|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อยู่จำพรรษา
ความเป็นมาของการอยู่จำพรรษา การอยู่จำพรรษาหรือที่ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันว่า "การเข้าพรรษา" นั้น เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของภิกษุในพุทธศาสนา ได้ทำติดต่อกันมาตั้งแต่พุทธกาลจวบจนปัจจุบัน นับเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดโดยไม่ขาดสายได้อย่างอัศจรรย์ เดิมทีเดียว เมื่อภิกษุยังมีจำนวนน้อย ไม่มีการเข้าพรรษา เมื่อถึงฤดูฝนท่านหยุดจาริกของท่านเอง พ้นหน้าฝนแล้วออกจาริกสั่งสอนประชาชนต่อไป ต่อมาเมื่อภิกษุมากขึ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งเป็นธรรมเนียมให้มีการอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือนฤดูฝน คงจะด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น 1. เพื่ออนุโลมตามธรรมเนียมของบ้านเมืองในสมัยนั้น "เป็นธรรมเนียมของบ้านเมืองในครั้งโบราณ เมื่อถึงฤดูฝนต้องงดการไปมาหาสู่ต่างเมืองชั่วคราว มีตัวอย่างเช่นพ่อค้า สัตว์พาหนะ ถึงฤดูฝน ณ ที่ใดต้องหยุดพัก ณ ที่นั้น เป็นอย่างนี้เพราะทางเดินเป็นหล่มไปไม่สะดวก นอกจากนี้ยังจะถูกน้ำป่าหลากมาท่วมด้วย"(วินัยมุข ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส) 2. เพื่อป้องกันการตำหนิติเตียนของชาวเมือง ข้อนี้มีเรื่องเล่าไว้ในพระวินัยปิฎกมหาวรรควัสสูปนายิกขันธกะ (หมวดที่ว่าด้วยการเข้าพรรษา) ว่า "สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เวฬุวนาราม นครราชคฤห์ ครั้งนั้นยังมิได้ทรงบัญญัติการอยู่จำพรรษาแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษติเตียนว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร จึงได้เที่ยวจาริกไปเช่นนั้น เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนสัตว์มีชีวิต เช่นสัตว์หรือแมลงเล็ก ๆ จำนวนมากให้วอดวาย แม้พวกเดียรถีย์ปริพพาชกผู้กล่าวธรรมอันต่ำทราม ยังรู้จักพักอาศัยอยู่ประจำที่ตลอดฤดูฝน อนึ่ง ฝูงนกยังรู้จักทำรังอยู่บนยอดไม้และพักอาศัยอยู่ตลอดฤดูฝนเหมือนกัน แต่เหตุไฉนพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหล่านี้จึงยังท่องเที่ยวอยู่" พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเหตุนี้ จึงทรงบัญญัติธรรมเนียมการอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือนฤดูฝน ความจริงฤดูฝนมี 4 เดือน คือตั้งแต่กลางเดือน 8 ถึงกลางเดือน 12 แต่ออกพรรษา 1 เดือนก่อนสิ้นฤดูฝน เพื่อให้เตรียมตัวหาจีวรและบริขารอันจำเป็นอื่น ๆ ในการจาริกเพื่อสั่งสอนประชาชนต่อไป 3. เพื่อถือเป็นโอกาสอันดีของภิกษุ จะได้เก็บตัวปฏิบัติธรรม ฝึกฝนอบรมจิต เติมพลังความรู้ความสามารถให้แก่ตัวเองเมื่อออกพรรษาแล้ว จะได้จาริกออกสั่งสอนประชาชนต่อไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าเหมือนการปิดเทอมใหญ่ของโรงเรียนให้ครูได้พักผ่อนและเพิ่มเติมความรู้ พอเปิดเทอมใหม่ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น วันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษามี 2 คราว คือคราวแรกกำหนดวันแรมค่ำ 1เดือน8 (อาสาฬหะ) เรียกวันเข้าพรรษาต้น (ปุริมิกา วัสสูปนายิกา) ถ้าพระรูปใดเข้าพรรษาต้นไม่ทันด้วยเหตุจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านอนุญาตให้เข้าพรรษาหลังได้ ถือไปเข้าพรรษาเอาแรม 1 ค่ำ เดือน 9 เรียก ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา แต่ถ้าถึงวันเข้าพรรษาแรกแล้วเที่ยวเตร่เสียไม่ยอมเข้าพรรษา ด้วยเห็นว่าเข้าพรรษาหลังก็มีอยู่ ค่อยเข้าพรรษาหลังก็ได้ ดังนี้ไม่สมควร ถ้าทำท่านปรับอาบัติทุกฎ (ทุกฎ แปลว่าทำไม่ดี ไม่ควร ไม่ถูกต้อง) จะไม่ยอมเข้าพรรษาเลยก็ไม่ได้ ปรับอาบัติทุกฎเหมือนกัน ข้าพเจ้าเคยสงสัยว่า พระสงฆ์ไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศเช่นอังกฤษ หรืออเมริกา ซึ่งฤดูฝนไม่ตรงกับทางบ้านเมืองเรานั้น ท่านควรเข้าพรรษาในเดือนใดจึงจะเหมาะ ถ้าถือเอาวันแรมค่ำ 1เดือน 8 เป็นวันเข้าพรรษาก็คงทำเพียงเพื่อรักษาธรรมเนียมเท่านั้น หาได้สำเร็จประโยชน์ตามจุดมุ่งหมายแต่ประการใดไม่ เพราะจุดมุ่งหมายของการอยู่จำพรรษาก็เพื่อได้หยุดจาริกในฤดูฝน ถ้าท่านจำพรรษาในฤดูฝนของประเทศนั้น ๆ ก็เรียกว่าได้ทำตามจุดมุ่งหมาย แต่อาจขัดกับธรรมเนียมที่เคยประพฤติมา ไม่เป็นที่ถูกใจของผู้ที่เคร่งในธรรมเนียมก็ได้ ทำนองเดียวกับความเชื่อและความปลงใจเห็นว่าเมื่อพระขึ้นเทศน์บนธรรมาสน์จะต้องถือถัมภีร์ พระสมัยก่อนนี้ เมื่อท่านเทศน์บนธรรมาสน์ท่านอ่านข้อความในคัมภีร์ใบลานต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นคัมภีร์กระดาษพับอย่างเดียวกับคัมภีร์ใบลาน เรียกว่า ถือคัมภีร์และได้ใช้ประโยชน์ของคัมภีร์นั้น แต่เห็นพระสมัยนี้นั่งเทศน์บนธรรมาสน์ปจุฉาวิสัชนา 2 ธรรมาสน์ ท่านไม่ต้องดูคัมภีร์เลย แต่ท่านก็ยังคงถือคัมภีร์ไว้ในมือหรือวางไว้บนตัก เรียกว่าถือคัมภีร์พอเป็นธรรมเนียมเท่านั้นเอง ไม่มีประโยชน์อะไรอย่างอื่น เรื่องของศาสนานั้น บางอย่างปฏิบัติกันไปตามธรรมเนียมโดยไม่คำนึงถึงสาระหรือจุดมุ่งหมาย บางอย่างถ้าต้องการให้ได้สาระก็ต้องทิ้งธรรมเนียมที่เคยทำกันมาบ้าง บางอย่างธรรมเนียมกับสาระสอดคล้องกันดีก็น่าจะรักษาไว้ให้ยั่งยืนต่อไป ทำนองคนจะกินพุทรา มังคุด หรือเงาะ ทั้งเปลือกก็ดูจะไม่สมควร เรียกว่าไม่รู้จักกินผลไม้ ธุรกิจที่ทรงผ่อนผันให้ไปแรมคืนได้ในพรรษา ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาในกุฏิใด ในวัดใดอันเหมาะสมที่จะอยู่ได้ตลอด 3 เดือนแล้ว ท่านไม่ให้ไปแรมคืนที่อื่นนอกจากมีธุระจำเป็นจริง ๆ ก็ไปได้ และไปแรมคืนได้อย่างมากเพียง 7 วัน ถ้าเกิน 7 วันพรรษาขาด ครบ 5 วันหรือ 6 วันแล้วรีบกลับมานอนในวัดหรือในกุฏิที่เข้าพรรษาเดิมเสีย วันต่อไปอาจไปได้อีก การไปแรมคืนที่อื่นในลักษณะนี้ท่านเรียกว่า"สัตตาหกรณียะ "(กรณียกิจที่จะพึงทำได้ภายใน 7 วัน) ธุรกิจอันเป็นเหตุให้ทำสัตตาหะได้นั้น มีหลายอย่างเช่น 1. ผู้มีศรัทธาต้องการทำบุญส่งคนมานิมนต์ไปฉลองศรัทธาของเขาได้ ข้อนี้มีเรื่องอันเป็นปฐมเหตุเล่าไว้ในวินัยปิฎกว่า อุบาสกคนหนึ่งชื่ออุเทน สร้างที่อยู่อุทิศสงฆ์ไว้ในแคว้นโกศล ส่งทูตไปนิมนต์พระสงฆ์ให้มารับที่อยู่และเขาปรารถนาจะถวายทานฟังธรรม ปรารถนาพบเห็นภิกษุทั้งหลาย แต่ภิกษุทั้งหลายตอบไปกับทูตว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติให้เข้าพรรษา 3 เดือน เพราะฉะนั้นรับนิมนต์ไม่ได้ อุบาสกอุเทนติเตียนว่าเหตุไฉนภิกษุทั้งหลายจึงไม่ฉลองศรัทธาในเรื่องนี้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องแล้วทรงอนุญาตให้ไปได้ด้วยวิธีสัตตาหกรณียะ 2. มารดาบิดาหรือสหธรรมมิก (เพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยกันเช่นภิกษุ) ป่วยไข้ ไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ 3. สหธรรมมิกกระสันใคร่จะสึก ไปเพื่อระงับความคิดอย่างนั้นเสียก็ได้ 4. สถานที่อยู่ เสนาสนะของสงฆ์ในที่ใดที่หนึ่งชำรุดทรุดโทรม ตนเป็นผู้ฉลาดสามารถในการซ่อมแซม ไปเพื่อซ่อมแซมก็ได้ 5. แม้ธุระอื่น ๆ อันสมควร เป็นงานพระศาสนา หรือเรื่องอันเกี่ยวกับการประพฤติธรรม ก็ทรงอนุญาตให้สัตตาหกรณียะไปได้ อันตรายของการอยู่จำพรรษา ขณะอยู่จำพรรษาถ้ามีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น จะอยู่ต่อไปไม่ได้ ทรงอนุญาตให้ไปจากที่นั้นได้ พรรษาขาด แต่ไม่ปรับอาบัติ อันตรายอันพอถือเป็นเหตุให้หลีกไปได้ท่านแสดงไว้ดังนี้ 1. ถูกสัตว์ร้าย โจร หรือปิศาจเบียดเบียน 2. เสนาสนะถูกน้ำท่วมหรือไฟไหม้ 3. อุทกภัยหรือัคคีภัยเกิดขึ้นแก่ชาวบ้าน อันภิกษุอาศัยที่บิณฑบาต พวกเขาอพยพไป ภิกษุจะตามเขาไปก็ได้ แต่ทรงอนุญาตให้ตามไปในกรณีที่ชาวบ้านเขาเลื่อมใส และเต็มใจเท่านั้น 4. ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต ไม่ได้อาหารหรือเภสัชอันสมควร หรือไม่ได้อุปฐากอันเหมาะสม ในข้อนี้ถ้ายังพอทนอยู่ได้ ท่านว่าควรทนอยู่ต่อไป พระศาสดาเคยทรงทำเป็นตัวอย่างเมื่อครั้งทรงจำพรรษาอยู่เมืองเวรัญชา เวรัญชพราหมณ์นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาแล้วลืมเสีย ไม่ได้อุปถัมภ์บำรุงใด ๆ เลย สมัยนั้นข้าวยากหมากแพง ภิกษุสงฆ์ต้องอดอยาก ได้อาศัยพวกพ่อค้าม้าพักแรมอยู่ใกล้ ๆ ได้นำข้าวตากแห้งมาถวายพอยังชีพไปตลอดพรรษา ในเรื่องนี้ท่านว่าถ้าทนไม่ไหวจริง ๆ แล้วจึงค่อยไป 5. มีหญิงมาเกลี้ยกล่อม มีญาติมารบกวนให้สึก ล่อด้วยทรัพย์และกามารมณ์ จิตเป็นธรรมชาติกลับกลอก อาจเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ได้ 6. เห็นทรัพย์หาเจ้าของมิได้ จิตเป็นธรรมชาติกลับกลอก อาจทำให้โลภเจตนาเกิดขึ้นถือเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน ทรัพย์นั้นอาจเป็นทรัพย์ที่พวกโจรลักพามาซ่อนไว้ใกล้ที่จำพรรษาของภิกษุ เจ้าของทรัพย์ตามมาพบเข้าอาจเข้าใจผิดว่าภิกษุเป็นขโมย 7. สงฆ์ในอาวาสอื่นแตกกันแล้วหรือกำลังจะแตกกัน ไปเพื่อห้ามหรือเพื่อสมานสามัคคีก็ได้ ในข้อนี้ท่านว่ากลับมาทันควรไปด้วยสัตตาหกรณียะ "อนึ่ง ภิกษุรับนิมนต์ของชาวบ้านหรือนัดกันเองก็ดีว่าจะจำพรรษาในที่ใดแล้ว พอถึงวันเข้าจริงไม่อยู่ในที่นั้น แกล้งทำให้คลาดเคลื่อนเสีย ต้องอาบัติปฏิสสวทุกฎ แปลว่าทุกฏเพราะรับคำ" สถานที่จำพรรษาและที่ไม่ควรอยู่จำพรรษา ที่จำพรรษานั้นนอกจากกุฏิวิหารต่าง ๆ แล้ว ทรงอนุญาตให้จำพรรษาในหมู่โคต่าง คือกลุ่มพวกพ่อค้าโคก็ได้ เมื่อเขาย้ายไปก็เดินทางไปกับเขาได้ แม้ในหมู่พวกเกวียนก็เหมือนกัน จวนจะเข้าพรรษาต้องการจะเดินทางไปกับพวกเรือ จำพรรษาในเรือก็ได้ไม่ทรงอนุญาตให้อยู่จำพรรษาในที่ต่อไปนี้คือ 1. ในโพรงไม้ เคยมีภิกษุอยู่จำพรรษา คนทั้งหลายติเตียนว่าเหมือนพวกปิศาจ 2. บนคาคบไม้ เคยมีภิกษุอยู่จำพรรษา คนทั้งหลายติเตียนว่าเหมือนพวกพรานเนื้อ 3. ในที่แจ้ง พอฝนตกก็พากันวิ่งเข้าโพรงไม้บ้าง เข้าชายคาบ้านเขาบ้าง 4. ในกระท่อมผี คนทั้งหลายติเตียนว่าเหมือนพวกสัปเหร่อ 5. ในร่ม สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงขยายความว่า เช่นกลดพระธุดงค์หรือกุฏิผ้าเช่นเต็นท์ คนทั้งหลายติเตียนว่าเหมือนคนเลี้ยงวัว 6. ในตุ่ม สมเด็จฯ ทรงขยายความว่ากุฏิดินเผา (กระมัง) คนทั้งหลายติเตียนว่าเหมือนพวกเดียรถีย์ ท่านว่า ถ้าไม่มีเสนาะสนะจริง ๆ จะไม่อยู่จำพรรษาก็ได้ สิ่งที่ไม่ควรตั้งกติกาในพรรษา กติกาคือข้อกำหนดหมายให้รู้ทั่วกัน และขอร้องให้ทุกคนปฏิบัติตาม ในพรรษานั้นท่านให้ตั้งกติกาที่เป็นธรรมเป็นวินัย เอื้ออำนวยในการทำความดียุ่ง ๆ ขึ้นไป ห้ามมิให้ตั้งกติกาอันไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้อง เช่น ตั้งกติกาว่าจะไม่บรรพชาอุปสมบทให้ผู้ใด เป็นต้น มีเรื่องอันเป็นต้นเหตุดังนี้ หลานชายคนหนึ่งของนางวิสาขา ศรัทธาใคร่จะบวช ได้เข้าไปขอบวชต่อภิกษุสงฆ์ แต่ภิกษุทั้งหลายไม่ยอมบวชให้บอกว่าในพรรษานี้ได้ตั้งกติกากันไว้ว่าจะไม่บรรพชาอุปสมบทให้ใคร ขอให้รอจนออกพรรษาเสียก่อน เมื่อออกพรรษาแล้ว ภิกษุได้บอกแก่หลานของนางวิสาขาว่า ถ้าจะบวชก็ได้ เขาบอกว่าถ้าได้บวชตอนนั้นก็จะยินดีหาน้อยไม่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่บวชละ นางวิสาขาได้ทราบเรื่องนี้ก็ติเตียนพระสงฆ์ว่าไฉนจึงต้องตั้งกติกาอย่างนั้นด้วย กาลเช่นไรจึงไม่ควรประพฤติธรรมเล่า พระศาสดาทรงทราบเรื่องนี้จึงตรัสห้ามมิให้ตั้งกติกาอันไม่เป็นธรรม "คราวเข้าพรรษาเป็นอภิลักขิตสมัยที่ภิกษุบำเพ็ญสมณธรรม จะตั้งข้อกติกานัดหมายกัน ห้ามไม่ให้ตั้งข้ออันไม่เป็นธรรม ท่านแสดงตัวอย่างไว้เช่นห้ามมิให้บอกมิให้เรียนธรรมวินัย ไม่ให้สาธยายธรรมไม่ให้เทศนา ห้ามไม่ให้ให้ บรรพชาอุปสมบทและให้นิสัย ห้ามไม่ให้พูดกัน เกณฑ์ให้ถือธุดงค์ เกณฑ์ให้บำเพ็ญสมณธรรม (บังคับ)" "ให้นัดหมายกันแต่ในข้ออันเป็นธรรม พูดชักนำให้เกิดอุตสาหะในการบอกการเรียนธรรมวินัยเป็นต้น เพื่อขวนขวายในกิจพระศาสนา เพื่อรู้ประมาณในการพูด เพื่อมีแก่ใจสมาทานธุดงค์และบำเพ็ญสมณธรรมตามสติกำลัง เพื่อเอื้อเฟื้อแนะนำกันในวัตรนั้น ๆ เพื่อรักษาสามัคคี ไม่วิวาทแก่งแย่งกันเพื่อรู้จักนับถือเกรงใจภิกษุอื่นเช่น จะสาธยายธรรมไม่ทำความรำคาญแก่ภิกษุผู้บำเพ็ญภาวนา" ประโยชน์ที่ควรได้จากการเข้าพรรษา รวมความว่าการเข้าพรรษาเป็นเรื่องของพระสงฆ์โดยตรง เพื่อปฏิบัติตามพระพุทธบัญญัติและความเหมาะแก่กาล พระสงฆ์ในอารามต่าง ๆ ถือเป็นโอกาสพิเศษที่จะทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อนึ่ง กุลบุตรไทยก็นิยมอุปสมบทกันในพรรษาเหมือนกันด้วย เข้าใจว่าจะได้กุศลแรงกว่าบวชนอกพรรษา แต่ความจริงคงเป็นดังที่นางวิสาขาว่า "ไม่มีกาลใดที่ไม่ควรประพฤติธรรม" การจะได้กุศลมากหรือน้อยมิได้ขึ้นอยู่กับการบวชในพรรษาหรือนอกพรรษา แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของผู้นั้นเอง ปฏิบัติดีมากก็ได้กุศลมาก ปฏิบัติเลว ก็ติดลบได้บาปไป อย่าว่าแต่จะโปรดพ่อโปรดแม่เลย แม้แต่ตัวเองก็เอาตัวไม่รอด นี่พูดถึงผู้ที่บวชแล้วปฏิบัติเลว ฝ่ายคฤหัสถ์ หรือฆราวาสผู้ที่โดยปกติ ธรรมดาไม่ค่อยเอาใจใส่ทำคุณงามความดี พอใจแต่จะทำความชั่วตามใจชอบ พอเข้าพรรษาก็คิดว่าจะเว้นนั่นเว้นนี่ ทำนั่นทำนี่ บางคนก็เว้นได้จริง ทำได้จริง บางคนก็เว้นได้ ทำได้ 6-7 วันแล้วเข้ารูปเดิม ถึงจะเว้นได้จริง ทำได้จริงตลอดพรรษา แต่พอออกพรรษาแล้วก็ประพฤติเหมือนเดิมก็คงไปไม่ได้เท่าไร เพราะปีหนึ่งมี 12 เดือน ทำได้เพียง 3 เดือน เพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ถ้าเปรียบด้วยการค้า ก็ยังเสียดุลอยู่นั่นเอง ส่วนท่านผู้ประพฤติดีอยู่เป็นปรกติแล้ว เมื่อเข้าพรรษาตั้งใจทำความดีมากขึ้นก็นับได้ว่ากำไร วัสสานฤดู แปลว่าฤดูฝน พรรษากาลก็แปลว่า กาลฝน หรือฤดูที่ฝนตกชุก ผู้ไม่มีร่ม เมื่อเดินออกไปย่อมเปียกฝน ผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยย่อมลำบากด้วยฝน ส่วนผู้มีร่มย่อมไม่เปียก ร่มช่วยคุ้มครอง ผู้มีที่อยู่อาศัยเช่นเรือนอันมีที่มุงที่บังดีย่อมสุขสบาย แม้ฝนจะตกหนักก็ไม่เดือดร้อนเพราะฝน ฉันใด ชีวิตภายใน (internal life) ก็ฉันนั้น ถูกฝนคือ ราคะ โทสะ และโมหะ หรือโลภ โกรธ หลง รั่วรดซัดสาดอยู่เนืองนิตย์ ผู้มีธรรมเป็นร่มเป็นที่อาศัยย่อมไม่ถูกเบียดเบียนให้เดือดร้อนเพราะกิเลสนั้น ธรรมย่อมคุ้มครองเขาให้อยู่เป็นสุขสมดังสุภาษิตที่ว่า ธมฺโมหเว รกฺขติ ธมฺมจารี ฉตฺตํ มหนฺตํ วิย วสฺสกาเล แปลว่า ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเหมือนร่มคันใหญ่ในฤดูฝน
บทความโดยอาจารย์วศิน อินทสระ ผู้จัดการออนไลน์ 4 ธันวาคม 2544
ขออนุโมทนาธรรมทาน
|
Create Date : 07 กรกฎาคม 2549 |
|
119 comments |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2549 12:14:24 น. |
Counter : 2712 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 7 กรกฎาคม 2549 9:21:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 7 กรกฎาคม 2549 9:34:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) 7 กรกฎาคม 2549 12:08:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทูน่าค่ะ 7 กรกฎาคม 2549 12:17:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 7 กรกฎาคม 2549 13:08:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 7 กรกฎาคม 2549 16:33:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้ามด 7 กรกฎาคม 2549 18:22:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: d__d (มัชชาร ) 7 กรกฎาคม 2549 20:56:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: แตนต่อย 8 กรกฎาคม 2549 3:24:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: pataree 8 กรกฎาคม 2549 11:30:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: spirit (pooktoon ) 8 กรกฎาคม 2549 12:43:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: maxpal 8 กรกฎาคม 2549 14:47:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: PANDIN 8 กรกฎาคม 2549 22:41:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 8 กรกฎาคม 2549 22:52:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: immuno (immuno ) 9 กรกฎาคม 2549 3:03:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: ิbagarbu (bagarbu ) 9 กรกฎาคม 2549 5:51:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: สะเทื้อน 9 กรกฎาคม 2549 12:19:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้ามด 9 กรกฎาคม 2549 12:27:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: สิงห์นครพิงค์(ไม่ได้ login) IP: 84.9.35.86 9 กรกฎาคม 2549 15:58:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: ยอดสน 10 กรกฎาคม 2549 1:33:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักบังใบ 10 กรกฎาคม 2549 11:52:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: ยอดสน 10 กรกฎาคม 2549 14:25:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: 90210 10 กรกฎาคม 2549 19:26:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: jenny (สาวอิตาลี ) 11 กรกฎาคม 2549 11:56:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 11 กรกฎาคม 2549 14:10:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 11 กรกฎาคม 2549 19:44:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 12 กรกฎาคม 2549 10:40:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 12 กรกฎาคม 2549 10:43:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 12 กรกฎาคม 2549 10:49:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: เป่าจิน 12 กรกฎาคม 2549 14:12:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมูย่าง IP: 202.28.169.165 12 กรกฎาคม 2549 14:12:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: สะเทื้อน 12 กรกฎาคม 2549 16:07:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 12 กรกฎาคม 2549 16:15:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cymry 12 กรกฎาคม 2549 16:26:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 13 กรกฎาคม 2549 2:09:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 13 กรกฎาคม 2549 3:43:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 13 กรกฎาคม 2549 10:00:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 13 กรกฎาคม 2549 10:42:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 13 กรกฎาคม 2549 11:03:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 13 กรกฎาคม 2549 12:02:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 13 กรกฎาคม 2549 12:13:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 13 กรกฎาคม 2549 12:19:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 13 กรกฎาคม 2549 12:58:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: maxpal 13 กรกฎาคม 2549 18:37:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: bagarbu (bagarbu ) 13 กรกฎาคม 2549 18:56:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: prncess 14 กรกฎาคม 2549 7:37:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 14 กรกฎาคม 2549 9:06:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 14 กรกฎาคม 2549 9:43:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 14 กรกฎาคม 2549 9:53:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: เป่าจิน 14 กรกฎาคม 2549 11:39:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: err_or 14 กรกฎาคม 2549 12:21:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: bagarbu (bagarbu ) 14 กรกฎาคม 2549 13:55:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 14 กรกฎาคม 2549 17:05:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: d__d (มัชชาร ) 14 กรกฎาคม 2549 17:53:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด IP: 124.120.52.129 14 กรกฎาคม 2549 21:48:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 15 กรกฎาคม 2549 18:34:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: สะเทื้อน 16 กรกฎาคม 2549 14:05:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 16 กรกฎาคม 2549 19:01:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 16 กรกฎาคม 2549 20:54:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 16 กรกฎาคม 2549 22:26:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 16 กรกฎาคม 2549 23:05:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: unwell (unwell ) 17 กรกฎาคม 2549 8:17:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: d__d (มัชชาร ) 17 กรกฎาคม 2549 11:18:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 17 กรกฎาคม 2549 11:53:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 17 กรกฎาคม 2549 14:28:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 17 กรกฎาคม 2549 21:38:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 17 กรกฎาคม 2549 21:47:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: สุภาฯ IP: 210.246.64.192 17 กรกฎาคม 2549 23:17:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 18 กรกฎาคม 2549 9:16:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตุ๊กติ๊ก IP: 203.146.85.142 27 มีนาคม 2550 17:52:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: nin IP: 117.47.25.138 8 ธันวาคม 2550 21:09:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: สุวัจชัย สุทธิมา IP: 117.121.209.250 12 มีนาคม 2553 15:55:47 น. |
|
|
|
|
|
|
Now Playing:
|
|
|
|
|
|
|
เปิดกรุได้ที่เมืองสวรรคโลก มีคำกล่าวในหนังสือว่าผู้ใดมีไว้ประจำบ้านเรือน มีอานิสงส์ยิ่งกว่าได้สร้างพระเจดีย์ทองคำสูงเทียมเทวโลก ถ้าผู้ใดสวดมนต์ภาวนาทุกค่ำเช้าแล้วผู้นั้นจะไม่ตกอบายภูมิ แม้ว่าได้บูชาไว้กับบ้านเรือนก็ป้องกันอันตรายต่างๆ จะภาวนาคาถาอื่นสัก ๑๐๐ ปี อานิสงส์ก้ไม่เท่าภาวนาพระคาถานี้ครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่า อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ที่มีอิทธิฤทธิ์จะเนรมิตรแผ่นอิฐเป็นทองคำก่อเป็นพระเจดีย์ ตั้งแต่มนุษย์โลกสูงขึ้นไปจนถึงพรหมโลก อานิสงส์ก็ยังไม่เท่าภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกนี้ และมีคำอธิบายคุณความดีไว้ในต้นฉบับเดิมนั้นอีกหลายประการฯ
๑. อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง วัจจะโส ภะคะวาฯ
อิติปิโส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ วัจจะโส ภะคะวาฯ
อิติปิโส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน วัจจะโส ภะคะวาฯ
อิติปิโส ภะคะวา สุคะโต วัจจะโส ภะคะวาฯ
อิติปิโส ภะคะวา โลกะวิทู วัจจะโส ภะคะวาฯ
๒. อะระหันตังสะระณังคัจฉามิ อะระหันตัง สิระสา นะมามิ
สัมมาสัมพุทธังสะระณังคัจฉามิ สัมมาสัมพุทธัง สิระสา นะมามิ
วิชชาจะระณะสัมปันนังสะระณังคัจฉามิ วิชชาจะระณะสัมปันนัง สิระสา นะมามิ สุคะตังสะระณังคัจฉามิ สุคะตัง สิระสา นะมามิ
โลกะวิทังสะระณังคัจฉามิ โลกะวิทัง สิระสา นะมามิ
๓. อิติปิโส ภะคะวา อะนุตตะโร วัจจะโส ภะคะวาฯ
อิติปิโส ภะคะวา ปุริสะธัมมะสาระถิ วัจจะโส ภะคะวาฯ
อิติปิโส ภะคะวา สัตถาเทวะมะนุสสานัง วัจจะโส ภะคะวาฯ
อิติปิโส ภะคะวา พุทโธ วัจจะโส ภะคะวาฯ
๔. อะนุตตะรังสะระณังคัจฉามิ อะนุตตะรัง สิระสา นะมามิ
ปุริสะธัมมะสาระถิ สะระณังคัจฉามิ ปุริสะธัมมะสาระถิ สิระสา นะมามิ
สัตถาเทวะมนุสสานัง สะระณัง คัจฉามิ สัตถาเทวะมนุสสานัง สิระสา นะมามิ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พุทธัง สิระสา นะมามิ ...(อิติปิโส ภคะวาฯ)..
คำแปล
๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้รู้แจ้งโลก
๒. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ว่า เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เองโดยชอบว่า เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เอง ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ด้วยเศียรเกล้า
๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นอนุตตะโร คือ ยอดเยี่ยม
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตื่นจากกิเลส
๔. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ
ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็น
ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ด้วยเศียรเกล้า
เพลงคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก
สุวัจชัย สุทธิมา
.......
ร่วมสนับสนุนส่งเสริมด้วยการซื้อแผ่นต้นฉบับ
เพื่อเป็นกำลังใจและกำลังทรัพย์
ให้ผู้ผลิตได้ผลิตผลงานดีๆออกมาสู่สังคม
ขออนุโมทนา