จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
16 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
The Stand Inner (The Wind of Angel) ตอนที่ 21. เริ่มนับใหม่

เริ่มนับใหม่

วันขึ้นปีใหม่
อารยะตื่นขึ้นในโบสถ์เก่า ณ วัดแห่งหนึ่ง
ในสภาพที่ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่อารยะคนเดิม
หน้าตาอารยะเปลี่ยนไปจากเดิมมากมันคล้ายกับใบหน้าที่มีแต่โหนกกระดูกที่นูนออกมา ทั้งหัวไหล่ ข้อศอก มือ เข่า เท้า ตลอดจนทั่วทั้งตัวตามที่ต่าง ๆ บนร่างกายก็ไม่ต่างกัน
“เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม ?...”
อารยะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนก่อน มันมีเสียงที่ทุ้มต่ำแต่ดังก้องเหมือนราชสีห์แผดเสียงคำราม
“แก้แค้นแล้วได้อะไร ?”
หลวงตาไม่ตอบพร้อมกับโต้ตอบไปด้วยคำถาม อย่างนิ่งสงบ
“เจ้าเป็นใคร ?... ทำไม่เจ้าไม่อยู่ส่วนเจ้า...?”
อารยะไม่ได้ตอบ พร้อมกับยิงคำถามกลับไป เขาจำหลวงตาไม่ได้แล้ว
“อาตมามีหน้าที่โปรดสัตว์สั่งสอนสัตว์โลกให้รู้แจ้งเห็นปัญญา”
หลวงตาตอบคำถามที่สองของอารยะและรู้ว่าเขาถูกฝังแน่นด้วยความอาฆาตจนไม่มีสติอยู่กับตัวแล้ว
“ทำไมเจ้าต้องขังข้าไว้” อารยะคำรามเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
“อาตมาไม่ได้ขังเจ้าไว้ แต่เจ้าต่างหากที่กำลังขังตัวเองอยู่”
หลวงตาตอบโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อเสียงที่น่ากลัวของอารยะ
“หากเจ้าไม่ปล่อยข้าออกไป เจ้าจะต้องได้รับการทรมานอย่างสาหัส”
อารยะไม่สนใจฟังเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ที่กำลังกักขังตัวเองไว้
แต่กำลังตั้งใจจะเข้าทำร้ายทำลายล้างร่างของหลวงตาที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้สิ้นซาก
“ได้สิ หากเจ้าแม้เพียงสัมผัสอาตมาได้ อาตมาก็ยินดีจะได้รับสิ่งที่เจ้าจะกระทำต่ออาตมา
หากเจ้าไม่สามารถแม้เพียงสัมผัสอาตมาได้เลยละ เจ้าจะว่าอย่างไร”
หลวงตามทราบถึงเจตนาจิตอันชั่วร้ายและท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว จึงกล่าวต่อรองเงื่อนไขผูกมัดอารยะเอาไว้หรือไม่ก็มัดตัวเอง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ย่อมได้!” “ในโบสถ์เล็ก ๆ อย่างนี้ เจ้าไม่มีทางที่เจ้าจะรอดพ้นอุ้งมือข้าไปได้” อารยะพูดจบก็เริ่มเล่นเกมราชสีห์จับหนูทันที
อารยะพุ่งเข้าชาร์จใส่หลวงตาด้วยความรวดเร็ว พร้อมปล่อยหมัดขวาออกไปอย่างมั่นใจว่าชัยชนะนี้ต้องเป็นของเขาในที่สุด
หมัดแรก หลวงตาถอยหลังออกมาเพียงหนึ่งก้าวอย่างช้า ๆ
“เจ้าไม่พ้นเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด” อารยะเริ่มงุ่นง่านรำคาญใจที่ทำไม่สำเร็จ
หลวงตาไม่ได้โต้ตอบสิ่งใดพร้อมถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่งก็ยังพ้นกำปั้นที่สองของอารยะ
“เจ้าถอยหลังได้เพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้นเจ้าก็จะจนมุมอยู่ริมเหวแล้ว หนีข้าไปไม่พ้นหรอก” อารยะแสยะยิ้มโชว์ฟันอันน่าเกลียดเยาะเย้ยออกมาอย่างได้ใจยิ่งนัก
คราวนี้เขาเตะออกไปด้วยเท้าขวาซึ่งยาวยิ่งกว่าช่วงหมัดของเขาอย่างแรงและหวังว่ามันจะเป็นตอนจบของเกมนี้
หลวงตาแสดงอิทธิฤทธิ์หายตัววับในทันใด มาปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา พร้อมเอื้อมมือไปจับไหล่ของอารยะ
“ไอ้เฒ่าบ้า แกบังอาจนัก” อารยะแสดงอาการโกรธอย่างที่ระงับไว้ไม่อยู่ กระโดดกลับหลังไป พร้อมกับกวาดเท้าเตะกลับมาอย่างรวดเร็วเป็นท่าจระเข้ฟาดหางที่ลอยอยู่กลางอากาศ
หลวงตานิ่งสงบอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นปล่อยให้เท้าของอารยะข้ามศีรษะไป
อารยะกวาดเท้าเตะต่ำไปอีกครั้ง แต่หลวงตาก็หายวับ มายืนอยู่ด้านหลังของอารยะพร้อมกับจับไหล่ของเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
“เรามาลองดูกันว่าคนแก่อย่างเจ้าจะทำแบบนี้ได้อีกกี่ครั้งกัน”
อารยะพูดพร้อมฟันศอกหมุนกลับไปข้างหลังทันที
ศอกของเขาใกล้เข้าไปที่กกหูของหลวงตาเหมือนว่าจะถูกเข้าที่ศีรษะอย่างจังแต่มันก็เป็นความว่างเปล่า
อารยะเพิ่มความเร็วขึ้นอีกยิ่งกว่าเดิม จนสามารถปล่อยหมัดรัวและเตะได้อย่างมองแถบไม่ทันทัน
ทำให้มองเห็นเป็นภาพเท้าและมือจำนวนมากมายเหมือนมีสิบมือสิบเท้า
หลวงตารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะพลังที่ได้จากแก้วเพชรเขี้ยววานร แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรหลวงตาได้อยู่ดี อารยะยังไม่บรรลุถึงวิธีใช้ศาสตราวุธอันร้ายกาจนั้น
อารยะเริ่มสับสนกังวลใจขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อเข้าทำร้ายหลวงตาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“หากการปล่อยหมัดของเจ้าคือการแก้แค้น” หลวงตาหายวับไปหายวับมาพร้อมกับพูดขึ้นเหมือนเสียงดังออกมาจากที่ใดสักแห่งอย่างต่อเนื่อง จากหลาย ๆ ที่ในโบสถ์
“ถามว่า เจ้าแก้แค้นอาตมากี่ครั้งมาแล้ว” เสียงของหลวงตายังคงนุ่มสงบเย็นเช่นเดิม
“ใครเหนื่อย ใครทรมาน ใครกลุ้มใจ ใครสับสน ใครเป็นทุกข์” “หลวงตาหรือเจ้า”
หลวงตาพูดให้อารยะได้คิดและอารยะก็คิด
“แน่จริงเจ้าก็หยุดสิ”
อารยะเริ่มเหมือนอันธพาล แต่ก็ยังปล่อยหมัดพันกรเข้าทำร้ายหลวงตา
หลวงตาไม่ได้พูดอะไร หายวับมาหยุดอยู่ที่หน้าองค์พระประธานในโบสถ์เก่าแห่งนี้
หลวงตาไม่ได้สะทกสะท้านกับสิ่งใด หน้าตายังคงนิ่งสงบเฉย ดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามกับอารยะที่กำลังเหนื่อยล้าทั้งพลังกายและพลังใจ ยิ่งตอนนี้กำลังคิดสับสนอยู่กับสิ่งที่หลวงตาได้พูดไว้ ความสับสน ความลังเลสงสัย อยู่ในหัวของอารยะมากมาย ระหว่างฝ่ายดีที่ถูกหลวงตาจุดขึ้นมาและฝ่ายชั่วที่มาจากความเครียดแค้น
อารยะวิ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงมากอีกครั้งราวกับว่าเขาลอยอยู่เหนือพื้นไปหยุดที่ตรงหน้าหลวงตา พร้อมปล่อยหมัดพันกรเข้าใส่อีก แต่คราวนี้หลวงตาไม่ได้หายตัวไปไหน ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยแววตาที่สงบมองอารยะด้วยความเมตตา
ทั้งเท้าและหมัดของอารยะพุ่งเข้าไปทั่วร่างของหลวงตาอย่างแรง หลวงตาพร้อมรับการกระทำนั้นทุกอย่างจากอารยะ แต่มันกับผ่านร่างหลวงตาไปเหมือนแหวกผ่านสายหมอก
ภาพของหลวงตาถูกเตะผ่านร่างไปเหมือนไม่มีตัวตนทั้งที่มองเห็นอยู่ว่าไม่ได้หายไปไหน
ทำเอาอารยะเหนื่อยหอบลงไปคุกเข่ายังเบื้องล่างตรงหน้าหลวงตา และสงบเงียบอยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง
หลวงตาก็เดินเข้ามาช้า ๆ หยุดอยู่ตรงหน้าอารยะ ขณะที่เขาก้มหน้าอยู่จึงมองเห็นเท้าของหลวงตาถึงสองคู่ อารยะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเห็นร่างเนรมิตที่เขาเตะต่อยค่อย ๆ จางหายลงสู่พื้นดินไปเหมือนกองทรายทะลายลง
“อย่าใช้สมองของเจ้าคิด จงใช้ปัญญาที่มาจากดวงจิตที่เป็นเอกของเจ้า”
หลวงตามองมาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาจิต
“เจ้าเข้าใจหรือยังละ เมื่อใดที่เจ้าตั้งมั่นอยู่บนสิ่งชั่วช้านั่นหมายความว่าเจ้ากำลังเสื่อมลงด้วยประการทั้งปวง การแก้แค้นเป็นหนทางไปสู่การต่อเวรต่อกรรมต่อภพชาติไม่จบไม่สิ้น การให้อภัยสิคือสิ่งประเสริฐที่จะเป็นการตัดแล้วซึ่งเวรกรรมต่อกัน”
หลวงตาเริ่มเห็นไฟที่มอดไปแล้วกำลังครุกกรุ่นขึ้นเป็นสีแดงพอให้ต่อเชื้อไฟให้ติดได้ภายในใจของอารยะ
อารยะเงยขึ้นมองหน้าหลวงตาด้วยความรู้สึกสำนึกผิด กระดูกที่โหนกนูนบนใบหน้าเริ่มค่อย ๆ ยุบลง
ใบหน้าของอารยะเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนกลับเป็นใบหน้าที่สดชื่นเป็นปกติเหมือนอารยะคนเดิม
“อาตมาจะสอนเจ้าให้รู้จักนำพลังธรรมดาอันสามัญที่แฝงอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้”
หลวงตาเริ่มบทเรียนแรกให้กับอารยะ
“หากเปรียบได้ดั่งดวงจิตของเจ้าเป็นแสงเทียน
เจ้าก็เหมือนจุดแสงในที่สว่างแจ้งกลางแดดยามบ่าย
ย่อมไม่เห็นความสว่างจากแสงเทียนนั้น เพราะการรบกวนจากแสงภายนอก
แต่หากเจ้าจุดแสงให้สว่างในที่มืดมิดแล้ว
ความสว่างที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนตามกำลังแห่งแสงนั้น
ยิ่งความสว่างนั้นมีมากก็ย่อมทำให้ความมืดดำนั้นน้อยลง
จุดเทียนหนึ่งเล่มได้ความสว่างหนึ่งก้าวย่างในที่มืด
จุดเทียนสิบเล่มได้ความสว่างสิบก้าวเดินในที่มืด
จุดเทียนร้อยเล่มได้ความสว่างร้อยก้าวเหยียบในที่มืด
ฉันใดก็ฉันนั้น หากดวงจิตของเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสโดยทั้งปวงแล้ว
เจ้าก็เหมือนจุดเทียนที่มีพลังให้แสงสว่างไปทั่วหล้าดั่งพระอาทิตย์
เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะเป็นผู้ที่อยู่พ้นจากโลกเหนือจากกาลเวลา”
“เหมือนดั่งกิเลสคือความมืด
จิตของเจ้าคือความสว่างไสว
หากกำลังแห่งแสงที่เกิดจากดวงจิตของเจ้าจุดไว้เป็นร้อยเป็นพันเล่ม
มันก็เป็นดวงจิตที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่เข้มแข็งส่องสว่างไสวไปทั่ว
ตรงกันข้ามหากเจ้าจุดไฟกลางแสงแดด
เจ้าก็เป็นเพียงแสงที่ไม่มีความหมายในความสว่างกล้าของแสงแดด
ซึ่งมันจะกลบความสว่างแห่งเจ้าจนหมด เพราะความสว่างที่มี ไม่ได้มาจากดวงจิตของเจ้า
ฉะนั้นเจ้าต้องสว่างไสวอย่างเช่นเทียนร้อยพันเล่มในความมืดมิดนั้น
หรือไม่เจ้าก็จงเป็นความสว่างแห่งแสงแดดยามบ่ายเสียเอง”
“ส่วน ‘แก้วเพชรเขี้ยววานร’ นั้นเป็นของที่มีอภินิหารมากมันสามารถเพิ่มพลังจากเดิมที่เรามีได้มากมายมหาศาล สามารถแปลงสภาพเป็นศาสตราวุธที่ใช้มันได้ดั่งใจหมายให้เป็น แต่มันไม่เหมาะที่จะอยู่กับความชั่วร้าย เพราะมันจะสร้างความหายนะอันใหญ่หลวง”
“ด้วยเหตุนี้เมื่อยุคสมัยหนึ่งนานมาแล้วจึงมีผู้หลุดพ้นจากโลกเหนือจากกาลเวลาท่านหนึ่งได้ล่วงรู้วาระดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นจึงได้ทำให้มันแตกเป็นสี่ส่วนตามธาตุ แล้วทำให้มันหายสาบสูญไปเพื่อที่จะไม่ให้เกิดการแย่งชิงกัน ของผู้มากกิเลสจนอาจก่อให้เกิดศึกเลือดล้างแผ่นดินหากผู้ครอบครองนั้นเป็นผู้มีจิตใจที่ชั่วร้าย”
“ณ บัดนี้มันจึงได้พรางตัวอยู่ทั่วไปเพื่อรอผู้มีบุญในกาลยุคข้างหน้าให้สืบต่อชะตารักษา”
หลวงตาเล่าถึงประวัติของแก้วเพชรเขี้ยววานรบางส่วนให้อารยะได้รู้
“แก้วเพชรเขี้ยววานรแท้จริงก็คือเขี้ยวเพชรของลิงลมเผือกที่มีอิทธิฤทธิ์มากอยู่ในตำนานโบราณ ที่คนไทยเราเรียกกันว่าหนุมานนั่นเอง แต่ความจริงแล้วแก้วเพชรเขี้ยววานรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น หนุมานได้ครอบครองมันมาจากประวัติในวัยเด็ก ก่อนหน้าที่จะได้พบกับพระรามเสียอีก” หลวงตาพูดถึงความลับที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้มาก่อน
“ส่วนประวัติอื่น ๆ มากกว่านี้นั้น เจ้าคงต้องค้นพบมันด้วยปัญญาของเจ้าเอง”
หลวงตากล่าวทิ้งเรื่องไว้ให้อารยะเป็นผู้ค้นหาต่อไป
“ปัญญาของผม..”
อารยะไม่เข้าใจว่าแม้แต่เรื่องนี้ทำไมต้องใช้ปัญญาในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวการหลุดพ้นจากโลก
“ก็ในเมื่อมันอยู่กับเจ้า เจ้ารวมเป็นสิ่งเดียวกันกับมัน ไหนเลยเจ้าจะไม่รู้ที่มา หากเมื่อใดที่เจ้าเป็นผู้อยู่พ้นจากโลกเหนือจากกาลเวลาแล้ววันนั้นเจ้าจะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแก้วเพชรเขี้ยววานรนี้เอง”
“สิ่งที่เจ้าปฏิบัติกับดวงจิตอยู่นั้นถือได้ว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เปรียบได้กับเปลือกนอกของต้นไม้เท่านั้น”
“ยังมีหนทางดำเนินไปสู่กระพี้และแก่นของต้นไม้ได้อีก หากเจ้ารู้วิธีปฏิบัติดวงจิตได้อย่างถูกทางซึ่งเหล่านี้จะพาเจ้าไปสู่หนทางที่จะทำให้หลุดพ้นอยู่เหนือโลกและกาลเวลาได้” หลวงตาบอกทางที่อยู่เหนือยิ่งขึ้นไปกว่า
“หนทางนั้นจะนำพาเจ้าให้ไปสู่ประตูแห่งการเป็นผู้หลุดพ้นจากโลก เจ้าจะอยู่เหนือกาลเวลา ดุจเจ้าจะสามารถกำโลกให้หยุดหมุนได้เช่นนั้น” หลวงตาพูดในสิ่งที่เหลือเชื่อเกินวิสัยของมนุษย์ที่จะรับรู้เข้าใจได้

อารยะยังต้องพยายามละความระทมใจที่อดีตคนรักต้องเสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิด
ความคิดเหล่านี้ทำให้อารยะลำบากมากในการดำเนินจิตให้เป็นสมาธิได้อีกครั้ง
เขาต้องเริ่มต้นนับใหม่อีกครั้งตั้งแต่ศูนย์ โดยมีหลวงตาคอยกำกับการ
……………………
……………………
อารยะจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่
นั่นก็ขึ้นกับตัวเขาเอง...ส่วนว่าเขาจะเป็นผู้มีบุญหรือไม่นั้น....
ความยุ่งยากในจิตใจ ทำให้มันไม่ง่ายอย่างที่เคยเป็น
การเริ่มต้นอาจจะเป็นจุดสิ้นสุด …
หรือจุดสิ้นสุดจะเป็นการกำเนิดใหม่....



Create Date : 16 พฤษภาคม 2551
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 15:30:16 น. 0 comments
Counter : 333 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.