|
จากชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร ถึงชนชาติที่ธรรมชาติคัดสรร
จุดไฟในนาคร ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
อันที่จริงถ้าจะว่าไปแล้ว
.ความเชื่อว่าชนชาติยิว คือชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรรแล้วที่จะให้มาปกครองดูแลโลก หรือแสดงความมีอยู่ของพระองค์ผ่านทางชาวยิวแต่เพียงเท่านั้น
ก็เป็นความเชื่อที่แทบไม่ต่างไปจาก นาซีเยอรมัน ที่ได้กลายมาเป็นผู้ล้างผลาญชาวยิวนับเป็นล้านๆ คนในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ กันซักเท่าไหร่นัก
เพียงแต่ว่านาซีเยอรมันนั้น
เพิ่งมาสร้างความเชื่อที่ว่านี้ขึ้นมาในช่วงระยะสั้นๆ หรือในช่วงหลังจากที่ชาวยุโรปได้ปลดปล่อยตัวเองออกมาจากอำนาจศาสนจักรโดยที่ชาวยิวได้มีส่วนร่วมให้ความสนับสนุนอย่างใกล้ชิดดังที่เคยกล่าวถึงไปแล้ว จนทำให้ชาวยุโรปจำนวนไม่น้อยได้สรุปว่า พระเจ้าตายแล้ว หลังจากนั้นก็มักจะมีการนำเอารากฐานความคิดที่มีที่มาจากแนวความคิดแบบวิทยาศาสตร์ตาม ทฤษฏีวิวัฒนาการ ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ว่าด้วยกฎแห่งการวิวัฒนาการหรือกระบวนการคัดสรรทางธรรมชาติ มาใช้สร้างความชอบธรรมให้กับบรรดาฝรั่งผิวขาวทั้งหลายในการออกไปล่าอาณานิคม กระทำย่ำยีต่อชาวพื้นเมืองชาติพันธุ์ต่างๆ ด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจในฐานะที่ตัวเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงกว่า ย่อมสามารถขจัดเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ เพื่อความอยู่รอดของตัวเองไปตาม กฎแห่งการวิวัฒนาการนั่นเอง
นักคิดอย่าง เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ ที่ว่ากันว่ามีอิทธิพลทางความคิดต่อบรรดาผู้ก่อตั้ง ลัทธิฟาสซิสต์ จำนวนไม่น้อย ก็ได้นำเอาแนวความคิดในเรื่องกฎแห่งการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตตามแนวทางของ ดาร์วิน นี่แหละ มาใช้เป็นข้อสรุปถึงวิถีทางของมนุษยชาติควบคู่ไปด้วย โดยการระบุไว้ว่า เผ่าพันธุ์ที่เหลืออยู่จากการวิวัฒนาการตามธรรมชาตินั้น
ก็คือเผ่าพันธุ์อันเหมาะสม และข้อสรุปเช่นนี้นี่เองที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างความเชื่อที่จะนำมาใช้รองรับความสูงส่งของเผ่าพันธุ์ฝรั่งผิวขาวในแต่ละกลุ่ม ที่ต่างก็พยายามอ้างว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดสายเลือดมาจากเผ่าพันธุ์อันเหมาะสม เผ่าพันธุ์ที่เคยแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่กันมาตั้งแต่ยุคอดีต หรือเผ่าพันธุ์ที่เคยเป็นผู้วางรากฐานให้กับอารยธรรมต่างๆ มาในหลายยุคหลายสมัย
จนทำให้เกิดการนำเอาเผ่าพันธุ์ตัวเองไปเกี่ยวโยงกับเผ่าพันธุ์โบราณเผ่าหนึ่งนั่นก็คือ
ชาวอารยัน
??? ??? ???
คำว่า อารยัน นั้น
อันที่จริงก็เป็นคำๆ เดียวกับคำว่า อิหร่าน ซึ่งก็คือประเทศอิหร่านในทุกวันนี้ และโดยความหมายของคำว่า ชาวอารยัน
ก็คือคำที่ชนเผ่าโบราณซึ่งอาศัยอยู่ในที่ราบสูงอิหร่านใช้เรียกขานตัวเองกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
หรืออาจจะนับเป็นหมื่นๆ ปีมาแล้วก็ว่าได้
ในหลักฐานจารึกเก่าแก่ของอัสซีเรียและบาบิโลนได้พูดถึงบรรดาผู้คนเหล่านี้ว่าพวก กาซซู (kassu) กาซซี (kassi) หรือ กาชี (kashi) ตามชื่อเมืองเก่าแก่ที่ชุมชนเหล่านี้อาศัยอยู่ ซึ่งก็ได้แก่เมือง กาชาน (kashan) ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน
หรือฝรั่งชาวกรีกที่ปรากฏตัวขึ้นมาในประวัติศาสตร์ก่อนหน้าฝรั่งชาวยุโรปนับหลายพันปี ก็เคยเรียกขานผู้คนเหล่านี้ว่า กาฟเฟ (Kaffe) ดังที่มีการบอกเล่าเอาไว้ในบันทึกของ เฮโรโดตัส ที่แจกแจงเอาไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ชาวกรีกเรียกว่า กาฟเฟ นี่แหละที่เรียกขานตัวเองว่า
อารยัน และในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาวเปอร์เซียเองก็ได้แสดงให้เห็นเอาไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้า ดาริอุสที่ ๑ หรือก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซียมานานแล้ว ด้วยถ้อยคำที่พระองค์จารึกเอาไว้ว่าพระองค์คือผู้สืบเชื้อสายมาจาก ลูกชายแห่งกษัตริย์อาเคเมนิด ผู้เป็นลูกชายแห่งเปอร์เซียและลูกชายแห่งเผ่าพันธุ์อารยัน
นอกจากนั้นคำว่า อารยัน ที่ว่านี้ก็ยังได้ไปปรากฏอยู่ในประเทศอินเดีย อันเนื่องมาจากการอพยพของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในที่ราบสูงอิหร่านเข้าไปสู่ลุ่มแม่น้ำสินธุเมื่อหลายต่อหลายพันปีที่แล้ว และถ้อยคำๆ นี้ก็ถูกเรียกขานกันในฐานะเป็นแนวทางที่แสดงออกถึงเนื้อหาในคัมภีร์โบราณ ๓ เล่ม ของผู้อพยพกลุ่มนี้ว่า อารยมรรค หรือ หนทางของชาวอารยัน อันได้กลายมาเป็นต้นรากของศาสนาฮินดูในเวลาต่อมา
ว่าไปแล้ว
คำว่า อารยัน หรือ ความเป็นอารยัน ที่ว่านี้
แทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบรรดาฝรั่งในยุโรปกันเลยแม้แต่น้อย บรรดาพวกฝรั่งยุโรปที่แต่เดิมทีเคยถูกเรียกว่าพวก อนารยชน กันมาตั้งแต่อาณาจักรโรมันยังไม่ได้ล่มสลาย หรือผู้ที่มีลักษณะอาการออกไปทางป่าเถื่อน ไม่ได้มีอารยธรรมสูงส่งใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อมีโอกาสมาสร้างบ้านแปงเมืองยึดครองดินแดนต่างๆ ที่เคยเป็นอาณาจักรโรมันกันมาก่อน ต่างก็ล้วนแล้วแต่พยายามหาทางยกระดับตัวเองให้ดูสูงส่งกว่าพวกฝรั่งด้วยกันเอง
ไม่ว่าด้วยการอ้างอิงว่าชนชาติดั้งเดิมของตัวเองมีความเกี่ยวพันกับ ความเป็นชาวโรมัน อันเป็นผู้มีอารยธรรมมาก่อนหน้านั้นไม่ว่าในทางใดก็ทางหนึ่ง พยายามเทียบเคียงสถานะของกษัตริย์รายต่างๆ ในยุโรป ให้กลายเป็น ซีซาร์ เป็น ซาร์ เป็น ไกเซอร์ หรือยอมศิโรราบต่ออำนาจของศาสนจักรเพื่อให้เกิดการยอมรับ ว่าตัวเองเป็น ผู้พิทักษ์จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
เป็นต้น
ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากความพยายามอ้างถึง ความเป็นอารยัน อีกเหมือนกัน โดยเฉพาะในยุคที่บรรดาฝรั่งยุโรปได้ออกไปไล่ล่าอาณานิคมกันทั่วทั้งโลก และได้พบเจอกับอารยธรรมที่สูงส่ง ซึ่งมีความเก่าแก่โบราณสืบทอดมายาวนานเอามากๆ จะเพื่อหาทางสร้างความชอบธรรมให้กับการเข้ายึดครองแผ่นดินของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง หรือเพื่อหาทางลบปมด้อยของตัวเองไปพร้อมๆ กับแสดงความสูงส่งของตัวเองออกมาให้ใครต่อใครต้องยอมรับก็แล้วแต่
แต่สิ่งเหล่านี้ก็คงมีส่วนทำให้บรรดานักค้นคว้า หรือนักประวัติศาสตร์ของฝรั่งเลยหาทางไปลากเอาชนชาติโบราณ ที่เชื่อกันว่ามีอารยธรรมอันสูงส่งมาตั้งแต่โบราณกาลอย่าง ชนเผ่าอารยัน ให้กลายมาเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับตัวเองกันจนได้
!!!
จุดเริ่มต้นที่ทำให้บรรดาฝรั่งในยุโรปทั้งหลายลากเอาเผ่าพันธุ์ตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับชนเผ่า อารยัน นั้น ว่ากันว่าเริ่มมาจากศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์รายหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่พยายามจัดหมวดหมู่ชาติพันธุ์ต่างๆ ด้วยการนำเอาการพูดจาสื่อสารของบรรดาชนชาติแต่ละชนชาติ ซึ่งอาจจะมีถ้อยคำ-สำเนียงบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายๆ กันมาใช้เป็นข้อสันนิษฐานถึงความเกี่ยวโยงกันในด้านเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ จนเกิดการเหมารวมไปว่า คำพูด-คำจาของบรรดาฝรั่งในยุโรปหลายกลุ่มหลายเหล่านั้น มีบางถ้อยคำที่ค่อนข้างจะคล้ายกับถ้อยคำของบรรดาชาวเปอร์เซียที่อาศัยอยู่ในแถบที่ราบสูงอิหร่าน หรือคล้ายกับภาษา สันสกฤต ที่มีการใช้อยู่ในหมู่ชนชาติอารยันในอินเดีย
สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เริ่มเกิดการเชื่อมโยงชนเผ่าต่างๆ ในยุโรป เข้ากับชนชาติอารยันกันมาตั้งแต่นั้น
.
ซึ่งการนำเอาแต่เฉพาะถ้อยคำ หรือการออกเสียงสื่อสารกันในภาษาแต่ละภาษามาใช้เป็นบรรทัดฐานในการสร้างความเชื่อมโยงกันและกันระหว่างชนชาติแต่ละชนชาติ ในแง่ประวัติศาสตร์แล้วถือว่าเป็นการปะติดปะต่อข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ออกจะหยาบเกินไป หรือคงไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้อพิสูจน์ใดๆ ได้อย่างจริงๆ จังๆ มากนัก รวมทั้งตัวศาสตราจารย์ด้านภาษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่เป็นผู้ริเริ่มตั้งสมมุติฐานถึงความเกี่ยวพันกันระหว่างชาวยุโรปกับชาวอารยันในลักษณะเช่นนี้ก็ได้เคยยอมรับว่า ทฤษฏีการจัดกลุ่มภาษาให้ไปเกี่ยวโยงกับความเป็นชนชาติเผ่าพันธุ์ของตัวเองนั้นไม่ได้เป็นทฤษฏีที่มีความสมบูรณ์ พอที่จะใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงอะไรได้มากมายนัก และอาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาด สับสน ไขว้เขวอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างที่กล่าวเอาไว้แล้วว่า ด้วยความที่เคยมีฐานะเป็น อนารยชน มาก่อนตั้งแต่ดั้งเดิม บรรดาชาวยุโรปนั้นมักจะพยายามหาทางที่จะยกระดับสถานะตัวเองในทางประวัติศาสตร์กันมานานแล้ว ยิ่งการที่ชาวยุโรป ได้ขยายอำนาจขยายจักรวรรดิของตัวเองออกไปครอบงำชนชาติอื่นๆ กว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับประวัติศาสตร์ดั้งเดิมของตัวเอง ก็จึงยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
.โดยที่บรรดานักค้นคว้า หรือนักประวัติศาสตร์ชาวยุโรปทั้งหลาย อาจจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยก็ได้ว่า
ความพยายามลบปมด้อย-สร้างปมเด่น ความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับการเข้ายึดครองดินแดนผู้อื่น หรือการสร้างความชอบธรรมให้กับความเป็นจักรวรรดินิยมของบรรดาฝรั่งด้วยกันเองนั้น
ท้ายที่สุดแล้วมันกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้พวกฝรั่งต้องหันมาฆ่ากันเองจนล้มตายกันนับเป็นล้านๆคน
??? ทั้งนี้
ก็เพราะจากรากฐานแนวคิดในลักษณะเช่นนี้นี่แหละ ที่มันได้ถูกนำเอาไปใช้เป็นรากฐานรองรับอุดมการณ์ของ ลัทธินาซี ที่ปรากฏตัวขึ้นมาในหมู่ฝรั่งชาวเยอรมันกันในอีกไม่นานไม่ช้า
ที่มา //www.onopen.com
Create Date : 27 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2550 15:36:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1234 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|