|
ให้ 'เกียรติ' อยู่ได้ในความ 'เกลียด'
ในทัศนคติการดำเนินชีวิตของโลกตะวันตก(โดยเฉพาะทางอเมริกาซึ่งเราเองค่อนข้างคุ้นเคยเป็นพิเศษ)
มีสิ่งหนึ่งที่ตัวเราเองชื่นชมมาก และอยากให้คนไทยเราที่ว่ายวนอยู่ในกระแสวัฒนธรรมภายนอกนั้นเข้าใจ ทั้งเก็บเอามาคิดและนำมาใช้มากอย่างหนึ่งก็คือ
"การให้เกียรติ" ผู้อื่น ไม่ว่าตัวเราเองนั้นจะรู้สึกเช่นไรกับคนคนนั้นก็ตาม
เราขอยกการเมืองของสหรัฐมาเป็นตัวอย่าง
การลงแข่งเลือกตั้งประธานาธิบดี
ซึ่งระหว่างการหาเสียง แต่ละพรรคจะตั้งทีมงานในการรณรงค์หาเสียงขึ้นมา มีแคมเปญโฆษณาชวนเชื่อ...ซึ่งส่วนมากจะเป็นการใส่ไคล้ฝ่ายตรงข้าม
แต่ทุกแคมเปญนั้น ไม่ว่าจะดีหรือลงลึกเรื่องเลวร้ายขนาดไหน จะต้องลงท้ายด้วยว่า "โฆษณานี้ได้รับการอนุมัติจาก....ชื่อผู้ลงแข่งขันประธานาธิบดี...ทุกครั้ง
นี่คือบันไดขั้นแรกของความรับผิดชอบของ "ผู้จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ"
แล้วเมื่อการสาดโคลนทั้งสองฝ่ายจบลง
ผู้ได้รับเลือกก็กลายเป็น "president-elect"
ทันทีที่ผลโหวตปิดลง
บรรดาทีมงานโดยเฉพาะหัวหน้าสตาฟ แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะสนิทสนมกันแค่ไหน อาจเรียกชื่อต้นกันโดยไม่มีแม้แต่คำว่า Mr. ด้วยซ้ำไป
ก็จะเปลี่ยนคำเรียกขานว่าที่ผู้นำนั้นโดยตำแหน่งทันทีว่า "president-elect"
นี่คือการให้เกียรติ...ไม่ใช่แค่การให้เกียรติในบุคคล แต่เป็นการให้เกียรติใน "ตำแหน่ง"
ตำแหน่งที่ถูกคิด ผ่านการกลั่นกรองมาหลายทศวรรษเพื่อระบอบประชาธิปไตยที่ผู้ก่อตั้งเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อให้ได้มาเพื่อชนรุ่นหลัง
ในการให้เกียรตินั้นไม่ใช่แค่จากฝ่ายเดียวกัน
แม้แต่จากฝ่ายตรงข้ามที่ต่อสู้กันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ชนิดที่บ้านเราคงเรียกว่า "ไม่เผาผีกัน" ประมาณนั้นเลย
แต่ทันที...ไม่ต้องรอผลโหวตปิดอย่างเป็นทางการ...แค่พอประเมินแล้วว่าทางฝ่ายตนพ่ายแพ้ในการศึกครั้งนี้
ผู้ชิงตำแหน่งฝ่ายพ่ายนั้นจะโทรศัพท์มาแสดงความยินดี พร้อมทั้งลงท้ายด้วยคำว่า "president-elect" เช่นกัน
...นี่ล่ะคือการ "ให้เกียรติ" ในความเกลียดชัง(?)
...ซึ่งจริงๆแล้วจะเรียกว่าเป็นความเกลียดชังก็ดูจะรุนแรงไป ถือว่าในความเป็นคู่แข่งก็อาจจะตรงมากกว่า
เมืองไทยเราพร่องในเรื่องแบบนี้หรือเปล่า?!
คนไทยเรามีขนบ(ซึ่งมันเข้มงวดกว่าประเพณี)ในเรื่องผู้ใหญ่ผู้น้อยมาโดยตลอด
แต่ก็แปลก...ในสายตาคนชอบศึกษาประวัติศาสตร์อย่างเรา...กลับพบว่า
คนไทยเราไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการให้เกียรติผู้อื่น
เราไม่อาจไปพูดแทนชาติอื่นๆในโลกที่เราไม่เคยรู้จักหรือรู้จักผิวเผินได้ แต่ขอมองแค่เมืองไทยบ้านเรานี่ล่ะ
เราเป็นประเทศที่ล้อเลียนคนด้อยกว่าตัวเองเยอะมากถึงมากที่สุด จากล้อเลียน หนักข้อขึ้นคือการดูถูกในความด้อยกว่า
ดูถูกคนรอบข้าง ดูถูกคนใกล้ตัว ลามไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้าน
ซ้ำร้ายตรงไหนรู้ไหม คือคนไทยเราที่กระทำแบบนั้น ไม่เคย "รู้" เลยว่านั่นคือการดูถูก
เพราะอะไรน่ะเหรอ...เพราะเรามองแค่ตัวเราเองไง มองแต่ตัวเอง จนลืมไปว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึก "เป็น" เหมือนๆกับเรานี่ล่ะ
เพราะฉะนั้นในสายตาเราแล้ว คนไทยเรา...ตัวเรา...อยู่ท่ามกลางการไม่รู้จักให้เกียรติผู้อื่น
เป็นสังคมที่ไม่เคยถูกยกระดับให้ความสำคัญในเรื่องแบบนี้เสียที แต่กลับไปให้ความสำคัญกับเปลือกบางอย่าง หัวโขนที่สวมอยู่ของตัวเอง
ขั้นพอจะมีการ "ให้เกียรติ" กับตำแหน่ง ก็ไม่ได้ให้เกียรติตรงความสำคัญในหน้าที่ของมัน แต่กับเป็นเรื่องบ้าบอด้วยอัตตากู ของกู แทนไปเสียฉิบ
ลองย้อนมามองการเมืองไทยเราสิ ไม่แค่ยุคสมัยปัจจุบันนี้หรอก มันเป็นมาทุกยุค ผู้นำประเทศของเราไม่เคยได้รับ "เกียรติ" ในความ "เกลียด" เลย
มุมมองเราในเรื่องนี้ก็คือ เพราะเราไม่เคยได้รับการปลูกฝังมาว่าคนเราต้องให้เกียรติ "ในความเป็นคน" ของผู้อื่น เท่ากับให้เกียรติตัวเอง
ถ้าเรานับว่าเขาเป็น "คน" เท่ากับที่เราเป็น คนเราจะสามารถถอยห่างออกมาเพื่อไม่ไปล้ำเส้นของผู้อื่นได้
...ง่ายไหม เรื่องนี้เข้าใจง่ายแบบนี้เลยเราว่า
ความขัดแย้งของคนเรามันเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ ไว้เมื่อไรหัวใจคนทำด้วยเครื่องจักร สมองถูกฝังด้วยชิพคอมพิวเตอร์ เมื่อนั้นค่อยมาพูดว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องไร้สาระละกัน
งั้นเมื่อคนเราเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา อารมณ์มันจะคลุมจนกลบความมีเหตุมีผล ยิ่งถ้าไม่เคยเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้อื่นด้วยนั้น คุณก็จะยิ่งสามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้โดยไม่รู้สึกผิด
รู้ไหมว่าเวลาคนเราเลือกข้างไปแล้วน่ะ เราก็จะทำเป็นลืมว่า ไม่มีใครถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ และไม่มีใครผิดร้อยเปอร์เซ็นต์
ขนาดเป็นเรื่องเกิดกับตัวเอง เราว่าในระยะเวลาการเกิดเรื่องขัดแย้ง จะมีสักกี่คนกล้าลงมือขุดใจตัวเองเพื่อ "มอง" ส่วนเลวร้ายของตนบ้าง
ส่วนมากก็สาดอีกฝ่ายเต็มๆนั่นล่ะ เอาความไร้เหตุผลมานำเพื่อเป็นเหตุผลกันทั้งนั้น
มันคือกลไกการปกป้องตัวเองของมนุษย์
เพราะฉะนั้นจึงวกกลับมาเรื่อง "การให้เกียรติ" ใน "ความเกลียด" จนได้
คนเราที่ทำร้ายกันมากๆทั้งทางร่างกายและจิตใจนั่นเป็นเพราะใจมีแต่ความเกลียด จนลืมการให้เกียรติกัน
เราอ้อมโลกมากี่รอบแล้ว...
เด็กในบ้านAFปีนี้ โดยเฉพาะเกรบ...ไม่ขออ้อมโลกอีกแล้ว
ต้องรู้จักและเรียนรู้ที่จะ "ให้เกียรติ" ผู้อื่น
ให้เกียรติในความเป็น "คน" ที่เขามีเท่าๆกับตัวเรา
นัตตี้เองก็ต้องเรียนรู้เช่นกันกับเกรบนั่นล่ะ เพื่อจะเติบโตขึ้นไปอีกขั้น น้องเรียนรู้การปรับตัวเยอะขึ้นแล้ว เพื่อจะให้น้องน่ามองขึ้นกว่านี้ น่ารักกว่านี้ พี่ถึงได้อยากให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร เราต้องเรียนรู้เรื่องการให้เกียรติคนอื่น
การให้เกียรติผู้อื่น เท่ากับให้เกียรติตัวเอง
แล้วการให้เกียรติน่ะมันไม่ได้หยุดอยู่ตรงแค่ให้เกียรติ "คน" นะ มันยังครอบคลุมอยู่ที่การให้เกียรติกับสิ่งที่ได้รับมาไม่ว่าจะจับต้องได้หรือไม่ก็ตาม
การรู้สึกขอบคุณและทำให้เต็มที่ในทุกสิ่งที่ได้รับ...ก็คือหนึ่งในการให้เกียรติในสิ่งที่ได้รับเกียรติมา ...แม้บางทีเราอาจจะไม่อยากได้มันเลยก็ตาม ซึ่งถ้าแน่ใจว่าไม่ต้องการ ก็ควรยืนหยัดปฏิเศษไปตั้งแต่ต้น และนั่นก็คือวิธีการให้เกียรติในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน (...อยากกระซิบว่า เรื่องของหัวใจก็ไม่ต่างกันหรอกนะ)
เพราะอย่างงั้นการรับมาแล้วไม่ใส่ใจหรือทำไปแกนๆพอให้ผ่าน มันไม่ต่างจากการดูถูก ดูถูกทั้งตัวเอง ผู้อื่น สิ่งอื่น
ในสังคมน่ะ...ยิ่งเมื่อก้าวออกจากอกพ่อแม่ที่พร้อมปกป้องเราในทุกเรื่องทุกอย่าง พร้อมให้ความเข้าใจ เข้าข้างเราแม้เราจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
โลกปลอดภัยแบบนี้มันจะสูญสลายไปทันทีเมื่อเราก้าวสู่โลกของการทำงาน ไม่มีใครมัวมานั่งให้ความเข้าใจว่าเราเป็นคนแบบไหน เจอเรื่องราวร้ายแรงมาเท่าไร
ทุกคนต่างมุ่งที่ผลของงานเท่านั้น ทำได้...ทำ ทำไม่ได้...ออกไป จบ
เด็กยิ่งเล็ก ยิ่งต้องเรียนรู้การให้เกียรติ และยิ่งควรเรียนรู้ว่า แม้ในความเกลียด เรายังต้องหลงเหลือการให้เกียรติกันเอาไว้ด้วย มันคือการขัดเกลาสัญชาติญาณดิบที่ติดตัวคนมาตั้งแต่เกิด
คุณรู้ไหมว่า เด็กยิ่งเล็ก ยิ่งทำร้ายจิตใจกันได้เจ็บปวดที่สุด
ก็เพราะเด็กตัวเล็กๆยังไม่ถูกขัดเกลาเรื่องความเป็น "คน" ใช้แค่สัญชาติญาณในการล่าที่ติดตัวมาโดยดีเอ็นเอของความเป็นมนุษย์
การถูกอบรมสั่งสอน จึงไม่ต่างจากการเอาเปลือกของ "การอยู่ร่วมกัน" ในสังคมมาสวมไว้ บางคนก็มีหลายชั้น บางคนก็พร่องหลายชั้น บ้างก็สวมไว้ แต่พร้อมกระชากออกด้วยแรงอารมณ์ได้ทุกเวลา บ้างก็คลุมตัวจนแน่นหนา ระมัดระวังไม่ให้เจ็บจนคนอื่นเข้าไม่ถึงก็มี
เด็กถึงจะเติบโตพร้อมสู้ในสังคมที่ไม่คิดอ่อนข้อให้ใครในยุคนี้
...นี่คือการมองโดยไม่เอาตัวเองเป็นแกนหมุนของโลกใบงี่เง่าใบนี้ ลองคิดดูละกันว่ามันยากเกินทำได้ไหม
Create Date : 10 สิงหาคม 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 10 สิงหาคม 2553 13:50:31 น. |
Counter : 711 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Botaman 11 สิงหาคม 2553 10:48:17 น. |
|
|
|
|
|
|
|