|
อาจเป็นสองคนนี้ที่ใกล้เคียงกันที่สุด
บล็อกนี้เริ่มต้นยากจริงๆ ด้วยตัวเราเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเขียนถึงเลยสักครั้ง อาจเคยแค่แตะผ่านๆบ้าง เพราะค่อนข้างรู้ตัวดีว่าเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวังตัวเอง
ที่ผ่านมาถึงได้แต่เขียนถึงแต่...เรียกว่า เด็กในสังกัด ด้วยมันเขียนถึงง่ายกว่า แม้เราจะจิกกัดไปบ้าง(...แหะ) หรือออกปากตำหนิแรงๆออกไป แต่จะรู้ตัวว่าทำไปโดยมีพื้นฐานของความเข้าใจและมอบความรู้สึกด้านดีให้โขอยู่
เวลาเขียนชมก็มีทั้งชมแบบเตลิดเปิดเปิงด้วยเข้าข้างสุดชีวิต หรือไม่ก็ติดเบรกยั้งตัวเองไม่ให้เว่อร์จนเกินไป(ซึ่งดูจะเป็นเรื่องยากกว่า...เฮ่อ) แต่มันจะสนุกมากเพราะรู้ตัวว่าเขียนเพราะเข้าข้างล่ะ ขอยอมรับหน้าชื่นตาใส(กระเบื้องหนาเจงๆตู) ซึ่งคนอ่านก็จะพอรู้ล่ะว่าไอ้บ้านี้ ตาเริ่มบอดละ ก็คงจะไม่เอาไปถือสา(เท่าไร)
เพราะอย่างนี้ การเขียนถึงเด็ก...ขอรับรองด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองครับ...รับรองว่าไม่ใช่เกลียด เราเป็นคนประเภทถ้าเกลียด ก็ไม่แตะ ไม่มอง ไม่สนใจ ชีวิตคนเรามันสั้นไป เกินกว่าเสียเวลาให้กับคนไม่มีค่าในชีวิต
งั้นขอบอกตามตรงว่า การเขียนถึงเด็กที่เรา...ใช้คำอะไรดี...เฮ้ย!
เด็กที่มีอะไรบางอย่างขัดอกขัดใจ จนบางครั้งถึงขั้นขัดหูขัดตาจนต้องอดกลั้นเป็นพิเศษแล้วนั้น การเขียนถึงมันยาก ยากมากเลยล่ะ แล้วยิ่งเกรบเป็นเด็กที่เราถอยห่างออกมา เพื่อจะได้เหลือแค่ ความเสียดาย เอาไว้ เราก็ยิ่งประมวลความคิดได้ยิ่งกว่ายากอีก
การต้องเขียนไป แล้วหยุดถามตัวเองไปว่า ที่เรามองเห็นน่ะ มันชัดพอไหม ภาพมันบิดเบี้ยวมาจากความรู้สึกในใจหรือเปล่า แล้วเรามอบความเข้าใจให้มากพอไหม จนถึงเราระมัดระวังตัวเองเกินไปจนไม่กล้าแตะตรงจุดอย่างที่ควรจะเป็นหรือเปล่า ...มันไม่สนุกเลย มือไม้ติดขัดไปหมด
แต่ว่าหลังจากได้รับการถามไถ่จากเพื่อนคนที่ชอบทั้งเกรบและนัตตี้ถึงมุมมองความคิดและความรู้สึกที่ตัวเรามีต่อเกรบแล้ว เราเองก็ทบทวนอยู่นาน มองย้อนกลับไปตอนเริ่ม มอง เด็กเหวี่ยงคนนี้
เกรบต่างจากนัตตี้ตรงที่เรารู้มาตั้งแต่แรกเลยว่าน้องเป็นเด็กbroken home รู้มาจากเจ้าตัวที่มีคำพูดติดปากว่า เกรบอยากพูด เกรบไม่มีอะไรปิด เกรบพูดได้
เกรบเปิดเผยความรู้สึกตัวเองอย่างไม่ปิดบังที่มีต่อการบ้านแตกของตัวเอง เราไม่ขอลงรายละเอียด แต่ละบ้านต่างปัญหาของตัวเอง คนนอกไม่มีสิทธิ์อะไรแม้สักนิดที่จะยื่นมือไปยุ่มย่าม(นอกจากมันล้ำเส้นถึงขั้นลงไม้ลงมือ) แม้แต่เรื่องจะให้ความเข้าใจ เราก็ว่ายังยากเลย เพราะแม้แต่คนในที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงยังสามารถเข้าใจไปคนละทิศละทางด้วยซ้ำไป
ปัญหาครอบครัว มันไม่ใช่แค่ว่าเรามองมุมไหน แต่มันต้องดูว่าเรายึดติดอยู่ตรงจุดใดจนไม่อาจปล่อยมือด้วยหรือเปล่า
เราในที่นี้ก็คือคนในปัญหาเหล่านั้นโดยตรง ไม่ใช่เป็นเราที่เฝ้ามองอยู่วงนอก
ทุกคำพูดของเกรบต่อเรื่องราวในครอบครัวตัวเอง มันให้ภาพหัวใจที่เป็นโพรงกว้างของเจ้าตัว ยิ่งเด็กเหวี่ยงคนนี้ย้ำถึงความรักที่มีให้แค่อากงอาม่า เราก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องต้องการความรักจากพ่อและแม่อย่างมากมายมหาศาล หลอกตัวเองว่าแค่ความรักจากอาม่าอากงก็เพียงพอสำหรับเกรบแล้ว
ทุกครั้งที่เกรบออกปากมาว่า หนูเฉยๆแล้วจริงๆ เมื่อถูกถามถึงเรื่องราวความรู้สึกที่ผ่านมา มันก็ไม่ต่างจากที่เรารู้สึกเมื่อได้ยินนัตตี้พูดว่า หนูชินแล้ว
ลูกน่ะไม่มีทางรู้สึกเฉยๆกับพ่อและแม่ได้หรอก ให้ตายเราก็ไม่เชื่อ เรามองเห็นการโหยหาความรัก อยากได้ครอบครองความรักทั้งจากพ่อและแม่มาเป็นของตัวเองเพียงคนเดียวด้วยซ้ำไป
เฉยๆของเกรบ ก็เป็นเพียงหน้ากากของความทิฐิเพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง มันคือความเจ็บปวดจนต้องหยุดไม่ให้หัวใจตัวเองรู้สึกก็เท่านั้น แม้จะเป็นแค่การหลอกตัวเองก็ยังดี
ลูกที่มองไม่เห็นความรักของพ่อและแม่ มักสงสัยล่ะว่าตัวเองเกิดขึ้นมาจากความรักด้วยหรือเปล่า
เจ็บไหม...เราว่าเจ็บนะ เจ็บไม่ต่างจากโดนแส้ฟาดลงมาตรงหัวใจนั่นเลย
ลูกหนึ่งคนมองตรงไปทางฝั่งของพ่อ แล้วหันกลับไปมองยังฝั่งของแม่ แล้วย้อนถามตัวเองว่าตนมีที่ยืนอยู่ตรงนั้นบ้างไหม เหลือที่ให้ตัวเองแทรกเข้าไปได้บ้างหรือเปล่า
ไม่ว่าพ่อกับแม่เปิดที่ให้กว้างแค่ไหนแล้วก็ตาม แต่มันไม่ใช่เรื่องยากเข้าใจว่า เด็กคนนั้นจะมองเห็นตัวเองเป็นคนแปลกหน้าในครอบครัวที่เริ่มสร้างใหม่นั้น
เรื่องความขัดแย้งที่เกรบมีต่อครอบครัวใหม่ของพ่อที่เรานั่งฟัง มันทำให้เรารู้สึกถึงได้แบบนั้น
ต่อหลายการกระทำของเกรบในบ้านหลังนี้ ทำให้เรานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาคือ สิ่งที่ไม่เคยได้รับ ก็จะทำต่อไปไม่ได้
เกรบเป็นเด็กที่ไม่รู้วิธีมอบความรักให้คนอื่น เพราะตัวเองก็ไม่เคยได้รับการแสดงออกถึงความรักให้เห็น เด็กก็ได้แต่เอ่ยปากว่าอยากให้คนรักเกรบ ไม่อยากให้คนเกลียด ได้แต่พูดแต่ไม่เคยรู้วิธีจะทำเพื่อให้ได้มา
ไม่รู้ว่าก่อนจะให้ใครมารักตน ตัวเองก็ต้องรักตัวเองก่อน ใจที่มอบความรักให้คนอื่นก่อน มันจะไม่อ้างว้างเท่ากับเฝ้ารอคนอื่นหยิบยื่นความรักมาให้
เราถึงได้เห็นแต่เด็กที่เรียกร้องหาความรักมาถมใจตัวเองให้เต็ม แต่เหมือนกับว่าความรักที่เกรบได้รับไปมันไม่เคยพอเลย ได้ไปแค่ไหนก็ซึมหายไปเท่านั้น ใจเด็กถึงได้แต่แห้งผาก ไม่อาจชุ่มชื้นได้สักที เพราะความรักที่ตัวเกรบต้องการมากที่สุด เกรบยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เคยได้รับมัน
เรารู้ว่าไม่มีใครชอบให้ใครมาพูดใส่หน้าว่าสงสารหรอก ยิ่งเด็กลักษณะนิสัยแบบเกรบอาจคิดว่าเป็นการดูถูกด้วยซ้ำไป
งั้นพี่ขอบอกแค่ พี่เศร้าแทนเรานะเกรบ ยิ่งเวลาเห็นเราทำหน้าดื้อดึง เหมือนไม่แคร์คนทั้งโลก ก็อยากเอื้อมมือไปขยี้หัวกลมๆยุ่งๆแล้วดึงเข้ามากอดเอาไว้ แล้วบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
ลูกหนึ่งคน ไม่ควรเติบโตมาพร้อมความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ ความอ้างว้างแบบนี้มันเย็นชาเกินไปสำหรับเด็กตัวเล็กๆ
เราจึงไม่แปลกใจเลยที่เกรบเขม่นนัตตี้
เด็กสองคนเหมือนภาพสะท้อนของกันและกัน หัวใจต่างก็พร่องเป็นโพรงกว้างเหมือนกัน แต่กลับเป็นแม่เหล็กคนละขั้ว ต่างผลักกันอย่างรุนแรง
เรามองว่าเกรบเห็นตัวเองสะท้อนผ่านนัตตี้ อาจเป็นเรื่องของสัญชาตญาณด้วยซ้ำไป เห็นทุกการกระทำของนัตตี้ในการเรียกร้องความรัก ไอ้การเข้าไปกอด ซบ ออกปากชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมากมาย แรกๆก็มีคนมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนพี่ด้วยกันนี่ล่ะ
แต่ว่า...ไม่นานนักเลย เกรบกลับเห็นว่าสิ่งที่นัตตี้ทำลงไปทั้งหมดได้รับการสะท้อนกลับมาในแง่บวกมากกว่าแง่ลบ(หลังจากไอ้ตัวเล็กน่วมไปหลายรอบ)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบรรดาครูคลาสต่างๆ ครูทุกคนต่างพากันเข้ามารวบไอ้ตัวเล็กไว้ในอ้อมกอดจนแน่น เรียกหานัตตี้ทุกครั้ง เห็นถึงสายใยบางอย่างเริ่มต้นขึ้นมา กับพี่ผู้ชายในบ้าน ทุกคนก็เริ่มชินกับความเป็นนัตตี้ ประมาณยอมๆน้องมันไป มันไม่มีอะไร กลายเป็นธรรมชาติเวลาอยู่กับนัตตี้
แม้แรกๆเกรบจะมองด้วยสายตาเขม่น แต่ในสายตาเรา เกรบก็เป็นเด็กตัวเล็กๆที่ต้องการการยอมรับและความรักกลับคืนมามากมายไม่ต่างจากนัตตี้เลย แต่เด็กคนนี้กลับแสวงหาด้วยวิธีการที่ต่างออกไปซึ่งช่วงเวลานี้เกรบอาจจะคิดว่ามันยากกว่าในการจะได้รับกลับคืน เด็กคนนี้ก็เก็บรายละเอียดรอบตัวไว้ได้เก่งไม่แพ้กันหรอก แล้วก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันหรอก
ยิ่งเมื่อคู่แข่งดูจะก้าวเดินนำให้ตัวเองได้แต่มองตามแผ่นหลังแล้วล่ะก็....
ฉะนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผลสะท้อนที่นัตตี้ได้รับ ก็มาอยู่ในสายตาเกรบ เกรบก็เริ่มกับคนที่ง่ายที่สุดคือเพื่อนและบรรดาพี่ๆบางคนที่ให้ความเอ็นดูตัวเองเป็นพื้นฐานที่ตัวเกรบเองรู้สึกถึงได้
เราถึงได้เห็นภาพเกรบเข้าไปออดอ้อน สัมผัส แล้วก็เริ่มเอ่ยปากชม อาจยังไม่ถึงขั้นนัตตี้ช่วงแรกๆ แต่ก็เป็นการเริ่มต้น และผลลัพท์ก็สะท้อนกลับมาให้ตัวเองรู้สึกถึงได้ในแง่บวกทีเดียว
เราจึงเห็นแล้วต้องยิ้มขำๆ เหมือนเห็นภาพเด็กอนุบาลสองคนแย่งชิงจะเป็นที่รักของเพื่อนในห้อง ต่างเอาเชิงกันในที โดยคนหนึ่งแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนอีกคนเห็นก็เลี่ยงไม่ปะทะโดยตรงแต่ก็ไม่มีทางหยุด แย่งไปคนหนึ่ง อีกคนก็ควานหาคนใหม่มาให้แสดงความรัก
ต่างคนต่างยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่มีต่อกันหรอก ต่างฝ่ายต่างใช้อีกฝ่ายเป็นแรงผลักดัน ไม่แน่สักวัน ทั้งคู่อาจก้าวไปถึงการจะเป็นเพื่อนกันโดยไม่ต้องรักกันจี๊จ๋าก็ได้ เพื่อนแบบนี้เราเห็นมาไม่น้อยเหมือนกัน เข้าใจโดยไม่ เข้า กันนั่นล่ะ
เรื่องราวระหว่างนัตตี้กับเกรบ มันทำให้เราฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
การที่คนหนึ่งคนรู้สึกไม่ถูกชะตาหรือขัดหูขัดตาใครบางคนขึ้นมานั้น สาเหตุหนึ่งเลยมันอาจเป็นเพราะว่า คนคนนั้นเป็นคนที่มีอะไรใกล้เคียงกับเรามากที่สุด
เพียงแต่ว่า... การแสดงออกของเขา เป็นสิ่งที่ตัวเราข่มเอาไว้ไม่ยอมแสดงออกมา กดตัวเองเอาไว้เพื่ออะไรก็ตามแต่ หรือคิดว่านั่นเป็นนิสัยส่วนเสียของตัวเองที่ไม่อาจยอมรับได้จึงกดไม่ยอมให้แสดงออกมา และแม้แต่ไม่ยอมอนุญาตใจตัวเองให้คิดถึงจนทำเป็นลืมไปเลยด้วยซ้ำ
แต่ว่าเมื่อได้มาเห็นหรือต้องก้าวมารับมือในพฤติกรรมนั้นๆ มันจึงให้ส่วนลึกในใจเราเกิดความรู้สึกว่าเห็นเงาในใจตัวเอง เห็นว่าเขาทำในสิ่งที่เราเองก็อยากทำแต่ไม่กล้าที่จะทำ แต่ทำไมอีกฝ่ายกลับยอมรับและราวกับง่ายดายที่แสดงออกถึงข้อเสียนั้นทั้งที่ตัวเราเองกลับต้องกดมันเอาไว้แทบตาย
มันจึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่ถูกชะตามากลบเกลื่อนเอาไว้ไงล่ะ โดยที่แท้จริงอาจเป็นความอิจฉาจนต้องนับถือในการที่คนคนนั้นสามารถแสดงออกได้อย่างโจ่งแจ้งก็เป็นได้
มุมมองเรื่องนี้ ตัวเราเองก็กำลังทบทวนดูตัวเองอยู่เหมือนกัน แล้วหลายต่อหลายคนน่าจะกลับเอาไปสำรวจใจตัวเองดูว่ามันใกล้เคียงบ้างไหม เป็นไปได้ไหม จากนั้นเราจะมองโลกมองคนโดยให้ความเข้าใจได้ง่ายขึ้นเลยล่ะ
ส่วนในประเด็นเรื่องลักษณะนิสัยบางอย่าง ความไม่มุ่งมั่น ไม่ทุ่มเท ผ่านการจัดการโจทย์เพลงของเกรบ ลองมองผ่านเรื่องราวที่เกรบ อยากเล่า ดูสิ
ตัวเราให้ความเข้าใจในตัวเกรบขึ้นมากตอนนั่งฟังเกรบเล่าบางเรื่องให้ครูใหญ่ทั้งสองคนฟัง ไม่ว่าเกรบจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม หลายเรื่องที่เกรบเล่าออกมานั้น ครูรักได้ช่วยเบรกให้มันซอฟท์ลงด้วยการทำเป็นตลกกลบเกลื่อน แต่พอลองปอกผ่านลงไป
การเรียกร้องสิ่งของเครื่องใช้ราคาแพงเกินตัว เกินความจำเป็นจากอาม่าอากงอยู่ตลอดเวลา นั่นคือการเรียกร้องเอาความรัก ใช้ข้าวของเครื่องใช้เป็นตัวแทนความรักให้จับต้องได้
อาม่าอากงก็ใช้ข้าวของแสดงออกว่ารักเกรบ เกรบเองก็เอาของเหล่านั้นมาให้ตัวเองรู้สึกถึงความรักนั่น
เมื่อเกรบได้สิ่งของมากมายโดยไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยต่างฝ่ายต่าง ใช้ ข้าวของเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ เกรบจึงชินในการจะได้อะไรมาโดยง่ายไม่ต้องลงแรงและความพยายามอย่างมาก (ไอ้ประท้วงนั้น ตัวพี่ไม่ถือว่าเป็นการลงแรงลงความพยายามนะอีหนู)
การได้ครอบครองข้าวของจึงไม่ใช่ประเด็น แต่การเรียกร้องให้ได้มา จนได้มาต่างหากคือประเด็น ข้าวของพวกนั้นถึงได้ไร้ค่าทันทีที่ได้ครอบครองไงล่ะ
เมื่อมองภาพทับซ้อนมาสู่หลังจากได้รับเลือกเป็นนักล่าฝันซีซั่นเด็กน้อยนี่ มันก็เรื่องเดิม เรื่องเดียวกันของเกรบเลยล่ะ เกรบถึงได้ไม่สู้เลย ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องที่ควรเป็นอันดับหนึ่ง เพราะมันไม่ได้กลายเป็นเรื่องอันดับหนึ่งของเกรบอีกต่อไปแล้ว
เกรบก็เริ่มพุ่งประเด็นไปเรื่องอื่นๆแทนไปเรื่อยๆ รับรองเลยว่าถ้าเรื่องที่พุ่งประเด็นไปนั้นเกิดสำเร็จขึ้นมาอีก เรื่องนั้นก็กลายเป็นสำรองอันดับสองสามลงไปตามเคยๆ จากนั้นก็กลับไปแสวงหาเรื่องราวใหม่ๆเข้ามาเติมเต็มความรู้สึกตัวเองอีกต่อไป
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเกรบไว้ก็คือ ข้าวของน่ะมันไม่มีชีวิตจิตใจ แต่เมื่อไรหนูก้าวมา เล่น กับคนที่มีชีวิต เล่นกับหัวใจคน
มันอันตรายนะเกรบ ...เพราะสุดท้ายแล้ว หนูอาจไม่เหลือใครเลย
พอเราเริ่มเอาเด็กน้อยสองคนระหว่างเกรบกับนัตตี้มาเปรียบกัน
นัตตี้น่ะแม้ตอนนี้จะยังไม่มั่นคง โอนเอนง่ายดายตามแรงของอารมณ์ แต่สักวันเมื่อตั้งหลัก หยั่งรากลงลึกได้ เด็กที่เป็นดั่งไม้เนื้อแข็งแบบนี้ จะสามารถงอกงามและเติบใหญ่กลายเป็นไม้เนื้อดีได้ไม่ยาก แถมยังกลายเป็นหลักให้ใครต่อใครได้อีกด้วย
แต่เกรบ เด็กที่เหมือนแกร่งกว่า ใจแข็งกว่า ดื้อกว่าแบบนี้ล่ะ เรากลับเห็นแต่ความอ่อนยวบในตัวตนและใจของเด็ก เป็นเด็กที่เปราะแต่กลับใช้เกราะกระด้างมาบังไว้ เพราะงั้นถ้าโดนชนแรงๆ น้องก็หักกลางได้ง่ายกว่า ถึงฝืนลุกขึ้นมาได้ก็ยืนหยัดได้ไม่นานและรอวันล้มอีกจนได้ ด้วยเรามองน้องเป็นเหมือนไม้เนื้ออ่อน ต้องให้ความรักและความทะนุถนอมเป็นพิเศษเพื่อประคบประหงมให้เติบโต แม้พอจะยืนหยัดสู้แดดลมได้ แต่อาจไม่มีวันสู้ลมพายุหนักไหว จึงต้องหามือคอยประคองเอาไว้จนชั่วชีวิต
เด็กสิบห้าสองคน ต่างวิธีการจัดการหัวใจตัวเอง ทำคนนั่งมองอย่างเรา....
โลกใบนี้อยู่ยากขึ้นทุกเจนเนอร์เรชั่น แต่ไม่ว่าจะเจนไหน เด็กมักเป็นฝ่ายเจ็บกว่าเสมอ
Create Date : 04 สิงหาคม 2553 |
|
6 comments |
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 12:48:21 น. |
Counter : 582 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: lannapat 4 สิงหาคม 2553 22:27:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: Quaver 6 สิงหาคม 2553 11:43:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: lannapat 7 สิงหาคม 2553 18:18:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
คนเป็นพ่อเป็นแม่ เดี๋ยวนี้ ต้องใช้ความรักเยอะๆนะ