จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
26 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
The Stand Inner (The Wind of Angel) ตอนที่ 8. จิตราตรี

จิตราตรี

“…….ที่กำลังจะเริ่มขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับอนุมัติจากสภากีฬาสากลแห่งเอเชี่ยนให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ภายใต้ชื่อ ‘เอเชี่ยน ลิมปิกเกมส์’ ซึ่งคาดว่าในงานนี้คงมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก...” เสียงจากโทรทัศน์ที่ดังขึ้น
เขาอยู่ในสภาพที่พร้อมเข้านอน ด้วยชุดเสื้อยืดคอกลมหลวม ๆ สีขาวกับกางเกงขาสั้นที่ยาวถึงเข่าตัว
อารยะผ่อนคลายตัวเองสบายสักครู่อยู่บนชุดรับแขกชุดเล็ก ๆ หน้าโทรทัศน์เพื่อรับชมข่าว
“ต่อไปเป็นข่าวจากศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ แจ้งเข้ามาให้ทราบว่า วันนี้เมื่อเวลาประมาณ 8 นาฬิกา 47 นาทีจนถึง เวลา 9 นาฬิกา 14 นาที ทางศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติสามารถวัดความสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ สูงสุดที่ 2.7 ริกเตอร์ เป็นเวลา 27 นาที โดยมีจุดศูนย์กลางการสะเทือนอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี แรงสั่นสะเทือนนี้สามารถวัดได้ถึงจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งมหานครกรุงเทพด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ได้มีรายงานความเสียหายเข้ามาให้ทราบในขณะนี้ ที่องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม มีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่ไปกราบนมัสการ ได้พบเห็นรอยแตกร้าวบริเวณฐานขององค์พระปฐมเจดีย์อยู่หลายแห่ง ทางจังหวัดจึงได้เร่งประสานงานไปที่กรมอนุรักษ์โบราณศิลป์และวัฒนธรรมแห่งชาติ” อารยะปิดโทรทัศน์ก่อนที่จะได้ชมเรื่องราวทั้งหมดจบลง

“หมายความว่า ที่เรารู้สึกได้เมื่อเช้านี้ที่รถไฟฟ้า มันก็เป็นเรื่องจริงนะสิ”
เขาพูดออกมาด้วยเสียงเรียบและเบา ในขณะที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ที่ปิดเงียบไปแล้ว
“เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด มันคงไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป มันต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน”
ทำให้อารยะนั่งนิ่งนึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ย้อนคิดถึงในสิ่งที่บ๊วยเคยได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ตามด้วยสิ่งที่หลวงตาชี้แนะให้อารยะได้ลองปฏิบัติเพื่อหนทางแห่งการรวมจิต
เขาลุกขึ้นไปปิดไฟที่อยู่ข้างประตูห้อง แล้วเดินหาทำเลที่เป็นพื้นที่ว่างที่สุดเท่าที่จะมีได้ในห้องของเขา
และนั่งลงในท่านั่งขัดสมาธิเท้าขวาทับขึ้นบนเท้าซ้าย มือวางบนตักด้วยท่ามือขวาทับบนมือซ้าย
มันคือท่าพื้นฐานเพียงท่าเดียวที่อารยะรู้จักเท่านั้น
“ที่ใดมีลมหายใจ ให้กำหนดไว้ที่นั่น”
อารยะทบทวนคำพูดของหลวงตาด้วยเสียงที่เบามาก ๆ จนฟังดูเหมือนเสียงบ่นพึมพำเสียมากกว่า
เขาเริ่มทำตัวให้สบาย ๆ หายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อให้ผ่อนคลายสักครั้งสองครั้ง แล้วก็เริ่มหายใจในภาวะปกติธรรมดาไม่ใส่ใจว่าหายใจจะสั้นไปหรือว่ายาวไป ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ แล้วกำหนดรู้เท่าสภาวการณ์ของลมแห่งการเข้าออกนั้น
อารยะนั่งอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานพอสมควรจนกระทั่งได้เข้าถึงสภาวะแห่งจิตที่เป็นหนึ่ง ไม่รู้สึกว่ามีตัวตนของตน เบาหวิวร่องลอย เกิดปิติความยินดี เปี่ยมไปด้วยความสุขแห่งจิตที่ไม่มีสุขทางกายใดจะเทียบเท่าได้
เขายังคงนั่งสมาธิต่อไปเรื่อย ๆ จนเวลาค่อย ๆ ผ่านไป ๆ

เช้าของอีกวันใหม่…..
เมื่อแสงแดดสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ทำให้อารยะรู้สึกได้ว่าควรพอไว้เพียงเท่านี้ก่อน
เขาค่อย ๆ ถอนกำลังสมาธิลงแล้วลืมตาขึ้น จึงได้หยุดการเจริญสมาธิไว้แต่เพียงเท่านั้น
“นี่มันเช้าแล้วรึนี่..เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วซะเหลือเกิน” อารยะนึกอยู่ในใจ
เขายังไม่รู้หรอกว่าการติดอยู่ในฌานสมาธินั้นย่อมอยู่เหนือกาลเวลาอยู่แล้ว
เวลาของโลกมันเหมือนนานแต่ในฌานสมาธิมันช่างเป็นเวลาที่รู้สึกว่าน้อยนัก
มันน้อยในความรู้สึกของผู้เข้าฌานสมาธิเท่านั้น ในโลกแห่งความจริงทุกอย่างยังคงเช่นเดิมและนี่คงเป็นผลมาจากบุญบารมีทางธรรมตั้งแต่เมื่อชาติภพหนหลังที่ได้บำเพ็ญเพียรมาก่อนที่จะมาเกิดในชาติที่เป็นอารยะนี้นั่นเอง

อารยะรู้สึกว่าเช้านี้ทุกอย่างมันสวยงามอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
มันเป็นปิติแห่งอารมณ์ที่เหนือกว่าความสุขที่ได้จากความสำเร็จใดที่ทางโลกมี
ความรู้สึกนึกคิดก็เปลี่ยนไป มันละเอียดอ่อนมากเหมือนว่าสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ แม้เพียงการก้าวย่างที่แผ่วเบาแหวกอากาศไปอย่างช้า ๆ ก็ยังให้รับรู้ได้ว่าลมผ่านไปทุกรูขุมขนทั่วพื้นผิวหนัง

“เช้านี้เราไม่มีความง่วงเลย แล้วความรู้สึกสุขใจที่มีอยู่นี่ตอนนี้มันคืออะไรกัน”
อารยะเปล่งเสียงออกมาเป็นคำแรกของเช้าวันนี้ มันเป็นเช้าที่รู้สึกสบายปลอดโปร่งใจกายเป็นที่สุด รูปและเสียงที่ผ่านเข้ามาในสัมผัสประสาทนั้นไม่อาจไปรบกวนจิตใจของอารยะได้เลย เขานึกขึ้นได้ว่าหากสามารถรวมจิตได้แล้ว จะกำหนดรู้ได้ดุจดั่งชี้นิ้วไปยังสิ่งที่หมาย จึงได้ลองวิชาดูสักหน่อย
เขานั่งลงในท่าขัดสมาธิ หลับตาลงแล้วเริ่มรวบรวมสมาธิเพ่งพินิจกระแสจิตไปที่ห้องข้าง ๆ เพื่อแสกนหาความรู้สึกนึกคิดของคนที่อยู่ข้างห้องพักของเขา
เวลาเพียงไม่นานนักสมาธิก็ถูกรวมเป็นหนึ่งเพียงแต่ว่า.....เขาไม่สามารถที่จะรับรู้ความรู้สึกนึกคิดจากคนที่อยู่ข้างห้องได้เลย นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นห้องว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยในตอนนี้นั่นเอง
เขายังอยู่ในการสำรวมสมาธิอยู่จึงได้ทดลองแสกนไปที่ห้องข้าง ๆ อีกด้านหนึ่ง เพียงไม่นานอารยะก็รู้ได้ว่าห้องนี้ก็เป็นเพียงห้องที่ไม่มีใครอยู่ด้วยเหมือนกัน เขาจึงค่อย ๆ ลืมตา แล้วลุกขึ้นมองไปที่นาฬิกาซึ่งแขวนอยู่เหนือโทรทัศน์
“9 โมง 10 นาที มิน่าถึงไม่เจอใครเลย” อารยะนึกขึ้นได้ว่าคนที่พักอยู่ห้องข้าง ๆ ทั้งสองห้อง ตอนนี้เขาออกไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนกันตั้งแต่เช้าแล้ว เขาคงต้องไปทดลองผลการฝึกครั้งนี้ที่อื่นเสียแล้ว

หลังจากทำกิจวัตรธุระในช่วงเช้าเสร็จแล้ว อารยะก็เตรียมตัวออกไปกองถ่ายทั้งที่วันนี้ไม่มีคิวถ่ายหนังของตัวเอง



บนขบวนรถไฟลอยฟ้า BTS

“พระโขนง”
เสียงประกาศดังขึ้นบนรถไฟฟ้า
รถไฟฟ้าโล่งมาก ปราศจากผู้คนเบียดเสียด การเดินทางสบายไม่วุ่นวาย เป็นจังหวะดีที่อารยะจะได้ลองวิชาอีกครั้งหรือใช้คำที่น่าฟังมากขึ้นกว่าว่า ‘ฝึกภาคสนาม’ ก็ได้
ถึงแม้ว่าการฝึกของอารยะจะเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องของสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่ผู้ที่ถูกละเมิดก็คงไม่รู้ตัวว่าขณะนี้กำลังถูกล้วงความลับอยู่ ทีนี้ใครละจะรู้ว่าอารยะทำผิดกฎหมายอยู่นอกจากตัวเขาเองเท่านั้น

“ขอแอบดูนิดนึงนะ” อารยะพูดออกมาเบา ๆ เหมือนว่าจะขออนุญาตเป้าหมายก่อน แต่ก็ขอแค่เบา ๆ ก็พอ
เขาเริ่มสำรวมสมาธิเป็นเอกจิตอย่างรวดเร็วแล้วเพ่งไปยังผู้หญิงที่กำลังนั่งแต่งหน้าอยู่เยื้องกันไปอีกสามที่นั่งด้านขวามือของเขา จึงได้รับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเธอผู้นั้น
“ไม่น่าซื้อมาเลยลิปสติกแท่งนี้นี่ ไม่ถูกใจเลยจริง ๆ” อารยะได้รับความรู้สึกนึกคิดของเธอในขณะนั้น
จึงทำให้รู้ว่าเขาทำได้แล้ว แต่ก็อยากให้แน่ใจ ดังนั้นจึงขอแอบดูเธอคนนี้อีกครั้ง
“แหมวันนี้ไม่มั่นใจเลย ใส่ของปลอมมาเยอะแยะไปหมด”
อารยะยังติดตามชมต่อไปเหมือนกำลังนั่งดูหนังเพลิน ๆ ซึ่งจริงแล้วเขารู้สึกดีใจกับการที่สามารถโฟกัสไปได้เหมือนชี้นิ้วเลือกช่องรับชมรายการจากโทรทัศน์
“พรุ่งนี้เราจะบอกพี่ติ๊กว่าเราจะต้องไปอเมริกาเดือนนึง”
“กลัวพี่ติ๊กรู้จังเลย ว่าเราก็เหมือน ๆ กัน”
อารยะเริ่มรู้สึกแปลกกับข้อมูลที่ได้รับมาจากผู้หญิงที่กำลังแต่งหน้าด้วยความกังวลคนนี้
“เราต้องแอบไปแปลงเพศ เพื่อรักษาความลับนี้ไว้ พี่ติ๊กจะได้ไม่ทิ้งเราไป”
ในที่สุดเขาก็ได้รู้ความลับที่ไม่ควรจะรู้ของผู้ชายคนนี้
อารยะต้องแก้ไขข้อมูลที่ได้รับจากสื่อเสียใหม่ที่คิดว่าเป็นผู้หญิงต้องเปลี่ยนใหม่เป็นผู้ชายในทันทีทันใด
เขาถอนสมาธิออกอย่างรวดเร็วแล้วลืมตาขึ้นมองผู้ชายคนที่กำลังแต่งหน้าอยู่เยื้องกับเขานั่น ด้วยหน้าตาอึ้ง ๆ
บทเรียนแรกของการฝึกภาคสนามจึงเป็นอุทาหรณ์สอนอารยะได้ว่า ‘จงระมัดระวังเรื่องการปลอมแปลงของข้อมูลข่าวสารจากสื่อที่ได้รับเข้ามาในหัว’ เพราะสมัยนี้อะไรก็เลียนแบบกันได้ แถมยังปลอมได้สวยกว่าของแท้เสียอีก
สิ่งสำคัญเขาทำสำเร็จแล้วในการที่จะกำหนดรู้เห็นได้เฉพาะสิ่งที่ต้องการ ถึงแม้ว่าการฝึกภาคปฏิบัติในครั้งแรกจะไม่ค่อยสวยนักก็ตาม แต่ก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีเลยทีเดียว....



Create Date : 26 มีนาคม 2551
Last Update : 26 พฤษภาคม 2551 17:16:57 น. 0 comments
Counter : 490 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.