ช่วงสายๆ ของวันเสาร์-อาทิตย์ ภายนอกอาคารบิ๊กซีสาขาลาดพร้าว (ห้างอิมพีเรียล สาขาลาดพร้าวเก่า) ยังร้างไร้ผู้คน หากแต่บริเวณลานสเก็ตชั้น 7 กลับคลาคล่ำไปด้วยกลุ่มวัยรุ่นชาวเมียนมาร์
ขี่สเก็ต ภาษาแทนการเล่นสเก็ตที่พวกเขาใช้เรียกกันจนคุ้นปากกลายเป็นกิจกรรมสุดฮิตที่ไม่ว่าคุณจะมาจากพื้นที่ไหนของเมียนมาร์ เมื่อคุณมาที่นี่ ทุกคนคือเพื่อนกัน
ลานสเก็ตแห่งนี้ไม่ได้มีชื่อเรียกชัดเจน หากแต่จะเรียกเป็น เมียนมาร์เซ็นเตอร์ ตามความเข้าใจเหมือน สยามเซ็นเตอร์ ทีนโซนสุดฮิตของคนไทยก็ไม่แตกต่างกัน เพราะหนุ่ม-สาวชาวเมียนมาร์มักจะมารวมตัวกัน ขี่สเก็ต สังสรรค์ อัพเดทแฟชั่น เสื้อผ้า หน้าผมกันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เสมอ
ย้อนหลังกลับไป 3 ปีก่อน พื้นที่บริเวณนี้เป็นเพียงลานโบว์ลิ่งร้างที่เจ้าของเดิมปิดตายมากว่า 8 ปี จนกระทั่งหนึ่งในผู้บริหารลานสเก็ตปัจจุบันเข้าไปเทคโอเวอร์ปรับเปลี่ยนสถานที่เป็นลานโบว์ลิ่งและเปิดพื้นที่เป็นที่เล่นสนุกเกอร์แทน แต่เมื่อทำไปสักระยะหนึ่งผู้ที่เข้ามาใช้บริการเริ่มเล่นการพนัน มีการสูบบุหรี่ทำให้เกิดควันบุหรี่ลอยเต็มไปหมด หนึ่งในหุ้นส่วนจึงเริ่มกลับมาคิดใหม่และเปลี่ยนจากโต๊ะสนุกเป็นลานสเก็ตแทน โดยไม่ได้คาดว่าจะมีวัยรุ่นชาวเมียนมาร์มาใช้บริการ
สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดนัดพบของวัยทีนชาวเมียนมาร์เกิดจากสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาเปิดออฟฟิศให้แรงงานต่างด้าวต่ออายุวีซ่าและพาสปอร์ตการทำงานที่นี่ ทำให้เมื่อเสร็จธุระวัยรุ่นเหล่านั้นจึงเข้ามาใช้บริการลานสเก็ตแห่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันสำคัญทางศาสนาชาวเมียนมาร์ก็จะเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากเนื่องจากในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีสถานที่ให้พวกเขาพบปะสังสรรค์กัน เมื่อมีการชักชวนกันแบบปากต่อปากลานสเก็ตแห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางที่วัยรุ่นชาวเมียนมาร์มารวมตัวกันในช่วงวันหยุด
โม หญิงสาวเชื้อชาติปะโอ อายุ 19 ปี เธอเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตามพี่สาวตั้งแต่อายุ 15 รับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็กและทำงานบ้าน จะได้กลับบ้านก็เป็นช่วงวันหยุดยาวอย่างช่วงสงกรานต์
รู้จักที่นี่เพราะแฟนเคยพามาเที่ยว ถ้าไม่มาที่นี่ก็ไปปั่นจักรยานที่สวนรถไฟ หรือไม่ก็ไปรวมตัวกันที่เซ็นทรัลพระราม 2 สวนหลวงร.9 แต่โมชอบมาที่นี่เพราะจะมาขี่สเก็ต และยังได้เจอเพื่อนๆ ด้วย
สำหรับโมเข้ามาอยู่เมืองไทยนานหลายปี จึงค่อนข้างผูกพันและรักเมืองไทยมาก เพราะเธอรู้สึกว่าคนไทยใจดี
อยู่ที่บ้านลำบากไม่มีไฟฟ้าใช้ และก็ไม่มีงานให้ทำ งานส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างไปทำนา ทำไร่ บ้านโมไม่มีที่ทำกินก็อาศัยหาของป่าเป็นอาหาร แต่พอมาทำงานในเมืองไทยแล้วก็รู้สึกว่าความเป็นอยู่ดีขึ้น
แม้ทุกคนจะไม่ยอมแพ้กันเรื่องเสื้อผ้าแต่ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ในหลวงรัชกาลที่ 9 วัยรุ่นทุกคนรับทราบและส่วนใหญ่ก็จะแต่งกายไว้ทุกข์รวมถึงน้องโมด้วย
หนุ่มวัยรุ่นผู้รักเสียงเพลง เอ็ม หรือทู้ ชื่อจริงตามภาษาของชาวไทยใหญ่ เอ็มดูจะคุ้นเคยกับเมืองไทยดี เพราะเขาเข้ามาทำงานครั้งแรกที่เชียงใหม่ได้ 1 ปี จากนั้นก็เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ 3 ปีพร้อมคุณพ่อและคุณแม่ เรียกได้ว่ามากันทั้งครอบครัว
ผมรู้จักที่นี่จากสื่อออนไลน์หลังมีคนถ่ายรูปแล้วแชร์กันทางโซเชียล ผมจึงเข้าไปถามว่าที่นี่ที่ไหน เขาก็บอกว่าบิ๊กซีลาดพร้าว ตั้งแต่นั้นผมก็มาเที่ยว มาขี่สเก็ตที่นี่ เล่นมากว่า 1 ปีแล้ว นอกจากได้ขี่สเก็ตแล้วยังได้เจอเพื่อนๆ อีกด้วย
เอ็มหนุ่มผู้มีดนตรีในหัวใจจัดเต็มเรื่องการแต่งกายทุกครั้งบางทีเรามาเจอเพื่อนหรือเจอสาวๆ ที่นี่ ก็อยากให้ดูดีในสายตาเขา ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราดูแย่ดูสกปรก จึงต้องจัดเต็มทุกครั้งที่ออกมาเที่ยว ผมก็ต้องเซ็ตให้ดูหล่อเข้าไว้ สไตล์เสื้อผ้าที่ชอบคือแนวร็อคตามพวกนักดนตรีที่เราชอบ
ด้านสาวหล่อ วีระเด นี้นุ้ย ชาวกะเหรี่ยง เข้ามาอยู่เมืองไทยกับคุณแม่ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ พออายุ 12-13 เริ่มทำงาน ตอนนี้เป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารแถวโชคชัย 4 รายได้เดือนละ 9,500 บาท ส่วนใหญ่ชอบมาขี่สเก็ต บางครั้งก็ชกมวย
รู้จักที่นี่เพราะเพื่อนชวนมาเที่ยว ส่วนใหญ่มาขี่สเก็ต ถ้าไม่มาที่นี่ก็ไปสวนจตุจักรไปปั่นจักรยาน
ตัวแทนวัยรุ่นเมียนมาร์ทั้ง 3 คนแม้ว่าจะต่างเชื้อชาติ แต่เพราะเข้าใจในหัวอกคนไกลบ้าน ที่ต้องเข้ามาเสี่ยงโชคทำงานต่างบ้านต่างเมือง เมื่อพวกเขามารวมตัวกันความเหงา ความคิดถึงบ้านเกิดทั้งหลายกลับถูกแทนที่ด้วยความสุข มิตรภาพและรอยยิ้มของคนบ้านเดียวกัน และนี่คือนิยามของสถานที่แห่งนี้