ตำนานเจ้าหญิงคางุยะ
ตำนานคนตัดไผ่ หรือ ตำนานเจ้าหญิงคะงุยะ เป็นตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น ที่มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 ที่ถือกันว่าเป็นวรรณกรรมญี่ปุ่นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นตัวอย่างของที่มาของนวนิยายเชิงวิทยาศาสตร์
เรื่องดำเนินไปโดยมีศูนย์กลางคือเด็กหญิงที่ไม่ทราบที่มา ชื่อ คะงุยะ-ฮิมะ ที่คนตัดไผ่ไปพบเมื่อยังเป็นทารกภายในปล้องไผ่ที่เรืองแสง กล่าวกันว่าคะงุยะมาจากจันทรประเทศและมีผมที่ "เงาวาวเหมือนทอง"
เนื้อเรื่อง
วันหนึ่งขณะที่เดินอยู่กลางป่า ชายแก่ผู้มีอาชีพตัดไผ่ ชื่อ ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ มองเห็นปล้องไผ่ที่ส่องแสงเรืองรองเข้า ด้วยความสงสัยก็ไปตัดปล้องไผ่ดู ก็พบว่าภายในมีเด็กทารกผู้หญิงขนาดเท่าหัวแม่มือนอนอยู่ ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ ดีใจที่ได้พบเด็กน้อยน่ารัก ก็นำทารกกลับไปบ้าน ไปให้ภรรยาเลี้ยงอย่างลูก และตั้งชื่อให้ว่าคะงุยะ-ฮิเมะ ("เจ้าหญิงแห่งราตรีอันเรืองรอง" )
ตั้งแต่นั้นมาตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ ก็พบว่าเมื่อใดที่ตนตัดปล้องไผ่ ก็จะพบก้อนทองก้อนเล็กๆ อยู่ภายในปล้องไผ่ที่ตัด ไม่นานนักตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็มีฐานะร่ำรวยขึ้นมา คะงุยะ-ฮิเมะ เอง ก็เติบโตขึ้นมาเป็นสตรีที่มีขนาดปกติและมีความสวยงามเป็นอันมาก
ในระยะแรกตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็พยายามกันไม่ให้ลูกสาวได้พบกับคนแปลกหน้า แต่ไม่นานนักความสวยงามของคะงุยะก็เป็นที่เลื่องลือจนเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป จนกระทั่งมีเจ้าชายห้าพระองค์เสด็จมาขอตัวคะงุยะ-ฮิเมะ ต่อ ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ และทรงพยายามหว่านล้อมให้ตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ ไปบอกให้คะงุยะ-ฮิเมะ เลือกเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่ง จนกระทั่งสำเร็จ
เมื่อทราบว่ามีผู้มาหมายปองคะงุยะ-ฮิเมะ จึงวางแผนกันตนเอง โดยตั้งข้อทดสอบต่างๆ ที่ยากเกินกว่าที่จะทำให้สำเร็จได้ให้เจ้าชายแต่ละองค์ไปทำ คะงุยะ-ฮิเมะประกาศว่าจะยอมแต่งงานกับเจ้าชายองค์ใดที่สามารถนำสิ่งที่ตนขอมากลับมาได้
คืนนั้นตะเกะโตริ โนะ โอะกินะก็ทูลเจ้าชายแต่ละพระองค์ถึงสิ่งต่างๆ ที่คะงุยะ-ฮิเมะขอให้แต่ละองค์ต้องทรงนำกลับมา
เจ้าชายองค์แรกต้องไปทรงนำบาตรหินของพระโคตมพุทธเจ้ามาจากอินเดียกลับมาให้ องค์ที่สองต้องทรงนำกิ่งไม้ประดับอัญมณีจากเกาะเพ็งกลาอิในประเทศจีน องค์ที่สามต้องทรงไปนำเสื้อคลุมของหนูไฟจากเมืองจีนกลับมาให้ องค์ที่สี่ต้องทรงไปถอดอัญมณีจากคอมังกรมาให้ และองค์ที่ห้าต้องทรงไปหาหอยมีค่าของนกนางแอ่นกลับมา
เมื่อเจ้าชายองค์แรกทรงทราบว่า สิ่งที่ต้องทรงนำกลับมาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก พระองค์ก็ทรงนำบาตรอันมีค่ามาให้ แต่เมื่อเห็นว่าบาตรมิได้ส่องแสงเรืองรอง ตามที่บาตรศักดิ์สิทธิ์ควรจะเป็น คะงุยะ-ฮิเมะ ก็ทราบว่าพระองค์ทรงหลอกลวง
เจ้าชายอีกสองพระองค์ก็ทรงพยายามหลอกลวงเช่นกันแต่ก็ไม่สำเร็จ เจ้าชายองค์ที่สี่ทรงเลิกพยายามเมื่อทรงประสบกับลมมรสุม ส่วนเจ้าชายองค์สุดท้ายสิ้นพระชนม์ขณะที่ทรงพยายามที่จะแสวงหาสิ่งที่คะงุยะ-ฮิเมะต้องการมาให้
คะงุยะ-ฮิเมะ กลับไปดวงจันทร์ หลังจากนั้น จักรพรรดิมิคาโดะจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ก็เสด็จมาทอดพระเนตรสตรีผู้มีข่าวร่ำลือกันกันนักหนาว่ามีความสวยงาม เมื่อทรงได้เห็นพระองค์ก็ทรงตกหลุมรักคะงุยะ-ฮิเมะ และทรงขอแต่งงานด้วย แม้ว่าจะไม่ต้องทรงผ่านการทดสอบเช่นเดียวกับเจ้าชายห้าองค์ก่อนหน้านั้น แต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ยังคงปฏิเสธ โดยทูลว่านางนั้นเป็นสตรีผู้มาจากแดนไกล ที่ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าไปในพระราชฐานของพระองค์ได้ แต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ยังคงดำเนินการติดต่อกับมิคาโดะตลอดมา และก็ยังคงปฏิเสธคำขอของพระองค์ทุกครั้ง
ระหว่างฤดูร้อนปีนั้น เมื่อใดเห็นพระจันทร์เต็มดวง ตาของคะงุยะ-ฮิเมะก็จะคลอไปด้วยน้ำตา ทั้งตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยาก็พยายามถามถึงสาเหตุ แต่คะงุยะ-ฮิเมะก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ
พฤติกรรมของคะงุยะ-ฮิเมะยิ่งแปลกขึ้น จนกระทั่ง จนในที่สุด ก็ยอมเปิดเผยว่า นางนั้นมิได้มาจากโลกนี้ และถึงเวลาแล้วจะต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองที่อยู่บนดวงจันทร์
บางตำนานก็กล่าวว่าคะงุยะ-ฮิเมะถูกส่งมายังโลกมนุษยชั่วคราว เพื่อเป็นการลงโทษเพราะไปทำความผิดเข้า แต่บางตำนานก็ว่าถูกส่งตัวมาซ่อนไว้ในโลก เพื่อความปลอดภัยระหว่างสงครามที่เกิดขึ้นบนสรวงสวรรค์
เมื่อวันที่จะต้องกลับใกล้เข้ามา จักรพรรดิมิคาโดะก็ทรงส่งทหารมาล้อมบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้คนจากดวงจันทรมาเอาตัวคะงุยะ-ฮิเมะไปได้ แต่เมื่อทูตจาก "สรวงสวรรค์" มาถึงประตูบ้านของตะเกะโตริ โนะ โอะกินะ ทหารที่มารักษายามต่างก็ตาบอดกันเพราะความแรงของแสงที่เรืองออกมา คะงุยะ-ฮิเมะประกาศว่า แม้ว่าตนเองจะมีความรักเพื่อนหลายคนบนมนุษยโลก แต่ก็จำต้องเดินทางกลับไปยังดวงจันทร ซึ่งเป็นบ้านที่แท้จริงของตนเอง
จากนั้นคะงุยะ-ฮิเมะก็เขียนจดหมายร่ำลาขออภัยต่อตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยา และ ต่อจักรพรรดิมิคาโดะ และมอบเสื้อคลุมให้บิดามารดาไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เอาผอบยาอายุวัฒนะ แนบไปกับจดหมายให้แก่ทหารยามไปถวายพระจักรพรรดิ เมื่อยื่นจดหมายให้แล้วและเอาเสื้อคลุมขนนกพาดไหล่เสร็จ คะงุยะ-ฮิเมะก็ลืมความคิดถึง และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษยโลกจนหมดสิ้น ขบวนชาวทูตสวรรค์ก็นำคะงุยะ-ฮิเมะ กลับไปยังดวงจันทร ทิ้งตะเกะโตริ โนะ โอะกินะและภรรยาไว้กับความโศรกเศร้า จนในที่สุดก็ล้มเจ็บ
ฝ่ายทหารยามเมื่อได้รับสาส์นและยาอายุวัฒนะแล้ว ก็นำกลับไปถวายและทูลรายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพระจักรพรรดิ เมื่อพระองค์ก็ทรงอ่านจดหมายแล้วก็ทรงเต็มตื้นไปด้วยความโทมนัส และตรัสถามข้าราชบริพารว่า "ภูเขาลูกใดที่สูงที่สุด ที่ใกล้สรวงสวรรค์ที่สุด?" ซึ่งข้าราชบริพารก็ทูลว่าเป็นมหาภูเขาแห่งจังหวัดซุรุกะ
พระองค์ก็มีพระบรมราชโองการให้นำจดหมายของคะงุยะ-ฮิเมะไปยังยอดเขาและเผา ด้วยความหวังว่าความคิดคำนึงถึงนางของพระองค์จะล่องลอยตามสายควันขึ้นไปถึงคะงุยะ-ฮิเมะได้
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีพระบรมราชโองการให้เผาผอบยาอายุวัฒนะ ที่ถ้าผู้ใดได้กินผู้นั้นก็จะเป็นอมตะตามไปด้วย เพราะไม่มีพระราชประสงค์ที่จะดำรงชีวิตไปตลอดกาลโดยปราศจากคะงุยะ-ฮิเมะ
ตำนานกล่าวต่อไปว่าคำว่า "ฟูจิ" แปลตรงตัวว่า "ภูเขาที่เต็มไปด้วยนักรบ" มีที่มาจากกองทัพของพระจักรพรรดิเดินขึ้นไปบนภูเขา เพื่อที่จะไปปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ
และกล่าวกันว่าควันจากการเผาจดหมายและยาอายุวัฒนะ ยังคงลอยระล่องขึ้นไปบนสรวงสวรรค์มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ (ในอดีตภูเขาฟูจิเป็นภูเขาที่คุกรุ่นมากกว่าในปัจจุบัน)
credit : เนื้อหาโดย Spirit of Phoenix
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2556 19:10:48 น. |
Counter : 5242 Pageviews. |
|
|
|