4 เล่มข้างหมอน
บล๊อกนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณรัชชี เพื่อนบล๊อกที่รู้สึกว่าเป็นกัลยาณมิตรคนหนึ่งในสังคมออนไลน์คุณภาพของผม เธอเขียนเล่าถึงหนังสือแต่ละเล่มที่ได้มากจากงานหนังสือ ทำให้ผมหันมามองข้างหมอนของผมและริที่จะลองเขียนดูบ้าง เพราะผมเองก็เป็นคนหนึงที่มีหนังสือเป็นเพื่อนสนิทมานานโขผมเองชอบอ่านหนังสือและใช้เวลาอย่างมีความสุขกับการอ่านหนังสือพอคเก็ตบุ๊คเล่มเล็ก มาสม่ำเสมอตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยที่มักไปยืนอ่านฟรีในร้านดอกหญ้า ตอนโดดเรียนฟิสิกส์ที่ PEP สาวรีย์ชัยแต่พอมีกำลังซื้อดันเป็นเมมเบอร์ร้านนายอินทร์ ซะงั้น หุหุ และเวลาอ่านจะชอบแนว ธรรมะแนวใหม่ ๆ เขียนทันสมัยหรือไม่ก็แนวประวัติศาสตร์ หรือสารคดีท่องเที่ยว ผมมักจะซื้อหาหนังสือเล่มโปรดมาบำรุงสมองสม่ำเสมอเพราะว่ากิจกรรมก่อนนอนที่ดีที่สุดของคนโสดอย่างผมคือการหยิบหน้งสือมาอ่านซักสิบกว่าหน้าก่อนที่จะผล็อยหลับไปผมมีหนังสือหลาย ๆ เล่ม ไว้เพื่ออ่านสลับไปมา โดยจะไม่อ่านเล่มใดเล่มหนึ่งให้จบไปก่อนค่อยซื้อมาอีกเล่มมันได้ฟิลเหมือนดูละครไงคับ ดูหลาย ๆ ช่องแต่ดีกว่าละครโทรทัศน์ก็ตรงที่หนังสือมันวางอยู่ใกล้มือจะไม่จบไปก่อนหรือไม่หนีไปก่อนเหมือนตอนเราพลาดละครสักตอนที่อ่านค้างอยู่ตอนนี้มี 4 เล่ม เริ่มที่เล่มแรกก่อน ได้มาหลายเดือนแต่อ่านยังไม่จบซะที เพราะว่าเล่มหลัง ๆ ที่ได้มาเร้าใจกว่ามากมาย เล่มแรกคือ "ถ้ารู้กูทำไปนานแล้ว"ผู้เขียนคือ คุณณัฐพบธรรม เป็นวิศวกรจบจากมช. แล้วก็มาเรียน MBA ที่จุฬา หลังจากนั้นก็ได้ร่ำเรียนกรรมฐานจากสำนักต่าง ๆ รวมทั้งวิชาธรรมกาย ของหลวงปู่สดวัดปากน้ำอีกด้วยเนื้อหาจะเขียนตามภาษาของคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจง่าย กระชับ อธิบายด้วยภาษาง่ายแต่ลึกซึ้ง มีภาพประกอบที่น่าสนใจชื่อเรื่องจะเป็นคำถามชวนติดตาม เช่น บางคนทำความดี แต่ทำไมยังไม่รวย ?จุดเด่นของงานเขียนเรื่องนี้อยู่ที่การเขียนภาพประกอบที่เข้าใจง่าย อืมม์ ท้ายเล่มเค้ามีการประมวลสถานที่ปฏิบัติธรรมแยกเป็นภูมิภาคมีเบอร์โทรให้โทรไปสอบถามกันได้อีกด้วยผมว่าเค้าเป็นนักเขียนอีกคนหนึ่งที่น่าจะไปได้ไกลกับงานเขียนแนวนี่จุดเด่นอีกประการคือ การอ้างอิงพระไตรปิฎก แทรกเป็นระยะที่ทำให้งานเขียนน่าเชื่อถือมากผมว่าปัจจุบันงานเขียนแนวนี้มีมากมายเหลือเกิน ต้องเลือกสรรกันหน่อยแต่อย่างน้อยข้อดีก็คือธรรมะสามารถแทรกซึมเข้าไปถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายแพร่หลายกว่าเมื่อก่อนมากมาย อืมม์เล่มนี้ไม่แพงคับ ราคา 259.-เล่มที่ 2 คือ "ขุนช้างขุนแผน ฉบับอ่านใหม่"ผู้เขียนคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปราชญ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ขอย้อนหน่อยว่างานเขียนของคุณชายคึกฤทธิ์ผมได้อ่านแล้วหลายเล่มไม่เคยผิดหวังเลยคับ ได้ความรู้ละเอียดลึกซื้ง เช่น ซูสีไทเฮา กฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ ยิว ฉากญี่ปุ่น สี่แผ่นดิน พม่าเสียเมืองแต่ที่สนุกและโปรดมากมายคือโครงกระดูกในตู้ อันเป็นวีรกรรมของท่านป้าฉวีวาด อันลือลั่นถึงกรุงกัมพูชา ! งานเขียนเรื่องนี้ เป็นการเขียนเชิงวิพากษ์ตั้งแต่ฉากของเรื่อง และคนที่แต่งเสภา และเล่าเรืองต่อ ๆ กันมา น่าจะเป็นคนที่อยู่ในคุก !!!!เพราะมีข้อความระหว่างบรรทัดที่สื่อไปถึงได้ เนื้อเรื่องจะเขียนถึงสมัยขุนช้างขุนแผน และลากยาวต่อไปถึงยุคพลายงามลูกชายโน้นแนะใครที่เคยได้ยินได้เรียนเรืองนี้มาบ้างแล้ว สมัยเด็ก ๆ แล้วยังคาใจ แนะนำให้ไปหามาอ่านเล้ยย ไม่ผิดหวังแน่นอนเพราะว่าจะทะลุปรุโปร่งเรื่องตัวละคร ความเป็นอยู่ของคนสมัยอยุธยาตอนปลาย เรียกว่าเกร็ดประวัติศาสตร์ต่าง ๆ จะร้อยเรียงแทรกผ่านตัวอักษร และความบันเทิง อ่านแล้ววางไม่ลงเลยจุดเด่นเล่มนี้คือการยกบทเสภามาอธิบายเป็นระยะ ๆ ไม่มากเกินไปจะเห็นความงามของภาษา พร้อมกับความงามจากจินตนาการของฉากต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่จะมีอยู่จริงในปัจจุบันอ่านแล้วรู้สึกว่ามันยังคงร่วมสมัยมากกมาย ทั้งที่เขียนมานานนม แปลกมาก !!!อืมม์สนนราคา เล่มนี้ก็ 260.- ถ้ามีบัตรส่วนลดก็ถูกลงไปอีกนะเล่มที่ 3 คือ "สิ้นแสงฉาน"เล่มนี้เป็นงานแปลด้วยภาษาที่สวยมากฝีมือชั้นครู ของ มนันยาแปลมาจาก Twilight over Burma my life as Shan princessซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่เขียนอิงประวัติศาสตร์อันเป็นบันทึกของ สุจันทรี (อิงเง่) มหาเทวีผมทอง ชาวออสเตรีย ของเจ้าฟ้าหลวงแห่งแคว้นสีป่อในรัฐฉานของพม่าซึ่งน่าแปลกที่หญิงสาวชาวตะวันตกจะพบรักและกลายเป็นมหาเทวีของเจ้าฟ้าองค์หนึ่งของโลกตะวันออก ในคราวที่ทั้งสองเป็นนักศึกษาด้วยกันจึงน่าจะเรียกว่า "ครั้งหนึ่งที่แสนงดงามเมื่อ ตะวันตก มาบรรจบ ตะวันออก"จุดเด่นของเล่มนี้คือ สำนวนแปลที่สวยมากของคุณมนันยา และเรืองราวที่เบื้องหลังอันอึมครึมและความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศพม่าที่บ่มเพาะมาตั้งแต่คราวกระโน้นจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีทีท่าว่ามันจะจบลงจริง ๆ เล่มนี้ผมจดๆ จ้อง ๆ มาหลายหนแระ คราวนี้ตัดสิ้นใจซื้อด้วยประโยคนี้เลยครับ....ความผันผวนทางการเมือง ด้วยเพลิงอำนาจ ความโลภ ตัณหา ความเห็นแก่ตัว และความทะยานอยากไม่รู้จบของคนกลุ่มหนึ่งพรากเขาไปจากทุกอย่าง ดอกไม้ต่างถิ่นที่เป็นปิ่นปักเกล้าของคนทั้งปวงอย่างเธอจะทำอย่างไร ?เล่มนี้ยังอ่านไม่จบเล้ย อ่านได้สัก 70 เปอร์เซ็นต์ เพราะหลัง ๆ เพื่อนฝูงมาพักค้างถี่ขึ้น เวลาของการอ่านหนังสือก่อนนอนจึงถูกแทนที่ด้วยการ เม้าท์ 555อืมม์ เล่มนี้ พิมพ์ครั้งที่ 3 แล้วนะ เหตุผลหนึ่งในการตัดสินใจซื้อหนังสือที่ง่าย ๆ คือดูครั้งที่พิมพ์จะช่วยบอกความนิยม และคุณภาพของหนังสือได้ทางหนึ่ง สนนราคาอยู่ที่ 220.- ผมใช้แสตมป์ส่วนลดลดได้มาโข จ่ายจริงสักประมาณ 150.- เล่มล่าสุด เล่มที่ 4 มาช้าแต่อ่านจบก่อนวางไม่ลงจริง ๆ ครับ น่าจะอ่านแค่สองคืนก็จบ ดีจนต้องหยิบไปให้พี่อีกคนที่ชอบพอกันอ่านต่อ จริง ๆ หนังสือหนึ่งเล่มถ้าอ่านคนเดียวมูลค่าก็เท่าราคาปกผมจึงมักจะแบ่งปันพรรคพวก คอหนังสือให้ได้อ่านเสมอเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้หนังสือ สองเท่า สามเท่าก็สุดแล้วแต่ ชื่อหนังสือคือ "ที่เกิดเหตุ : บันทึก 1 ปีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้"เขียนโดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ซึ่งลงไปใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับประชาชนทหาร ตำรวจ ชาวบ้าน และโดยเฉพาะอิหม่าม ทั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หาใช่เพียงการนั่งเขียนภายในห้องสี่เหลืยมไม่เล่มนี้หนังสือที่ผมสะดุดตาเพราะภาพปกของเด็กหญิงสามคนที่คลุมฮิหญาบพร้อมกับส่งแววตาที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา...จริง ๆ แล้วผมเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด แต่ชีวิตมักจะต้องเกี่ยวข้องกับเพื่อนพ้องชาวมุสลิมเสมอ ทั้งชีวิตเล้ยนะ ตั้งแต่อ.ที่ปรึกษาโปรเจคป.ตรี หัวข้อที่สีสป.โทที่เกี่ยวกับภาษาอาหรับ หรือแม้แต่โรงเรียนที่สอนก็คือโรงเรียนสุเหร่าแห่งหนึ่งในเขตบางกะปิ กรุงเทพ ฯผมจึงค่อย ๆ ซึมซัมและเข้าถึงวิถีชีวิตของชาวมุสลิมที่ละนิดจนเข้าใจว่าในความต่างของมุสลิมกับศาสนาอื่น ๆ อิสลามคือศาสนาที่แยกไม่ออกจากชีวิตประจำวัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอัตลักษณ์ที่มีระเบียบยิ่ง และเข้มแข็งมากที่สุดในบรรดาศาสนาที่ผมเคยรู้จัก และแน่นอนครับอัตลักษณ์และความงามของวิถึชีวิตเหล่านี้หาอ่านได้ในเล่มในเล่มจะสะท้อนสองด้านคือ เรื่องที่ชวนหดหู่ของเหยื่อความไม่สงบของไฟใต้ เช่นเรื่องของครูสาวสองคนที่ถูกฆ่าตายหมู่ และเรื่องราวของพระที่ถูกปาดคอคากุฎิ และอีกด้านที่ขาดไม่ได้คือชีวิตของโต๊ะอิหม่ามคนหนึ่งที่ถูกจับขังคุกฟรี ๆ โดยปราศจากความผิดใด ๆ ถึงสิบกว่าวันโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ จากรัฐ...ความหมายระหว่างบรรทัดของเล่มนี้จะทำให้ผมเข้าใจปัญหาไฟใต้ได้แต่ไม่มีคำตอบหรอกครับว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง จากใคร และจะจบอย่างไรอ่านแล้วให้รู้สึกชื่นชมผู้เขียนที่มีความเป็นกลางมาก ไม่มีอคติ เข้าข้างใดข้างหนึ่งนอกจากนี้ยังมีการเขียนถึง วิถีชีวิตของพี่น้องมุสลิม เช่น ชีวิตหนุ่มสาวชาวปอเนาะ การทำสุนัตของเด็กชาย ฯลฯ อันเป็นเรื่องราวที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่งดงามของสามจังหวัดชายแดน เป็นความงามท่ามกลางเสียงปืน กลิ่นคาวเลือด และเสียงระเบิด !!!ข้อสรุปที่ได้จากเล่มนี้คือ ในทุกสังคมมีทั้งคนดีและไม่ดี และคนเราต้องเคารพในความต่าง อ่านแล้วนึกถึงคำว่า "ดอกไม้หลากสี"ของพ่อใหญ่ชวลิต ที่กำลังตกเป็นจำเลยสังคมอยุ่ในขณะนี้ จริงจริ๊งง 555จุดเด่นของเล่มมีสองอย่างคืออย่างแรกคือการตั้งชื่อเรืองและภาษาง่าย ๆ ที่ใช้ดูน่าติดตามเช่นปืนกับปลา กาแฟกับเบียร์ เดือนดาวในคาวเลือดสุนัต บัญชาของพระเจ้าอีกอย่างคือ ภาพขาวดำประกอบที่เป็นเสน่ห์ของเล่มนี้เป็นฝีมือของธวัชชัย พัฒนาภรณ์ ช่างภาพอิสระ ที่ก้าวพ้นคำว่า "กลัวตาย" มาแล้วภาพแสงเงา ดูมีพลัง และรู้สึกว่าหนึ่งภาพของเค้ามันแทนคำอธิบายได้เป็นร้อยเป็นพันคำจริง ๆ เล่มนี้ราคาถูกมาเมื่อเทียบกับเนื้อหาในเล่ม ที่กว่าจะสรรหาข้อมูลมาได้ต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ท่ามกลางกระสุนปืน ควันไฟ และลูกระเบิด ราคา แค่ 195.- เท่านั้นเอง