Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
5 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

ดวงใจในเงาจันทร์ 21

ดวงใจในเงาจันทร์
21 - เรียกผี


เวลานัดคือสองทุ่มตรง แต่ทว่านาถยาออกจากที่ทำงานก็สองทุ่มเศษๆแล้วกว่าจะมาถึงที่นัดหมายได้ก็สามทุ่มพอดี คล้ายกับว่าหญิงสาวต้องการเล่นเกมกับฝ่ายนั้น... ภายใต้การคุกคามมักมีท่าทีขัดขืนอยู่

ภัตตาคารบนตึกสูงใจกลางเมืองดูหรูหราและงดงาม เครื่องประดับตกแต่งร้านดูวิบวับเป็นประกายเมื่อต้องแสงไฟที่สว่างไสว ภายในโถงกว้างแห่งนี้ถูกแบ่งเป็นส่วนๆ ตามแต่จุดประสงค์ บางที่ก็เป็นโต๊ะกลมใหญ่สำหรับกลุ่มคนหลายคน ส่วนบางตัวก็มีเพียงสองที่นั่งสำหรับคู่รัก

วริสาตามหลังนาถยามาติดๆ มองไปรอบๆ ระหว่างที่นาถยาถามบริกรถึงโต๊ะที่จองไว้ เผื่อจะเจอคนรู้จักบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอใคร

หรือถึงเจอก็ไม่มีโอกาสทักอยู่ดี

บริกรหนุ่มนำหน้าไปยังโซนด้านใน พื้นที่ตรงส่วนที่ติดกับผนังกระจกบานใส และด้วยความที่แสงภายในถูกปรับหรี่ลงจนกลายเป็นเพียงแสงสีส้มสลัวๆ ทิวทัศน์ภายนอกจึงโดดเด่นเป็นฉากหลังตระการตา

โต๊ะชุดสำหรับนั่งสองคนเรียงรายไปตามแนวยาวของผนังกระจกที่ว่านั้น มีคนนั่งกันเกือบเต็มทุกตัว และแต่ละคนก็คุยกันเงียบๆสบายๆ แลดูคล้ายๆกันไปหมด จะมีก็แต่ชายหนุ่มที่อยู่ด้านในสุดที่ดูโดดเด่น ทรงผมสกินเฮดกับเสื้อเชิ้ตสีแดง ท่านั่งเอนหลัง กอดอก และแววตาวาววับยามจับจ้องนาถยา แม้ความสลัวเช่นนี้ก็ไม่อาจปิดบังความเด่นสะดุดตาที่ว่านี้ได้

“นึกว่าจะเบี้ยว” ผู้ชายคนนั้นยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

“คุณคิดว่าฉันจะกล้าหือเหรอคะ คุณนนท์” นาถยากัดฟันตอบหลังจากนั่งลงแล้ว ส่วนวริสาก็ลอยนิ่งอยู่ข้างๆเพราะไม่รู้จะนั่งตรงไหนดี

โอ๊ย...เวรกรรม จะขอเก้าอี้เสริมก็ไม่ได้

“คุณมีอะไรก็ว่ามาเถอะ ฉันรีบ” นาถยาเร่งถาม

นนท์ยักไหล่ไม่ตอบ วริสาเห็นแล้วหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ เอาเถอะ ถึงจะไม่ชอบหน้านาถยาอย่างไร แต่เห็นท่าทางยโสที่ผู้ชายคนนี้ทำแล้วเธออดไม่ได้ที่จะจี๊ด

“กินอะไรดี ผมเอาแกะอบไวน์ คุณล่ะ”

“ฉันไม่กิน”

“อย่าใจร้อนนักสิ เมื่อก่อนเห็นเฉื่อยจะตาย หรือพอเป็นคุณนายนักธุรกิจแล้วต้องทำตัวกระตือรือร้นตาม”

“ช่วยไม่ได้นี่คะ คนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง หรือจะให้ดักดานอยู่กับเรื่องเก่าๆ คงเป็นไปไม่ได้”

วริสาสัมผัสถึงความโกรธขึงของนนท์ได้ทันใด แม้ใบหน้าเขาจะฉายแววอาฆาตเพียงครู่แล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แต่รังสีที่แผ่กระจายออกมานั้นยังชัดเจน

“งั้นก็ช่วยไม่ได้ ไว้ผมกินเสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกัน”

นาถยาไม่ได้ตอบคำพูดนั้นเลย เธอเพียงหรี่ตาลง เม้มปากเป็นเส้นตรง แล้วตะปบกระเป๋าถือบนตัก แล้วลุกพรวดพราดเดินหนี

เพียงแค่สองสามก้าวเท่านั้น นนท์ก็ร้องเรียกเธอไว้

“คุณคงไม่คิดว่าผมพูดเล่นเรื่องคลิปนั่นใช่ไหม”

นาถยาหันขวับ ดวงตาเบิกโพล่งคล้ายมี

แววปะทุระอุอยู่ภายในนั้น

วริสาเองก็เช่นกัน เธอมองหน้านนท์ทีหนึ่งแล้วก็มองหน้านายาอีกทีหนึ่ง พลางขบคิดเรื่องที่ทั้งสองคุย...

คลิป มันต้องมีอะไรแน่ๆ!!

*********


ราเชนทร์หลบอยู่ในห้อง สองหูเงี่ยฟังว่ารามินทร์กับภาพิมลกำลังทำอะไรกันอยู่ สองคนนั่นจะเริ่มพิธีเรียกวริสาหรือยัง แล้วรามินทร์ตั้งใจเรียกผีอย่างไร คาถาเรียกนั้นจะมีผลอะไรไหม ถ้าหากมันไปกวนใจวริสามากๆ แล้วแม่ผีสาวนั่นก็ปรากฏกายออกมาให้ทุกคนเห็น มีหวังช็อกตายกันแน่

“คุณริส คุณอยู่ไหนน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ คุณริส”

กระซิบเรียกทั่วห้อง ไปเขย่าที่บ้านบนกล่องดนตรีก็ไม่มีคำตอบ ผีอะไร จะพึ่งพาอาศัยไม่ได้เลยสักอย่างบ้าชะมัด

ราเชนทร์นั่งขัดสมาธิบนเตียง หน้ามุ่ยตุ้ย หลังจากลองประเมินสถานการณ์ตอนนี้ เห็นจะมีอยู่สามทางเท่านั้นคือ บอกความจริงไปตรงๆหนึ่ง เกลี้ยกล่อมให้ยอมเลิกหนึ่ง และ ล้มพิธีอีกหนึ่ง แต่ทั้งสามข้อที่ว่ามานี้ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ข้อแรกนั้นต้องตัดออกไปเพราะเขาไม่คิดจะทำอยู่แล้ว เหลือข้อสองกับข้อสามนี่แหละ

ต้องลองดู...

ออกจากห้อง ลงมาชั้นล่าง เห็นรามินทร์กำลังวุ่นวายอยู่กับเสื้อผ้าของวริสาแล้วก็รีบแอบหลังเสา เขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะพูดกับรามินทร์อย่างไร

“จะมาล่มพิธีล่ะสิ” รามินทร์ถามทั้งที่ก้มหน้าพับเสื้อ

เศร้าใจลึกๆที่หลบไม่ทัน ราเชนทร์ตีหน้าเศร้าออกมาจากเสาที่ใช้กำบังตน ตรงไปหาพี่ชาย

“ทำไมพี่ต้องเรียกผีคุณริสด้วยล่ะครับ ปล่อยให้เธอไปสงบๆเถอะ”

“ถ้าคุณริสไปก็ดี แต่นี่...เธอยังวนเวียนอยู่”

สายตาและคำพูดที่กระแทกมานั้นทำเอาราเชนทร์หน้าม่อย สำนึกผิดจับใจ

“ไม่รู้นะว่าทำไมเอ็งถึงโกหก เอ็งอาจมีเหตุผลที่ดี แต่...จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง จงอย่าคิดแทนคนอื่น”

“ผมแค่อยากลองทำอะไรๆให้มันดีขึ้นบ้างเท่านั้น”

รามินทร์เงียบไปอีกสักครู่แล้วถอนใจหนักๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็เรียนรู้ที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วย” รามินทร์ตอบ แล้วหอบเอาเสื้อหอบเสื้อของวริสาไป

ราเชนทร์ได้แต่ถอนใจเงียบๆ มองดูรูปวริสาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ

พี่รามินทร์บอกให้เขายอมรับผลที่อาจเกิดขึ้น มันควรเป็นอย่างนั้น แต่...เขาทำไม่ได้

ชายหนุ่มฉวยกรอบรูปแล้ววิ่งตามรามินทร์ออกไป สนามหญ้าเล็กๆข้างบ้านมีโต๊ะไม้ตั้งอยู่ บนนั้นมีเครื่องไหว้จำพวกผลไม้ เนื้อสัตว์ เสื้อผ้า เครื่องหอม ธูปเทียน รามินทร์กำลังจัดของเหล่านั้นโดยมีภาพิมลเป็นลูกมือช่วย

“ผมน่ะ ยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นมาได้ แล้วพี่ล่ะ รับผลที่จะตามมาได้หรือเปล่า”

รามินทร์ชะงักกึก ภาพิมลเองก็หันมาทางเขาด้วย

“ผมถามหน่อยเถอะ พี่อยากรู้นักอยากรู้หนา แล้วถ้าหากว่าพี่รู้แล้ว มันจะได้อะไรขึ้นมา ถ้าหากคุณริสเธอยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆผมจริง พี่จะทำยังไง พี่รู้แล้วพี่ช่วยเธอได้เหรอ หรือที่พี่อยากรู้ก็เพื่อเอาชนะผมแค่นี้เอง”

รามินทร์ไม่ตอบ ดูเหมือนกำลังโกรธจนพูดไม่ออก

“คุณเชนทร์คะ มลว่าคุณเชนทร์เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าคะ พวกเราเป็นห่วงคุณจริงๆนะ”

“ผมรู้ครับ” น้ำเสียงราเชนทร์แทบกลายเป็นคำตวาด “ผมถึงถามนี่ไงว่าเป็นห่วงแล้วพวกคุณจะช่วยอะไรผมได้ ถ้าเรื่องนี้มันจริง พวกคุณจะทำยังไง”

“ก็ลองให้พวกเรารู้ก่อนสิคะ หลายคนช่วยกันก็ต้องดีกว่าคิดทำอะไรคนเดียว อีกอย่าง ริสเป็นเพื่อนมลนะคะ คุณจะให้มลอยู่เฉยๆ ไม่รู้ชะตากรรมของเพื่อนเลยอย่างนั้นหรือคะ”

ราเชนทร์กลับต้องเป็นฝ่ายนิ่งไป แม้เขาจะปักหลักคัดค้านความคิดของคนทั้งคู่ แต่ในใจก็เริ่มมีเสียงประท้วงเล็กๆ

“คุณเชนทร์คะ เรารู้ว่าคุณเป็นห่วงพวกเรา ไม่อยากให้คิดมาก แต่คุณเชนทร์ลืมคิดไปหรือเปล่าคะว่าคุณมินทร์ไม่ใช่แค่คนที่เป็นห่วงคุณเท่านั้น แต่เขาเป็นครอบครัวของคุณด้วย คุณทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่ไว้ใจกัน มันน่าเศร้ากว่าทำร้ายกันตรงๆอีกนะคะ”

ราเชนทร์ถอนใจแรงๆ ทิฐิดื้อรั้นยังคงครอบงำและบอกว่าความคิดของเขานั่นแหละถูกต้องที่สุด

“ผมไม่ให้ทำ” ราเชนทร์กร้าวประกาศ

“คุณมลไม่ต้องพูดแล้วครับ ไม่ต้องไปสนใจมันด้วย”

“พี่มินทร์ ผมไม่ให้พี่ทำ”

ราเชนทร์ตรงเข้าไปที่โต๊ะ หมายจะทำลายพิธีเสีย แต่ภาพิมลก็ไวพอที่จะออกมาฉุดรั้งเขาไว้ ดิ้นรนขัดขืนกันอยู่ตรงนั้น แล้วเสียงของรามินทร์ก็ดังกังวานเป็นท่วงทำนองฮึกห้าว ต่ำลึกลงไปทุกที ทุกที สายลมโหมกระชากเกรี้ยวกราดดั่งฟ้าพิโรธ

“นมัสสิตวา ติโลกะนาถัง มะนาปะกัปเป สุอาคะโต ปัญจะปะทุมัง ทิสวา นะโมพุทธายะ วันทะติ สัมมาอะระหัง”

*********


วริสามองนนท์ตักเนื้อแกะอบไวน์เข้าปากแล้วก็กลืนน้ำลายเอื้อก กลิ่นหอมๆยั่วยวนทรมานใจ

ไอ้บ้า...สั่งอย่างอื่นไม่ได้เหรอไงยะ...

“ฉันจะไม่ทำอะไรที่ผิดกับคุณวันชนะหรอกนะ” จู่ๆ นาถยาก็เปรยขึ้น “และถ้าหากจำเป็นจริงๆ ฉันก็พร้อมจะไปจากบ้านหลังนั้นได้ทุกเมื่อ”

นนท์ออกแรงเคี้ยวเนื้อในปากเป็นพิเศษ สักคำสองคำ พอกลืนลงท้องแล้วก็โยนซ้อมกับมีดลง เสียงดังเคร้ง

“รู้ไหม ว่าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อมาก”

“รู้ค่ะ แล้วคุณล่ะ รู้ตัวรึเปล่าว่าคุณเป็นคนที่น่ารังเกียจมาก”

นนท์กระแทกหลังกับพนักพิง แววตาโหดเหี้ยมเจาะจ้องเข้าไปในใจของนาถยา

วริสาเองก็แปลกใจไม่น้อยเช่นกัน เธอไม่รู้เลยว่านาถยากำลังเสแสร้งอะไรอยู่หรือเปล่า ทำเป็นรักสามีแก่คราวพ่อ จะเป็นไปได้หรือ

ความรักแท้... ไม่มีวันหรอก เธอมั่นใจว่านาถยาไม่เคยคิดรักพ่อเธอเลย สมบัติต่างหากที่ผู้หญิงคนนี้ต้องการ

แต่คำพูดเมื่อกี้ล่ะ...มันคืออะไร

“ผมเองก็ไม่อยากทำให้คุณเดือดร้อนหรอกนะ” นนท์กล่าว “แต่มันก็จำเป็น เพราะไอ้แก่นั่นมันฉลาดเกินไป หรือถึงตอนนี้ มันจะโง่ๆเซ่อๆลงบ้างเพราะลูกสาวมันตาย แต่มันก็ไม่เคยไว้ใจให้บริษัทของผมร่วมหุ้นด้วยสักที”

“เอ็นที เคมิคัล ยังรวยไม่พออีกเหรอไงคะ” นาถยาโต้ วริสาหูผึ่ง

เอ็นที เคมิคัล...บริษัทที่เธอทำงานด้วยนี่ แล้วเกี่ยวอะไรกับผู้ชายคนนี้ เขาเป็นใคร ทำไมถึงบอกว่าเป็นเจ้าของกิจการ

นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ยะ...

“คุณก็รู้ว่า ธุรกิจต้องมีการเติบโต” นนท์หยอดคำพูดต่อ

“แต่ก็ไม่ควรโตเพราะดูดเลือดคนอื่น เหมือนพวกปรสิต”

“ผมไม่สนวิธีการ ขอเพียงแค่ให้ได้เงินมา มันก็เพียงพอแล้ว”

“มิน่าล่ะ คนเขาถึงว่า คนมีไม่รู้จักพอ แล้วคนจนก็จะกลายเป็นขโมย แต่อย่างคุณ ถึงจะรวยแล้วก็ยังเป็นโจรอยู่ดี...”

“อย่าเรียกว่าโจรเลยครับ คุณนาย มันออกจะไม่สุภาพนะ เรียกว่า ความฉลาดในการทำธุรกิจจะดีกว่านะ”

“โจรในชุดสูทน่ะเหรอคะ”

“คุณนาถ!”

วริสาหัวเราะพรืดออกมาทีหนึ่ง ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นภาวะเคร่งเครียด เธอคงลงไปนอนขำกลิ้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่านาถยาจะยั่วโมโหคนเก่งขนาดนี้

“เอาเถอะ คุณจะพูดยังไงก็ช่าง เพราะยังไงคุณก็ต้องช่วยผม”

“จะให้ช่วยอะไร”

“ให้เอ็นที เคมิคัล ร่วมโครงการวิจัยต้นรากสามสิบ”

“คุณรู้ได้ไง” นาถยาถามกลับรวดเร็ว

วริสาเองก็นึกฉงน โครงการวิจัยต่างๆของแต่ละบริษัทมักเป็นความลับเสมอ แต่นี่ทำไม ผู้ชายคนนี้ถึงได้รู้เรื่องราวความเป็นไปในบริษัทของพ่อได้โดยละเอียดล่ะ

สายลับ...หนอนบ่อนไส้...

เป็นไปได้ว่า จะมีผู้ร่วมหุ้นบางคนนำความลับของบริษัทไปขาย
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พ่อเดือดร้อนแน่

“คุณรู้ได้ยังไง” นาถยาถามซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงร้อนรน

“ไม่ต้องรู้หรอก” นนท์ตอบยิ้มๆ “เอาเป็นว่า คุณจัดการเรื่องนี้ให้ผมด้วยแล้วกัน แล้ว...”

วริสาพยายามตั้งใจเก็บคำพูดทุกคำของชายหนุ่มไว้ แต่ทว่า อยู่ดีๆเธอก็ได้ยินเสียงวิ้งๆก้องในหู ตามมาด้วยเสียงสวดมนตร์เรียกเบาๆ

“วริสา...วริสา...”

“ใคร...” วริสากดหูแน่น แล้วเซ ห้องทั้งห้องกำลังหมุนวนและเริ่มเปลี่ยนเป็นบรรยากาศสีน้ำเงินเข้มอีกครั้ง

“ใครน่ะ นั่นใคร” วริสาร้องถาม

“วริสา...วริสา...”

แสงสีขาวสว่างวาบเป็นช่อง คล้ายกับโพรงที่เคยดูดวิญญาณของราเชนทร์ไปเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้มันกำลังดูดกลืนเธอเช่นกัน เรี่ยวแรงมหาศาลยากเกินกว่าจะฝืนต้าน

ผลุบเดียว ทุกอย่างก็หายเกลี้ยงไปหมด

*********


“โอม ชุมนุมมหาชุมนุม พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระวิษณุกรรม ท้าวเวสสุวรรณ พระยามัจจุราช เธอจงมาประสิทธิทิพยมนต์แก่กู เรืองฤทธิ์มหิทธิเตโชชัยชนะแก่ฝูงผีปีศาจยักขิณีผีเสื้อมาร ผีพงไพรป่าดอนพนาวัน ผีเหวห้วยตกหินต้นไม้ใหญ่ ผีมดเท้าเจ้านาย ผีภูติพราย ผีตายโหง ผีตายห่า ผีเขาฆ่า ฟ้าผ่าตาย วัวควายขวิดแรดช้างแทงตาย สูทั้งหลายรีบเร่งมาไวๆ พวกอสูรทั้งหลายอย่าได้เฉยอยู่ เอหิ อิติภะคะวา มาเรมาระ อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิติ วัตตัพโพ อาคัจฉาหิ เอหิเอหิ มามาฯ”

คำร่ายในช่วงต้นจบลง หมาก็หอนกันเกรียว เสียงโหยหวนส่งทอดกันมาเป็นระลอกราวกับเสียงคลื่นลม แต่มันเยือกลึก เสียดแทงเข้าถึงดวงจิต ต้นไม้รอบด้านขย่มไหวรุนแรงราวกับจะขุดรากถอนโคนออกมาสิ้น

ไฟในบ้านดับพึ่บ เปลวเทียนนั้นดับไปนานแล้ว บรรยากาศจึงมืด เห็นเพียงไฟตรงก้านธูปที่สว่างวาบ... วาบ... เงียบงันเหมือนกับโลกนี้มีเพียงพวกเขาแค่สามคน

“สุ ปิ นา นัง...วริสาจงมา สุ ปิ นา นัง...วริสาจงมา”

รามินทร์ยังคงท่องย้ำๆอยู่อย่างนั้น ในรอยเสียงของชายหนุ่มแปร่งแปลก เหมือนกับมีคนนับสิบร่วมเอ่ยมนตราด้วย

ราเชนทร์มองภาพิมลที่เกาะแขนเขาแน่นแล้วก็อยากจะบ่นว่า ว่านี่แหละ อยากทำอะไรเสี่ยงๆก็ต้องเจอดี แต่ภายใต้สถานการณ์กดดันแบบนี้ เขาก็ไม่อยากซ้ำเติมใครอีก

“คุณมลทำใจดีๆไว้นะครับ”

ยังไม่สิ้นคำ ภาพิมลก็กระโจนถอยห่างออกไปจากเขา หญิงสาวหายใจแรงๆ อ้าปากค้าง จะพูดอะไรสักคำแต่มันไม่หลุดออกจากปาก นิ้วเรียวยาวสั่นเทาชี้มาที่เขา

...ตรงรูปของวริสา

ราเชนทร์สั่นไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะความกลัวหรืออะไร แต่มันมาจากรูปภาพนี้เอง แรงมหาศาลทำให้เขาสะท้านไปทั้งร่าง แสงสีขาวเล็กๆวูบวาบคล้ายแสงสะท้อนจากกระจก

จะปล่อยมือก็ปล่อยไม่ได้ เพราะมันถูกตรึงเอาไว้อย่างนั้น รามินทร์เองก็พร่ำสวดไม่หยุดหย่อน

“พี่มินทร์...พอได้แล้ว...พี่มินทร์”

ราเชนทร์ตะโกนฝ่าเสียงกรีดร้องที่โหมดังขึ้นเรื่อยๆ

ทันใดนั้นเอง ร่างโปร่งใสของวริสาก็พุ่งทะลุออกมาจากรูป ลอยเวียนวนอยู่ในอากาศ แล้วลงมายืนบนพื้น ยืนประจันหน้ากับเขา ตาขวางบอกถึงความโมโหจัด

“วริสา!”

*********




 

Create Date : 05 ตุลาคม 2551
2 comments
Last Update : 5 ตุลาคม 2551 0:29:20 น.
Counter : 553 Pageviews.

 

อยู่ดีไม่ว่าดี อ๋อย วริสาจะอาละวาดมั้ยล่ะนั่น

เมื่อคืนอ่านผ่าน ๆ ชักหยอง แงงงงงง
กลัวไม่มาแค่วริสาอะจิ หือ หือ

 

โดย: พรายทราย 6 ตุลาคม 2551 13:45:03 น.  

 

ไม่อาละวาดหรอกครับ...
วริสาเป็นผีดี

...เหอ เหอ...

++++++++++++++++++++

 

โดย: รักดี (ploy666 ) 8 ตุลาคม 2551 8:22:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.