จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
8 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

The Stand Inner (The Wind of Angel) ตอนที่ 7. กองฟืนแห้งกับไฟที่เพิ่งก่อ

กองฟืนแห้งกับไฟที่เพิ่งก่อ

หลังจากเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์แล้ว หนุ่มโสดอย่างอารยะก็ไม่จำเป็นต้องรีบนัก เขาใช้โอกาสนี้เดินเล่นไปเรื่อย ๆ อยู่บนถนนสายเล็ก ๆ พื้นไม่ค่อยเรียบเท่าใดนัก แถว ๆ นี้ไม่เห็นมีคนอยู่เลย ต้นหญ้าแฝกหญ้าคาขึ้นแซมกันไปตลอดริมสองฝั่งทาง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสวนและท้องทุ่งนา

ขณะที่เดินชมสวนอยู่เพลิน ๆ
“แถวนี้อากาศดีต้นไม้ก็ยังมีมากอยู่ แล้วลมก็พัดเย็นสบาย เงียบสงบดี” อารยะคุยอยู่คนเดียวเบา ๆ
เหมือนกำลังบอกความรู้สึกให้ตัวเองรู้อีกครั้ง พร้อมกับสูดหายใจลึก ๆ เอาอากาศจริง ๆ ไม่มีมลพิษเข้าไป
อารยะกำลังเผลอเดินเข้าไปในพื้นที่บริเวณวัดแห่งหนึ่งซึ่งมีรั้วเป็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ ตัดแต่งไว้อย่างดีเรียงรายอยู่ล้อมรอบวัด
“ดูเก่ามากแต่ก็สะอาดตาเหมือนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไม่ให้ทรุดโทรม”
อารยะมองไปรอบ ๆ จนไปหยุดสายตาอยู่ที่โบสถ์ เขาจึงตั้งใจว่าจะเดินไปเพื่อกราบพระพุทธรูปในโบสถ์นั่น
“มันช่างเงียบสงบและเย็นใจจริง ๆ”
อารยะพูดกับตัวเองอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับก้าวเท้าอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ เข้าไปด้วยความสำรวม ผ่านใบเสมาจนไปถึงประตูโบสถ์
“ประตูถูกปิดไว้” อารยะนึกขึ้นอยู่ในใจหลังจากได้ลองผลักประตูโบสถ์ดูแล้วสองสามครั้ง เขาจึงได้นั่งคุกเข่าลงอยู่หน้าประตู พนมมือ แล้วก้มกราบสามครั้ง
อารยะเดินออกจากบริเวณโบสถ์ แล้วเดินไปสำรวจที่บริเวณท้ายวัด จึงรู้ว่าด้านหลังของวัดมีศาลาริมน้ำ เขาค่อย ๆ เดินมุ่งหน้าไปที่ศาลาริมน้ำทันทีเพื่อชื่นชมบรรยากาศร่มรื่นตอนเย็นของวัด

แสงแดดอ่อน ๆ ลมพัดมาเบา ๆ ต้นไม้เอนไหวไปมา
เสียงไก่ขันดังมาแต่ไกลเป็นเสียงเบา ๆ บ้าง ดังบ้าง ปนกับเสียงหมาเห่าดังมาไกล ๆ
นกมากมายบินไปบินมาร้องเสียงดังเหมือนว่าจะชวนกันให้กลับรัง
น้ำไหลเอื่อย ๆ มีผักตบชวาลอยประดับคลองกว้าง ๆ ให้พอสวย
ปลาน้อยใหญ่ว่ายน้ำกันอย่างมากมายเหมือนเข้าใจว่าอารยะจะมาให้อาหารกิน

อารยะนั่งชมอยู่ที่ศาลาริมน้ำจนเพลิดเพลินโดยไม่รู้เลยว่าขณะนี้กำลังมีใครกำลังจ้องมาที่ตัวเขาอยู่
การก้าวย่างเข้ามาอย่างสงบเงียบนั้น ทำให้อารยะไม่รู้เลยว่า มีใครกำลังนั่งอยู่ตรงที่อีกฝั่งหนึ่งในศาลา เป็นที่นั่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับตัวเขาห่างกันเพียงแค่มือเอื้อมถึงกันได้เท่านั้น
เมื่ออารยะหันไปเห็นหลวงตาเข้า จึงทำให้เขาสะดุ้งตกใจเป็นอย่างมากที่อยู่ ๆ ก็มีคนมานั่งอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ทันได้รู้ตัว

“อะ..เอ่อ..อ.กราบนมัสการครับหลวงตา” “หลวงตามานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ผมไม่ทันได้รู้ตัวเลย”
อารยะยังรู้สึกตกใจไม่หาย
“นั่นไม่สำคัญหรอก แล้วโยมหลานละ มานั่งคิดอะไรอยู่ที่ศาลานี้”
หลวงตายิ้มให้ พร้อมเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกถึงคนชราที่ใจดีมีเมตตาคนหนึ่ง อารยะรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินเสียงนี้
“หลวงตาครับ ผมมีเรื่องจะขอรบกวนถามหลวงตาจะได้มั๊ยครับ” อารยะหวังว่าหลวงตาจะเป็นที่พึ่งในการตอบปัญหาที่ยังค้างคาอยู่ในใจของอารยะ
“เอาสิโยมหลาน เจ้าถามมาได้เลย”
“คือว่า...อะ..เอ่อ..อ.ตั้งแต่ที่ผมเกิดอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล ผมก็รู้สึกว่า...”
อารยะเริ่มสับสนถึงกับติดขัด ไม่รู้ว่าจะถามหลวงตาต่อไปดีหรือไม่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คงหาคนที่รับฟังได้ยาก แต่ที่สุดแล้วอารยะก็ตัดสินใจเอ่ยถามหลวงตาให้มันจบเรื่องกันไป เผื่อว่าจะได้คำตอบที่ทำให้อารยะไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป
“มีสิ่งผิดประหลาดเกิดขึ้นกับตัวผมครับ“ “มันเหมือนว่าผมได้รู้ได้ยินความคิดของคนอื่นอยู่ตลอดเวลาครับหลวงตา”
อารยะรู้สึกกลัว ๆ กับสิ่งที่บอกเล่าออกไปใน ขณะที่หลวงตาก็เอาแต่นั่งยิ้มนิ่งฟังอยู่อย่างนั้น
“คือมันเป็นเศษกระจกชิ้นเล็กแหลมเหมือนเข็มฝังอยู่ในหัวของผมครับ ตั้งแต่นั้นมามันก็เปลี่ยนชีวิตผมให้เป็นแบบนี้” อารยะพูดต่อไปอยู่ฝ่ายเดียว
“หลวงตาครับ ผมเข้าใจนะครับว่าใครฟังก็จะคิดว่าผมเป็นบ้า แต่ผมไม่ได้บ้าจริง ๆ นะครับหลวงตา”
อารยะกังวลใจมากขึ้นเพราะเพิ่งจะคิดได้ว่าคนบ้าก็มักจะพูดแบบนี้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่บ้า
“เจ้าคงจำเรื่องนี้ไม่ได้สินะ”
“จำอะไรไม่ได้หรือครับ” อารยะสงสัย
“ก็สิ่งที่ฝังอยู่ในหัวเจ้านั่นนะ มันคือ ‘แก้วเพชรเขี้ยววานร ’ “ หลวงตาเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ศีรษะของอารยะ
“มันถูกสร้างขึ้นมาจากพลังอภินิหารแห่งธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่รวมกันขึ้น” หลวงตาชูนิ้วขึ้นมาสี่นิ้วด้วย
“มี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และ ธาตุไฟ” หลวงตานับนิ้วลงทีละนิ้ว
“มันเกิดขึ้นที่อินเดียตั้งแต่โบราณกาล ก่อนที่เรื่องรามเกียรติ์จะถือกำเนิดขึ้นมาเป็นตำนานให้เล่าขานเสียอีก” “ซึ่งนิสัยของเจ้าแก้วเพชรเขี้ยววานร มันจะอาศัยในร่างของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับมันเท่านั้น หากร่างของผู้ที่มันอาศัยสลายไปมันจะพรางตัวอาศัยอยู่กับวัตถุธาตุอื่น ๆ เหมือนกับกิ้งก่าพรางตัวกับธรรมชาติอย่างนั้น เพื่อรอคอยการปลุกให้ตื่นขึ้นจากหลับใหลอีกครั้ง”
หลวงตาเล่าเรื่องที่เชื่อได้ยากยิ่งนัก แต่ที่เล่ามามันเป็นแค่เรื่องย่อ ๆ เท่านั้น

“....?!?....”
อารยะรู้สึกแปลกประหลาดใจเพราะที่เขาเจอมามันก็แค่อุบัติเหตุแล้วมันก็เป็นได้แค่เศษแก้วเท่านั้น
จะเป็นไปได้อย่างไร เขาไม่รู้ว่าจะเชื่อดีหรือไม่
“แต่ว่าผมแค่โดนกระจกบาดเท่านั้นเองนะครับหลวงตา”
“สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นชะตากรรมของเจ้า เป็นหน้าที่ของกรรมที่เจ้าถูกมอบหมายให้ทำในชาตินี้”
“หน้าที่อะไรครับหลวงตาผมไม่เข้าใจเลยว่าผมไปรับหน้าที่นี้ตอนไหน” อารยะยิ่งงงเข้าไปใหญ่
“มันเป็นจุดเริ่มต้นของเจ้า เช่นเดียวกับกองฟืนแห้งที่เพิ่งก่อไฟ”
“แล้วผมต้องทำอย่างไรต่อไปละครับหลวงตา”
“สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือควบคุมมันให้ได้ แล้วฝึกที่จะใช้มัน”
“ผมจะควบคุมมันยังไงครับหลวงตา”
“ด้วยการทำจิตสมาธิ”
หลวงตายิ้มแล้วชี้แนะหนทางที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ให้ ที่เหลือก็คือคนเดินทางเท่านั้น
“จิตสมาธิมันคือ.?..แล้วผมจะทำมันได้อย่างไรละครับหลวงตา” อารยะต้องการวิธีเดินจากหลวงตา
“เจ้าต้องกำหนดจิตสำรวมสมาธิให้เป็นหนึ่งเดียว เมื่อใดที่เจ้าทำจิตให้เป็นเอกจิตได้เจ้าจะสามารถเลือกเพ่งจิตไปที่เฉพาะได้อย่างใจหมาย ดุจดั่งเช่นชี้นิ้ว”
“ผมจะทำได้ตอนไหน ที่ไหน อย่างไรครับหลวงตา”
ตอนนี้อารยะมีแต่คำถามมากมายอยู่ในหัว มันมาจากสิ่งที่หลวงตาชี้แนะมาเพียงไม่กี่คำแต่เหมือนมันจะขยายความได้ไม่รู้จบ
“ที่ใดมีลมหายใจ ที่นั่นมีสมาธิ จงกำหนดไว้ที่นั่น เจ้าเคยเรียนรู้มาแล้วเมื่ออดีตชาติ ครั้งนี้เจ้าแค่ปัดฝุ่นมันเท่านั้น”
“แล้วเรื่องชะตากรรมละครับ ผมจะต้องไปทำสังฆทานสะเดาะเคราะห์ ทำบุญกรวดน้ำเก้าวัดด้วยหรือเปล่าครับ” อารยะถามคำถามพื้น ๆ อย่างที่ชาวบ้านทั้งหลายเขาคิดกันว่า หากเมื่อใดดวงไม่ดีก็ให้ไปทำบุญล้างซวยกัน มันจึงเป็นสิ่งที่เชื่อถือนิยมทำกันโดยทั่ว
หลวงตาไม่ได้ตอบคำถามสุดท้าย ยืนยิ้มเพียงเล็กน้อยแล้วเดินจากไป เพราะหลวงตาหยั่งรู้ได้ว่าอารยะเป็นดั่งเพชรงามที่ขึ้นฝ้าหมองจับ หากได้รับการเช็ดล้างให้สะอาดแล้ว จะจับต้องแสงสว่างไสว จึงต้องการให้อารยะได้ใช้ปัญญาในการพิจารณา
อารยะพนมมือขึ้นไหว้หลวงตาก่อนที่หลวงตาจะเดินจากไป หลวงตาเดินจากไปอย่างช้า ๆ โดยสำรวมกิริยา อย่างระมัดระวัง โดยที่อารยะไม่สามารถรับรู้ภาวะความนึกคิดของหลวงตารูปนี้ได้เลย
อารยะยังคงนั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำนี้ ด้วยความสงสัย ทบทวนสิ่งที่หลวงตาได้พูดสั่งสอนมาทั้งหมด
ถึงจะไม่เข้าใจทั้งหมดทุกคำพูดของหลวงตาก็ตาม อารยะก็ได้รับความพอใจในหนทางที่จะเอาชนะกับสิ่งวุ่นวายในใจที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เขาไม่ได้มีสิทธิ์เลือกเลยว่าอยากจะได้มันหรือไม่ สิ่งที่เขารู้ตอนนี้ก็คือมันเป็นเรื่องเวรกรรมของเขาเท่านั้นและมีทางแก้ก็คือการนั่งทำสมาธิ ทางเดียวที่เป็นยาแก้ยาควบคุม
อารยะจะเชื่อหลวงตาหรือไม่เชื่อก็ตาม
เขาก็เกิดมาเพื่อสิ่งนี้
อย่างที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้
ตั้งแต่ ‘แก้วเพชรเขี้ยววานร’ ได้ถูกฝังในศีรษะของเขา
และนี่ไม่ใช่ความบังเอิญที่เกิดขึ้นกับใคร ๆ ก็ได้
มันเป็นการรอคอยให้วันนี้มาถึง
ด้วยเงื่อนไขของชะตากรรมแห่งอดีต..ชาติ....




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2550
1 comments
Last Update : 26 พฤษภาคม 2551 17:15:41 น.
Counter : 544 Pageviews.

 

ขอบคุณมากค่ะ ความรู้ใหม่เพียบเลย

 

โดย: BB IP: 203.155.181.188 31 มกราคม 2551 16:27:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.