|
The Stand Inner (The Wind of Angel) ตอนที่ 21. เริ่มนับใหม่
เริ่มนับใหม่
วันขึ้นปีใหม่ อารยะตื่นขึ้นในโบสถ์เก่า ณ วัดแห่งหนึ่ง ในสภาพที่ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่อารยะคนเดิม หน้าตาอารยะเปลี่ยนไปจากเดิมมากมันคล้ายกับใบหน้าที่มีแต่โหนกกระดูกที่นูนออกมา ทั้งหัวไหล่ ข้อศอก มือ เข่า เท้า ตลอดจนทั่วทั้งตัวตามที่ต่าง ๆ บนร่างกายก็ไม่ต่างกัน เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม ?... อารยะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนก่อน มันมีเสียงที่ทุ้มต่ำแต่ดังก้องเหมือนราชสีห์แผดเสียงคำราม แก้แค้นแล้วได้อะไร ? หลวงตาไม่ตอบพร้อมกับโต้ตอบไปด้วยคำถาม อย่างนิ่งสงบ เจ้าเป็นใคร ?... ทำไม่เจ้าไม่อยู่ส่วนเจ้า...? อารยะไม่ได้ตอบ พร้อมกับยิงคำถามกลับไป เขาจำหลวงตาไม่ได้แล้ว อาตมามีหน้าที่โปรดสัตว์สั่งสอนสัตว์โลกให้รู้แจ้งเห็นปัญญา หลวงตาตอบคำถามที่สองของอารยะและรู้ว่าเขาถูกฝังแน่นด้วยความอาฆาตจนไม่มีสติอยู่กับตัวแล้ว ทำไมเจ้าต้องขังข้าไว้ อารยะคำรามเสียงดังขึ้นกว่าเดิม อาตมาไม่ได้ขังเจ้าไว้ แต่เจ้าต่างหากที่กำลังขังตัวเองอยู่ หลวงตาตอบโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อเสียงที่น่ากลัวของอารยะ หากเจ้าไม่ปล่อยข้าออกไป เจ้าจะต้องได้รับการทรมานอย่างสาหัส อารยะไม่สนใจฟังเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ที่กำลังกักขังตัวเองไว้ แต่กำลังตั้งใจจะเข้าทำร้ายทำลายล้างร่างของหลวงตาที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้สิ้นซาก ได้สิ หากเจ้าแม้เพียงสัมผัสอาตมาได้ อาตมาก็ยินดีจะได้รับสิ่งที่เจ้าจะกระทำต่ออาตมา หากเจ้าไม่สามารถแม้เพียงสัมผัสอาตมาได้เลยละ เจ้าจะว่าอย่างไร หลวงตามทราบถึงเจตนาจิตอันชั่วร้ายและท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว จึงกล่าวต่อรองเงื่อนไขผูกมัดอารยะเอาไว้หรือไม่ก็มัดตัวเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ย่อมได้! ในโบสถ์เล็ก ๆ อย่างนี้ เจ้าไม่มีทางที่เจ้าจะรอดพ้นอุ้งมือข้าไปได้ อารยะพูดจบก็เริ่มเล่นเกมราชสีห์จับหนูทันที อารยะพุ่งเข้าชาร์จใส่หลวงตาด้วยความรวดเร็ว พร้อมปล่อยหมัดขวาออกไปอย่างมั่นใจว่าชัยชนะนี้ต้องเป็นของเขาในที่สุด หมัดแรก หลวงตาถอยหลังออกมาเพียงหนึ่งก้าวอย่างช้า ๆ เจ้าไม่พ้นเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด อารยะเริ่มงุ่นง่านรำคาญใจที่ทำไม่สำเร็จ หลวงตาไม่ได้โต้ตอบสิ่งใดพร้อมถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่งก็ยังพ้นกำปั้นที่สองของอารยะ เจ้าถอยหลังได้เพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้นเจ้าก็จะจนมุมอยู่ริมเหวแล้ว หนีข้าไปไม่พ้นหรอก อารยะแสยะยิ้มโชว์ฟันอันน่าเกลียดเยาะเย้ยออกมาอย่างได้ใจยิ่งนัก คราวนี้เขาเตะออกไปด้วยเท้าขวาซึ่งยาวยิ่งกว่าช่วงหมัดของเขาอย่างแรงและหวังว่ามันจะเป็นตอนจบของเกมนี้ หลวงตาแสดงอิทธิฤทธิ์หายตัววับในทันใด มาปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา พร้อมเอื้อมมือไปจับไหล่ของอารยะ ไอ้เฒ่าบ้า แกบังอาจนัก อารยะแสดงอาการโกรธอย่างที่ระงับไว้ไม่อยู่ กระโดดกลับหลังไป พร้อมกับกวาดเท้าเตะกลับมาอย่างรวดเร็วเป็นท่าจระเข้ฟาดหางที่ลอยอยู่กลางอากาศ หลวงตานิ่งสงบอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นปล่อยให้เท้าของอารยะข้ามศีรษะไป อารยะกวาดเท้าเตะต่ำไปอีกครั้ง แต่หลวงตาก็หายวับ มายืนอยู่ด้านหลังของอารยะพร้อมกับจับไหล่ของเขาอีกเป็นครั้งที่สอง เรามาลองดูกันว่าคนแก่อย่างเจ้าจะทำแบบนี้ได้อีกกี่ครั้งกัน อารยะพูดพร้อมฟันศอกหมุนกลับไปข้างหลังทันที ศอกของเขาใกล้เข้าไปที่กกหูของหลวงตาเหมือนว่าจะถูกเข้าที่ศีรษะอย่างจังแต่มันก็เป็นความว่างเปล่า อารยะเพิ่มความเร็วขึ้นอีกยิ่งกว่าเดิม จนสามารถปล่อยหมัดรัวและเตะได้อย่างมองแถบไม่ทันทัน ทำให้มองเห็นเป็นภาพเท้าและมือจำนวนมากมายเหมือนมีสิบมือสิบเท้า หลวงตารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะพลังที่ได้จากแก้วเพชรเขี้ยววานร แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรหลวงตาได้อยู่ดี อารยะยังไม่บรรลุถึงวิธีใช้ศาสตราวุธอันร้ายกาจนั้น อารยะเริ่มสับสนกังวลใจขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อเข้าทำร้ายหลวงตาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย หากการปล่อยหมัดของเจ้าคือการแก้แค้น หลวงตาหายวับไปหายวับมาพร้อมกับพูดขึ้นเหมือนเสียงดังออกมาจากที่ใดสักแห่งอย่างต่อเนื่อง จากหลาย ๆ ที่ในโบสถ์ ถามว่า เจ้าแก้แค้นอาตมากี่ครั้งมาแล้ว เสียงของหลวงตายังคงนุ่มสงบเย็นเช่นเดิม ใครเหนื่อย ใครทรมาน ใครกลุ้มใจ ใครสับสน ใครเป็นทุกข์ หลวงตาหรือเจ้า หลวงตาพูดให้อารยะได้คิดและอารยะก็คิด แน่จริงเจ้าก็หยุดสิ อารยะเริ่มเหมือนอันธพาล แต่ก็ยังปล่อยหมัดพันกรเข้าทำร้ายหลวงตา หลวงตาไม่ได้พูดอะไร หายวับมาหยุดอยู่ที่หน้าองค์พระประธานในโบสถ์เก่าแห่งนี้ หลวงตาไม่ได้สะทกสะท้านกับสิ่งใด หน้าตายังคงนิ่งสงบเฉย ดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับอารยะที่กำลังเหนื่อยล้าทั้งพลังกายและพลังใจ ยิ่งตอนนี้กำลังคิดสับสนอยู่กับสิ่งที่หลวงตาได้พูดไว้ ความสับสน ความลังเลสงสัย อยู่ในหัวของอารยะมากมาย ระหว่างฝ่ายดีที่ถูกหลวงตาจุดขึ้นมาและฝ่ายชั่วที่มาจากความเครียดแค้น อารยะวิ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงมากอีกครั้งราวกับว่าเขาลอยอยู่เหนือพื้นไปหยุดที่ตรงหน้าหลวงตา พร้อมปล่อยหมัดพันกรเข้าใส่อีก แต่คราวนี้หลวงตาไม่ได้หายตัวไปไหน ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยแววตาที่สงบมองอารยะด้วยความเมตตา ทั้งเท้าและหมัดของอารยะพุ่งเข้าไปทั่วร่างของหลวงตาอย่างแรง หลวงตาพร้อมรับการกระทำนั้นทุกอย่างจากอารยะ แต่มันกับผ่านร่างหลวงตาไปเหมือนแหวกผ่านสายหมอก ภาพของหลวงตาถูกเตะผ่านร่างไปเหมือนไม่มีตัวตนทั้งที่มองเห็นอยู่ว่าไม่ได้หายไปไหน ทำเอาอารยะเหนื่อยหอบลงไปคุกเข่ายังเบื้องล่างตรงหน้าหลวงตา และสงบเงียบอยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง หลวงตาก็เดินเข้ามาช้า ๆ หยุดอยู่ตรงหน้าอารยะ ขณะที่เขาก้มหน้าอยู่จึงมองเห็นเท้าของหลวงตาถึงสองคู่ อารยะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเห็นร่างเนรมิตที่เขาเตะต่อยค่อย ๆ จางหายลงสู่พื้นดินไปเหมือนกองทรายทะลายลง อย่าใช้สมองของเจ้าคิด จงใช้ปัญญาที่มาจากดวงจิตที่เป็นเอกของเจ้า หลวงตามองมาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาจิต เจ้าเข้าใจหรือยังละ เมื่อใดที่เจ้าตั้งมั่นอยู่บนสิ่งชั่วช้านั่นหมายความว่าเจ้ากำลังเสื่อมลงด้วยประการทั้งปวง การแก้แค้นเป็นหนทางไปสู่การต่อเวรต่อกรรมต่อภพชาติไม่จบไม่สิ้น การให้อภัยสิคือสิ่งประเสริฐที่จะเป็นการตัดแล้วซึ่งเวรกรรมต่อกัน หลวงตาเริ่มเห็นไฟที่มอดไปแล้วกำลังครุกกรุ่นขึ้นเป็นสีแดงพอให้ต่อเชื้อไฟให้ติดได้ภายในใจของอารยะ อารยะเงยขึ้นมองหน้าหลวงตาด้วยความรู้สึกสำนึกผิด กระดูกที่โหนกนูนบนใบหน้าเริ่มค่อย ๆ ยุบลง ใบหน้าของอารยะเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนกลับเป็นใบหน้าที่สดชื่นเป็นปกติเหมือนอารยะคนเดิม อาตมาจะสอนเจ้าให้รู้จักนำพลังธรรมดาอันสามัญที่แฝงอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ หลวงตาเริ่มบทเรียนแรกให้กับอารยะ หากเปรียบได้ดั่งดวงจิตของเจ้าเป็นแสงเทียน เจ้าก็เหมือนจุดแสงในที่สว่างแจ้งกลางแดดยามบ่าย ย่อมไม่เห็นความสว่างจากแสงเทียนนั้น เพราะการรบกวนจากแสงภายนอก แต่หากเจ้าจุดแสงให้สว่างในที่มืดมิดแล้ว ความสว่างที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนตามกำลังแห่งแสงนั้น ยิ่งความสว่างนั้นมีมากก็ย่อมทำให้ความมืดดำนั้นน้อยลง จุดเทียนหนึ่งเล่มได้ความสว่างหนึ่งก้าวย่างในที่มืด จุดเทียนสิบเล่มได้ความสว่างสิบก้าวเดินในที่มืด จุดเทียนร้อยเล่มได้ความสว่างร้อยก้าวเหยียบในที่มืด ฉันใดก็ฉันนั้น หากดวงจิตของเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสโดยทั้งปวงแล้ว เจ้าก็เหมือนจุดเทียนที่มีพลังให้แสงสว่างไปทั่วหล้าดั่งพระอาทิตย์ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะเป็นผู้ที่อยู่พ้นจากโลกเหนือจากกาลเวลา เหมือนดั่งกิเลสคือความมืด จิตของเจ้าคือความสว่างไสว หากกำลังแห่งแสงที่เกิดจากดวงจิตของเจ้าจุดไว้เป็นร้อยเป็นพันเล่ม มันก็เป็นดวงจิตที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่เข้มแข็งส่องสว่างไสวไปทั่ว ตรงกันข้ามหากเจ้าจุดไฟกลางแสงแดด เจ้าก็เป็นเพียงแสงที่ไม่มีความหมายในความสว่างกล้าของแสงแดด ซึ่งมันจะกลบความสว่างแห่งเจ้าจนหมด เพราะความสว่างที่มี ไม่ได้มาจากดวงจิตของเจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องสว่างไสวอย่างเช่นเทียนร้อยพันเล่มในความมืดมิดนั้น หรือไม่เจ้าก็จงเป็นความสว่างแห่งแสงแดดยามบ่ายเสียเอง ส่วน แก้วเพชรเขี้ยววานร นั้นเป็นของที่มีอภินิหารมากมันสามารถเพิ่มพลังจากเดิมที่เรามีได้มากมายมหาศาล สามารถแปลงสภาพเป็นศาสตราวุธที่ใช้มันได้ดั่งใจหมายให้เป็น แต่มันไม่เหมาะที่จะอยู่กับความชั่วร้าย เพราะมันจะสร้างความหายนะอันใหญ่หลวง ด้วยเหตุนี้เมื่อยุคสมัยหนึ่งนานมาแล้วจึงมีผู้หลุดพ้นจากโลกเหนือจากกาลเวลาท่านหนึ่งได้ล่วงรู้วาระดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นจึงได้ทำให้มันแตกเป็นสี่ส่วนตามธาตุ แล้วทำให้มันหายสาบสูญไปเพื่อที่จะไม่ให้เกิดการแย่งชิงกัน ของผู้มากกิเลสจนอาจก่อให้เกิดศึกเลือดล้างแผ่นดินหากผู้ครอบครองนั้นเป็นผู้มีจิตใจที่ชั่วร้าย ณ บัดนี้มันจึงได้พรางตัวอยู่ทั่วไปเพื่อรอผู้มีบุญในกาลยุคข้างหน้าให้สืบต่อชะตารักษา หลวงตาเล่าถึงประวัติของแก้วเพชรเขี้ยววานรบางส่วนให้อารยะได้รู้ แก้วเพชรเขี้ยววานรแท้จริงก็คือเขี้ยวเพชรของลิงลมเผือกที่มีอิทธิฤทธิ์มากอยู่ในตำนานโบราณ ที่คนไทยเราเรียกกันว่าหนุมานนั่นเอง แต่ความจริงแล้วแก้วเพชรเขี้ยววานรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น หนุมานได้ครอบครองมันมาจากประวัติในวัยเด็ก ก่อนหน้าที่จะได้พบกับพระรามเสียอีก หลวงตาพูดถึงความลับที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้มาก่อน ส่วนประวัติอื่น ๆ มากกว่านี้นั้น เจ้าคงต้องค้นพบมันด้วยปัญญาของเจ้าเอง หลวงตากล่าวทิ้งเรื่องไว้ให้อารยะเป็นผู้ค้นหาต่อไป ปัญญาของผม.. อารยะไม่เข้าใจว่าแม้แต่เรื่องนี้ทำไมต้องใช้ปัญญาในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวการหลุดพ้นจากโลก ก็ในเมื่อมันอยู่กับเจ้า เจ้ารวมเป็นสิ่งเดียวกันกับมัน ไหนเลยเจ้าจะไม่รู้ที่มา หากเมื่อใดที่เจ้าเป็นผู้อยู่พ้นจากโลกเหนือจากกาลเวลาแล้ววันนั้นเจ้าจะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแก้วเพชรเขี้ยววานรนี้เอง สิ่งที่เจ้าปฏิบัติกับดวงจิตอยู่นั้นถือได้ว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เปรียบได้กับเปลือกนอกของต้นไม้เท่านั้น ยังมีหนทางดำเนินไปสู่กระพี้และแก่นของต้นไม้ได้อีก หากเจ้ารู้วิธีปฏิบัติดวงจิตได้อย่างถูกทางซึ่งเหล่านี้จะพาเจ้าไปสู่หนทางที่จะทำให้หลุดพ้นอยู่เหนือโลกและกาลเวลาได้ หลวงตาบอกทางที่อยู่เหนือยิ่งขึ้นไปกว่า หนทางนั้นจะนำพาเจ้าให้ไปสู่ประตูแห่งการเป็นผู้หลุดพ้นจากโลก เจ้าจะอยู่เหนือกาลเวลา ดุจเจ้าจะสามารถกำโลกให้หยุดหมุนได้เช่นนั้น หลวงตาพูดในสิ่งที่เหลือเชื่อเกินวิสัยของมนุษย์ที่จะรับรู้เข้าใจได้
อารยะยังต้องพยายามละความระทมใจที่อดีตคนรักต้องเสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิด ความคิดเหล่านี้ทำให้อารยะลำบากมากในการดำเนินจิตให้เป็นสมาธิได้อีกครั้ง เขาต้องเริ่มต้นนับใหม่อีกครั้งตั้งแต่ศูนย์ โดยมีหลวงตาคอยกำกับการ
อารยะจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่ นั่นก็ขึ้นกับตัวเขาเอง...ส่วนว่าเขาจะเป็นผู้มีบุญหรือไม่นั้น.... ความยุ่งยากในจิตใจ ทำให้มันไม่ง่ายอย่างที่เคยเป็น การเริ่มต้นอาจจะเป็นจุดสิ้นสุด
หรือจุดสิ้นสุดจะเป็นการกำเนิดใหม่....
Create Date : 16 พฤษภาคม 2551 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 15:30:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 333 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]
|
สวัสดีชาวโลก..... ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้ เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง.. ..เพื่อโลก..เพื่อเรา.... ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...
ขอบคุณท่านผู้เจริญ.... bluesky_planet@hotmail.com
|
|
|
|
|
|
|
|