+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!

ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ <The Best of 2007> #5 : "10 หนังดูที่โรง" ที่สุดแห่งความประทับใจ ของผมคือ...?

ยินดีต้อนรับ ทุกๆท่านเข้าสู่การสรุปทุกความรู้สึกของผม OncE UPoN'-'a MaN ที่มีต่อเรื่องราวของภาพยนตร์ ใน 365 วัน และ 1 รอบปีที่ผ่านมา ...กับ "ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์ [ภาคพิเศษ]" ตอน "The Best of 2007" ครับ...

มาถึงกระทู้สุดท้ายกันเสียที กับการสรุปความประทับใจของการดูหนังในปี 2007 ที่ผ่านมา ...ก่อนหน้าที่ผ่านพ้นมา 4 กระทู้ ผมก็ได้นำเสนอไปถึง...
"15 การแสดงยอดเยี่ยมในหนังสุดประทับใจ" ...//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=07-01-2008&group=9&gblog=10
"5 ฉากน่าจดจำในหนังสุดประทับใจ" ...//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=09-01-2008&group=9&gblog=11
"5 หนัง(โรง)อยากลืมเป็นที่สุด" ...//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=10-01-2008&group=9&gblog=12
และ "5 หนังดูที่บ้านสุดประทับใจ" ...//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=12-01-2008&group=9&gblog=13

และสำหรับใครที่อยากรู้ว่าเมื่อปี 2006 มีหนัง 10 เรื่องไหน 15 การแสดงใด และ5 ฉากน่าจดจำที่ติดใจเป็นยิ่งๆของผมบ้าง เชิญไปชมกันได้ที่ ...//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=02-01-2007&group=9&gblog=6

ล่าสุดหลังจากได้พูดไปถึงหนังยอดเยี่ยมในกลุ่มที่ดูที่บ้านไปแล้ว ...มาคราวนี้ ก็่ต้องจบลงกันตรงที่ หนังยอดเยี่ยมในกลุ่มที่ได้ดูในโรงภาพยนตร์

จากที่ทั้งหมดในรอบ 1 ปีที่ผ่านไป ได้ผ่านพ้นสายตาไปกับหนัง 73 เรื่อง ซึ่งยังมีทั้งเรื่องที่ดูแล้วจะชอบมากน้อย หรือไม่ชอบก็รอบเดียวเป็นพอ และมีอีกบางเรื่องที่นับครั้งได้มากกว่า 1 เนื่องด้วยความติดใจอะไรบางอย่าง ...จากความในใจที่มีต่อหนังทั้ง 73 เรื่อง ได้นำมาสู่บทสรุปความประทับใจของหนังที่ถือได้ว่าอยู่ในกลุ่มที่ชอบมากเป็นพิเศษมีอะไรที่โดนใจผมจนสามารถพอจะให้เป็นหนังที่ได้รับคะแนนไปทั้ง 10 เต็ม 10

หนังในกลุ่มดังกล่าวนี้ มีจำนวนทั้งหมด 12 เรื่อง ที่ผ่านเกณฑ์มา และล้วนแต่เป็นหนังที่มีเกรดอยู่ในระดับ A ช้วนๆ

แต่ก่อนอื่นที่จะได้ประกาศผลความประทับใจกัน ผมก็ขอแอบนอกเรื่อง ไปสรุปความเป็นไปของหนังในประเทศไทย ตลอดทั้งปีหมูที่ผ่านมา ...สรุปกันแบบขำๆ ในเรื่องที่ผมยังจำได้ว่าเคยเกิดขึ้นมา




10 เกร็ดหนัง(ขำๆ) ที่จำได้ขึ้นใจ ในปี 2007


คำเตือน : ใครจะอยากจำหรือไม่ใคร่จำ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนตัวนะจ้ะ

1. "รักแห่งสยาม" ถูกมองเหมาว่าเป็นหนังเกย์ เพียงเพราะฉากนั้นเพียงฉากเดียวซะอย่างงั้น

2. ดู "Lust, Caution" ที่ House รับรองไม่มีตัด XXX ...ถ้าเผลอไปดูที่อื่น ก็จะดูไม่รู้เรื่องโดยทันที (เพราะไม่เห็นภาพ...นั่นแหละ)

3. เต๋า สมชาย อินกับตัวละครเกินเหตุ สวมวิญญาณเป็น "โอปปาติก" ริมีเรื่องกะนักเลงโตกลางเชียงใหม่

4. เกิดปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์(ปนความช่างกล้า)แห่งประวัติศาสตร์หนังไทย ...เมื่อหนังสองเรื่อง "ผีเลี้ยงลูกคน" กับ "กิ๊ก 2" ของผู้กำกับคนเดียวกันดัน(อุตริ)เข้าฉายพร้อมกัน (แถม...ยังพากันเจ๊งพร้อมกันอีกด้วยนะ เอิ้กๆ)

5. รางวัลการโฆษณาแอบแฝงในหนังที่ใจกล้า(ปนด้าน)ที่สุดแห่งปี ขอมอบให้กับ เพลง ยาพิษ ของ บอดี้สแลม ที่ดันไปอยู่ปิดเครดิตท้ายของ "บอดี้ ศพ #19" แบบ(โคตรจะไม่)เนียนๆ

6. หนังต่างประเทศในชื่อไทย สาขา สะใจวัยโจ๋แห่งปี ...ได้แก่ "ยิงแม่Xเลย (Shoot 'Em Up)"

7. หนังต่างประเทศในชื่อไทย สาขา สะเทือนใจวัยละอ่อนแห่งปี ...ได้แก่ "ผีกระชากหัว (Rise)"

8. หนังต่างประเทศในชื่อไทย สาขา จรรโลงสังคมยอดเยี่ยม ...ได้แก่ "ศึกโค่นบัลลังก์วัง*ทอง (Curse of the Golden Flower)" ...อย่างน้อยๆแล้วเด็กที่ฉลาดๆก็คงจะอ่านว่า "ศึกโค่นบัลลังก์วังดอกจันทน์ทอง"

9. "โรส วิดีโอ" ยังคงเป็นอันดับ 1 ที่ชอบสร้างสรรค์งานดี(แตก) มี(ม่านหมอกศีลธรรม)คุณภาพ(ต่ำ) อีกแล้ว ครับท่าน ...เสี่ยชิน โฟร์เอส ขอช่วยยืนยัน

10. วีซีดีเถื่อนยังคงอยู่ยั้งยืนยง ไม่สะทกสะท้าน ...แถมยังไม่กลัวบาป กล้านำ "พระพุทธเจ้า" มาปั้มแผ่นขายหน้าตาเฉย (เป็นเรื่องเดียวที่จะถึงขำๆ ...แต่มันก็ขำไม่ออกเลยจริงๆ)




กลับมาเว้าถึงเรื่องหนังประทับใจเป็นท้ายที่สุดกัน ...อันเนื่องจากชื่อได้ที่รับการเสนอมาทั้งหมด 12 ชื่อนั้น ผมก็มีความจำเป็นและจำใจต้องคัดออกไปเสีย 2 เรื่อง เพื่อความพอดีในจำนวนที่นั่งที่เหลืออยู่เพียง 10 ที่นั่งเท่านั้น ...และ 2 เรื่องที่ต้องโบกมือลาเพื่อนๆกลุ่มเกรด A ด้วยกันไปก่อน ก็ได้แก่

"ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช : ประกาศอิสรภาพ"




ภาพยนตร์เพื่ออิสรภาพ แห่งสยามประเทศ ได้ดำเนินมาสู่ตอนที่ 2 ในชุดไตรภาคของผลงานที่ทุ่มทุนและหัวใจสร้างโดย ท่านมุ้ย (มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล)... เรื่องราวในตอนนี้ว่ากันถึงช่วงพระราชประวัติในวัยหนุ่มของพระองค์ดำ 'สมเด็จพระนเรศวรมหาราช' ที่ทรงพยายามกระทำการกอบกู้เอกราชคืนกลับมา หลังจากสิ้นสูญไปให้กับ พม่า ที่อยู่ภายใต้การปกครองของ พระองค์เจ้าบุเรงนอง

ที่หนังเรื่องนี้ได้เกรด A มา ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกรักชาติ ดูจบแล้วซาบซึ้ง หรือฮึกเหิมแต่อย่างใด (ถ้าวัดกันแค่นี้... ผมก็คงต้องถือว่า สุริโยทัย ก็เป็นหนังที่ดีเยี่ยมยอดเช่นกัน ...หากความเป็นจริง ผมก็ค่อนข้างไม่ชอบหนังสยามประเทศเรื่องก่อนหน้านั้นสักเท่าไหร่) มันล้วนเกี่ยวกับการทำตัวเองให้ดีของตัวหนังในทุกๆด้าน ไม่ว่า จะความสนุกที่มีมากขึ้น ดูเป็นหนังใช้เรื่องเดินได้มากกว่าการเป็นสารคดีเล่าเรื่อง (แม้ภาคแรกก่อนหน้าก็ทำได้ตรงนี้เป็นอย่างดีแล้วเช่นกัน เมื่อเทียบกับ สุริโยไท ...แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าบางเวลามันยังยืดเยื้ออยู่) การแสดงของทีมดาราที่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมโดยพร้อมเพรียงกัน กระทั่งกับมือใหม่อย่าง 'หมวดเบิร์ด' ก็ทำให้เราเชื่อว่าเขาคือพระองค์ดำ(บนจอ)จริงๆ ไปถึงส่วนที่เป็นงานโปรดักชั่น ฉากสงครามต่างๆ ก็ให้อารมณ์ที่เห็นแล้วขนลุกแทบทั้งนั้น

แต่ด้วยความที่หนังยังดูจะเร่งรีบปลุกปั่นตัวเองให้เราๆได้ดู เร็วเกินไปหน่อยนั่นเอง ที่มีผลกระทบให้ตัวหนังมีรอยเล็กๆน้อยๆ ที่ทำให้มีตำหนิฝังใน... ซึ่งนั่นก็ล้วนได้อานิสงส์มาจากงานตัดต่อภาพ เสียง ที่ยังไม่ถึงคุณภาพมากพอ (แม้จะดีกว่าภาคแรกอยู่เยอะแล้ว แต่มันก็ยังไม่ดีที่สุดอยู่ดี)

ก็ด้วยเหตุกระนั้นนั่นแล เลยมีส่วนทำให้ผมตัดสินใจจะต้องถอนหนังเรื่องนี้ออกไปจาก 10 อันดับสุดท้าย อย่างง่ายดาย ...แต่ผมก็ยังจะรอคอยได้เห็นภาค 3 จะออกมาเป็นภาคที่ดีที่สุด และถ้าดีกว่าที่ภาคล่าสุดเป็นอยู่จริง ก็คงจะเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมมากเสียจนสามารถติด 10 อันดับสุดท้ายของผมในปีนี้ได้เช่นกัน ...ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ผมคิดจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ขอแค่นั้นอย่างเดียวก็เพียงพอ

"ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ประกาศอิสรภาพ ... บทต่อมาอันข้นคลั่ก และมันส์เลือดพล่าน
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=20-02-2007&group=2&gblog=34


...
..
.


"1408"




หนังผีๆ เป็นแนวหนังที่ไม่ค่อยจะถูกสไตล์ความประทับใจของผมสักเท่าไหร่เลย ...แม้ว่าหนังเรื่องนั้นจะทำเอาไว้ได้ดีมากสักแค่ไหนก็ล้วนแต่ไม่เคยไปไกลกว่าขอบเขตเกรด A-

จนแล้วจนรอด ก็เพิ่งจะได้มามีหนังจากนิยาย สตีเฟ่น คิง เรื่องนี้นี่แหละ ที่สามารถทะลุกำแพงที่ขวางกั้นใจผมเอาไว้ได้ ...แต่ความโดนที่ผมรู้สึกต่อหนัง มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหล่าผีๆที่ตามมาหลอกหลอนตัวละครเอกในหนังเลย ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ผมกลับประทับใจในสิ่งที่หนังพยายามบอกกับคนดูเราๆว่า "ตัวตนและจิตใจของคน น่ากลัวกว่า สิ่งที่เรียกว่า ผี"

1408 ใช้ห้องหนึ่งห้อง มาเป็นตัวแปรกำหนดความเป็นไปของตัวละครหนึ่งตัว ...ตัวละครที่ชื่อว่า ไมเคิล เอนสลิน ไม่เคยเชื่อว่าผีจะมีจริง และไม่เคยศรัทธาต่อสิ่งที่เรียกว่า ความตาย จนกระทั่งเขาได้ก้าวเท้าเข้ามาสู่ห้อง 1408 ...ทุกอย่างๆที่เกิดขึ้นในห้องนี้กับเวลา 1 ชั่วโมง ได้ลบคำสบประมาท และแก้ไขความเชื่อที่เคยผิดให้เขาเสียใหม่ แต่ก็น่าเสียดายที่มันเพิ่งจะได้มาแก้ไขเอาในเวลาที่สายไปเสียแล้ว

หนังสามารถใช้เรื่องราว บรรยากาศ และการแสดงเพียงคนหนึ่งคนที่อุ้มหนังไว้แทบทั้งเรื่องของ จอห์น คูแซ็ค ได้อย่างคุ้มค่าเต็มเม็ดเต็มหน่วย ...หนังมีเทคนิคอันหลากหลายที่เอาไว้ใช้มาเล่นกับคนดูโดยหลายหลาก กับกรรมวิธีล่อ หลอก หลอนต่างๆ ที่ได้ผลอย่างชะงัก และสร้างความระทึกสยอง ชนิดที่ทำให้ใจของผมตกไปที่ตาตุ่มได้หลายครั้งหลายคราว

แม้โดยรวมๆอาจจะนับว่ามันเป็นหนังผีที่สุดยอดมากๆในความคิดและความชอบของผมแล้วก็ตาม ...แต่ก็เนื่องมาจากว่ามันไม่ใช่หนังแนวผมนั่นเอง จึงอาจทำให้ต้องขอตัดเรื่องนี้ออกอีกเรื่องไปด้วยใจจำเป็น

เหตุเกิดที่โรงแรม #2 : "1408" ... How to... Meet the Ghosts สุดคุ้มค่าในราคา 120
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=21-09-2007&group=2&gblog=90


และแล้ว ก็ได้เวลาที่จะปล่าวประกาศผล กับหนัง(โรง)ประทับใจ 10 อันดับสุดท้าย ของ OncE UPoN'-'a MaN ... หนังทั้งหมดต่อไปนี้ อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีกันทั้งหมดในความคิดเห็นของบางท่าน แต่กับส่วนตัวผม ผมเลือก 10 เรื่องนี้ เพียงเพราะว่าผมชอบหนังเหล่านี้เป็นอย่างมากจนถึงมากที่สุด




10 หนังดูที่โรง ...ที่สุดแห่งความประทับใจ


มีคนเขาเคยบอกว่า "ผี เด็ก สลิง สัตว์" เป็นสิ่งที่ยากจะทำและไม่คู่ควรกับการสร้างเป็นหนังไทย ...แต่ผมเห็นว่ามันจะไม่จริงหมดแล้วล่ะ

อย่าง 'ผี' ก็นำหน้าไปไกล โก(อินเตอร์)ให้เขารีเมคอยู่ไม่หยอก ...'เด็ก' ก็มี "แฟนฉัน" เป็นเครื่องยืนยันว่ามันสำเร็จได้ ถ้าใจถึง (จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีใครไปได้ถึงครึ่งของเรื่องนั้นสักที) ...ส่วน 'สลิง' ถ้าไม่นับพี่จา พนม แกคงคอนเซปต์ หนังบู๊ไทยทั้งหลายแหล่ก็มีใช้กันเกลื่อนกลาด ...และสุดท้าย 'สัตว์' อันนี้สามารถหาอ้างพิสูจน์ได้จากหนังไทยที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้

นี่คือ หนังไทยที่ถือว่ากล้าแหวก และกล้าจะแหกเพื่อจะแตกต่างอย่างห้าวหาญ ...เราย่ำอยู่กับที่มานาน กับการจะพยายามเอาสัตว์มามีบทบาทเป็นตัวขโมยซีน ทว่ามันทั้งหลายเหล่านี้ ก็ล้วนแต่มีความสำคัญเป็นได้แค่ตัวประกอบกันเท่านั้น ...เคยคิดได้แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เคยมีใครกล้าไกลถึงขั้นจะเอามาเป็นตัวเอกสักที

แล้วก็เพิ่งจะมามีเรื่องนี้นี่แหละ ที่สามารถทำในสิ่งที่ผมอยากเห็นให้ได้เป็นจริงขึ้นมา ...แล้วกับนักแสดง 4 ขา ที่เราชาวบ้านเรียกกันว่า 'หมา' พวกนี้ ก็ยิ่งเป็นความคิดที่เข้าท่าเพราะแต่ไหนแต่ไร ที่พวกมันได้ขึ้นจอ ก็มักจะสร้างเสน่ห์ดึงดูดให้หนังน่าสนุกขึ้นอีกจม

แล้วก็ไม่ยกเว้นกับหนังเรื่องนี้ ที่สามารถเรียกใช้ศักยภาพความเก่งในการแสดงออกของพวกมันได้อย่างเต็มที่ ...แต่ที่น่าปรบมือชื่นชมยิ่งกว่า ก็คงจะเป็นเรื่องที่หนังเลือกจะฟูมฟักนำ หมามิดโรด (ข้างถนน)ที่เคยไม่สำคัญ มาทำให้กลายเป็นดาราผู้น่าเอ๊นดู ที่สร้างเสน่ห์ให้เราๆต้องหลงรักพวกมันอย่างหัวปักหัวปำ

จากคนที่เคยเฉยๆกับ สุนัข (มีทั้งรักในเวลาที่มันอ้อนออก และอยากก้านคอตอนที่เห่าหอนไล่ผมจัง) เมื่อดูหนังจบ ผมกลับรักพวกมันมากขึ้น ...แถมยังมีความคิดว่าอยากจะเลี้ยงมันสักตัวจริงๆจังๆ (แต่ตอนนี้เอาตัวเองให้รอดก่อนจะดีกว่ามั้ย) ...ถ้ามีใครถามว่า ผมอยากเลี้ยงหมา ด้วยสาเหตุอะไร ผมก็จะบอกเขาไปตรงๆ ว่าผมไปดูหนังเรื่องนี้แล้วเกิดอินจับใจมันซะงั้น

อันดับ 10
"มะหมา 4 ขาครับ"




"มะหมา 4 ขาครับ" ... หมา มะ มาดูกัน ดูกัน ม้าสิมา เป็นม้ากัน ม้ากัน
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=04-2007&date=24&group=2&gblog=57


...
..
.


จากหนังสั้น 18 เรื่อง ที่ร้อยเรียงเรื่องราวให้ต่างมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งหนึ่ง ...รวมมาสู่หนังยาวเรื่องเดียวกัน ที่ขยายความทุกเรื่องราว ให้กลายมาเป็นประโยค 1 ประโยคสั้นที่ใช้บอกทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันว่า "ปารีส ,ฉันรักเธอ"

แม้โดยรวมๆ หนังสั้นบางเรื่อง อาจจะโดนใจผมอย่างมาก ทั้งสนุกทั้งอิน มีตั้งแต่ขบขันให้ภาพที่น่าหัวเราะกันไป ถึงฉากที่ชวนให้เศร้ากับช่วงเวลาที่เมคให้ซึ้ง...
แม้โดยรวมๆ หนังสั้นบางเรื่อง อาจจะยังมีจุดบางจุดที่ทำให้ผมไม่สามารถซึมซับอารมณ์ตัวละครไว้ได้อย่างครบถ้วน ทุกกระบวนความ...
แม้โดยรวมๆ การสร้างความต่อเนื่องของหนังสั้นเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่อง อาจจะขาดจังหวะเชื่อมที่ดี ดูโดดไปโดดมาเสียบ้าง...
แต่กระนั้นแล้ว โดยรวมๆ นี่เป็นหนังที่สามารถรวบรวมความงดงามของภาษาหนัง ให้ผสานเข้าด้วยกันอย่างมีสีสัน กลายเป็นงานศิลปะที่ก่อตัวเป็นประติมากรรมแห่งความรัก อันลงตัว และสร้างสรรค์...

สำหรับผมแล้ว ผมชอบหนังเรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องของความรักอันหลากหลายที่ล้วนมีอยู่จริงบนโลก แต่ความจริงยิ่งกว่าที่ทำให้ผมตกหลุมรักหนังเรื่องนี้เต็มเปา ก็คงจะเพราะ เมืองปารีส ...สถานที่บนโลกนี้อีกแห่งหนึ่ง ที่ผมได้ตั้งปณิธานเอาไว้ อยากจะมีสักครั้งที่ได้ไปเยือนมัน และก็ได้แต่หวังว่า จะมีวันนั้นที่ได้เอื้อนเอ่ยประโยค 1 ประโยค อยู่บนยอดหอไอเฟล ...กับประโยคที่ผมอยากจะตะโกนอย่างเต็มๆปากว่า "ปารีส ,ฉันรักเธอ"

อันดับ 9
"Paris Je T'aime"




"Paris Je T'aime" ... อ่านปากของฉันนะ ว่า 'เฌอแตม'
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=08-2007&date=06&group=2&gblog=78


...
..
.


ด้วยการแสดงที่ยิ่งกว่าเทพ ...จากนักแสดงหญิงฝีไม้ลายมือสุดยอด ถึงเข้าขั้นครูประจำเกาะอังกฤษ...
ด้วยเรื่องราวที่ไม่ใกล้และไม่ไกลตัว ...เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นาน เรายังคุ้นเคยกันดี...
และด้วยการสวมวิญญาณของคนที่มีอยู่จริง ...ทั้งคนที่โดนวิญญาณเอามาสวมก็ยังทรงมีลมหายใจในวันนี้...

จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่ความถึงพร้อมของทุกสิ่งทุึกอย่างที่หนังมี จะทำให้เราได้อินกับสิ่งที่เห็น เราเชื่อกับสิ่งที่ได้สัมผัส โดยไม่จำเป็นที่เราต้องเป็นคนชาติเดียวกันกับเหล่าตัวละคร ก็พอจะเข้าใจ

ด้วยการแสดงของ "เฮเลน มิเรน" ที่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณลึกๆของการเป็นควีนอลิซาเบธที่ 2 ...ด้วยบทหนังที่ไม่พยายามโอนเอียงเอนอ้างว่าฝ่ายไหนถูกต้องกว่ากัน ระหว่างเชื้อพระวงศ์ที่เต็มไปด้วยคนมีอคติ กับเหล่าผู้คนที่รักเจ้าหญิงไดอาน่าเสียจนไม่เห็นหัวคนที่คัดค้าน ...และด้วยงานกำกับที่สามารถใส่ความรู้สึกน่าสงสัยวิพากษ์ความคิด ปนลงไปบนเนื้อความดรามาที่มีเรื่องอ่อนไหวแฝงไปกับความขัดแย้งได้ลงตัว ...จึงทำให้หนังเรื่องนี้สามารถทำเรื่อง(ในวังและการเมือง)ที่ยากจะเข้าใจ เป็นเรื่องง่ายที่ชวนให้เราอินและเชื่อในสิ่งที่หนังพยายามจะบอก โดยไม่ต้องไปสนว่า เราจะคือคนอังกฤษ หรือคนชาติไหน ก็ตามแต่

ถ้าคุณอยากทำความเข้าใจใน สิ่งที่ควีนอลิซาเบธที่ 2 เคยคิดในช่วงเวลาที่กลายเป็นนาทีวิกฤตแห่งอำนาจราชวงศ์ ...หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณรู้ และต้องซึ้ง กับเรื่องราวของท่านอย่างเข้าใจ(ดั่งว่ามันอาจเคยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง)

อันดับ 8
"The Queen"




...
..
.


เงื่อนไขของ 3 สถานการณ์ที่แตกเรื่องวาระและต่างในสถานที่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้เกิดขึ้นก็ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง... ก่อให้เกิดเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่หยิบเอารูปแบบของการชิ่งกระทบจากการกระทำหนึ่งไปมีผลต่อคนรอบข้างอื่นๆในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างเคยเฉกเช่น ที่เราคุ้นเคยมาจาก "Love Actually" หรือ "Crash"

แต่ถึงกระนั้น หนังเรื่องนี้ก็ยังเลือกจะแตกต่างที่ผูกรวมเอาเรื่องทั้ง 3 ให้มีสถานะที่แตกต่างอย่างแบ่งแยกชนิดที่ยากจะตีให้ออกว่ามันมาเกี่ยวเนื่องกันได้ด้วยกลวิธีรูปแบบใด ...ซึ่งนั่นก็เป็นความฉลาดเฉลียวที่เป็นผลผลิตมาจากการตีโจทย์สุดร้ายกาจ ของผู้กำกับ และผู้ร่วมเขียนบท คู่บุญที่เคยทำให้หนังอินดี้เหมือนดูยาก 21 Grams กลายเป็นของซับซ้อนที่ย่อยได้ง่ายมาก่อนหน้า

แล้วเมื่อรวมไปกับเหล่านักแสดงที่รวมพลังเล่นชนิดอินกันจนสะเทือนใจ บวกกับงานถ่ายภาพที่แฝงความดิบ แต่คงดูสวยในทุกมุมมอง พร้อมด้วยดนตรีประกอบที่บรรเลงกันเพราะอย่างไม่มีเกรงใจอีกต่างหากแล้ว ...ก็ผนวกกลายเป็นสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนของเรื่องราวให้ติดแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวไปด้วยกัน และไม่มีส่วนไหนที่จะสำคัญมากสำคัญน้อย เพราะ ทุึกๆเรื่องกลายเป็นคนละเรื่องที่มีความเท่าเทียมเสมอภาคกันโดยหมด

ฉะนั้นแล้ว สำหรับใครที่กำลังถามหาดูหนังอินดี้ ที่มีความฉลาด แอบแฝงคมความคิดที่เฉียบแหลม และมีปมประเด็นดีๆที่ทำให้คนได้คิด ได้ไตร่ตรอง เมื่อเรื่องราวทุกอย่างจบ ...หนังเรื่องนี้สามารถให้คุณได้ (จะขอแนะนำเชิงเตือนก็แต่ว่า... อย่าไปซื้อแผ่นแท้ในไทยเลยนะ ถ้าไม่อยากหงุดหงิดกับการเซ็นฯสุดจะปัญญาอ่อนของค่ายดอกกุหลาบอันเลื่องชื่อเสีย..ง)

อันดับ 7
"Babel"




...
..
.


ผมเป็นคนหนึ่งที่ปลาบปลื้มการดูหนัง musical ...ดูได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะร้องไปเรื่องเดินไป (ล่าสุดก็ Hairspray) หรือใช้เพลงที่ร้องเป็นตัวเดินเรื่อง (ล่าสุดก็ยังฉายอยู่กับ Across the Universe) เพียงได้ชื่อว่าเป็นหนังเพลง ผมก็พร้อมจะปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับมัน ขอเพียงแต่มันจะทำให้ผมได้ความบันเทิงใจคืนมาด้วยก็พอเพียง

แล้วกับหนังเรื่องนี้ สิ่งที่ผมต้องการ มันก็มีให้อย่างครบครันจนมากกว่าเพียงพอ ...และสิ่งที่มาให้มากเกินล้น ก็มีค่าเป็นความรู้สึกประทับใจที่ทำให้ผมรักหนังเพลงเรื่องนี้ พอๆกับ Moulin Rouge เลยทีเดียว

คนบางคนอาจจะมองว่าหนังเรื่องนี้มีจุดด้อยอยู่ยุ่บยั่บ คนบางคนก็ยังไม่รู้สึกลึกซึ้งกับความพยายามในความฝันของนักแสดงนำกลุ่มนี้ ...แต่ักับผม ผมชอบหนังเรื่องนี้ ด้วยความประทับใจกับ เทคนิคการร้องเพลงสะท้อนความรู้สึกที่คิดเอามาเล่าเรื่องได้อย่างมีพลัง บวกกับเรื่องราวอันเข้มข้นของการหลอกลวง หักหลัง เหยียดหยาม ในวงการเพลงมะกันยุค 60-70 ที่ทำให้ผมเกิดอารมณ์ร่วมลุ้นไปกับการต่อสู้ของเหล่าตัวละคร ...แม้จะรู้ทั้งว่า จุดจบต้องสวยงาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอินในแต่ละช่วงเวลาที่ตัวละครต้องเผชิญกับความดี และเลวร้าย คละเคล้ากันไป

โดยเฉพาะ กับตัวละครที่ชื่อ "เอฟฟี่ ไวท์" ...เจ้าของฉากชวนน้ำตาไหลเศร้าสะเทือนใจอย่างถึงที่สุด กับเพลง "I'm telling you, I'm not going" ...เธอคือตัวละครเพียงคนเดียวที่ทำคะแนนเกินขีดความชอบของผม ไปจนถึงขั้นโดนใจ และอยากปรบมือให้กับการแสดงสุดใจขาดของ "เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน" แม้จะยังเป็นแค่ครั้งแรก ก็ถือว่า สอบผ่านได้คะแนนเกินการประเมินคาดหวังไปเรียบร้อย

สำหรับใครที่ชื่นชอบการดูหนังเพลง อย่างเช่นผม หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาดเป็นเด็ดขาด ...แค่ได้ดูฉากเพลงฉากที่ว่าเพียงฉากเดียว ก็เป็นอันคุ้มค่า คุ้มทุน อย่างเป็นที่สุดของที่สุดแล้ว

อันดับ 6
"Dreamgirls"




...
..
.


ถ้าเอาความคาดหวังในตอนแรกสุดก่อนจะได้ดูเป็นตัวประเมิน ...หนังเรื่องนี้ก็เดินทางมาได้ไกลเกินกว่าที่คาดไว้เยอะมาก มาก และมาก

ที่เป็นเช่นนั้น ก็คงเพราะ... ผมหวังกับหนังของผู้กำกับมือหนึ่งของการทำลายล้างวินาศสันตะโร เพียงแค่ความสนุกเอามันส์ในแบบไม่ต้องใช้ความคิดใดๆ ...ที่ไม่มากไปกว่านั้น ก็ด้วยสาเหตุที่ผลงานเรื่องก่อนๆก็พอบอกได้อยู่ว่าอย่าไปนึกเอาหนังออสการ์จากฝีมือของผู้กำกับคนนี้เลยเถอะ

แต่แล้วมันก็กลับผิดแผนจากที่ผมเคยประเมินไว้เสียกระจุย ...เมื่อหนังเรื่องนี้ คือ มหึมาความบันเทิงสมดังหวัง ที่มีอะไรดีๆโดนใจมากไปกว่า การทำลายล้างวินาศสันตะโรในรูปแบบที่คุ้นเคย

ไม่รู้จะเป็นเพราะเหตุที่มีพ่อมดฮอลลีวู้ดมาเป็นคนคุมเชิงหรือเปล่า ...จึงทำให้หนังเรื่องล่าของ ไมเคิล เบย์ ออกมาเป็นงานที่สนุกโคตรมันส์ในแบบของพี่ท่าน แต่ก็แฝงไว้ด้วยอารมณ์ ที่มีขอบเขตความจริงจัง ล้นขีดของความเป็นหนังแอ๊คชั่นที่สร้างเพื่อให้เด็กดูแบบชิลๆ ...ซึ่งมันก็จริงที่มีคนบอกว่า หนังเรื่องนี้ ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับ E.T. ได้อย่างเนียนๆ

หนังเรื่องนี้เป็นได้ทั้งการทำความฝันของผู้ใหญ่(ที่ร่างกายเคยเป็นเด็ก)ให้เป็นจริง ...แล้วที่เหนือกว่าที่คาด ก็คือ การเป็นหนังดีที่จะให้อะไรกับคนดูมากไปกว่าความบันเทิงเถิดเทิงอย่างที่หาได้จากหนังฉายช่วงซัมเมอร์ทั่วๆไป

ถ้ารวมเอาหนังที่ผู้กำกับรายนี้เคยทำมาทั้งหมดเป็นตัวเลือก ...หนังเรื่องนี้ ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเดียวที่ควรค่าจะได้รับออสการ์หนังยอดเยี่ยมไปด้วยความเต็มใจ (แต่ในโลกของความเป็นจริง ...ถ้าหนังเรื่องนี้ได้ คงเป็นอะไรที่ช็อกเหลือจะเชื่ออย่างแน่นอน)

อันดับ 5
"Transformers"




"Transformers" ... การแสดง 'หุ่นเชิด' ครั้งใหญ่โตมโหระทึกใจ
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=05-07-2007&group=2&gblog=73


...
..
.


หนังเรื่องนี้ อาจได้ชื่อว่าคงเป็นหนังของเด็กๆ ...แต่กับความจริงแท้ เรื่องราวของมันเจาะจงและเจาะลึกกับการพูดถึงคนที่มีวุฒิภาวะ คนที่โตทางกาย ที่ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้ใหญ่"

แต่กระนั้น ชื่อที่หนังตั้งเอาไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดูนอกคอก ...แต่มันกลับมีความสำคัญ ที่เป็นตัวสะท้อนช่วยบ่งบอกถึงความโตแต่ตัว แต่ใจไม่โตตามของตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่ ในวันนี้ แต่ทำตัวเหมือนเป็นเด็กเมื่อวานซืน

หนังใช้เวลาโดยส่วนใหญ่ มุ่งลงไปสังเกตพฤติกรรมจากตัวละครหลัก 3 คน ที่มีลักษณะการกระทำบ่งชี้ว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ แต่ความคิดความอ่านกลับยังไร้เดียงสาปล่อยใจตัวเองให้เป็นใหญ่กว่าความถูกต้อง ...หนังสามารถแอบแฝงเอาความจริงจังของการวิพากษ์สังคมลงไปปูเป็นพื้นให้ดำเนินมาสู่เรื่องราวที่มีเนื้อความเป็นดรามาสะท้อนจิตใจมนุษย์ได้อย่างแยบคาย

ด้่วยการกำกับควบคุมที่พริ้วไหวแต่คงความหนักแน่น กับบทหนังที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ แต่ไม่พยายามตีความให้ต้องคิดอย่างยากเย็น ...และด้วยการแสดงอันเยี่ยมสุดยอดอีกครั้งของ "เคต วินสเลท" กับบทบาทตัวประกอบชายอีกคนที่ควรค่าแก่ออสการ์ของ "แจ๊คกี้ เอิร์ล เฮลี่ย์" ...จึงทำให้หนังเรื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งหนังคุณภาพชั้นยอด ในปีก่อนที่แสนน่าเสียดายไม่น้อยที่ออสการ์เลือกจะมองข้ามไป

อันดับ 4
"Little Children"




"Little Children" ... โดนัทมีรู กับ ลูกกวาดมีพิษ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=08-2007&date=07&group=2&gblog=79


...
..
.


ยังไม่เคยมีหนังการ์ตูนสามมิติจากชายคาค่ายนี้เรื่องไหนที่ทำให้ผมต้องพบกับความผิดหวังเลยสักครั้ง... และก็ยังไม่เคยมีหนังเรื่องใดที่ผมจะอดไม่พูดว่า หนังดี กับมันไม่ได้เลยสักที ...ยิ่งกับเรื่องล่าสุดแล้ว ก็ยิ่งหาข้อติเอามาลบล้างความดีของมันไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ

หนังเรื่องนี้ มีดีทั้งตัว และสุดจะยอดเยี่ยมในหัวใจของมัน ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้เห็น ได้ยิน ได้สนุก ล้วนทำได้ถึงไร้ที่ติ แล้วกับบางสิ่งที่หนังพยายามบอกให้เราซึ้ง มันก็สามารถทึ้งน้ำตาพร้อมความสุขชวนอมยิ้ม ที่เปรมปรีดิ์ไปกับเรื่องราวของหนูและคน ที่ไม่ใหญ่ แต่สามารถยิ่งใหญ่ได้ถ้าใจริสูงให้ถึง

ความตราตรึงใจที่เกิดขึ้นไม่ได้มีไว้เฉพาะส่วนของเรื่องราวที่มีแง่มุมอันน่ารัก และหลักแหลมอย่างทรงพลังเท่านั้น ...แต่ยังรวมไปถึงงานด้านภาพที่สูงส่งขึ้นชั้นเหนือกว่าเทพไปแล้วของสตูดิโอมือวางอันดับหนึ่งของโลกอนิเมชั่น กับภาพบรรยากาศอันสวยวิจิตรของมหานครปารีสที่ผมกำลังหลงรักหัวปักหัวปำต่อเนื่องมาจาก Paris Je T'aime อีกด้วยต่างหาก ...รวมๆกันมันก็เลย กลายเป็นความประทับใจที่มีความหมายว่า นี่คือ(ว่าที่)งานคลาสสิคอีกเรื่องของโลกดิสนีย์ ที่จะกลายเป็นที่จดจำและถูกพูดถึงไปอีกนานเท่านาน

ผมชอบ และตกหลุมรักหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมากมาย ...อาจจะเว้นแต่ ความรู้สึกฝังในยังคงพ่ายแพ้ต่อหนังพลพรรคของเล่นมีชีวิตภาคแรกก็เท่านั้นเอง

อันดับ 3
"Ratatouille"




"Ratatouille" ... Pixar จานเด็ด กินแล้วอิ่มทั้งน้ำตา
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=07-2007&date=30&group=2&gblog=77


...
..
.


หลังจากที่ปีก่อน เพิ่งพีคกันไปสุดๆ กับการกำกับหนังเชิงสารคดีที่ลุ้นระทึกทรงพลังเหมือนกับเราอยู่ในเหตุการณ์จริง ...มาในปีนี้ เขาก็ไม่ได้ห่างหายจากไปไหน และยังกลับมาอีกหน เป็นครั้งที่ 2 กับการทำหน้าที่เป็นคนคุมความสนุกให้กับหนังสายลับแห่งทศวรรษ ที่เคยนำหน้าสายลับรุ่นน้าอย่าง 007 ไปแล้วหนึ่งก้าวใหญ่ๆ (ก็เพิ่งมีปีก่อนที่มาเอาคืนได้สำเร็จกับการหวนไปสู่ขนบเก่าๆในตอน Casino Royale)

ผู้กำกับ "พอล กรีนกลาส" ก็คือ คนที่พูดถึงในตอนต้น และเขาคนนี้ก็คือคนสำคัญที่ทำให้ "United 93" ถูกยกย่องให้เป็นหนังอันดับหนึ่ง(ในใจผม)ของปีก่อนอีกนั่นแล ...มิเช่นนั้นแล้ว เขาคนนี้ ก็คือ ความคาดสำคัญที่ทำให้ผมต้องหวังเอาไว้กับหนังเรื่องนี้เสียสูงลิ่ว แล้วเมื่อบวกไปกับการสามารถทวงบัลลังก์คืนได้ของ 007 แล้ว ก็ยิ่งทำให้ผมอยากจะเห็นการแก้เกมคืนของสายลับนักฆ่าผู้นี้ว่าจะกลับมาล้ำหน้าได้อีกทีหรือเปล่า

แล้วมันก็เป็นจริงดั่งที่ผมคาด ...เมื่อภาค(ที่น่าจะ)สุดท้ายของ ภารกิจทวงความจำของ "เจสัน บอร์น" ยังกลับมาล้ำได้อีกก้าว ด้วยความชาญฉลาดสุดเฉียบของบทหนังที่เจ๋งเป๋ง (กล้าล้ำเกินคาด... เอาฉากจบของภาคสอง มาผูกเงื่อนให้โยงใยต่อเนื่องกับภาคสุดท้ายได้อย่างน่าอัศจรรย์) ...กับการกำกับชวนให้ติดตามด้วยใจระทึก พร้อมเดินหน้าไปด้วยความมันส์ชนิดลืมสูดอากาศ ใน 3 ฉากตื่นเต้นมันส์ๆที่ลุ้นจนใจหายใจคว่ำ ...และทุกๆอย่างที่ทำให้มันสนุกจนลืมเวลา ก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องมาจาก สุดยอดการแสดงชวนจดจำที่ต้องติดตัวในเอกลักษณ์ไปอีกทั้งชีวิตของ "แมตต์ เดมอน" อีกด้วย

สุดท้าย เมื่อความคาดหวังโดนใจทุกอย่างๆมารวมอยู่ในช่องเก็บเมมโมรี่ความจำเดียวกัน ...ก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่มาได้ไกลถึงตำแหน่งรองชนะเลิศ

อาจจะถือว่าพลาดท่าตกจากที่นั่งเดิมไปหนึ่งตำแหน่งก็ตามที ...แต่อย่างน้อยๆแล้ว พอล กรีนกลาส ก็มาได้ไกลเกินจะกลับไป ในการเป็นผู้กำกับที่เป็นเจ้าของหนังดีระดับสุดยอดติดโผอยู่ในใจของผม ได้ถึงสองปีซ้อน กันเลยทีเดียว ...ถ้าเขายังคงรักษาความสุดยอดอีกต่อไปเรื่อยๆ ก็เชื่อผมได้เลยว่า สักวันออสการ์จะต้องเห็นเขา อย่างแน่นอน

อันดับ 2
"The Bourne Ultimatum"




"The Bourne Ultimatum" ... หมากเกมนี้ ฉันก็รู้ ว่าจะต้องลงเอยอย่างไร
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=08-2007&date=20&group=2&gblog=82


...
..
.


และอันดับสุดท้าย ท้ายที่สุด...

นี่เป็นหนังไทย...

นี่เป็นหนังที่มีใครบางคน(ที่ได้ดูและยังไม่ได้ดู แต่ล้วนอคติ)ชอบบอกว่า "มันเป็นหนังเกย์"...

นี่เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของความรัก ซึ่งไม่ได้มีแต่ชายรักชาย อย่างที่ใครบางคนพยายามพร่ำบอก...

นี่เป็นหนังที่คนที่ได้ดูและเปิดใจยอมรับ จะได้รู้ว่ามันยังมีอะไรที่มากไปกว่าการเป็นหนังเกย์...

และนี่ก็เป็นหนังที่ทำให้ผมได้รู้อะไรเกี่ยวกับความรักอีกมากมาย ที่มีความหมายนอกเหนือไปจาก การแลกลิ้น ในสายตาของใครบางคน...

คงไม่ต้องบอกก็รู้แล้วว่า ผมกำลังหมายถึง หนังเรื่องนั้น ที่คงจะตรงใจกับใครอีกหลายๆคนที่คิดเห็นไปในทางเดียวกับผม ...นี่คือหนังที่เหมาะสมจะได้รับการเยินยอว่า เป็นหนังแห่งปี จากหลายๆสำนัก รวมทั้งสำนัก OncE UPoN'-'a MaN ก็คืออีกที่ที่เห็นด้วยอย่างหมดหัวใจ

นี่คือ หนึ่งใน 73 และหนึ่งเดียว ที่ควรค่ากับตำแหน่งเลขตัวเดียวที่มีค่าน้อยที่สุด (ที่ไม่เท่ากับ 0) ประจำปี 2007...

อันดับ 1
"รักแห่งสยาม"




"รักแห่งสยาม" ... เรียนรู้ที่จะรัก แล้วจงรักที่จะเรียนรู้
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=11-2007&date=30&group=2&gblog=98





สรุปยิ่งกว่าสรุปอีกที... พิเศษเฉพาะ Bloggang


5 หนังยอดเยี่ยม (ทั้งโรงทั้งบ้าน) แห่งปี 2007 ในการประกวด OncE UPoN'-'a MaN awards


คัดสรรมาอีกที กับ 5 หนังที่ขึ้นชื่อว่าดีมาก มีคุณภาพสุดๆ อย่างแน่นอนและแน่แท้ จากที่ผมได้สัมผัสทั้งดูที่โรง กระทั่งดูอยู่กับบ้าน ...และรายชื่อที่เข้ารอบสุดท้าย ยิ่งกว่าท้ายสุด ในการประกวดครั้งนี้ ก็ได้แก่

รักแห่งสยาม
Children of Men
The Bourne Ultimatum
Little Miss Sunshine
Ratatouille


ใครดูหนังทั้ง 5 เรื่องต่อไปนี้ แล้วมีผิดหวัง...สามารถนัดเคลียร์กับผมได้ทุกเวลาหลัง 7-11 ปิด (...ลูกชิ่งตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหายังใช้การได้ดีอยู่ แหะๆ)




สำหรับบรรดาหนังโรงที่ผมเคยได้ดูมาตลอดทั้งปี ทั้งหมด 73 เรื่อง ...ผมได้ลิสต์ลงในบล็อกเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ครบหมดไม่ขาดไม่เกิน ...ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องนี้ เรื่องไหน เป็นอย่างไรสำหรับความในใจของผม สามารถติดตามที่ลิงค์นี้...
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=03-01-2007&group=11&gblog=2


และนี่ก็คือบทสรุปทั้งหมดทั้งมวลที่ผมมีต่อ การดูหนัง ในหนึ่งรอบปีที่ผ่านพ้นไป ซึ่งสำหรับผมแล้วก็มีทั้งเรื่องที่เป็นความประทับใจ/ชอบ/พอใช้/ผิดหวัง/แย่ คละเคล้ากันไป ตามแต่ความพอใจในความคุ้มค่าตั๋วและตัวหนังที่ออกมา ...แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกอย่างไรกับการดูหนังของคุณในรอบปีที่ผ่านมาบ้าง ...คุณกับผมคิดเหมือนกันบ้างหรือเปล่า ?

ปีหนู ปีนี้ ...ยังมีหนังอีกหลายสิบเรื่องรอคอยผมและคุณ อยู่ข้างหน้า ...ขอให้ใช้เวลาตลอดอีกทั้ง 365 วันต่อไปนี้ กับการดูหนังที่คุณเลือกให้มีความสุข ...แล้วผมจะกลับมาอีกในปีหน้า เพื่อบอกถึงความสุขที่ผมมีต่อหนังตลอดทั้งปีนี้อย่างแน่นอนครับ

สุขสันต์ปีใหม่ นะคร้าบผม...





ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ




 

Create Date : 16 มกราคม 2551
6 comments
Last Update : 24 มีนาคม 2551 15:58:31 น.
Counter : 2116 Pageviews.

 

สำหรับผม ปีที่แล้วเป็นปีที่ดูหนังแล้วรู้สึกเสียดายเงินมากพอสมควร เลย มีที่ดูในโรงแล้วไม่เสียดายเงินจริงๆ ก็เรื่อง Die Hard 4.0 ที่คนทั่วไปอาจร้องยี้ แต่สำหรับผม ถือว่าเดินตามรอยของเก่าได้ดีมากเลย จัดเป็นหนังชุดจตุรภาคที่ผมรู้สึกว่าสนุกทุกภาคจริง ๆ แม้มันจะเว่อร์ไปบ้าง (มากเลยล่ะ) แต่ก็ให้ความรู้สึกดีเหมือนได้พบกับเพื่อนเก่าอีกครั้งที่ถึงแม้จะแก่ลงไปแต่ก็ยังให้ความรู้สึกดีทุกครั้งที่เจอหน้ากัน แล้วผมชอบลำดับของความใหญ่ของเหตุการณื ไม่รู้ว่าจงใจรึเปล่าแต่ภาคแรกจะเป็นเหตุการณ์ใน 1 ตึก (แต่ป่วนไปหลายหน่วย) ภาค 2 เริ่มใหญ่ขึ้นเป็นสนามบิน ก็เริ่มป่วนมากขึ้น ภาค 3 ก็ป่วนกันยกเมือง ส่วนภาค 4 ป่วนระดับประเทศ แต่ทั้ง 4 ภาคจะคล้ายกันตรงที่ว่าการกระทำใด ๆ มักมีเรื่องแอบแฝงเบื้องหลังให้เราคิดไม่ถึงเสมอ นี่แหละคือแก่นของ Die Hard เลยล่ะ

ส่วนเรื่องพ่อครัวหนู (เรียกยังงี๊ล่ะกัน เรียกชื่อมันยาว) ผมไม่ได้ดูในโรง แต่ซื้อดีวีดีมาดูเพราะส่วนตัวพยายามเก็บหนังของ Pixar อยู่ ซึ่งพอดูจนจบแล้ว...อื่ม ประทับใจนะ คือชอบฉากตอนจบมากที่ว่าตัวที่น่าจะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่กลับกลายเป็นคนที่เข้าใจมากที่สุดนี่แหละ แล้วฉากจบก็เป็นอะไรที่ประทับใจพอ ๆ กับฉากเริ่มที่ประทับความฮาไว้นั่นแหละครับ

ส่วนเรื่องบอร์น อันนี้ผมกะเพื่อนจะเห็นต่างกับคนอื่นมาก ๆ คือ ภาคนี้ผมว่าห่วยที่สุดเลย แล้วพูดกันตรง ๆ ผมว่า Doug Liman กำกับได้ดีที่สุดแล้ว เพราะภาคแรกเป็นภาคที่ประทับใจมากกว่าภาค 2 และ 3 เยอะ ภาค 2 ก็ยังถือว่าดีนะถ้าฉากต่อสู้ในบ้านมันไม่ห่วย (มันอาจจะดูดีในสายตาหลาย ๆ คนแต่ถ้าเทียบกับฉากต่อสู้จากภาคแรก...มันห่วยมาก) แต่การดำเนินเรื่องที่ดีใช้ได้ ส่วนมุมกล้อง ไม่ไหว ใคร ๆ อาจจะว่ามันแปลกดี ใช่ มันแปลก แต่มันทำให้ทนดูหนังมันไม่ไหวพาลอยากอ๊วกเสียก่อน ดูไหวก็ดูไม่รู้เรื่อง เพราะฉากมันสั่น ๆ แล้วมั่ว ๆ พิกล ไม่เหมือนภาคแรกที่มุมกล้องจะค่อนข้างเรียบเนียนและมีการสอดแทรกวิธีการถ่ายแบบถือกล้องไว้บ้างแต่ก็ไม่เยอะและทำได้ดีกว่า ภาพสวยกว่า หนังของนาย Greengrass ผมเลยขอดูแค่ 2 เรื่องนี้แหละ เรื่องอื่นนี่คงไม่เอา ทนมุมกล้องมันไม่ไหว ภาค 3 ฉากต่อสู้ทำได้ดีนะ แต่การดำเนินเรื่องห่วยมากที่สุดในบรรดาทั้ง 3 ภาค เหตุการณ์ต่าง ๆ อิงกับความบังเอิญมากเกินไป และก็ดำเนินเรื่องแบบสูญเปล่ามากเกินไป ก็เลยทำให้เรื่องมันจบแบบไม่มีความเคลียร์อะไรเท่าไหร่เลย แถมยังทำท่าเหมือนจะลากไปต่อภาค 4 ยังงั้นอ่ะ หนังเรื่องนี้เลยได้ตำแหน่งผิดหวังมากไปโดยปริยาย

ที่เหลือก็ไม่มีอะไรประทับใจเท่าไหร่ เพราะเรื่องดี ๆ ที่น่าประทับใจอย่าง Stardust ก็ไม่ได้ดู ไปดู The Golden Compass ก็น่าผิดหวังมาก ๆ ซะอีก

 

โดย: DarthTrowa 16 มกราคม 2551 3:29:39 น.  

 

นี่เราไม่ได้ดูหลายเรื่องเลยนะเนี่ย
สงสัยต้องไปหามาดูบ้างแล้วอ่ะ

 

โดย: หัวใจสีชมพู 16 มกราคม 2551 10:11:01 น.  

 

ลิสท์ของคุณปีนี้มีตรงกับท๊อปเทนของผมแค่ เรื่องเดียวเองแหละ

 

โดย: joblovenuk 16 มกราคม 2551 10:29:20 น.  

 

+ ฮุๆ ลิสต์ของนัท ตรงกับพี่ 3 เรื่องแฮะ ... ของพี่มีดังนี้
1. Perfume : The story of a murderer - ชอบตรงที่หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์ว่าจะทำยังไงให้คนดูหนังรู้สึกได้ถึง 'กลิ่น' ต่างๆ เหมือนกับที่สัมผัส (จินตนาการ) ได้จากหน้าหนังสือ แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของ ผกก. มือฉมังอย่าง Tom Tykwer ... ที่สามารถทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ละเมียดละไม และมีกลิ่นอายของความเป็น 'นิยาย' และบทกวีอันไพเราะที่ร้อยเรียงอยู่ในเรื่องราวของหนัง ... ส่วนไอเดียเรื่อง 'ความมีตัวตน' ที่ไปเปรียบเทียบกับความไร้กลิ่นของพระเอก กับประเด็นในเรื่อง การไม่รู้จักวิธีการที่จะรักของพระเอก ก็เป็นไอเดียที่หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างครบถ้วน

2. Little Miss Sunshine - หนังเล็ก หัวใจโต ถึงหน้าฉากจะดูเป็น Road Movies ของครอบครัวขี้แพ้ แต่สิ่งละอันพันละน้อยที่หนังใส่เข้ามาตามรายทาง ไปจนถึงฉากไคลแม็กซ์บนเวทีที่ได้ใจหลายคนไปเต็มๆ ก็ทำเอาคนดูยิ้มทั้งน้ำตา (เพราะซาบซึ้ง) กันเลยทีเดียว

3. The lives of others - จากตอนต้นเรื่องที่ชวนง่วงนอน ชอบตรงที่หนังค่อยๆ ป้อนอารมณ์แบบซึมลึกให้คนดูเข้าใจพฤติกรรมของตัวเอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าจากตอนแรกที่เค้าเป็น 'เกสตาโปไร้หัวใจ' แต่สุดท้ายเค้ากลายเป็น 'มนุษย์ผู้มีหัวใจ มีความรู้สึก' ขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างไร ... และพอถึงบทสรุป ก็กระแทกหมัดน็อกปลายคางคนดูดังโครม จนคนดูซึ้งต่อมน้ำตาแตกไปตามๆ กัน

4. Animation Trio - พอดีชอบทั้ง 3 เรื่อง ก็เลยไม่อยากตัดเรื่องใดเรื่องนึงออกอ่ะครับ
4.1Flushed away - ชอบมุกฮามากมายหลายมุกในการ์ตูนเรื่องนี้ จนต้องยกให้เป็นอนิเมชั่นที่ขำที่สุด (ของพี่) แห่งปี ... แต่ที่จ๊าบที่สุด ก็คือ แก๊งทากร้องเพลง

4.2 Ratatouille - เป็นอนิเมชั่นที่ภาพสวย แถมสอดแทรกสาระเข้าไปอย่างแนบเนียน จนติดอันดับอนิเมชั่นยอดเยี่ยม (อย่างน้อยก็ต้องได้เข้าชิง) แทบทุกโผตอนปลายปี

4.3 Surf's up - ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่ไม่ซ้ำซาก (Mocumentary) รวมทั้งแต่ละคาแรคเตอร์ที่น่ารักน่าชัง ทำให้ต้องยกตำแหน่งอนิเมชั่นที่น่ารักสุดแห่งปีให้เรื่องนี้ไปครอง

5. Pan's Labyrinth - จากทั้ง 12 เรื่องที่ติดโผรอบสุดท้าย พี่ยกให้หนังเรื่องนี้เป็น 'ที่สุด' แห่งปีครับ สำหรับเทพนิยาย 'ด้านมืด' ที่เป็น 'จุดจบแห่งจินตนาการ' เรื่องนี้ ... หนังฉลาดในการใช้สถานการณ์ทั้งความจริง (สงครามอันโหดร้าย) และความฝันของเด็กนางเอก มาดำเนินเรื่องคู่ขนานได้อย่างสอดคล้องกัน ช่วงโหดก็ทำได้โหดจริงๆ จนคนดูอย่างผมสงสาร 'เจ้าหญิงโอฟิเลีย' จับใจ และเอาใจช่วยลุ้นชะตากรรม ให้เธอทำภารกิจที่ 'ฟอน' มอบมาให้เธอทำ ให้ลุล่วงจนแทบจะลืมหายใจ

6. Children of glory - จำได้ว่านัทไม่ค่อยปลื้มเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ที่ติดโผของพี่ด้วย พี่วัดเอาจากความรู้สึกตัวเองตอนที่เพิ่งดูจบออกมาจากโรงนะครับ ... รู้สึกชอบตรงที่ธีมของหนังซึ่งเป็น สงคราม-กีฬา-ความรัก 2 ธีมแรกไม่ใช่แนวที่พี่นิยมซักเท่าไหร่ แต่หนังเรื่องนี้สามารถรวมทุกธีมออกมาและทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้ง, ฮึกเหิม, รักชาติ ไปกับตัวเอกทั้ง 2 คนได้

7. Little children - เป็นหนังที่พูดถึงครอบครัวสามัญทั่วๆ ไป (ที่มักมีปัญหาซุกซ่อนอยู่), สังคมชนชั้นกลาง, กิเลสตัณหา และ การยับยั้งชั่งใจ, ฯลฯ ได้ละเมียดดี

8. Hairspray - เพลงเพราะ มุกตลกเวิร์ค มีแอบแทรกประเด็นทางสังคมไว้ประปราย ... เป็นหนังที่ดูจบแล้วก็อมยิ้มอย่างมีความสุข

9. Micheal Clayton - ชอบการแสดง ชอบบทและวิธีการเล่าเรื่องที่ใส่ลูกเล่นยอกย้อน ทั้งๆ ที่เรื่องราวในหนังจริงๆ ก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนเท่าไหร่ และชอบตรงที่ตัวเอกของหนังเป็นบุคคล 'สีเทา' โดยมีการเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวของเค้าขนานไปกับเรื่องราวหลักด้วย ทำให้หนังดูมีความลึกและดูน่าสนใจมากขึ้น

10. รักแห่งสยาม - ถึงแม้หนังจะถูกโจมตีว่า 'หลอกลวงผู้บริโภค' เพราะมีประเด็น Y แอบซ่อนอยู่ (ที่แม้จะมีฉากโจ่งแจ้งแค่ "ฉากจูจุ๊บ" เพียงฉากเดียว ยังเล็กน้อยกว่าหนังทำนองนี้อีกมากมายหลายเรื่องนัก แต่ก็สามารถทำให้อคติและอารมณ์ 'เหยียดเพศ' ของบางคน ปะทุแตกออกมาได้)
... ซึ่งถ้ามองว่านี่ก็คือความรักอีกรูปแบบนึง ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีข้อจำกัด มีเพียงความรู้สึกระหว่างคน 2 คนแล้ว ความรักในแง่มุมต่างๆ ที่หนังเรื่องนี้มอบให้แก่คนดู ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่าง คน 2 คนที่รักกัน, ความรักของคนในครอบครัว, ความรักของเพื่อน, ความรักระหว่างยายกับหลาน, การรู้จักเสียสละในรัก, การไถ่บาปและการเยียวยา, ความอบอุ่นภายในครอบครัว ฯลฯ ... หนังเรื่องนี้สมควรได้ชื่อว่าเป็นหนังไทยที่เป็น 'หนังรัก' ของปีนี้ (และอาจรวมถึงหลายๆ ปีมานี้) อย่างแท้จริง

+ ส่วนหนังดีเรื่องอื่นๆ ที่หลุดโผรอบสุดท้ายของพี่ไป ก็ได้แก่ ...
* Babel - หนังโยงประเด็นได้ดี แต่เนื่องจากพี่เคยเจอความทรงพลังที่มากกว่าจาก ผกก.คนเดียวกัน จาก 21 Grams มาแล้ว เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงกับเป็นหนังท็อปฟอร์มของเค้าเท่าไหร่

* Final score : 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ - นับถือตรงไอเดียของหนัง รวมทั้งความตั้งใจ และความพยายามของ ผกก. ... สารคดีพันธุ์ไทย ทำออกมาได้ขนาดนี้ ก็เจ๋งแล้วอ่ะครับ

* Music & Lyrics - เป็นหนังที่น่ารักมากมาย เพลงก็เพราะ ทำเอา Way back into love ฮิตกันไปค่อนเมือง พระเอก (ถึงจะเหี่ยวไปหน่อย) กับนางเอกก็จับคู่ด้วยเคมีที่ลงตัวทีเดียว

* Bridge to Terabithia - ทำได้ซึ้ง และเหวอไปเลยกับความเป็น Drama / Coming-of-age ที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกของหนัง Fantasy

* Memories of Mutsuko - หนังดีอันดับต้นๆ ในใจของใครต่อใครหลายคนในปีนี้ ซึ่งพี่ก็ยอมรับว่าหนังเรื่องนี้อยู่ในระดับดีมาก และก่อความสะเทือนอารมณ์อย่างสูงให้กับคนดู ในแบบ 'ยิ้มทั้งน้ำตา' ... เพียงแค่ 'อะไรบางอย่าง' ในหนังที่บังเอิญเป็นสิ่งที่พี่ติดอยู่พอดี (เคยเขียนถึงไปบ้างแล้ว) ก็เลยทำให้เรื่องนี้ต้องหลุดโผ 10(+2) อันดับหนังแห่งปีของผมไปอย่างน่าเสียดาย

* 13 Tzameti - เป็นหนังขาวดำที่ทำอารมณ์ได้กดดันดี ฉากรัสเซียนรูเล็ตทุกครั้ง ทำเอาคนดูลุ้นจนแทบลืมหายใจ

* Shortbus - จากหน้าหนังที่ X แตก เปิดเปลือยแทบทุกอณูเนื้อและอารมณ์ ... แต่เนื้อในกลับ เหงา ได้ใจยิ่งนัก

* The Simpsons Movies - มุกตลกจิกกัดได้เมามันส์สะใจ เป็นครอบครัว(ตัวเหลือง)ที่จ๊าบเอามั่กๆ

* Shoot'em up - ลูกบ้าเยอะดีครับ ชอบบบ

* Stardust - น่ารัก และมองโลกในแง่ดี ... เสียดายมัน 'ใส' และการฝ่าฟันอุปสรรคง่ายไปหน่อยสำหรับพี่ ไม่งั้นคงติดใน 10 อันดับแล้ว

* Body ศพ #19 - ถึงแม้บทหนัง (ที่ดีแล้วนั้น) จะมีช่องโหว่บางจุดอยู่อีกพอสมควร ... แต่อะไรบางอย่างในหนัง ก็ทำให้หนังไทยเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจดจำของปีนี้

* Mad hot ballroom - สารคดีเต้นรำน่ารักๆ ของเด็กๆ ที่สามารถเอาไปเป็นตำราสอนการเต้นบอลรูมได้เลย

 

โดย: บลูยอชท์ 16 มกราคม 2551 17:14:06 น.  

 

สวัสดีฮ่ะ เขียนสรุปได้เยอะดีครับ รักแห่งสยามนี้มาแรงแซงทางโค้งจริงๆกับหนัง
ยอดเยี่ยมประจำปีที่แล้ว

ถ้าจะให้จัดอันดับหนังที่ชอบ คงทำได้ยากครับ เพราะจำไม่ค่อยได้ว่าดูอะไรไปบ้างแล้ว

ถ้าให้นึกหนังที่อยากกลับไปดูอีกรอบก็คงจะประมาณ Knocked up, Rescue Dawn, รักแห่งสยาม, The Fountain, Hot Fuzz, Planet Terror, A Guide to Recognizing your Saint, Superbad, Once (เอาเป็นปีที่แล้วละกัน), This is England

 

โดย: BloodyMonday 18 มกราคม 2551 21:14:46 น.  

 

น่ารักดี

 

โดย: ตาหวาน IP: 124.120.48.39 24 กรกฎาคม 2551 2:16:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
16 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.