Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
10 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

ให้ 'เกียรติ' อยู่ได้ในความ 'เกลียด'





ในทัศนคติการดำเนินชีวิตของโลกตะวันตก(โดยเฉพาะทางอเมริกาซึ่งเราเองค่อนข้างคุ้นเคยเป็นพิเศษ)

มีสิ่งหนึ่งที่ตัวเราเองชื่นชมมาก
และอยากให้คนไทยเราที่ว่ายวนอยู่ในกระแสวัฒนธรรมภายนอกนั้นเข้าใจ ทั้งเก็บเอามาคิดและนำมาใช้มากอย่างหนึ่งก็คือ

"การให้เกียรติ" ผู้อื่น ไม่ว่าตัวเราเองนั้นจะรู้สึกเช่นไรกับคนคนนั้นก็ตาม



เราขอยกการเมืองของสหรัฐมาเป็นตัวอย่าง

การลงแข่งเลือกตั้งประธานาธิบดี

ซึ่งระหว่างการหาเสียง แต่ละพรรคจะตั้งทีมงานในการรณรงค์หาเสียงขึ้นมา
มีแคมเปญโฆษณาชวนเชื่อ...ซึ่งส่วนมากจะเป็นการใส่ไคล้ฝ่ายตรงข้าม


แต่ทุกแคมเปญนั้น ไม่ว่าจะดีหรือลงลึกเรื่องเลวร้ายขนาดไหน
จะต้องลงท้ายด้วยว่า "โฆษณานี้ได้รับการอนุมัติจาก....ชื่อผู้ลงแข่งขันประธานาธิบดี...ทุกครั้ง

นี่คือบันไดขั้นแรกของความรับผิดชอบของ "ผู้จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ"


แล้วเมื่อการสาดโคลนทั้งสองฝ่ายจบลง

ผู้ได้รับเลือกก็กลายเป็น "president-elect"


ทันทีที่ผลโหวตปิดลง

บรรดาทีมงานโดยเฉพาะหัวหน้าสตาฟ
แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะสนิทสนมกันแค่ไหน อาจเรียกชื่อต้นกันโดยไม่มีแม้แต่คำว่า Mr. ด้วยซ้ำไป

ก็จะเปลี่ยนคำเรียกขานว่าที่ผู้นำนั้นโดยตำแหน่งทันทีว่า "president-elect"

นี่คือการให้เกียรติ...ไม่ใช่แค่การให้เกียรติในบุคคล แต่เป็นการให้เกียรติใน "ตำแหน่ง"

ตำแหน่งที่ถูกคิด ผ่านการกลั่นกรองมาหลายทศวรรษเพื่อระบอบประชาธิปไตยที่ผู้ก่อตั้งเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อให้ได้มาเพื่อชนรุ่นหลัง


ในการให้เกียรตินั้นไม่ใช่แค่จากฝ่ายเดียวกัน

แม้แต่จากฝ่ายตรงข้ามที่ต่อสู้กันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ชนิดที่บ้านเราคงเรียกว่า "ไม่เผาผีกัน" ประมาณนั้นเลย

แต่ทันที...ไม่ต้องรอผลโหวตปิดอย่างเป็นทางการ...แค่พอประเมินแล้วว่าทางฝ่ายตนพ่ายแพ้ในการศึกครั้งนี้

ผู้ชิงตำแหน่งฝ่ายพ่ายนั้นจะโทรศัพท์มาแสดงความยินดี พร้อมทั้งลงท้ายด้วยคำว่า "president-elect" เช่นกัน

...นี่ล่ะคือการ "ให้เกียรติ" ในความเกลียดชัง(?)


...ซึ่งจริงๆแล้วจะเรียกว่าเป็นความเกลียดชังก็ดูจะรุนแรงไป
ถือว่าในความเป็นคู่แข่งก็อาจจะตรงมากกว่า





เมืองไทยเราพร่องในเรื่องแบบนี้หรือเปล่า?!

คนไทยเรามีขนบ(ซึ่งมันเข้มงวดกว่าประเพณี)ในเรื่องผู้ใหญ่ผู้น้อยมาโดยตลอด

แต่ก็แปลก...ในสายตาคนชอบศึกษาประวัติศาสตร์อย่างเรา...กลับพบว่า

คนไทยเราไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการให้เกียรติผู้อื่น




เราไม่อาจไปพูดแทนชาติอื่นๆในโลกที่เราไม่เคยรู้จักหรือรู้จักผิวเผินได้
แต่ขอมองแค่เมืองไทยบ้านเรานี่ล่ะ

เราเป็นประเทศที่ล้อเลียนคนด้อยกว่าตัวเองเยอะมากถึงมากที่สุด
จากล้อเลียน หนักข้อขึ้นคือการดูถูกในความด้อยกว่า

ดูถูกคนรอบข้าง ดูถูกคนใกล้ตัว ลามไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้าน


ซ้ำร้ายตรงไหนรู้ไหม
คือคนไทยเราที่กระทำแบบนั้น ไม่เคย "รู้" เลยว่านั่นคือการดูถูก

เพราะอะไรน่ะเหรอ...เพราะเรามองแค่ตัวเราเองไง
มองแต่ตัวเอง จนลืมไปว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึก "เป็น" เหมือนๆกับเรานี่ล่ะ


เพราะฉะนั้นในสายตาเราแล้ว คนไทยเรา...ตัวเรา...อยู่ท่ามกลางการไม่รู้จักให้เกียรติผู้อื่น

เป็นสังคมที่ไม่เคยถูกยกระดับให้ความสำคัญในเรื่องแบบนี้เสียที
แต่กลับไปให้ความสำคัญกับเปลือกบางอย่าง หัวโขนที่สวมอยู่ของตัวเอง


ขั้นพอจะมีการ "ให้เกียรติ" กับตำแหน่ง
ก็ไม่ได้ให้เกียรติตรงความสำคัญในหน้าที่ของมัน แต่กับเป็นเรื่องบ้าบอด้วยอัตตากู ของกู แทนไปเสียฉิบ



ลองย้อนมามองการเมืองไทยเราสิ
ไม่แค่ยุคสมัยปัจจุบันนี้หรอก มันเป็นมาทุกยุค
ผู้นำประเทศของเราไม่เคยได้รับ "เกียรติ" ในความ "เกลียด" เลย


มุมมองเราในเรื่องนี้ก็คือ
เพราะเราไม่เคยได้รับการปลูกฝังมาว่าคนเราต้องให้เกียรติ "ในความเป็นคน" ของผู้อื่น เท่ากับให้เกียรติตัวเอง



ถ้าเรานับว่าเขาเป็น "คน" เท่ากับที่เราเป็น
คนเราจะสามารถถอยห่างออกมาเพื่อไม่ไปล้ำเส้นของผู้อื่นได้

...ง่ายไหม เรื่องนี้เข้าใจง่ายแบบนี้เลยเราว่า



ความขัดแย้งของคนเรามันเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์
ไว้เมื่อไรหัวใจคนทำด้วยเครื่องจักร สมองถูกฝังด้วยชิพคอมพิวเตอร์ เมื่อนั้นค่อยมาพูดว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องไร้สาระละกัน


งั้นเมื่อคนเราเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา อารมณ์มันจะคลุมจนกลบความมีเหตุมีผล
ยิ่งถ้าไม่เคยเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้อื่นด้วยนั้น คุณก็จะยิ่งสามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้โดยไม่รู้สึกผิด



รู้ไหมว่าเวลาคนเราเลือกข้างไปแล้วน่ะ
เราก็จะทำเป็นลืมว่า ไม่มีใครถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ และไม่มีใครผิดร้อยเปอร์เซ็นต์

ขนาดเป็นเรื่องเกิดกับตัวเอง
เราว่าในระยะเวลาการเกิดเรื่องขัดแย้ง จะมีสักกี่คนกล้าลงมือขุดใจตัวเองเพื่อ "มอง" ส่วนเลวร้ายของตนบ้าง

ส่วนมากก็สาดอีกฝ่ายเต็มๆนั่นล่ะ
เอาความไร้เหตุผลมานำเพื่อเป็นเหตุผลกันทั้งนั้น

มันคือกลไกการปกป้องตัวเองของมนุษย์


เพราะฉะนั้นจึงวกกลับมาเรื่อง "การให้เกียรติ" ใน "ความเกลียด" จนได้


คนเราที่ทำร้ายกันมากๆทั้งทางร่างกายและจิตใจนั่นเป็นเพราะใจมีแต่ความเกลียด จนลืมการให้เกียรติกัน





เราอ้อมโลกมากี่รอบแล้ว...


เด็กในบ้านAFปีนี้ โดยเฉพาะเกรบ...ไม่ขออ้อมโลกอีกแล้ว

ต้องรู้จักและเรียนรู้ที่จะ "ให้เกียรติ" ผู้อื่น

ให้เกียรติในความเป็น "คน" ที่เขามีเท่าๆกับตัวเรา

นัตตี้เองก็ต้องเรียนรู้เช่นกันกับเกรบนั่นล่ะ เพื่อจะเติบโตขึ้นไปอีกขั้น
น้องเรียนรู้การปรับตัวเยอะขึ้นแล้ว
เพื่อจะให้น้องน่ามองขึ้นกว่านี้ น่ารักกว่านี้
พี่ถึงได้อยากให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร เราต้องเรียนรู้เรื่องการให้เกียรติคนอื่น


การให้เกียรติผู้อื่น เท่ากับให้เกียรติตัวเอง


แล้วการให้เกียรติน่ะมันไม่ได้หยุดอยู่ตรงแค่ให้เกียรติ "คน" นะ
มันยังครอบคลุมอยู่ที่การให้เกียรติกับสิ่งที่ได้รับมาไม่ว่าจะจับต้องได้หรือไม่ก็ตาม

การรู้สึกขอบคุณและทำให้เต็มที่ในทุกสิ่งที่ได้รับ...ก็คือหนึ่งในการให้เกียรติในสิ่งที่ได้รับเกียรติมา
...แม้บางทีเราอาจจะไม่อยากได้มันเลยก็ตาม ซึ่งถ้าแน่ใจว่าไม่ต้องการ ก็ควรยืนหยัดปฏิเศษไปตั้งแต่ต้น
และนั่นก็คือวิธีการให้เกียรติในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
(...อยากกระซิบว่า เรื่องของหัวใจก็ไม่ต่างกันหรอกนะ)


เพราะอย่างงั้นการรับมาแล้วไม่ใส่ใจหรือทำไปแกนๆพอให้ผ่าน
มันไม่ต่างจากการดูถูก
ดูถูกทั้งตัวเอง ผู้อื่น สิ่งอื่น



ในสังคมน่ะ...ยิ่งเมื่อก้าวออกจากอกพ่อแม่ที่พร้อมปกป้องเราในทุกเรื่องทุกอย่าง
พร้อมให้ความเข้าใจ เข้าข้างเราแม้เราจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม


โลกปลอดภัยแบบนี้มันจะสูญสลายไปทันทีเมื่อเราก้าวสู่โลกของการทำงาน
ไม่มีใครมัวมานั่งให้ความเข้าใจว่าเราเป็นคนแบบไหน เจอเรื่องราวร้ายแรงมาเท่าไร

ทุกคนต่างมุ่งที่ผลของงานเท่านั้น
ทำได้...ทำ
ทำไม่ได้...ออกไป จบ



เด็กยิ่งเล็ก ยิ่งต้องเรียนรู้การให้เกียรติ
และยิ่งควรเรียนรู้ว่า แม้ในความเกลียด เรายังต้องหลงเหลือการให้เกียรติกันเอาไว้ด้วย
มันคือการขัดเกลาสัญชาติญาณดิบที่ติดตัวคนมาตั้งแต่เกิด

คุณรู้ไหมว่า เด็กยิ่งเล็ก ยิ่งทำร้ายจิตใจกันได้เจ็บปวดที่สุด

ก็เพราะเด็กตัวเล็กๆยังไม่ถูกขัดเกลาเรื่องความเป็น "คน" ใช้แค่สัญชาติญาณในการล่าที่ติดตัวมาโดยดีเอ็นเอของความเป็นมนุษย์



การถูกอบรมสั่งสอน จึงไม่ต่างจากการเอาเปลือกของ "การอยู่ร่วมกัน" ในสังคมมาสวมไว้
บางคนก็มีหลายชั้น
บางคนก็พร่องหลายชั้น
บ้างก็สวมไว้ แต่พร้อมกระชากออกด้วยแรงอารมณ์ได้ทุกเวลา
บ้างก็คลุมตัวจนแน่นหนา ระมัดระวังไม่ให้เจ็บจนคนอื่นเข้าไม่ถึงก็มี


เด็กถึงจะเติบโตพร้อมสู้ในสังคมที่ไม่คิดอ่อนข้อให้ใครในยุคนี้






...นี่คือการมองโดยไม่เอาตัวเองเป็นแกนหมุนของโลกใบงี่เง่าใบนี้
ลองคิดดูละกันว่ามันยากเกินทำได้ไหม





 

Create Date : 10 สิงหาคม 2553
3 comments
Last Update : 10 สิงหาคม 2553 13:50:31 น.
Counter : 711 Pageviews.

 

ไม่รู้เกรบทำไรไว้ แต่ก็เห็นด้วยในแง่ของคนเราต้องให้เกียรติกันค่ะ

 

โดย: บางส้มเปรี้ยว 10 สิงหาคม 2553 13:53:50 น.  

 

ก็หวังว่า โรงเรียน AF จะทำให้เด็ก ๆ โตขึ้น

อยู่ร่วมในสังคมได้อย่างไม่มีปัญหา

 

โดย: for Family 10 สิงหาคม 2553 16:03:22 น.  

 

รอให้ออกมาเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง แล้วจะรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย

 

โดย: Botaman 11 สิงหาคม 2553 10:48:17 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.