Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
2 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
เป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ โดย ประสาน ต่างใจ

เป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์
เขียนโดย ประสาน ต่างใจ
ตีพิมพ์ในมติชนรายวันวันที่ ๐๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๑๐๖๘๒

"เป้าหมายสุดท้ายของมนุษยชาติก็คือ การเดินทางเพื่อเรียนรู้สัทธรรมสูงสุด และนั่นก็เป็นสิ่งเดียวกับองค์ความรู้สูงสุดอันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของแต่ละศาสนาและทุกๆ ศาสนามาตั้งแต่หลายพันปีก่อน"



นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาจำนวนไม่น้อย เช่นเดียวกับเราสาธารณชนคนทั่วไปทั้งหลายในปัจจุบันซึ่งหลงมัวเมาไปกับวิทยาศาสตร์ (เก่าหรือกายภาพ) ที่นำโดยนิวตัน กาลิเลโอ ชาร์ลส์ ดาร์วิน และซิกมันด์ ฟรอยด์

โดยเชื่อว่าความจริงทางวิทยาศาสตร์เก่าที่ว่านั้น (ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่สมบูรณ์) เป็นความจริงทั้งหมด

เช่น เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert Spencer) ที่ประกาศว่าธรรมชาติของชีวิต "คือการอยู่รอดของผู้ที่แข็งแรงกว่า" แต่เพียงประการเดียว

หรือ ออกัสเต คอมเต้ (Auguste Comte - ผู้นิยามวิชาสังคมวิทยายุคปัจจุบัน) ที่กล่าวว่า โลกและประวัติศาสตร์ของศาสนาได้จบลงไปแล้ว นับแต่มนุษยชาติได้ค้นพบวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่ให้ความจริงสุดท้าย กับให้อนาคตแก่มนุษยชาติ

ในความเห็นของผู้เขียน ความคิดเช่นนั้นชี้บ่งอีโก้หรืออัตตาอหังการของเรา ให้มองมนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล (anthropocentric) ซึ่งมีส่วนเป็นอย่างยิ่งในการสร้างโลกทัศน์ชีวทัศน์ที่ผิด ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ว่ามานี้ - เชื่อแต่วิทยาศาสตร์โดยโยนทิ้งศาสนา - สร้างความพินาศหายนะให้กับสังคมโลกและระบบนิเวศธรรมชาติของโลก ก่อวิกฤตปัญหานานัปการดังที่เรากำลังประสบกันอยู่ในปัจจุบัน

แท้ที่จริงแล้วสำหรับผู้เขียน ศาสนาทุกๆ ศาสนา - ที่มาก่อนวิทยาศาสตร์นานนักหนา - ให้ความจริงแท้ที่สมบูรณ์อย่างยิ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากไล่กลับไปแล้ว อาจถึงช่วงเวลาที่โลกเราเริ่มมีประวัติศาสตร์ใหม่ๆ ด้วยซ้ำ

เพียงแต่ลัทธิความเชื่อและศาสนาต่างๆ เหล่านั้นมีมาก่อนที่มนุษย์จะมีวิวัฒนาการของตรรกะและเหตุผล ทำให้เรา - ส่วนใหญ่ มากๆ - อยู่กับความเชื่อศรัทธาเพียงอย่างเดียวประหนึ่งว่าเป็นคนตาบอด

สุดท้ายเมื่อไม่มีเวลาคิดวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งและปฏิบัติศาสนาอย่างที่ควร จึงงมงายอยู่กับกระพี้เปลือกนอกของศาสนาและนับถือว่านั่นคือแก่นแท้

ทำให้ในเวลาต่อมา เมื่อสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น พระหรือนักบวชอันเป็นตัวแทนของศาสนา - ที่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเช่นมนุษย์ธรรมดาๆ ทั้งหลาย - ที่มีธรรมชาติของความเป็นตัวตนและเห็นแก่ตัวมากขึ้นไปตามวิวัฒนาการทางจิตสู่อัตตาอหังการ ผู้หาประโยชน์ใส่ตนบนความไม่รู้หรือไม่มีเวลา และบนความเชื่อศรัทธาของประชาชน

ปัญหาอันเกิดจากวิกฤตศรัทธาจึงเริ่มเกิดขึ้นและมีมากขึ้น จนทำให้ประชาชนไม่สามารถแยกแยะแก่นแท้ของศาสนาออกจากตัวบุคคล โลกจึงก้าวสู่ยุคแห่งความมืดบอดทางปัญญา กระทั่งถึงเวลารุ่งอรุณฟ้าสางทางตรรกะและเหตุผลดังที่เรารู้เราเรียนกัน

ด้วยความเห็นส่วนตัว ผู้เขียนคิดว่า ศาสนาทุกๆ ศาสนาอาจมีรูปแบบและวิธีการที่เน้นเนื้อหาสาระคำสอนขององค์พระศาสดาผู้ประกาศศาสนานั้นๆ แตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะมีคุณสมบัติหรือลักษณะที่ศาสนิกนั้นๆ คิดว่า ศาสนาของตนแตกต่างไปจากศาสนาอื่นๆ อย่างไร?

ผู้เขียนกลับเชื่อว่า ทุกศาสนามีเเก่นที่ชี้บ่งสัทธรรมความจริงอันเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่เหมือนกันหรือเป็นเช่นเดียวกัน โดยไม่มีตรงไหนที่ใดผิดเพี้ยนออกไปจากกันหรือแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

และที่กล่าวมานั้น ไมใช่เป็นเพราะผู้เขียนเชื่อว่าทุกศาสนามีเป้าหมายเพื่อสอนให้คนเป็นคนดี อยู่ในศีลอยู่ในธรรม และมีวิถีชีวิตที่ประกอบด้วยคุณธรรมจริยธรรมความดีงาม - อันเป็นสากล - เท่านั้น

แต่ผู้เขียนคิดว่า เป้าหมายสุดท้ายของทุกศาสนากับเป้าหมายสุดท้ายของการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ - เรามาอยู่ที่นี่ทำไม? - นั้นเป็นเป้าหมายอันเดียวกัน นั่นคือเพื่อตอบว่าสัทธรรมความจริงแท้หรือความจริงสูงสุดคืออะไร?

ซึ่งในความคิดของผู้เขียน เป้าหมายของศาสนาหรือเป้าหมายของมนุษย์ชาตินั้นเป็นไปเพื่อให้ความรู้สูงสุด (gnosis) หรือการเรียนรู้ที่มาและที่ไปของสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ของโลกและจักรวาล รวมทั้งชีวิตและมนุษย์ว่าเป็นมาอย่างไร?

สัทธรรมความจริงอันสูงสุด (The Absolute or The Ultimate) ที่มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าแต่ละศาสนานั้นๆ และเราจะเรียกสิ่งสูงสุดนี้ว่าอย่างไร? พระเจ้าในชื่อต่างๆ หรือเต๋า หรือนิพพาน หรืออะไร? สิ่งสูงสุดที่ทั้งเป็นหนึ่งและทั้งเป็นทั้งหมด (The One and The Many) ที่มาจากความว่าง (The Void) ด้วยกันทั้งสิ้น

จริงๆ แล้วนั่นคือองค์ความรู้สูงสุดที่มนุษยชาติแสวงหามาตั้งแต่ไหนแต่ไร

เมื่อมนุษย์คนแรกเกิดมีขึ้นมาในโลก - ผลิตผลของวิวัฒนาการธรรมชาติของจักรวาลผ่านห่วงโซ่ของสรรพสิ่งที่รวมชีวิตและมนุษย์ (the great chain of being) - แล้วมองไปรอบๆ ตัว ทั้งแหงนมองดูท้องฟ้าด้วยความพิศวงงงงวยประหม่ากลัว แท้ที่จริงแล้วที่มาของปรัชญาธรรมชาติและที่มาของวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมาล้วนแล้วแต่พัฒนาขึ้นมาด้วยการสะท้อนทางตรรกะ (logic or philosophic reflection) หรือมีขึ้นมาเพื่อหาคำตอบต่อความจริงอันสูงสุดที่ว่านั้นทั้งสิ้น

เพียงแต่ว่ามนุษย์เราใช้ตรรกะของการสะท้อนแตกต่างกันออกไป

นั่นคือ สำหรับผู้เขียนแล้ว เป้าหมายสุดท้ายขององค์ความรู้ทั้งหลายแหล่ที่มนุษย์เรามีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าที่มีมาในอดีต หรือที่มีอยู่ในวันนี้ หรือจะมีในวันหน้าและวันไหนๆ ล้วนแล้วแต่มีที่มาเบื้องต้นที่เดียวกัน และมีเป้าหมายสุดท้ายอย่างเดียวกัน คือหาคำตอบสุดท้ายให้กับมนุษยชาติว่า สัทธรรมความจริงสูงสุดหรือธรรมชาติสูงสุดคือสิ่งใด? เป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ชาติคืออะไร?

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อตอบคำถามว่า - เรามาอยู่ที่นี่ทำไม? - ที่สุดท้ายแล้วเรามนุษย์ทุกผู้ทุกคนก็จะรับรู้ความจริงที่ว่านั้นด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม ในอดีดตั้งแต่เริ่มต้นของประวัติศาสตร์เป็นต้นมา ศาสดา อรหันต์ นะบี โยคี อรัญวาสี จำนวนมาก ต่างรับรู้หรือรู้คำตอบที่มีหนึ่งเดียวจากเส้นทางภายในมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนทั้งนั้น ที่ต่อมาบ้างก็ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นศาสนา

ในขณะที่นักปรัชญาจำนวนมากในยุคสมัยต่างๆ ตั้งแต่สมัยกรีกไล่ขึ้นมา พยายามใช้ตรรกะและเหตุผลบนสติปัญญา (intelligence) จากสมอง การครุ่นคิด ที่บางครั้ง ด้วยความเป็นหนึ่งเดียวของจิตใจ (หรือด้วยสมาธิ) อย่างไม่รู้สึกตัว เพื่อวิเคระห์และสังเคราะห์คำถามและคำตอบต่อความจริงสูงสุดที่ว่านั้นกันอย่างไม่หยุดยั้ง

ตั้งแต่วันนั้นตราบถึงวันนี้ การเดินทางด้วยเส้นทางภายในบางครั้ง รวมทั้งการเดินทางด้วยเส้นทางภายนอกจากสติปัญญาของสมองบนตรรกะและเหตุผลในบางครั้งที่ว่านั่นเอง ทำให้นักปรัชญาแต่ละคนกลายเป็นอัจฉริยะหรือไม่อัจฉริยะ มีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหามากหรือน้อยแตกต่างกันออกไป นักปรัชญาที่บางครั้งได้องค์ความรู้จากสมาธิ กับบ่อยครั้งกว่าที่ได้ความรู้จากเหตุผล หรือภายในกับภายนอกบวกกัน ได้ทำให้สัทธรรมความจริงอันสูงสุดที่มีเพียงหนึ่งเดียว มีความแตกต่างกันเป็นหลากหลาย จวบจนกระทั่ง ณ บัดนี้

นักคิดนักปรัชญาที่ก่อนหน้านั้นเป็นนักเทววิทยาผู้หนึ่ง ที่หลายๆ คนรวมทั้งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นผู้ที่อธิบายที่มากับเป้าหมายสุดท้ายของมนุษยชาติ หรือสัทธรรมความจริงอันสูงสุดได้อย่างกระจ่างชัด คือ จอร์จ วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกล (Georg Wilhelm Friedrich Hegel) มหาปราชญ์คนหนึ่งที่ถามและตอบเช่นที่ผู้เขียนกล่าวมาข้างบนตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่ 19 และต่อมา ศรีอรพินโธได้สาธยายไว้แทบจะเหมือนกัน แม้ในรายละเอียดของส่วนที่สำคัญ

จริงๆ แล้ว ผู้เขียนคิดว่าเฮเกลอาจได้ความคิดส่วนหนึ่งจากญาณทัสสนะ การครุ่นคิดอย่างใจจดใจจ่อหรือการทำใจให้อยู่กับสมาธิอย่างไม่รู้สึกตัว

สิ่งที่เฮเกลได้มาจากญาณทัสสนะเช่นนั้น ในส่วนสำคัญถึงเหมือนกับที่ศรีอรพินโธ หรือผู้หนึ่งผู้ใด รวมทั้งอริยสงฆ์ที่เป็นพระป่าหรืออรัญวาสี เช่น หลวงปู่ดูลย์ (อตุโล) หรือหลวงปู่มั่น (ภูริทัตโต) ได้จากการปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิเป็นเวลายาวนาน

นั่นคือ สัทธรรมความจริงที่ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นพุทธะ เป็นจิตเดิมแท้ที่มาจากความว่าง (หลวงปู่ดูลย์) - ขามาและขากลับ ที่พลาโต้เรียกว่า ขาลง (descent) และขาขึ้น (ascent)

- ขามาคือจิตหนึ่ง (The One) ที่ให้ความหลากหลาย (The Many) แห่งสังสารวัฏ

และขากลับคือ จากความหลากหลายกลับสู่ความเป็นหนึ่งแห่งพระนิพพาน

เพียงแต่เฮเกลจะเรียกจิตหนึ่งว่า ความจริงสุดท้าย (The Absolute) ที่เป็นสิ่งเดียวกับพระเจ้าสูงสุด (spirit)

สำหรับเฮเกลแล้ว องค์ความรู้สูงสุดหรือเป้าหมายสุดท้ายของมนุษยชาตินั้น ไม่ได้มีข้อจำกัด และมนุษย์เราทุกคนสามารถแสวงหาได้ด้วยตนเองหรือเป็นปรากฏการณ์ที่ประสบด้วยตนเอง เพราะเฮเกลคิดว่าเป้าหมายสุดท้ายของมนุษยชาติ - โดยเหตุผล (ทางโลก) ส่วนหนึ่ง - ก็คือองค์ความรู้ความจริง เมื่อพระเจ้าสูงสุดที่ว่านั้น (ที่อยู่กับเราทุกคน) แสวงหาและค้นพบตัวเอง

นั่นคือการเดินทางสู่จุดหมายปลายทางของมนุษย์ที่มีสามขั้นตอน คือจากความหลับใหลงมงายของจิตใต้สำนึก (sub-consciousness) สู่การตื่นของอัตตาตัวตน (self- consciousness) แล้วตื่นผ่านพ้นตัวตน (transcend) ต่อไปสู่จิตเหนือสำนึก (super-consciousness) ซึ่งสำหรับผู้เขียน นั้นคือระดับธรรมจิต (spirituality) อันเป็นเส้นทางสู่นิพพาน

และนั่นก็เป็นเนื้อหาสาระของการเดินทางสู่เป้าหมายสุดท้ายของมนุษยชาติที่แท้จริงของศรีอรพินโธที่กล่าวว่า จิตของมนุษย์ชาติเดินทางผ่านจาก "การรู้ตัวทางกายแบบผิวเผิน (superficial bodily awareness หรือ sub-consciousness) สู่ระดับจิตรู้ตัวตนและอีโก้ (self-conscious) เมื่ออหังการเข้าใจว่าความผิวเผินของรูปกายคือความเป็นเอกภาพสุดท้าย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมนุษยชาติยังต้องเดินทางเพื่อผ่านพ้นอัตตาตัวตนนั้น สู่จิตเหนือสำนึก (super-consciousness) เป็นเอกภาพกับจักรวาล

หรือเราอาจพูดได้ว่า วิวัฒนาการของจิตหรือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั้งหมด คือการตื่นและการเปลี่ยนแปลงของจิต ของสปิริต กลับสู่สปิริต สุดแล้วแต่ว่าแต่ละศาสนาจะแปลคำสปิริต (spirit) ว่าอย่างไร?

การตื่นและเปลี่ยนแปลงทางจิต หรือวิวัฒนาการทางจิตที่มีสามขั้นตอนใหญ่ (หรือแปดขั้นตอนย่อยหรือระดับที่นักจิตวิทยาและนักคิดส่วนใหญ่ เช่น เค็น วิลเบอร์ อธิบาย) เราจึงต้องเดินทางเพื่อผ่านพ้นจิตแต่ละระดับเพื่อผ่านไปสู่จิตอีกระดับ

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นชี้บ่งอย่างชัดแจ้งว่า - สำหรับผู้เขียนแล้ว - เป้าหมายสุดท้ายของมนุษยชาติก็คือ การเดินทางเพื่อเรียนรู้สัทธรรมสูงสุด และนั่นก็เป็นสิ่งเดียวกับองค์ความรู้สูงสุดอันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของแต่ละศาสนาและทุกๆ ศาสนามาตั้งแต่หลายพันปีก่อน และตราบใดที่มนุษย์เรายังไม่เรียนรู้หรือรับรู้ความจริงได้ทั้งหมด มนุษยชาติก็จะสิ้นสุดลงไปไม่ได้

มนุษย์เราจะต้องดำรงอยู่ต่อไปเพื่อเป้าหมายนั้น - ไม่ว่าตัวตนอหังการและอวิชชาจะคร่าชีวิตมนุษย์ไปสักเท่าไรก็ตาม - เพียงแต่ว่าเพราะจิตในระดับที่เรามีอยู่ในวันนี้ อัตตาตัวตนที่ทำให้เราส่วนใหญ่กลัวตาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ตราบใดที่เรายังว่ายเวียนอยู่ในสังสารวัฏ เมื่อสปิริตยังไม่ค้นพบกับสปิริตและรวมกันเป็นเอกภาพ ไม่ว่าใครก็ไม่ตาย (ทางจิต) ไปจริงๆ

สำหรับผู้เขียนที่เข้าใจพุทธศาสนาจากคำอธิบายของหลวงปู่ดูลย์ที่เชื่อว่าเป็นอรหันต์ จิตดั้งเดิมและพระนิพพานคือพุทธะ คือความว่าง (The Void) ซึ่งเป็นสาระของที่มาและที่ไปของสรรพสิ่งและสัตว์โลกทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ในทุกๆ ศาสนาด้วยเช่นเดียวกัน








Create Date : 02 กรกฎาคม 2550
Last Update : 2 กรกฎาคม 2550 19:39:13 น. 0 comments
Counter : 1911 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.