จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
2 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
The Stand Inner (The Wind of Angel) ตอนที่ 14. ฉากสุดท้ายของตัวแสดง

ฉากสุดท้ายของตัวแสดง

“เฮ้!~ นายควรพาพวกเรากลับบ้านด้วยนะ ให้พวกเราได้ไปเยี่ยมบ้านด้วยถึงจะถูก”
อดิศักดิ์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีนัดกินข้าวมื้อค่ำอย่างพร้อมหน้าในวันที่เขาต้องตาย
นี่ก็เป็นอีกรายที่ไม่รู้จักการเรียนรู้ชีวิต เขามีอาชีพเป็นวิศวกรผู้ชำนาญเรื่องไฟฟ้าและทำตัวเหมือนมนุษย์ไฟฟ้า เสียบปลั๊กแล้วก็ทำงานพอเสร็จงานแล้วก็ชอบเที่ยวกลางคืนไม่พักผ่อนนอนหลับหักโหมกำลังกายอย่างเกินควร เขาเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดมากจนปอดแทบพังแล้วโชคดีที่ไม่ตายด้วยโรคปอด
“ป่านนี้เขาคงรอผมแย่แล้ว” อดิศักดิ์คงคิดว่าตัวเองยังมีร่างกายเป็นตัวตนและกำลังหลงเรื่องเวลา
“ใช่!~ เธอต้องพาพวกเราไปบ้านก่อนนะอารยะ เพราะเธอต้องรับผิดชอบที่เธอกักขังพวกเราไว้”
วิกานดาโทษให้เป็นความผิดของอารยะเสียแล้ว
“ใช่!~ คุณต้องพาเราไปทุกคน ทุกบ้าน เพราะเราต้องการเห็นพวกเค้าเป็นครั้งสุดท้าย”
ภาวิณีเสริมย้ำเพราะหวังว่าจะได้ไปบ้านของตัวเองด้วยเช่นกัน
สำหรับคนนี้ ‘ภาวิณี’ เธอทำงานในบริษัทความงามแห่งหนึ่ง จึงทำให้เธอใช้เครื่องสำอางเปลืองมาก หน้าตาพอกไปด้วยหน้ากาก มีตำแหน่งหน้าที่การงานดีได้ด้วยเทคนิคการเหยียบหลังผู้อื่นขึ้นไปแล้วใช้ปากประจบสอพลออีกเพียงเล็กน้อย นิสัยขี้อิจฉาริษยาครบครันตามลักษณะนางร้ายในละครทีวี พูดจาเหมือนขวานผ่าซาก แทงเพื่อนร่วมงานข้างหลังด้วยการกล่าววาจาให้ร้ายผู้อื่นเอาดีเข้าตัว ไม่มีใครดีนอกจากเธอคนเดียว
ทั้งหมดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมักจะต้องระแวงเสมอที่จะคอยดูไม่ให้ใครล้ำเส้นเกินหน้าเธอ
“ใช่..ใช่” “ใช่.” “ใช่!.” เสียงยืนยันเริ่มมากขึ้นเหมือนจะเป็นเอกฉันท์แล้ว
“ทุกคนหยุดก่อน หยุดก่อน” อารยะเผลอพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง ขณะที่ตัวเองก็เปิดเพลงฟังคาหูอยู่บนรถเมล์ซึ่งมีคนจำนวนไม่มากนัก
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ต่างก็หันมาอย่างตกใจ พากันสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบนรถ
“จอดที่ป้ายจอดเท่านั้นนะครับพี่” พนักงานเก็บเงินเดินมาแจ้งให้อารยะทราบด้วยความเข้าใจผิด
ทุกคนเริ่มลดสายตาออกจากอารยะ หันหน้ากลับไปที่เดิมของแต่ละคน
นี่เป็นครั้งแรกที่อารยะไม่ค่อยอยากจะอ่านความคิดใครบนรถเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องมีแต่เสียงไม่ชวนฟังเป็นแน่
รถจอดป้ายแล้วอารยะจึงรีบลงจากรถเมล์ทันที ทั้งที่ยังไม่ถึงป้ายที่เขาต้องการจะลงแต่คงต้องมาตกลงกับเพื่อนร่วมร่างให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะเดินทางต่อไป ไม่เช่นนั้นคงมีผู้ก่อความไม่สงบในร่างกายของเขาเป็นแน่
อารยะเดินเท้าไปเรื่อย ๆ ทิศทางมุ่งหน้ากลับที่พัก เดินไปพูดไปเหมือนคุยอยู่คนเดียว
ดีที่อารยะเสียบหูฟังวอร์คแมนเอาไว้ที่หู ทำให้ดูเหมือนกับว่าเขากำลังฮัมเพลงไปด้วย
“เอาละ ก่อนอื่นผมขอทราบจำนวนของดวงวิญญาณทุกดวงก่อน ว่าทั้งหมดมีอยู่ในตัวผมทั้งหมดจำนวนเท่าไรทำอะไรอยู่แถวไหนกันบ้าง”
เขาไม่อาจจะนับจำนวนดวงวิญญาณที่มีอยู่ในตัวของเขาได้ มันมีมากมายเหลือเกิน แล้วแต่ละดวงก็ส่ายไปส่ายมาเหมือนผีเสื้อบินไม่ทีท่าว่าจะอยู่นิ่ง
“ผมอดิศักดิ์เป็นวิศวกรไฟฟ้าอยู่บ้านแถวเหม่งจ๋าย”
“ผมชื่อ อาทิตย์ เป็นหมอครับ อยู่แถวตลิ่งชัน”
“ผมสาธิตทำงานด้านกราฟิกดีไซน์ ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ครับ บ้านอยู่รังสิต ”
“ฉันชื่อวิกานดาเป็นนางพยาบาลคะ บ้านอยู่แถวบางซื่อนะคะ”
“ชั้นพจนีย์ อยู่แถวบางโพ ทำงานเป็นเลขา”
“ผมชื่อ วิชิต ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ บ้านอยู่แถวฝั่งธนครับ”
“บุญเพิ่ม รับเหมาก่อสร้าง อยู่แถวนนทบุรี”
“อานนท์ พลังเยอะครับ บ้านอยู่ที่เดียวกับมีนาครับ”
“ผมมีนาครับ ชอบเพาะกายครับ บ้านอยู่ที่เดียวกับอานนท์ครับ”
“ชั้นภาวิณี เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง บ้านอยู่แถวรังสิต”
“สมชายยะ เป็นนักท่องเที่ยวยามราตรีคะ บ้านอยู่แถวดินแดงนะยะ”
“อดิศร เป็นทนายความ บ้านอยู่ย่านลาซาล”
“อรทัยคะ เป็นช่างเสริมสวยคะ อยู่บ้านแถวปากเกร็ดคะ”
“อำนวย เป็นผู้บริหารอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง บ้านอยู่บางนา”
“ฉันเต็มฤทัย เป็นแม่บ้านทำความสะอาด อยู่รามคำแหงคะ”
“ชั้นทัศนา บ้านอยู่แคราย ทำธุรกิจส่วนตัวจ๊ะ”
“ผมนิวัฒน์ เป็นสถาปนิก บ้านอยู่พระรามสองครับ”
“.............
..............”

“เอาละ เอาละครับ พอได้แล้วครับ ผมว่าอย่างนี้ก็คงไม่จบง่าย ๆ แน่ เอาเป็นว่าขอให้ท่านได้เลือกตัวแทนในการเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ก็แล้วกันนะครับ” อารยะคิดว่าจับปูใส่กระด้งมันยากอย่างนี้นี่เอง
“ได้.. ผมจะนับให้เอง” อาทิตย์อาสาเป็นหัวหน้าห้องในครั้งนี้
“สิ่งที่ผมต้องการนอกจากจำนวนก็คือ ที่อยู่ที่คุณต้องการจะไป เพื่อผมจะได้แบ่งโซนได้ว่าผมต้องไปที่ไหนก่อนหลัง จะได้จัดแบ่งสายเดินทางอีกครั้งหนึ่ง”
“ได้ครับ เรายินดีสรุปข้อมูลให้คุณทั้งหมด ขอเพียงได้กลับไปหาญาติพี่น้องของเราก็พอ” อาทิตย์รับปากรับคำแล้วเริ่มทำงานทันที
“......แต่ผมมีข้อแม้ 2 ข้อนะครับว่า”
“1. ผมหรือคุณ จะไม่สามารถบอกกับครอบครัวหรือคนที่คุณรู้จักได้ว่าพวกคุณอยู่ในตัวผม”
“2. การไปพบครั้งนี้จะเป็นเพียงการเฝ้ามองหรือไม่ก็แค่สนทนาเกี่ยวกับเรื่องของคุณบ้างตามแต่สถานการณ์”
“หากพวกคุณทุกคนยินดีทำตาม ผมก็จะทำในสิ่งที่พวกคุณต้องการ”
“ตกลง.ง..” ดวงวิญญาณทุก ๆ ดวงกล่าวอย่างพร้อมเพรียง
“อีกเรื่องหนึ่ง ผมขอจัดการเรื่องงานของผมให้เสร็จเสียก่อน ผมมีอาชีพเป็นตัวแสดงแทนและ
ยังมีบทที่ต้องเข้าฉากอยู่อีกไม่กี่ฉาก ซึ่งผมอาจจะใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ เวลาที่เหลือ ผมจะพาพวกคุณไปทุกที่เลยครับ”
ในขณะที่ดวงวิญญาณแต่ละดวงต่างก็ดีใจเหมือนลิงโลดอยู่นั้น อารยะอดกังวลใจถึงความเหน็ดเหนื่อยที่จะมาถึงและยังไม่รู้ว่าเรื่องราววุ่นวายนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร จะอธิบายอะไรให้ญาติของพวกเขาเข้าใจ

กว่าที่อารยะจะตกลงกับดวงวิญญาณทั้งหมดได้เป็นที่เรียบร้อยก็เป็นอันว่าเดินมาจวนจะถึงที่พักแล้ว
“เฮ้อ..อ..อ เหนื่อยจังเลย อารยะเดี่ยวขอชั้นนั่งพักก่อนแป๊บนึงนะคะ” พจนีย์คุยกับอารยะเป็นครั้งแรก
‘พจนีย์’ ผู้หญิงใส่แว่นพร้อมกับไฝเม็ดเล็ก ๆ ใต้ปาก เธอเป็นเลขาขี้บ่นจู้จี้จุกจิกอยู่ในระเบียบเป็นไม้บรรทัด ยึดถือยึดมั่นเป็นห่วงสารพัดไม่ยอมปล่อยวาง มอบหมายงานให้คนอื่นก็เหมือนไปจัดการทำด้วยตนเองทุกครั้งไป ทำให้เธอดูแก่เกินวัยด้วยความทุกข์ใจที่มีอยู่ตลอดเวลาเพราะความที่ชอบเอาอะไรมาสุมไว้ที่หัวของตัวเองอยู่ทุกเรื่อง
“ขอชั้นพักด้วยคนนะ” วิกานดาพูดได้สั้น ๆ ด้วยอาการหอบ ๆ
“ผู้หญิงพวกนี้นี่ จะพักอะไรกันนักหนา เหนื่อยซะที่ไหนกัน เห็นมีแต่อารยะเดินอยู่คนเดียว” บุญเพิ่มต่อว่า
“แต่ยังไงก็ขอผมพักด้วยอีกคนนะ อารยะเดินไกลเหลือเกิน เมื่อก่อนผมทำแต่งานนั่งอยู่หน้าคอมทั้งวัน
ไม่เคยได้ออกกำลังกายเลย” วิชิตพูดออกมาอย่างหมดแรง
‘วิชิต’ นักโปรแกรมเมอร์ เป็นคนช่างคิด คิดเสียจนเครียด พูดน้อยเพื่อนน้อย นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวันจนรูปร่างเริ่มอ้วนแล้ว ชอบแอบเปิดดูภาพโป๊ในอินเตอร์เน็ทเป็นประจำและสะสมรูปโป๊ไว้มากมาย ค่อนข้างเป็นคนเก็บกดออกจะตัณหาจัดจากสายตาที่แอบมองผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกันก็เหมือนจะล่วงเกินเธอด้วยสายตาไปแล้ว
ทั้งที่อารยะเดินอยู่เพียงคนเดียวแต่ดูเหมือนวิญญาณทุกดวงก็มีท่าทางที่เหมือนว่าจะเหนื่อยไปด้วยกันทั้งหมด นี่เป็นเพราะความที่ยังยึดติดอยู่ว่าตัวเองมีร่างกาย
อารยะไม่ได้สนใจอะไรเพราะตั้งใจจะนั่งพักจนหายเหนื่อยเมื่อยล้าเสียก่อนแล้วค่อยไปอาบน้ำ
จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดวิทยุ เปิดพัดลม เดินไปที่ตู้เย็นหยิบเครื่องดื่มแล้วเดินกลับมานั่งพักหน้าโทรทัศน์
ตรงชุดรับแขกเล็ก ๆ ดื่มน้ำหวานสีแดงเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับตัวเอง ผ่อนคลายร่างกายให้เย็นลงจนหายเหนื่อยเสียก่อน ดวงวิญญาณอื่น ๆ ก็รู้สึกสบายไปด้วยเช่นกัน
อยู่ ๆ อารยะก็ลุกขึ้นพรวด ทำเอาวิญญาณบางดวงตกใจ
“นี่เธอ คราวหน้าจะทำอะไรบอกกันบ้างสิ ชั้นจะได้เตรียมตัวกันทัน” พจนีย์บ่นขึ้นมาก่อนใคร
“ใช่! นึกจะลุกก็ลุก จะนั่งก็นั่ง ทำอย่างนี้ชั้นก็ปรับอารมณ์ตามไม่ทันนะสิ” ภาวิณีบ่นตามเหมือนว่าทั้งคู่จะเข้าขากันแล้ว
อารยะไม่ได้ตอบอะไรมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ แต่ปัญหามันมีอยู่เคียงข้างกับอารยะทุกครั้งที่จะทำอะไร
ดวงวิญญาณอีกหลาย ๆ ดวงที่ยังไม่ยอมพูดจาก็เริ่มจะพูดกันบ้างแล้ว
“ว้าย..ย..น่าเกลียดอยู่ ๆ ก็มาแก้ผ้าให้ชั้นดู ทุเรศที่สุด น่าไม่อาย”
พจนีย์บ่นไปเรื่อย ๆ สบถคำด่าออกมาให้ตลอดเวลา
“กรี๊ด..ด..ด.ด กรี๊ด...ด..ด.ด.” อรทัยร้องกรี๊ดเสียงดัง กล้า ๆ อาย ๆ มองร่างอารยะทีร้องกรี๊ดที
แต่ก็ยังมองแล้วร้องอีก เหมือนแสร้งทำเพราะเธอออกจะเป็นคนเจ้าชู้มีนิสัยหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
เธอเปลี่ยนผู้ชายมาหลายคนแล้วก็ยังไม่เคยอยู่กับใครได้นาน ดูภายนอกเรียบร้อยมากแต่ภายในไม่ใช่
“คุณหุ่นดีนะอารยะ นี่ถ้านายไปเพาะกล้ามเพิ่มอีกนิดนึงนะนายต้องเจ๋งแน่ ๆ” มีนาพูดขึ้น
“เออใช่.. นี่เราสองคนเป็นนักกล้ามเพาะกายมานานแล้ว หุ่นบึกกว่านายเยอะเลยละ”
อานนท์กล่าวเสริมด้วยอาการหึงที่มีนากล่าวชมอารยะ
‘มีนา’ และ ‘อานนท์’ จริงแล้วก็ดูเหมือนเพื่อนกันแต่ไม่ใช่ ทั้งคู่เหมือนคู่รักกันมากกว่า
ด้วยความสับสนเรื่องจิตใจที่ยังไม่หนักแน่นเหมือนหุ่นที่ใหญ่โตของเขา จึงอาจทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะไม่เป็นชาย
ปัญหาจึงอยู่ที่ความลังเลสงสัยในตอนถือจุติกำเนิด ทำให้ทั้งคู่ต้องมาเป็นชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงเช่นนี้
“ว้าว!..perfect นะยะ หุ่นล่ำสันสมชาย บิ๊กบะระฮึ่มนะยะ น่าอยู่ด้วยไปจนวันตายเลยนะยะ
ยังไงชั้นว่าชั้นขออยู่กับเธออย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ละกันนะยะ ชั้นไม่ไปไหนอีกแล้วละอารยะ”
สมชายสาวประเภทสองที่แสวงหาแต่ความสุขความสบายทางกายอย่างฟุ้งเฟ้อสิ้นเปลืองร่างกายอย่างที่สุดรู้สึกพอใจในการอาบน้ำครั้งแรกหลังจากอุบัติเหตุรถไฟฟ้า
“แหมทุกท่านที่เคารพครับ มันก็เป็นเรื่องปกตินะครับ คนจะอาบน้ำ ยืนฉี่ หรือนั่งถ่ายเนี่ย
พวกคุณก็เคยทำไม่ใช่เหรอ” อารยะพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
“แต่ไม่ใช่ตอนที่พวกชั้นตื่นอยู่อย่างนี้ น่าไม่อาย!.” พจนีย์บ่นให้ฟังอย่างโมโห
“แหมเธอก็ควรจะให้พี่อารยะเขาได้ถูสบู่ให้สะอาดซะหน่อยนะ” อรทัยอยากให้อารยะสะอาดจริงหรือ
อารยะเลิกสนทนาด้วยแล้วต้องรีบ ๆ อาบน้ำให้เสร็จ เพื่อที่จะได้ผ่านพ้นออกมาจากช่วงเวลานั้น
ก่อนที่เพื่อนร่วมร่างบางคนจะติดใจไม่ยอมไปไหน และ บางคนอาจจะบ่นโวยวายไม่ยอมหยุด
















บ่ายต้น ๆ ที่กองถ่ายทำนอกเมืองมหานครกรุงเทพ….
อารยะนั่งอยู่บนรถยนต์รูปทรงทันสมัยคันสีดำสนิทออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อทำลายให้พังในงานนี้เท่านั้น ทั้งหมดก็เป็นแค่ตัวถังภายนอกที่ถูกออกแบบใหม่ให้ดูโฉบเฉี่ยวเท่านั้นส่วนข้างในเป็นเครื่องยนต์เก่า ๆ ธรรมดา อารยะสวมใส่เครื่องแบบนักแข่งรถสวมหมวกกันน็อกสีแดง ภารกิจในวันนี้คือซิ่งรถด้วยความเร็วสูงผ่านอุปสรรคมากมายให้หวาดเสียวเล่น
“วันนี้พี่ดูเท่จังเลยนะจ๊ะ หล่อมากเลยนะพี่” อรทัยกล่าวชมทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเพิ่งจะร้องเสียงหลง
“อาชีพของนายนี่มันน่าสนุกจังเลยนะ” สาธิตดูตื่นเต้นกับงานของอารยะ
“ทุกคนทำใจดี ๆ ไว้นะ เกาะกันไว้ให้แน่นแล้วหลับตา”
อารยะกล่าวเตือนออกไปเหมือนว่าวิญญาณในตัวของเขาจะมีที่ให้ยึดจับได้เหมือนราวรถเมล์
อารยะออกสตาร์ทจากจุดเริ่มต้นไปพร้อม ๆ กับกล้องของบ๊วยที่ตั้งคอยไว้พร้อมแล้วทุกจุดทุกมุม
แล้วยังมีกล้องวิ่งติดตามไปพร้อมกับรถซึ่งจะคอยเก็บภาพไปตลอดเหมือนเงาติดกล้อง ส่วนที่เหลือนอกนั้นเป็นบทของพระเอกตัวจริงที่ได้ถ่ายทำไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่อารยะนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล
ระหว่างทางบางจุดต้องผ่านกับฉากระเบิดอีกหลายครั้ง ริมทางบ้าง ข้าง ๆ รถบ้างแล้วก็ตรงข้างหน้า
ที่ระยะเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น นอกจากนั้นยังต้องหลบเศษชิ้นส่วนของรถยนต์ที่ระเบิดกระจุยเป็นลูกไฟตกลงมา
ทำให้อารยะต้องหลบไปทางซ้ายทีขวาทีอย่างกะทันหันโดยที่ความเร็วของรถก็ไม่ได้ลดลงไป บ้างก็มีเศษก้อนวัตถุชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระเด็นมาจากแรงระเบิดตกใส่หลังคารถจนเกิดเสียงดังโครมใหญ่ให้ตกใจเล่น
ทุกอย่างจึงต้องใช้ประสาทสัมผัสที่ว่องไวของอารยะเองด้วย ทำเอาวิญญาณหลาย ๆ ดวงรู้สึกตื่นตกใจเป็นที่สุด
”กรี๊ด..” “ว้าย..ย..ยนี่เธอขับรถให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง” ภาวิณีบ่นเป็นคนแรกเหมือนชีวิตเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
“เธอทำชั้นเมารถแล้วนะ ฉันจะอ๊วก.ก.แล้ว.ว..” พจนีย์เหมือนว่าจะอ๊วกได้จริง
“เฮ้ย.ย.อารยะ. นี่คุณ..ผมยังไม่อยากตายอีกรอบนะ พอเถอะ.” อาทิตย์กล่าวด้วยความกลัว
“ใช่.ผมจะหัวใจวายนะคุณ ผมเป็นโรคหัวใจอยู่นะ” วิชิตมีน้ำเสียงตื่นเต้นมาก
“อุ้ยตาย ว๊ายกรี๊ด อารยะจ๋า ชายกลัวนะจ๊ะ ชายไม่ไหว ชายเสียว..ว..” สมชายสาวประเภทสองออกอาการเสียงสั่นอย่างไม่สมชายเอาเสียเลย
“เต็มที่เลยพี่ ผมชอบจริง ๆ เคยเล่นแต่ในเกมส์คอมเจอของจริงก็วันนี้แหละ อย่าหยุดนะพี่”
สาธิตเป็นคนเดียวที่ออกอาการเมามันกับสิ่งที่ได้สัมผัสเป็นครั้งแรก

อารยะเบรกรถอย่างกะทันหัน จนรถปัดหมุนคว้าง
เสียงแหลมเอี๊ยดของยางล้อรถเสียดไปกับพื้นถนนจนแสบแก้วหู
รถเลี้ยวสะบัดไปในท่าขวางถนน
ทำเอาพื้นถนนเป็นรอยยางสีดำเป็นลักษณะครึ่งวงกลม
“คัท” “ดีมากอารยะ” “อารยะจะพักก่อนหรือเปล่า?.” เสียงบ๊วยดังผ่านเครื่องกระจายเสียงด้วยน้ำเสียงยินดีที่งานนี้เรียบร้อยอย่างปลอดภัยไปอีกฉาก

อารยะเปิดประตู ก้าวลงมาจากรถ เดินไปเปิดฝากระโปรงหน้ารถดูสภาพโดยทั่วไปของเครื่องยนต์
ว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่บุบยุบสลาย จากนั้นจึงเดินไปดูรอบ ๆ นั่งลงเช็คยางทุกเส้นรอบคัน
จึงค่อยมาปิดฝาประโปรงหน้ารถลง แล้วเดินมาหยุดที่ประตูด้านคนขับ ส่งสัญญาณมือให้ผู้กำกับทราบ
ว่ายังโอเคอยู่พร้อมที่จะเดินกล้องฉากต่อไปได้แล้ว เขาเปิดประตูรถเข้าไปนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยทันที

“ต่อไปเป็นอะไรอีกละนี่” นี่คือปัญหาของภาวิณีที่ทำให้ไม่มีใครอยากคบหากับเธอเลย
“หา.. นี่ยังไม่จบอีกเหรอครับ คุณ..” อาทิตย์กล่าวอย่างเหนื่อยใจ
“ลุยเลยพี่” สาธิตเริ่มคึกคักอีกครั้ง
“พอทีเถอะนะ อารยะจ๋า ชายไม่ไหว ชายหมดแรง” สมชายออกอาการเหมือนไม่อยากอยู่ในร่างอารยะอีกแล้ว
อารยะไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะต้องใช้สติประสาททุกรูขุมขนที่มีเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
เขาเริ่มเหยียบคันเร่งเครื่องยนต์เรียกรอบรีดความแรงอยู่หลายครั้งเพียงรอแค่คำเดียวเท่านั้น..
“บรึ้น..น.น.บรึ้น..น.น.‘บรึ้น..น.น.บรึ้น..น.น.‘บรึ้น..น.น.บรึ้น..น.น.”
“…..แอคชั่น” มันเหมือนบ๊วยกำลังนับถอยหลังให้ด้วย สาม สอง หนึ่ง Go ทำนองนั้นเลย
“เอี๊ยด..ด..ด..ด..ด..ด.” อารยะเร่งเครื่องพุ่งไปด้วยเสียงดังลั่นแสบแก้วหูอีกครั้ง
จากรถที่เคยขวางถนนเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่ก็หมุนกลับไปตามเส้นทางแล้วมุ่งหน้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
หลบเครื่องกีดขวางอีกเล็กน้อยจนพบทางโค้งกว้าง ๆ เขาไม่ได้ลดความเร็วลงแต่อย่างใด
“นี่เธออยากตายมากนักเหรอไง คราวหน้าอย่าพาพวกชั้นมาด้วยอีกนะ”
ถึงคิวพจนีย์บ่นบ้างแล้วหลังจากคงไปอ๊วกที่มุมไหนในร่างของอารยะมาแล้ว แต่ดูเหมือนสิ่งที่หญิงพจน์ขอนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พามาด้วย
“เต็มที่เลยพี่ไม่ต้องสนใจ..” “ถ้าผมอยากลองบ้างเป็นไปได้มั๊ยพี่” สาธิตตีซี้เริ่มขอที่จะได้ลองขับเองบ้าง
“ไม่ได้หรอกไอ้น้อง ข้างหน้ามีเรื่องเสี่ยง ๆ อีกเยอะ ไว้คราวหน้าถ้ายังมีอาจจะได้”
อารยะพูดเหมือนให้โอกาสกับสาธิต เพียงแต่อารยะคิดว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับเรื่องเสี่ยงตายในอาชีพตัวแสดงแทนแบบนี้ มันจะไม่เกิดขึ้นอีกฉะนั้นคงไม่มีโอกาสให้สำหรับใครได้ลองขับอีกครั้ง
“หา..ยังมีเรื่องเสี่ยงอีกหรือนี่.. โอ้ย..ย.ตายแน่” วิชิตกล่าวด้วยความตกใจกลัว แต่วิชิตคงไม่ตายอีกครั้งเป็นแน่ นอกจากอารยะเพียงคนเดียวที่ยังมีสิทธิ์ได้รับโอกาสตายในครั้งนี้
“นั่น..น..ข..ข.ข้างหน้ามีรถพ่วงคอนเทนเนอร์ขวางอยู่ เราตายแหง ๆ เลยคราวนี้” อดิศักดิ์เห็นรถขวางอยู่แต่ไกล
“แล้วทีนี้พี่จะทำไงดีละ” สาธิตสงสัยว่าอารยะจะผ่านไปได้อย่างไร
“ก็ขับฝ่าไปนะสิ” อารยะพูดหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และนี่คือเสียงครั้งสุดท้ายบนรถของอารยะ
“อะไรนะพี่ จะขับชนมันเลยเหรอ..อ..” สาธิตไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ดี! เราจะได้เป็นอิสระซะที” บุญเพิ่มต้องการให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ
“ผ..ผ..ผม.ไม่อยากตาย..ย..” วิชิตกลัวสุดขีด
“นี่ถ้านายตายไป แล้วใครจะพาเราไปเยี่ยมครอบครัวของเราละ” อดิศักดิ์ทำเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่ เธอจะไม่รับผิดชอบพวกชั้นเลยหรือไง” พจนีย์บ่น และแน่นอนต้องมีกองหนุน
“ใช่ ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ฆ่าตัวตายชัด ๆ โง่หรือเปล่านี่” ภาวิณีบ่นเสริม
“หนังมันทำยากกันขนาดนี้ ต่อไปผมไม่ก็อปปี้หนังแล้วละครับพี่” สาธิตสำนึกอะไรได้บางอย่าง
“คุณอารยะ ผมขอร้อง หยุดเถอะครับ ไม่งั้นเราต้องตายกันหมดแน่ ” อาทิตย์คงทำใจไม่ได้ถ้าต้องตายซ้ำตายซากอยู่หลายครั้ง
“คนที่ตายเป็นได้แค่อารยะเท่านั้นส่วนที่เหลือก็จะได้ออกจากร่างนี้ไง” บุญเพิ่มอยากให้อารยะพลาดเต็มที่
มันคือความตั้งใจแรกที่บุญเพิ่มเคยจุดประเด็นไว้ให้วิญญาณทุกดวงและอยากเหลือเกินที่จะให้มันเกิดขึ้น จนกระทั่ง...ทุกคน..หมายถึงวิญญาณทุกดวงต้องลุ้นระทึกอีกครั้งเมื่อรถเริ่มเข้าสู่ทางตรงอีกครั้ง
และอีกไม่ไกลเกิน 80 เมตร เขาจะต้องขับผ่านรถคอนเทนเนอร์ที่จอดขวางทางเป็นเหมือนงูยักษ์ตัวอ้วน ๆ ที่มานอนพักอย่างสงบบนถนน

เหลืออีกประมาณ 50 เมตร
อารยะเร่งความเร็วดีเดือดสุดขีด เขาอยู่ในอาการนิ่งมาก เขาไม่ได้บ้า ไม่ได้คึกคะนอง สติยังดีแต่อาชีพนี้ชีวิตเป็นเรื่องที่อยู่กับเขาแค่เส้นที่ขีดไว้กระโดดข้ามไปก็ตายแล้ว ดังนั้นความตายใกล้ตัวเขาอยู่ทุกขณะเหมือนเพื่อนแท้ที่คอยติดตามเราทุกคน ทว่ามีอะไรผิดพลาดเหมือนกับที่ผ่านมาอีกครั้ง คราวนี้อะไรอีกที่จะช่วยเขาได้
นอกจากหนทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะรอดได้ก็คือเขาจะไม่พลาด

วิญญาณทุกดวงเหมือนจะช่วยกันเขย่าตัวอารยะให้เขาตื่นขึ้นจากความสงบนิ่งที่เขามี แต่นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันเป็นแค่เพียงความรู้สึกจากดวงวิญญาณเหล่านั้นที่กำลังปรุงแต่งความคิดของตน
ที่กำลังกลัวเพื่อให้รอดพ้นจากความกลัวตาย

อีก 30 เมตร
วิญญาณทุกดวงเริ่มเงียบใจจดจ่อตื่นเต้นอีกครั้งกับภาพเหตุการณ์ที่คล้ายจะเคยเกิดขึ้นกับพวกเขาบนรถไฟฟ้าที่ตกลงมากระแทกพื้นด้วยความเร็วสูง ไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้ว
เปล่าประโยชน์ที่จะหยุดเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ให้เกิดขึ้น

อีก 10 เมตร
วิญญาณแต่ละดวงเริ่มร้องเสียงหลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดวงวิญญาณของใคร
ตอนนี้ถ้ายังมีชีวิตคงต้องตาเหลือกอีกครั้งกับความหายนะที่อารยะจะมอบให้เองกับมือ
ความกลัวครอบงำดวงวิญญาณทุกดวง
ยกเว้นเพียงคนเดียวที่ยังนิ่งเฉยแล้วขับรถต่อไปเหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียอย่างนั้น


ในขณะที่มองเห็นตู้คอนเทนเนอร์สีแดงอยู่ใกล้ ๆ เพียงแค่ 5 เมตร
มันเหมือนเป็นกำแพงขนาดใหญ่ที่บังสายตาทั้งหมดเอาไว้จนมองไม่เห็นอะไรนอกจากตู้เหล็กสีแดงที่อยู่ตรงหน้า
อารยะขยับมือข้างหนึ่งไปที่ข้างที่นั่งของเขาอย่างเร็ว
จับกับคันโยกอะไรบางอย่างแล้วดึงมันขึ้น
เบาะที่นั่งคนขับพับลงนอนหงายที่ระยะเพียง 3 เมตร ก่อนถึงตู้คอนเทนเนอร์
ในขณะที่ความเร็วยังอยู่ที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เสียงรถชนกับตู้คอนเทนเนอร์เข้าอย่างแรงจนเสียงดังสนั่น
รถผ่านใต้ตู้คอนเทนเนอร์ไปได้ด้วยดี เพียงแต่ไม่มีหลังคาเท่านั้น
มันพังยับฉีกขาดออกไปเหมือนเศษกระดาษ
กองอยู่ข้างตู้คอนเทนเนอร์จนมองไม่รู้ว่ามันคือชิ้นส่วนใดของรถ
ในขณะที่อารยะกำลังนอนหงายผ่านใต้ตู้คอนเทนเนอร์
เขาต้องยกมือขึ้นเหมือนกำลังลูบไปกับใต้ท้องของตู้เหล็กใบใหญ่นี้
แต่ที่จริงแล้วมันเป็นการทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังเอาระเบิดขนาดเล็กติดไว้ก่อนที่จะลอดพ้นออกมาจากที่นั่น
รถของอารยะผ่านไปได้สำเร็จโดยที่มันไม่มีหลังคา
แสงส่องหน้าอารยะได้ไม่นานนัก เมื่อเขาพ้นออกมาเพียงเสี้ยววินาที
อารยะลุกขึ้นนั่งขับรถอีกครั้งหนึ่ง แล้วปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยทิ้ง
ตู้คอนเทนเนอร์ระเบิดขึ้นอย่างแรงเป็นไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนอากาศ เสียงดังสนั่น
ตู้เหล็กฉีกขาดปลิวว่อน อารยะต้องคอยมองกระจกหลังตลอดเวลาระหว่างนี้
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเศษอะไรร่อนตามมาบั่นคอของเขา

ลดความเร็วลดลงอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“เฮ้ย..ย..นั่นคุณจะทำอะไรอีก” อาทิตย์พูดขึ้นแต่ถ้าให้ตอบคงไม่ทันแล้ว
อารยะหยิบปืนที่คล้ายกับฉมวกยิงปลาฉลามที่ตรงปลายมีตะขอเหล็ก ซึ่งวางอยู่ข้างที่นั่งคนขับ
เขาหยิบมันขึ้นแล้วยิงไปข้างบนอากาศทิศทางเฉียงไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อย
ฉมวกตะขอยาวพุ่งสูงขึ้นไปเหมือนไม่หวังผลอะไรจากการยิง
นอกจากอาจจะไปโดนนกที่บินผ่านมาเท่านั้น
อารยะปล่อยมือจากพวงมาลัยรถยนต์แล้วมายึดจับปืนกระบอกนี้ด้วยมือทั้งสองอย่างแน่นที่สุด
เขากำลังทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น ความเร็วรถลดลงมาเหลือที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อเชือกตึงจนสุดสาย มันทำให้ดึงรั้งร่างของเขาออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว
ปล่อยให้รถพุ่งตรงไปข้างหน้าตกลงสู่หน้าผาทันที
มันเป็นไปตามที่ทีมงานได้จัดฉากวางเตรียมไว้เป็นอย่างดีทุกอย่าง
ดังนั้นเป็นธรรมดาที่นักแสดงจะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรอยู่ที่ตรงไหน
และรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป เพราะทุกอย่างคือมายา
จบฉากเสียทีสำหรับบทเสี่ยงตายเป็นครั้งสุดท้ายของอาชีพที่ได้เงินมากับการล้อเล่นบนความตาย
แต่ได้เงินไม่คุ้มค่ากับชีวิต
……………………
“บ๊วยเสร็จงานแล้วไปกินข้าวด้วยกันสิ มีเรื่องอยากคุยด้วยวะ”
อารยะเอ่ยปากชวนในขณะที่บ๊วยก็กำลังนั่งคิดอะไรอยู่เงียบ ๆ
“ได้สิ เอาร้านอาหารแถวนี้ละกันนะ” บ๊วยตอบตกลง
“แล้ววันนี้จะไม่ไปส่งน้องอารีหรือไงวะ” อารยะกำลังอ่านใจเพื่อน
“อ่านใจข้าอีกแล้วนะ ไอ้อารยะ” บ๊วยพูดขึ้นพร้อมกับอมยิ้ม
“ก็อยู่ที่ว่าที่นายนัดข้าไปกินเนี่ย มันส่วนตัวหรือเปล่า ถ้ายังไงขอพาน้องอารีไปด้วยกันเลยละกัน”
“อะ อะ จะชวนกันไปไหนละยะ” “นี่..นี่..ไม่ยอมนะ ถ้าไม่ให้ชั้นไปด้วยนะยะ ชั้นวีนแหกอก ตบออกกล้องแน่ ๆ เลยซิบอกให้” เสียงของแมนเริ่มเพี้ยนไปทางภาคอีสานบ้านเกิด
อารยะกับบ๊วยหันมามองหน้ากัน พร้อมพยักหน้า
“ก็ไหน ๆ ก็จะชวนน้องอารีไปอยู่แล้ว แมนก็ไปด้วยกันสิ จะได้สนุกด้วยกัน” บ๊วยออกปากชวนเพราะขัดใจไม่ได้อยู่แล้ว
“ชวนเค้าไปเนี่ย กินด้วยไม่ช่วยซักบาทนะยะ ในฐานะที่มาชวนเค้าเอง” แมนพูดแปลกฟังดูแล้วงานนี้ฟรีแน่
แต่ก็ทำให้เรียกเสียงขำจากบ๊วยและอารยะได้
“ฝากแมนชวนน้องอารีไปด้วยกันเลยนะ พี่จะไปเตรียมรถก่อน เจอกันที่รถละกัน”
............................

ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ ย่านสมุทรปราการ
มันเป็นหัวค่ำที่อากาศดีมีลมพัดเย็น ๆ ตลอดเวลา
แสงไฟจากโคมสว่างไสวเพียงอ่อน ๆ ประดับอยู่ทั่วร้าน
เสียงดนตรีเบา ๆ เข้ากับบรรยากาศเหมือนชวนให้ทานไปหลับไป น่าสนทนายิ่งนัก
“เดี่ยวนี้นายเปลี่ยนเป็นใส่แว่นกรอบแดงตั้งแต่เมื่อไรวะเพื่อน” อารยะถามเพื่อน
บ๊วยออกอาการอึกอักไม่รู้จะตอบยังไง แต่ก็ปิดบังอารยะไม่ได้อยู่แล้ว
“ความรักทำให้นายเปลี่ยนแปลงไปจริงมั๊ยวะเพื่อน”
“เมื่อวันก่อนที่ผ่านมานายรู้เรื่องข่าวเกี่ยวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดของเมืองไทยหรือเปล่าวะ อารยะ” บ๊วยเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างรวดเร็ว
“แหม ข่าวออกดังออกอย่างนั้น ไม่มีใครรู้มั่งยะคุณผู้กำกับ มันก็สั่นไปทั่วบ้านทั่วเมืองแหละยะ ชั้นนะเกือบตาย คืนนั้นไปจับผู้ชายแถวพัฒน์พงษ์ อยู่ดี ๆ ก็มีป้ายอันใหญ่หล่นลงมาใกล้ ๆ”
“ดี๊..ดี..นะคนดีผีคุ้มเลยรอดตายมาได้เนี่ย” แมนแย่งเล่าก่อนที่อารยะจะได้ตอบ
“เหรอจ๊ะ คนอย่างแมนเนี่ยนะผีคุ้มน่าจะเป็นผีสิงจะดีกว่านะคะ” อารีแซว จนทำเอาทุกคนหัวเราะคิกคัก ยกเว้นคนถูกแซวกำลังมองค้อนอารีอยู่
แมนทำท่างอนสะบัดหน้าใส่อารี ทำให้ผมสยายปลิวไปเหมือนโฆษณายาสระผมอย่างนั้นเลยเชียว
มีเพียงแต่อารยะเท่านั้นที่คิดว่าคำนี้น่าจะเป็นของตนเองมากกว่า เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่พูดถึงกันอยู่
ร่างของเขาก็ถูกวิญญาณเข้าสิงอยู่ตั้งหลายดวง

“ส่วนข้านะ ตอนนั้นอยู่แถวแยก อสมท. วะ กำลังไปกินข้าวกับน้องอารีเค้าตามแผนของนายนั่นแหละ” ”จู่ ๆ ก็มีเสียงดังโครมลั่นเลย ทำเอาตกใจ มองไปที่กระจกหลัง แล้วขนลุกเลยแหละ ก็ข้าเพิ่งขับรถผ่านใต้ทางด่วนนั่นมาเอง พ้นออกไปนิดหน่อยมันก็พังลงมา ด้วยอารามตกใจเหยียบรถวิ่งไปตั้งสติได้ก็รัชดาแล้ว”
“แหม๊.แหม..ม.ม.แอบไปกินข้าวกันมาไม่ชวนชั้นเลยนะยะยัยรี ไม่มีชั้นอยู่ด้วยอร่อยมั๊ยละยะเนี่ย” แมนประชดประชัน
“อร่อยสิ” คำนี้ทั้งบ๊วยและอารี พูดขึ้นพร้อม ๆ กัน
บ๊วยและอารี ต่างก็หันมามองหน้าสบตากันหวานซึ้ง แต่แมนทำหน้างอนที่ไม่ยอมชวน
“แอบไปกินข้าวกันมามื้อเดียว ใจตรงกันเลยนะยะ” แมนประชดประโยคนี้ขึ้นมาทำเอาทั้งคู่เขิน
“เออ..อ.ไหนว่านายมีเรื่องคุยกับข้าไง เราก็มัวแต่คุยเล่นกันกินกันเพลิน” บ๊วยนึกขึ้นได้หลังจากที่นั่งทานอาหารพูดคุยกันเรื่องอื่นมาสักพักนึงแล้ว
“ก็ไม่มีอะไรสำคัญนักหรอก คือว่าตอนนี้ข้าก็หมดงานในกองถ่ายแล้ว ข้าว่าจะเลิกเป็นตัวแสดงแทนแล้ววะ”
ที่จริงแล้วอารยะอยากเล่าเรื่องสำคัญกว่านี้ต่างหาก แต่เห็นว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะ
“หมายถึงว่า เธอจะไปเป็นตัวแสดงจริงหรือไงจ๊ะ” แมนแซวขึ้นมาแทรกขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงว่าผมจะเลิกทำอาชีพนี้แล้วครับ” อารยะอธิบายอีกครั้ง
“อ้าว..ว..ว. แล้วนายจะไปไหนทำอะไรวะ นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะบอกกันได้นะ” บ๊วยถามด้วยความเป็นห่วง
“นั่นสิยะ แล้วเธอจะไปทำอะไรรับประทานละจ๊ะ หรือว่าถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งแล้วอุ๊บ” แมนคิดไปไกล
“แล้วพี่คิดว่าจะทำอะไรต่อไปคะ” อารีถามเสริมเป็นคนสุดท้าย
“ก็ยังไม่ได้วางแผนอะไร แต่ตั้งใจจะเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่บ้างนะ” และนี่คือสิ่งที่อารยะคิดไว้อยู่แล้วว่าจะกลับไปไหว้พ่อแม่ โดยอาศัยจังหวะเดียวกับที่ต้องไปเยี่ยมญาติของดวงวิญญาณทุก ๆ ดวงอยู่แล้ว
“เออ..ก็ดีวะ ถ้างั้นยังไงก็ฝากไปดูพ่อแม่ข้าด้วยนะ แล้วข้าเสร็จงานจะตามไปละกัน”
บ๊วยก็รู้สึกอยากเห็นหน้าพ่อแม่ขึ้นมาทันที
“เรื่องพ่อแม่นี่ฝากกันเยี่ยมฝากกันดูได้ด้วยนะยะ ถ้างั้นชั้นก็ฝากแวะไปทางอีสานหน่อยสิอารยะ
จะได้ฝากไปพาพ่อแม่ไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยเลยนะยะ” แมนกวนเอาเสียงฮา
ทุกคนหัวเราะคิกคัก...ขำกับคำพูดเสียดสีและกิริยาท่าทางของแมน
“แล้วตอนนี้เรื่องของนายไปถึงไหนกันแล้ว” อารยะแกล้งถาม
“ก็ดีนะ อีกไม่กี่เดือนก็น่าจะเสร็จ ที่เหลือก็เป็นเรื่องทางเทคนิคในคอมพิวเตอร์” บ๊วยตอบเหมือนไม่รู้ใจคนถาม
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึง นายกับน้องอารีนะ”
ผู้ที่ถูกกล่าวถึงในตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็ขวยเขินอายซึ่งกันและกัน บ๊วยหันไปมองหน้าน้องอารี สบตากันแล้วต่างก็ระงับอาการหน้าแดงกันไว้ไม่ได้

อันที่จริงแล้วไม่มีอะไรปิดบังอารยะได้ เพราะเขาได้อ่านใจเพื่อนทั้งคู่จนรู้อยู่แล้วว่า
ตอนนี้แค่เพียงการเชื่อมกันอีกนิดเดียวเท่านั้น การถามของอารยะในครั้งนี้จะเป็นการเชื่อมต่อ
ให้เขาทั้งคู่ได้เผยความในใจต่อกันเสียที อารยะหวังว่าพบกันครั้งหน้าคงได้เห็นเพื่อนของเขามีความสุขสมหวัง ไม่ใช่แค่แอบมองเขาอยู่ตลอดเหมือนที่ผ่านมา
“กะ.ก.ก็ไปด้วยดีนะ สวยงาม” บ๊วยตอบด้วยอาการเขินน้องอารี แต่ไม่ใช่เขินอารยะ
“อะ อะ นี่เธอ ยัยรีเธอแอบไปพบรักกันตั้งแต่เมื่อไรยะ ไม่บอกชั้นเลยซักคำ ดูซิทำชั้นแห้วไปอีกคนแล้วรู้มั๊ย จำนวนผู้มุ่งหวังของชั้นลดลงไปอีกหนึ่ง” แมนยกมือขึ้นมานับว่าเหลือเป้าหมายอีกกี่คน
พร้อมกับแสดงท่าทางสะบัดไปสะบัดมาฟึดฟัดไม่สบอารมณ์ สมบทบาทเหมือนว่าจะได้รางวัลนักแสดงดีเยี่ยม
“โธ่! อย่าเสียใจไปแมน ยังเหลือพี่อารยะอยู่ใกล้ ๆ นี่อีกคนนึงไงจ๊ะ” อารีพูดล้อเล่นปลอบใจแล้วชี้นิ้วไปที่อารยะ
“เออ..อ..ใช่ ชั้นยังมีโอกาสจริงมั๊ยจ๊ะ พ่อทูนหัว” แมนเอื้อมมือไปหยิกแขนอารยะเล่นเบา ๆ
แล้วทำท่าทางสะบัดสะดิ้งเขินอาย
“ถ้านายพร้อมจะกลับมาทำงานอีก ข้าก็ยินดีนะเว้ยเพื่อน” บ๊วยกล่าวก่อนที่จะได้ฤกษ์ลากันในคืนนี้
“เออขอบใจวะ”

ก็เป็นอันว่าอารยะเลยไม่ได้เล่าความในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในตัวเขาให้เพื่อนฟัง
ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยไม่รู้ว่าอารยะจะได้พบกับบ๊วยอีกครั้งเมื่อใด
หลังจากคืนนี้ไปแล้วคงยากที่จะพบกันง่ายขึ้น เพราะอารยะเองก็ต้องโคจรไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง
อย่างไรก็ดี หากบุพเพสันนิวาสเกิดขึ้นกับผู้ใดคนที่ห่างไกลกันแสนนานหรืออยู่ไกลกันมากขนาดไหนก็ตาม
เมื่อทุกอย่างเหมาะเจาะเหมาะสมด้วยเวลา โอกาส สถานที่ บุญกรรม วาสนาที่มีต่อกัน
คนที่ห่างหายไปนานก็จะให้มาเจอกันได้ในสถานที่ ๆ ไม่น่าจะได้เจอกันอย่างเหลือเชื่อ
ซึ่งเรามักจะเรียกเหตุการณ์แบบนี้ว่า ‘ความบังเอิญ’



Create Date : 02 พฤษภาคม 2551
Last Update : 26 พฤษภาคม 2551 20:06:04 น. 1 comments
Counter : 338 Pageviews.

 
สนุกและให้ข้อคิดมากๆค่ะ


โดย: fiona IP: 220.253.60.146 วันที่: 3 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:05:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.