว่าไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เลยต้องเก็บเงียบเอาไว้

“เดี๋ยวฉันจะออกไปสืบอะไรสักหน่อย ถ้ากลับมาฉันเห็นแค่คุณกับน้องไหมทองนี่นะ...สวยแน่”

ราเชนทร์กลืนน้ำลายเอื้อก กวาดสายตาไปทางแพรไหม และมินตรา ดูท่าว่า...วันนี้คงไม่ใช่วันสงบสุขของเขาเสียแล้ว

วริสาพูดจบก็ฮัมเพลงตรงไปยังประตูห้องนอน แล้วหันกลับมาโบกมือให้เขา

“อย่าลืมนะคะ คุณราเชนทร์ขา...”

จากนั้น ร่างของเธอก็เลือนหายไป

ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ...วริสา!

*********


วริสายืนกอดอก มองดูตึกสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท เอ็นพี เคมิคัล ลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ แม้ที่นี่จะไม่มีโดมยักคลุมครอบเพราะไม่มีศาลพระภูมิ แต่ภายในตัวบริษัท ก็ยังมีที่คอยเฝ้าอยู่ คล้ายๆกับผีบ้านผีเรือน ถ้าเธอบุกเข้าไป สงสัยว่าจะต้องมีเรื่องกับเจ้าถิ่น

แต่มันก็จำเป็นไม่ใช่หรือ ในเมื่อ เธอกับราเชนทร์เสาะหาหลักฐานทางฝั่งอมรมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่ไม่เจออะไรเลย ก็ต้องลองย้ายมาดูทางด้านของนนท์บ้างล่ะ

วริสาพยักหน้าให้กับเหตุผลของตัวเอง แล้วก็ตรงเข้าบริษัทโดยไม่รีรอ

พอเข้ามาด้านในอาคารแล้ว แสงสว่างไม่ได้จ้ามากนัก ในบางมุมออกจะอับและมืดเสียด้วยซ้ำไป ชั้นล่างนี้เป็นโถงกว้างๆ มีผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงพูดคุยจ้อกแจ้ก แต่ไม่จอแจเจี๊ยวจ๊าว เหลือบมองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเก้าโมงกว่าๆแล้ว

ถัดเข้าไปอีกหน่อย มีลิฟต์สองตัว ไฟแดงๆที่อยู่เหนือประตูลิฟต์บ่งบอกว่าตอนนี้ตัวลิฟต์กำลังเคลื่อนที่อยู่ ส่วนตรงปากประตู มีพนักงานหนุ่มสาวประมาณห้าหกคนยืนรออยู่ พอมีเสียงดังติ๊ง... ประตูเหล็กอ้าออก ทุกคนก็กรูเข้าไป

วริสาเกาะไปกับคนกลุ่มนี้ แต่ละคนล้วนแปลกหน้า แสดงว่าตั้งแต่เธอตาย ที่นี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

วริสาจำได้ว่า สมัยที่เธอยังไม่ตาย ห้องทำงานของประธานจะอยู่ชั้นสี่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครลงที่ชั้นนี้เลย วริสาเอื้อมมือไปกดปุ่ม ในจังหวะที่ไฟสีแดงสว่างติดขึ้นมา หญิงสาวคนหนึ่งในลิฟต์ก็หวีดร้อง

“เป็นอะไร เป็นอะไร”

เพื่อนๆที่อยู่รอบข้างดูจะตกใจและทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ดนั้น ชี้นิ้วไปยังปุ่มกดลิฟต์แต่หลับตาปี๋และหนีหน้าไปทางอื่น

“ฉันเห็น...มัน...มันติดเอง”

“อะไร แกเป็นอะไรวะ”

“ก็ดูที่ปุ่มเลขสี่สิ มันติดเองน่ะ เห็นรึเปล่า”

ทีนี้ทุกคนเลยหันกลับมามองที่แผงควบคุม วริสาหัวเราะอยู่ในใจ ตลกดีที่คนพวกนี้กลัว

ไม่ใช่คนพวกนี้กลัวหรอก คนส่วนใหญ่นั่นแหละที่กลัว พวกเขากลัวสิ่งที่ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็กลัว และแสดงอาการต่างๆกันไป บางคนก็แสร้งทำเป็นกล้า บางคนก็หนี บางคนไม่แม้จะหนีเพราะหมดปัญญาอยู่แค่นั้น ความน่ากลัวจึงอยู่ในจิตใจของพวกเขาต่างหาก ไม่ใช่เธอ หรือสิ่งแปลๆที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

“มันรวนมั้ง ไม่มีอะไรหรอก”

หญิงสาวคนเดิม ยังไม่วางใจนัก จึงขยับไปอยู่ในแวดวงเพื่อนๆ

วริสาเห็นแล้วก็อยากแกล้ง เธออยากกดให้มันหมดทุกปุ่มเลย แต่คงบาปน่าดูที่ทำให้คนอื่นเขากลัว เพราะฉะนั้นไม่ทำดีกว่า

พอลิฟต์เปิดออก เธอก็ลอยออกจากลิฟต์ มองซ้ายมองขวา ฉากกั้น ห้อง ดูเหมือนอะไรหลายๆอย่างจะวางผิดที่ ผิดทาง ผิดตำแหน่ง

วริสายักไหล่เบาๆเสียทีหนึ่ง แล้วตรงไปยังห้องทำงานของประธานคนเก่า แต่ตอนนี้ ป้ายชื่อหน้าห้องเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นชื่อของ นนท์ ปรากฏหรา

...หรือเอ็นที เคมิคัล จะเปลี่ยนเจ้าของ

วริสาขมวดคิ้วเบาๆ บางทีอาจเป็นไปได้ตามข้อสันนิฐานของเธอ เพราะประธานคนเดิมของที่นี่ก็อายุมากแล้ว ถ้าเกษียณตัวเอง ก็คงเปลี่ยนให้คนอื่นมาดูแลแทน

และนนท์ ก็น่าจะเครือญาติคนใดคนหนึ่งของประธาน จึงมาทำงานที่นี่ได้

แต่ยังไม่ทันที่วริสาจะผ่านเข้าไปในห้องนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกที่แผ่เข้ามา มันคุกคามและกดบีบดวงจิตของเธอจนภายมายานั้นแตกพร่า ผีสาวหันขวับไปยังทิศทางที่คาดว่าน่าจะเป็นต้นพลังงาน

ตรงหัวมุมซึ่งเป็นทางเดินโค้ง ผนังแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ตัดกับแสงแดดและแสงไฟที่สว่างจ้า ความมืดมิดกลืนกินทุกอย่าง และใกล้เข้ามาทุกที ในนั้น แม้เธอจะมองไม่เห็นว่ามีอะไร แต่บางสิ่งกำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ

วริสาพุ่งเข้าห้องทำงานของนนท์ในทันที ตอนนี้เวลาของเธอเหลือไม่มากแล้ว ดูเหมือนว่า ผีเจ้าถิ่นจะรู้ว่ามีผู้บุกรุก เอจะต้องรีบหาสิ่งที่ซึ่งอาจเป็นหลักฐานให้เจอ

แต่...ปัญหาของเธอก็คือ ห้องนี้มีตู้เก็บเอกสารมากเกินไป!

ไม่รู้ว่านนท์คิดยังไงถึงได้ยกตู้เก็บเอกสารเข้ามาไว้ภายในห้องเยอะขนาดนี้ ที่สำคัญ ทุกตู้เต็มไปด้วยแฟ้ม และในแฟ้มก็เต็มไปกระดาษเอกสาร

วริสาแทบจะเอามากุมขมับ เสียววูบวาบถี่กระชั้น เจ้าความมืดมิดนั่นคงไล่มาใกล้จะถึงแล้ว

ใช้ความคิด...ใช้ความคิด...เสียงลึกลับเคยบอกเอาไว้ว่าต้องมีสติ ใจต้องนิ่ง...

ในช่วงเวลาที่ภายในดำดิ่งสู่ความสงัด เธอก็นึกออก ไม่ใช่สิ ไม่ใช่นึก แต่เป็นเห็น... เธอเห็นขึ้นมาเป็นภาพเลยว่า ตู้ริมสุดติดกับหน้าต่าง ตรงชั้นกลาง มีเอกสารเกี่ยวกับงานวิจัยรากสามสิบจากบริษัทวี-วัน เมดดิคัล อยู่

วริสาลืมตาพรวด แล้วตรงไปยังจุดนั้น แต่ยังไม่ทันที่มือจะแตะต้องตู้ ก็มีเรี่ยวแรงมหาศาลดึงกระชากเธอออกมา ผีสาวปลิวขึ้นกลางอากาศแล้วหล่นกระแทกกับพื้น แสงแดดส่องผ่านเข้ามาอาบตัวเธอ ขณะนั้น เมื่อมองกลับไปยังประตูทางเข้า เธอก็เห็นว่าความมืดเริ่มคุกคามเข้ามาแล้ว มันลอดเข้ามาทางช่องใต้ประตู และแผ่ลามออกไปทั้งพื้นด้านล่าง และผนัง ลามไปจนถึงเพดาน โอบล้อมตัวเธอ

เสียงหัวเราะต่ำๆสอดแทรกมากับเสียงเควี้ยวคว้าวเหมือนเวลาที่เอามีดมาถูกันไวๆ ขนาดเธอเป็นผีแท้ๆ เธอยังนึกกลัว

วริสาหยัดยืนขึ้น ตั้งใจจะวิ่งไปเอาเอกสารชิ้นนั้นอีกครั้ง แต่ก็ถูแรงมหาศาลดึงจนหงายหลังอีก ภาพมายาที่ก่อเกิดเป็นรูปกายเลือนรางลงทุกขณะ

“มายาภาพของเจ้ามาจากเส้นใยแห่งวิญญาณ ไม่ได้มาจากตัวเจ้าเอง ถ้ามันขาดสะบั้นลง เจ้าจะไม่อาจก่อร่างขึ้นมาได้อีก”

เสียงกระซิบอ่อนโยนแว่วดังข้างหู วริสาจำได้ในทันที

“นั่นคุณใช่ไหมคะ”

“อย่าเผชิญหน้า ถ้าเจ้าไม่พร้อม กลับไป... จงกลับไป”

วริสาหันรีหันขวาง รังสีดำทมิฬก็ลุกลามมาใกล้เรื่อยๆ แต่น้ำเสียงนั้นชัดเจน เธอจึงจำใจ

...ไม่ว่ายังไง เธอก็จะมาเอามันให้ได้

วริสาสัญญากับตัวเอง แล้วหันหลังกลับ วิ่งทะลุหน้าต่างออกมา

ร่างกายเบาหวิวดิ่งร่วงลง สายลมพัดตีกระหน่ำเข้ามา และเพียงครู่ เธอก็หยุดยืนอยู่ตรงพื้นถนนด้านหลังบริษัท

ย้อนมองกลับขึ้นไป ห้องทั้งห้องมืดสนิทไปแล้ว...

วริสาถอนใจเฮือก ตั้งแต่เป็นผีมา ดูเหมือนจะมีเรื่องมากมายให้เธอลุ้นตลอด

“ขอบคุณนะคะที่มาช่วย”

วริสากระซิบบอกพึมพำ แต่กระแสเสียงนั้นหัวเราะเบาๆ ละมุนละไม

“อย่าเลย ข้ารู้ว่าต้องมีครั้งต่อไป”

วริสาย่นจมูก ดูเหมือนเจ้าของเสียงนี้จะรู้ทันเธอทุกเรื่องเลยสิน่า

“คราวหน้าไม่ปล่อยให้พลาดแบบนี้หรอกค่ะ”

“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น... แต่ตอนนี้ เจ้าได้เลือกโชคชะตาของเจ้าเองแล้ว เมื่อพลาดสิ่งหนึ่ง ก็ต้องได้อีกสิ่งหนึ่ง”

วริสาไม่เข้าใจกับคำพูดของเสียงลึกลับนี้ แต่พอเธอหันกลับไปยังปลายทาง ซึ่งเป็นประตูทางเข้าด้านหลังของบริษัท เธอก็เห็นนนท์กำลังคุยกับผู้ชายที่ทำท่าลึกลับอีกสองคน

“เราจะไปกบดานต่างจังหวัด แต่เจ้านายก็ต้องเลี้ยงดูเราหน่อย” ชายคนหนึ่งที่มีหนวดเคราเฟิ้มพูด

วริสาตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก เธอตรงเข้าไปใกล้ๆ พอจะได้ยินเสียงดังชัดเจน

มือปืน... ถ้านี่คือมือปืน เอก็จะช่วยพ่อได้...

“เอ้อ...แล้วหลบกันให้ดีๆนะมึง” นนท์บอก พลางล้วงซองสีน้ำตาลตุงๆให้ คาดว่าในนั้นคงเป็นปึกเงินจำนวนหนึ่ง

ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆชายหนวดเฟิ้มเป็นคนรับซองเงินนี้แล้วพูดตอบ “รับรอง ไม่มีใครตามเจอครับ”

“ดี งั้นพวกมึงไปได้แล้ว”

นนท์บอก แล้วเดินกลับเข้าตึกไป ส่วนชายทั้งสองก็ตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบไว้ข้างทาง สตาร์ทรถ เสียงเร่งเครื่องกึกก้อง แล้วรถคันนั้นก็พุ่งทะยานออกไป ทิ้งไว้แต่ควันขาวเทาจากท่อไอเสียที่ลอยพ่นกลางอากาศ

เสียงลึกลับพูดถูก เมื่อเสียอย่างหนึ่งไป ก็ต้องได้อีกอย่างหนึ่งกลับมา

วริสาหลับตาลง รวบรวมสมาธิ นึกถึงหน้ามินตรา

“คุณอ้อย...แจ้งความเดี๋ยวนี้เลย ฉันเจอตัวมือปืนแล้ว”

*********




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2551
3 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2551 9:45:22 น.
Counter : 517 Pageviews.

 

ไม่ชอบอ่านนิยายยาวๆ เลยค่ะ กลัวติด พลอยเขียนเรื่องสั้นมั่งจิ

 

โดย: fuku 19 ตุลาคม 2551 12:42:04 น.  

 

หุหุ แฮ่... แวะเข้ามาอ่านค่ะ ^__^

 

โดย: moolar IP: 125.25.146.108 20 ตุลาคม 2551 5:48:30 น.  

 

แม่น้องข้าวปั้นอ่ะ
พลอยยังเขียนเรื่องสั้นๆไม่ค่อยเป็นนัก
เลยของานถนัดเป็นเรื่องยาวๆไปก่อนละกัน คริคริ

*********
ยินดีต้อนรับค่ะมูล่าร์ ^ ^

 

โดย: ploy666 IP: 124.157.236.110 20 ตุลาคม 2551 21:19:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.