Strawberry Kiss บทที่ 4 (YURI)
๔ สงสัย พอรู้ความนิ่งอึ้งพูดไม่ออก คล้ายถูกหลอกปั่นหัวชวนสงสัย หล่อนลวงล่อทำดีด้วยเหตุใด สุดคาใจและแอบลุ้นระคนกัน. “เมื่อคืนหลับสบายไหม?” จันจิราถาม ขณะขับรถไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบรัอน “ก็ดี” รสาตอบแบบกวนๆ แล้วอดสงสัยไม่ได้ หลังหล่อนมุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมืองตรงข้ามกับทางไปสวนโสภาคย์ “จะไปไหนคะ?” “ไปซื้อของที่ตลาดค่ะ น้องสาจะแวะไปซื้ออะไรก่อนก็ได้นะ กว่าจะขนของเสร็จคงอีกสักพัก ซื้อแล้วค่อยมาเจอกันที่รถ” เจ้านายสาวบอก “ไม่รู้จะซื้ออะไร” สาวร่างเล็กพึมพำ “งั้นก็ไปด้วยกัน ถือว่าเริ่มงานเลย” สาวงามสรุปหน้าตาเฉย ใจดีได้ไม่กี่วินาทีจริงๆ เธอคิดประชดในใจ “เจ้าค่ะเจ้านาย” คนขับปรายหางตามองลูกน้องแวบหนึ่ง แล้วซ่อนยิ้มเอ็นดู ประชดเก่งเกินนะเรา ทีกับคนอื่นเรียบร้อยยิ่งกว่าผ้าพับไว้ น่าตีจริงๆ สาวสวยคิดอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนเปิดเพลงคลอเบาๆ เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารรู้สึกเบื่อ เป็นบทเพลงรักหวานเก่าๆ ที่ยังคงเพราะไพเราะทุกครั้งที่ได้ยิน “ท่าทางคุณจะชอบฟังเพลงรักมากเลยนะคะ” รสาเปรยขึ้น หลังเห็นอีกฝ่ายฮัมเพลงคลอไปเบาๆ เหมือนเมื่อวาน จันจิราคลี่ยิ้มสวยออกมา “ฟังเพลงแล้วทำให้อารมณ์ดีค่ะ อารมณ์ดีก็จะแก่ช้า” เหลือบมองคนข้างๆ “ถ้าน้องสาชอบทำหน้างอบ่อยๆ รับรองแก่เร็วแน่” สาวหน้าคมเม้มปาก สะบัดหน้ามองออกนอกหน้าต่าง ชักไม่แน่ใจแล้วว่า จะร่วมงานกับอีกฝ่ายได้นานแค่ไหน คนอะไรสวย แต่กวนประสาทมาก แต่พอคิดถึงค่าใช้จ่าย ก็ย้ำกับตัวเองในใจว่า ต้องอดทน หลับหูหลับตาทำงานนี้ไปก่อน เธอไม่อยากให้มารดาผิดหวัง และมองว่าตนเป็นพวกจับจรด เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เมื่อวานหลังทานมื้อเย็นเสร็จ สาวหน้าคมลงจากเรือนไปทักทายพร้อมเอาขนมไปฝากครอบครัวคนงาน สามพ่อแม่ลูกอยู่ที่นี่ตั้งแต่พ่อเธอยังอยู่ จึงสนิทสนมไม่ต่างจากญาติ เด็กสาววัยสิบกว่าชื่อขวัญได้เล่าหลายเรื่อง ที่แม่ไม่ได้บอก เรื่องของน้องชายน้องสาว รวมถึงสภาพทรุดโทรมของบ้านไม้ ที่ไม่ได้รับการซ่อมบำรุงหลังโดนน้ำท่วมหลายครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาใหญ่ก็คือ ... ‘เงิน’ เพียงคำเดียว ฉันควรจะแบ่งเบาภาระของแม่ จะมาทำตัวเป็นเด็กเป็นลูกแหง่อยู่ไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่สาวหน้าแขกตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด แม้ว่ามารดาจะไม่เคยเรียกร้องอะไรจากลูก แต่เป็นหน้าที่ของลูกที่จะต้องกตัญญูรู้คุณบุพการี โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้บอก ...เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ทุกคนควรมีประจำใจ ...เป็นคนดีไม่ง่าย แต่สามารถฝึกฝนเรียนรู้ได้ ไม่มีใครเป็นคนดีมาตั้งแต่เกิด “กลับบ้านไม่กี่วันก็ทำหน้ายุ่งซะแล้ว ยิ้มเยอะๆ หน่อยสิคะ เวลายิ้มน้องสาน่ารักมากเลยรู้ไหม” คนขับรถพูดเตือนทีเล่นทีจริง สาวหน้าคมขมวดคิ้วกับการแสดงออกของอีกฝ่าย “ทำไมต้องดีกับฉันนัก? ฉันรู้นะว่า คุณวางแผนให้ฉันมาทำงานกับคุณ” ฉลาดทีเดียว จันจิรานึกชมในใจ แกล้งทำเสียงต่ำๆ ในลำคอ “ก็พี่บังเอิญอยากได้ผู้ช่วย แต่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจน่ะค่ะ” หืม? คนฟังทำหน้างง “ก็เลยหลับหูหลับตามาคว้าฉันเหรอคะ?” คนสวยนึกขำ แต่ก็เออออ “จะพูดแบบนั้นก็ได้” ร่างเล็กกระพริบตาถี่ ไม่ค่อยเข้าใจเจ้านายคนใหม่สักเท่าใด “คุณจ้างฉัน ทั้งที่คุณไม่รู้ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง ให้เข้าทำงานแถมยังให้เงินเดือนสูงอีกต่างหาก เลือกคนวิธีนี้สวนคุณไม่เจ๋งแน่นะ ฉันชักสงสัยแล้วสิว่า คุณบริหารเป็นหรือเปล่า?” สาวงามหัวเราะร่วนที่โดนแขวะ “พี่ก็บริหารแบบมั่วๆ รู้บ้างไม่รู้บ้าง ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ” สาวหน้าคมค้อนปะหลับปะเหลือก “หวังว่าสวนคุณจะเปิดต่อไปนานๆ นะคะ ฉันไม่อยากตกงานเร็วนัก” “รับรองค่ะว่าพี่ไม่รีบปิดธุรกิจแน่ สบายใจได้” “ให้มันจริงเถอะ” เธอพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง เหม่อมองออกนอกกระจก “เอาเป็นว่า ถ้าวันไหนพี่ไม่มีข้าวกิน พี่จะไปขอน้องสานะคะ” อีกคนพูดยิ้มๆ “เรื่องอะไร บ้านคุณรวยจะตายไป มาขอฉันทำไม” สาวร่างเล็กโวยวายไม่คิดอวดดีเป็น ‘เตี้ยอุ้มค่อม’ ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูใคร แค่ตัวเองยังจะไม่รอด แม้จะมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่หามาเพิ่มเอาแต่ใช้ ไม่นานก็คงหมด “คุณเป็นเจ้านายฉันนะคะ คุณต้องดูแลฉันสิ” “แย่จัง!” คนสวยแกล้งทำหน้าหงอย ใจจริงสนุกกับการต่อปากต่อคำกับรสามาก ปกติหล่อนไม่คิดจะพูดเยอะแบบนี้กับคนอื่น นอกจากคนในครอบครัวหรือผู้ที่คุ้นเคยเท่านั้น ขี้แกล้งชะมัด รสาส่ายหัวไปมากับอุปนิสัยของเจ้านายสาว ไม่นาน หล่อนจอดรถหน้าร้านจงเจริญ ซึ่งเป็นร้านขายอุปกรณ์การเกษตรสามคูหา แทนที่จะเป็นอีกร้านที่ใหญ่กว่าที่อยู่ตึกถัดไป เธอมองหน้าร้านที่แวะมาบ่อยๆ เป็นร้านของพ่อบุปผาเพื่อนรัก “ร้านนี้เหรอคะ?” “ใช่ค่ะ” สาวงามดับเครื่องแล้วก้าวลงจากรถ ผู้ช่วยสาวจึงก้าวเท้าตามไปด้วย “อ้าว คุณจัน สวัสดีครับ” เสี่ยเจริญ เจ้าของร้านวัยห้าสิบเศษเอ่ยต้อนรับลูกค้าคนสำคัญ “สวัสดีค่ะเฮีย ของที่สั่งไว้ได้ครบไหมคะ?” ร่างบางเรียกเขาแบบเดียวกับลูกค้าส่วนใหญ่ “ขาดไปอย่างหนึ่งครับ ร้านที่กรุงเทพฯ บอกว่าขาดตลาดกว่าจะมาคงอีกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์น่ะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” “งั้นเหรอคะ” เจ้านายสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าของมาแล้วรบกวนโทรแจ้งด้วยนะคะ” “ได้ครับ” เจ้าของร้านหันไปสั่งลูกสาว “บุปไปตามเด็กมาช่วยกันยกของให้คุณจันที ด่วนนะ” “ค่ะป๊า” ลูกสาวรับคำ “บุป” รสาเรียกชื่อเพื่อน “อ้าวสา มาได้ไง?” บุปผาทำหน้าประหลาดใจ “มากับคนโน้น” เธอบุ้ยใบ้ไปยังจันจิรา คุณจัน? ลูกสาวเจ้าของร้านทำหน้างงเล็กน้อย “เดี๋ยวมาคุยนะ ขอบอกเด็กก่อน” “อือ” ไม่ถึงนาที บุปผาก็เดินกลับมาคุยด้วย ขณะที่ลูกจ้างชายช่วยกันขนของขึ้นรถปิคอัพสีดำ “ทำไมมากับคุณจันได้?” “เมื่อวานเจอกัน เธอชวนไปทำงานที่สวนโสภาคย์ เป็นผู้ช่วยน่ะ” สาวหน้าแขกเล่าแบบรวบรัด “อะไรจะเร็วขนาดนั้น โชคดีชะมัด” เพื่อนรักทำหน้าแปลกใจ “อย่างน้อยก็ดีกว่าตกงานอยู่บ้าน” “มันก็จริง” บุปผาพยักหน้า ไม่ชอบทำงานที่บ้านเท่าไหร่ แค่วันเดียวก็เบื่อจะตายแล้ว “เอาน่า ทำๆ ไปเดี๋ยวก็ชอบเอง” “พูดง่ายตลอด ดีใจล่ะสิที่ไม่ต้องปลูกผักอยู่บ้าน” เพื่อนสนิทค้อนอย่างหมั่นไส้นิดๆ “แน่นอน คนมันโชคดี” สาวร่างเล็กหัวเราะคิกคัก “กวนประสาท” บุปผาต่อว่า รสาเหลือบมองไปทางคนสวยที่กำลังคุยกับเจ้าของร้าน เดาว่ารอ ขนของและชำระค่าสินค้า ใกล้เสร็จแล้วมั้ง? ลูกสาวเจ้าของร้านมองตามสายตาเพื่อน แล้วพูดขึ้นลอยๆ “ว่าแต่คุณจันนี่เท่มากเลยนะ” หืม? สาวหน้าคมมองเจ้านายสาว แล้วหันกลับมามองคนพูด “เท่ตรงไหน?” “ทุกตรงสิ ขนาดคนหัวสูงอย่างยายปานตา ยังคลั่งเธอมากๆ เลย แกเชื่อรึเปล่า” ปานตาคือลูกสาวเสี่ยวิชัย เป็นผู้มีอิทธิพลในละแวกนี้ ทำธุรกิจขายปุ๋ยเคมีและอุปกรณ์การเกษตร ทั้งเงินสดเงินผ่อน ยังปล่อยกู้อีกด้วย ชาวบ้านหลายคนที่เดือดร้อนจะนำโฉนดที่ดินไปจำนองกับเขา คนฟังทำหน้าประหลาดใจ ด้วยไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน “ขนาดนั้น?” “เออสิ ทุกครั้งที่เห็นคุณจัน ยายนั่นแทบจะถลาเข้าไปกอด หน้าไม่อายมาก” รสากลอกตามองบน ไม่อยากจะเชื่อ แต่อดถามต่อไม่ได้ “แล้วคุณจันทำไง?” “แค่ยิ้มๆ บางทีก็ขอตัวไปดื้อๆ คงรำคาญ” บุปผาหัวเราะ “ยายตาได้แต่ร้องโวยวายกระทืบเท้า โดนปฏิเสธไม่รู้กี่หน แต่ไม่เคยเข็ดสักที” “เนื้อหอมไปนะ” สาวหน้าคมประชดอย่างหมั่นไส้ “เนื้อหอมมากเลยล่ะ นอกจากยายปานตา ลือกันว่าสารวัตรชยุตตามจีบคุณจันอยู่เหมือนกัน ที่สวนมีคนแอบปลื้มเธออีกไม่รู้เท่าไหร่” “สวยรวยก็ดีแบบนี้ ใครก็อยากได้” “เออสิ” เพื่อนรักเห็นด้วย “แต่ฉันอิจฉาแกว่ะ” สาวหน้าแขกกระพริบตาถี่ “ฉันมีอะไรให้อิจฉา?” “ก็เรื่องแกได้ทำงานกับคุณจันน่ะสิ เป็นผู้ช่วยได้เห็นได้อยู่ใกล้ๆ แค่นี้ก็สุขมากแล้ว” บุปผาอธิบายด้วยสีหน้าเคลิ้ม ถ้ารู้จักตัวจริงของเจ้าหล่อน แกจะไม่คิดแบบนี้ คิดเถียงในใจ แต่ไม่พูดออกไป เพราะเพื่อนคงไม่ยอมเชื่อแน่ “น้องสาคะ พี่เสร็จแล้วนะคะ จะไปกันหรือยังคะ?” จันจิรากล่าวกับลูกน้องเสียงอ่อนหวาน “ค่ะ” รสาขานรับ หันมาลาเพื่อน “ไปนะ แล้วค่อยคุยกัน” “โชคดี” บุปผาโบกมือให้ ยืนส่งสองสาวขึ้นกระบะแล้วขับออกไป สังหรณ์ใจบางอย่างแวบขึ้นมา หวังว่าแกจะไม่เป็นแบบยายปานตาอีกคนนะรสา “ถามอะไรหน่อยสิ?” คนขับชวนคุย หลังเงียบไปไม่ถึงห้านาที รสาเอียงหน้ามองคนถาม “เรื่องอะไรคะ?” “เรื่องส่วนตัวค่ะ ตอนทำอยู่ที่ทำงานเก่า มีคนจีบเยอะไหมคะ?” เธอกลอกตาคิด แล้วตอบไปตามความจริง “ก็พอมีนะคะ” จันจิราชะงัก ก่อนกลั้นใจถามต่อ “มีแฟนแล้วเหรอคะ?” “ไม่มีหรอกค่ะ ฉันไม่ได้สนใจใคร ถึงหน้าตาจะไม่สวยมากแบบคุณ แต่ฉันก็เลือกนะคะ” เธอหลุดปากเปรียบเทียบตัวเองกับเจ้านายสาว ที่แท้ก็มองว่าพี่สวย สาวงามขยับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะ” เสียงใสหวานเอ่ยอย่างร่าเริง “เรื่องอะไรคะ?” เธอคิดตามไม่ทัน “เมื่อกี้น้องสาชมพี่ว่าสวยมาก พี่ดีใจจริงๆ” เชอะ “หลงตัวเอง” รสาต่อว่า “ก็นิดหน่อยนะคะ” หล่อนคลี่ยิ้มอ่อนๆ “แต่พี่อยากให้ใครบางคนหลงมากกว่า” ใครกัน? สาวหน้าแขกคิดสงสัย มั่นใจว่าหล่อนน่าจะมีคนรักอยู่แล้ว “ไม่ถามพี่เหรอคะว่าใคร” สาวสวยพูดต่อ หลังอีกคนเงียบไป ผู้ช่วยสาวทำหน้านิ่ง “เรื่องส่วนตัวของคุณฉันไม่อยากรู้นักหรอกค่ะ ฉันไม่ใช่แฟนคลับของคุณนะคะ” “แฟนคลับ...หมายถึงใครคะ?” หล่อนถามอย่างสงสัย “ปานตาลูกสาวเสี่ยวิชัยน่ะสิคะ จะใครซะอีก หรือคุณมีหลายคนเลยจำไม่ได้” เธอย้อนแบบกวนๆ “อ๋อ” คนงามหัวเราะ เปิดไฟเลี้ยวเพื่อเข้าไปยังสวนโสภาคย์ “ถ้าเป็นคนนั้น พี่ไม่เคยคิดอะไรด้วย” ก็ว่างั้น รสาคิดต่อในใจ “แล้วคุณมาบอกฉันทำไมคะ?” “เพราะน้องสาเป็นคนที่พี่สนใจน่ะสิคะ” สนใจ! สาวหน้าแขกขมวดคิ้ว ไม่คิดอยากจะเชื่อนัก “อย่ามาล้อเล่นนะคะ ฉันไม่ตลกด้วย” “เรื่องนี้พี่ไม่ล้อเล่นค่ะ” หล่อนพูดย้ำหนักแน่น “ฉันไม่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน” เธอโพล่งบอกออกไป หวังให้อีกฝ่ายเลิกหว่านเสน่ห์ใส่ตน จันจิราเอียงหน้ามองผู้ช่วยสาว แล้วคลี่ยิ้มที่ทำให้หลายคนใจสั่น “พี่จะจำไว้ค่ะ” จะยิ้มอะไรนักหนา นึกต่อว่า จู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นแบบไม่มีเหตุผล หน้าร้อนวูบจนต้องเมินหน้ามองออกนอกหน้าต่าง บ้าจริง! ทำไมต้องใจเต้นแรงด้วย ก็ผู้หญิงเหมือนกัน หญิงสาวนึกเอ็ดตัวเองที่ดันรู้สึกแพ้รอยยิ้มของหล่อน ทั้งที่ปกติก็ไม่เคยรู้สึกรู้สาแบบนี้กับใครมาก่อน “เนื้อหอมมากเลยล่ะ นอกจากยายปานตา ลือกันว่าสารวัตรชยุตตามจีบคุณจันอยู่เหมือนกัน” คำพูดของเพื่อนสนิทผุดขึ้น ในใจรู้สึกหนักอึ้งแบบแปลกๆ หลังเปรียบเทียบตนกับผู้มาชอบจันจิรา ซึ่งล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติเหนือกว่าตนทุกอย่าง ฉันมันแค่ธุลีดิน ไม่เหมาะกับลูกมหาเศรษฐีอย่างคุณหรอก เฮ้ย! นี่ฉันคิดบ้าอะไรอยู่! เธอตกใจกับความคิดของตัวเองที่ดูจะผิดเพี้ยนไปจากปกติ “ยินดีต้อนรับสู่สวนโสภาคย์ค่ะ” รสาทำตาโตกว้าง เมื่อกวาดตาไปรอบๆ อาณาเขตสวนดอกไม้ใหญ่ที่สุดของแถบนี้ เห็นต้นไม้ใหญ่เรียงรายดูร่มรื่นร่มเย็น ดอกไม้หลากสีแข่งกันชูช่อเบ่งบานสองข้างทาง “โห ต้นไม้เยอะมาก ดอกไม้สวยจัง” OoXoO ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ ขอบคุณทุกหัวใจ ทุกคอมเม้นท์ และทุกการทวงถาม ไรท์ชอบอ่านนะคะ ^^ ในตอนนี้สองสาวคุยกัน ค่อยๆ ทำความรู้จักกัน ต่อไปพี่จันจะกวนมากขึ้น น้องรสาจะค้อนจะหมั่นไส้บ่อยๆ ค่ะ อิอิ ไรท์ชอบเขียนแบบค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เขียนแบบสบายๆ แต่ความสัมพันธ์จะก้าวหน้าหรือถอยหลัง...ต้องตามต่อตอนหน้าค่ะ เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างรีไรท์ ใจเย็นๆ กันอีกนิดนะคะ พบกันตอนหน้าค่ะ นาง ^^
OoXoO
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2562 |
|
0 comments |
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2562 22:00:54 น. |
Counter : 565 Pageviews. |
|
|
|