จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
14 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
The Stand Inner (The Wind of Angel) ตอนที่ 19. นับถอยหลัง

นับถอยหลัง

“ฮัลโหล.. บ๊วยตอนนี้นายตั้งกองถ่ายอยู่ที่ไหน”
“อ้อ..อ.. อารยะนายเอง ข้ามารอเก็บบรรยากาศเคาท์ดาวน์แถวสยามไปประกอบฉากในหนัง”
บ๊วยตอบกลับไปด้วยเสียงอันดัง เพราะบริเวณโดยรอบเสียงอึกทึกจากเครื่องขยายเสียงที่เปิดเพลงและจอ LCD ขนาดใหญ่ที่กำลังโปรโมทสินค้า ทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง
“ถ้างั้นเดี่ยวข้าไปหา นายอยู่ตรงไหนของสยาม”

กองถ่ายภาพยนตร์ในสยามบริเวณ Center Point
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ ถึงรีบร้อนนัก”
“ไม่มีเวลาเล่าวะเพื่อน เอาเป็นว่าตอนนี้แมนกับอารีอยู่หรือเปล่าวะ”
ในขณะที่บ๊วยกำลังจะอ้าปากพูด
“ไม่ต้องละ ถ้านายอยากรู้ตามข้ามา” อารยะเรียกให้บ๊วยตามไปที่ห้องแต่งตัวชั่วคราว
บ๊วยทำหน้าเอ๋อ ๆ งงกับความรีบร้อนอย่างผิดปกติที่สุดที่เคยเป็นมาของอารยะ แต่ก็เดินตามไปทันทีหลังจากหยุดเอ๋อได้พักหนึ่ง
“น้องอารีครับ พี่ขอชุดตัวตลกโจ๊กเกอร์หน่อยสิครับ” อารยะตัดสินใจปลอมตัวปนไปกับงานรื่นเริงในครั้งนี้ เพื่อให้สามารถเข้าไปทุกที่ ที่จัดงานฉลองปีใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยไม่มีใครสงสัย
น้องอารีเดินเข้าไปค้นหาชุดในห้องเสื้อผ้า
“คุณแมนผมต้องขอรบกวนรัดคิวแต่งหน้าให้ผมเป็นตัวตลกโจ๊กเกอร์ด้วยสิครับ”
“ได้สิจ๊ะ ว่าแต่ว่าไปทำงานไซด์ไลน์ที่ไหนอยู่เหรอจ๊ะ”
“ก็งานปีใหม่นี่เองแหละจ๊ะ”
บ๊วยลากเก้าอี้สนามเดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ ตรงข้ามกับอารยะ ด้วยสีหน้าสงสัยเป็นที่สุด
“ข้ารู้มาว่า จะมีการวางระเบิดแถวย่านราชประสงค์”
“ว้าย! ล้อเล่นหรือเปล่าจ๊ะ” แมนอุทานออกมาพร้อมกับทำปากเป็นตัวโอ แล้วเอามือบังปากไว้
“แล้วนายทำไมไม่โทรไปแจ้งตำรวจวะอารยะ” บ๊วยคิดว่าอารยะควรจะทำสิ่งที่ประชาชนทั่วไปควรทำมากกว่าที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอย่างนั้น
“ข้าโทรไปแล้ว ตำรวจไม่เชื่อข้า” “คือว่าข้าไม่สามารถทำให้ตำรวจเชื่อได้ว่าข้ารู้มาได้ยังไง”
“โอเค ถ้างั้นแล้วนายจะทำอะไรเนี่ย”
“ข้าจะไปร่วมงานฉลองปีใหม่แถว ๆ นั้นนะสิ” อารยะไม่ได้อยากเป็นตัวตลกเพราะเรื่องนี้คงไม่ขำแน่ ๆ
“เออ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่าวะ”
“ช่วยระวังตัวไว้ด้วยนะ อย่าประมาท ตอนนี้ข้ายังไม่รู้เลยว่ามันถูกวางไว้ที่ไหนบ้าง” อารยะเตือนด้วยความเป็นห่วง


และแล้วก็มาถึงช่วงเย็น เวลาแห่งการรื่นเริงสนุกสนานของหมู่คนโดยถ้วนทั่วมหานครกรุงเทพ กับงานเฉลิมฉลองการนับถอยหลังของวันสิ้นปีเพื่อเริ่มเข้าปีใหม่ตั้งแต่วินาทีแรก ก็เริ่มขึ้น
ผู้คนคึกคักเดินกันให้ขวักไขว่กันมาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ ๆ แล้ว มองไปที่ไหนก็มีแต่ผู้คนเต็มไปหมดทั่วพื้นที่ราชประสงค์ไปจนถึงสยามแสควร์ รถลาเริ่มติดเต็มท้องถนน อีกไม่นานก็คงเป็นอัมพาตกลายเป็นที่จอดรถ
ห้างร้านเริ่มเปิดไฟให้แสงสีสว่างไสวไปทั่วตลอดถนนทั้งสาย เสียงเพลงดังไปทั่วท้องถนน
ท้องฟ้าในช่วงฤดูหนาวเริ่มมืดลงแล้วอย่างเร็ว ลมหนาวพัดเบา ๆ
แต่อากาศก็ยังหนาวอยู่พอทำให้นักดื่มตามลานเบียร์ที่กระจายอยู่โดยทั่วทั้งย่านนี้ได้ดื่มกันอย่างเอร็ดอร่อย
ในบรรยากาศที่อบอุ่น เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากกำลังสนุกสนานและรอคอยในสิ่งเดียวกัน
อารยะไม่ได้มาที่นี่เพื่อสนุกสนานกับใครในงานต้อนรับปีใหม่นี้ เขามีแต่ความรู้สึกที่แฝงไปด้วยความระแวดระวังไปจนถึงระแวงด้วยซ้ำ คืนนี้เป็นคืนที่เขาเหนื่อยอย่างหนักตั้งแต่เริ่มงาน

เวลา 19:30 นาฬิกา
ความมืดไม่อาจเข้าปกคลุมพื้นที่บริเวณงานได้ มันดูไม่เหมือนยามค่ำของทุก ๆ วัน
ความสนุกสนานของมื้อเย็นไปจนถึงมื้อค่ำเพิ่งเริ่มขึ้น ในขณะที่อาจจะมีใครบางคนเป็นมื้อสุดท้าย
อารยะแฝงตัวอยู่ภายใต้ใบหน้าเพ้นท์สีของตัวตลกและอยู่ใจกลางของงานย่านราชประสงค์แล้ว
อารยะแสกนหาความคิดของใครบางคนที่ไม่อยากให้ทุกคนได้มีความสุขสมหวังกันในช่วงเวลาแบบนี้
ในขณะที่เดินไปจนทั่วบริเวณตั้งแต่เซ็นทรัล เวิลด์มาถึงเกสรพลาซ่าต่อด้วยที่โซโก้แล้ว
ผ่านไปจนหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ อารยะก็ยังไม่สามารถค้นหากลุ่มผู้ร้ายได้เลย มันเป็นไปโดยยากลำบากอย่างมาก
เมื่อสถานที่บริเวณนี้เริ่มมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดมากมายพรั่งพรูผ่านหัวของอารยะไปเป็นร้อย
เป็นพันเรื่องราวมาแล้ว ดุจดั่งสายลมหนาวที่พัดผ่านอยู่ตลอดเวลาในตอนนี้ มันทำให้อารยะล้ามากทั้งกำลังจิตและร่างกาย
อีกไม่นานอารยะจะไม่ได้เสียแรงเปล่า.....
“เจอแล้ว ! เจอพวกมันแล้ว ผมกำลังหาอยู่ว่าพวกมันอยู่ที่ไหน”
อารยะเจอพวกมันปนอยู่กับฝูงชนที่กำลังร่วมงานฉลอง
เขารีบวิ่งย้ายตัวเองมาที่ด้านหน้าลานเบียร์กว้างหน้าเซ็นทรัล เวิลด์อีกครั้ง
ลานเบียร์ถูกประดับประดาสถานที่ให้สวยงามที่สุดด้วยแสงไฟจำนวนมาก
มีเวทีแสดงดนตรี และถังเบียร์สดขนาดใหญ่ยักษ์ ส่วนตรงด้านข้างก็เป็นจอ LCD ขนาดใหญ่
พร้อมนาฬิกาดิจิตอลซึ่งไม่ได้บอกเวลาปัจจุบัน แต่กำลังบอกจำนวนเวลานับถอยหลังที่จะไปสิ้นสุดเที่ยงคืน
อารยะเดินเข้าใกล้ผู้ร้ายมากขึ้นแล้วแต่ยังไม่สามารถบอกจุดที่ชัดเจนได้ ในขณะที่เขากำลังกวาดสายตามองไปยังบริเวณที่คิดว่าน่าจะใช่
“มันคงนั่งดื่มเบียร์กันอยู่แถว ๆ นี้ก่อนที่จะได้เวลากดระเบิด”
“นั่นไง! มันอยู่กันแค่สองคนเท่านั้น” สาธิตจำได้เช่นเดียวกับทุกคนในร่างของอารยะ
“ไอ้ตัวอ้วนดำกำลังสวาปามอย่างตระกะอยู่กับไอ้ผมทอง” บุญเพิ่มกล่าวสบประมาท
“มีคนอยู่เยอะมาก ตอนนี้เราคงต้องรอจังหวะที่มันปลีกตัวแยกออกมาก่อน” อารยะคิดรอจังหวะที่เหมาะ
“ถ้างั้นเราคงต้องไปให้ใกล้กับมันแล้วก็จัดการแสกนเก็บข้อมูลของพวกมันมาให้มากที่สุด” หมวดคมสันต์แนะนำ
อารยะเดินไปทำท่าเป็นเจ้าตัวตลกสนุกสนานไปกับผู้ร่วมงานที่นั่งโต๊ะรับประทานอาหารและดื่มเบียร์กันอยู่เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยหากเดินตรงไปที่ผู้ร้ายสองคนนั้นแบบทื่อ ๆ
อารยะทำเป็นตลกทั้งที่ในใจของเขาไม่ตลกเลย ผ่านไปโต๊ะแล้วโต๊ะเล่า เขาแวะนั่งกับผู้ร่วมงานฉลองที่โต๊ะคนนู้นทีคนนี้ที จนมาถึงโต๊ะของเจ้าผู้ก่อการร้ายสองตัวนั่น
ชุดที่ดูเป็นตัวตลกมันไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้อารยะจะอ่านความคิดของพวกมันได้ยากขึ้น
ในขณะที่อารยะกำลังเริ่มที่จะอ่านความคิดของพวกมันนั้น อารยะต้องหันควับออกมาจากเป้าหมายทันใด
“จะรับเบียร์มั๊ยคะ” เด็กผู้หญิงวัยรุ่นอายุประมาณ 22 หน้าตาน่ารักแต่งตัวไม่ค่อยมิดชิดนักเข้ามาทำหน้าที่เชียร์เบียร์
อารยะทำหน้าตลกยิ้ม กระพริบตาถี่ ๆ หลายครั้ง แล้วโบกมือบ๊ายบาย
“ไม่เป็นไรจ๊ะ พี่ไม่ดื่มเวลางาน ขอบใจมากนะ”
อารยะพูดขึ้นในขณะที่ยังคงเหลือบสายตาไปยังโต๊ะของผู้ก่อการร้ายสองคนนั้นด้วย
เด็กผู้หญิงเชียร์เบียร์จึงเดินจากไปยังโต๊ะอื่น ๆ ต่อไป เพื่อเร่งยอดขายเบียร์ของเธอให้ได้มากที่สุด
ในช่วงเวลาแห่งโอกาสทองของอาชีพ
“อะ! ไอ้ผมทองนั่นมันลุกขึ้นจะไปไหนของมัน” สาธิตทักขึ้นก่อนใคร
อารยะกำลังมองมันด้วยอาการแบบตัวตลก ทำปากหวอ ยกมือปิดปากเหมือนกับที่แมนทำไว้เมื่อตอนแต่งหน้า อารยะกระพริบตาถี่ ๆ แล้วยิ้มร่า เขาทำท่าเหมือนดีใจแบบตัวตลกกระโดดเอาส้นเท้ากระทบกันกลางอากาศ แล้วต่อด้วยท่าเหมือนจะวิ่งอยู่กับที่
“มันไปเข้าห้องน้ำ” อารยะรู้ได้ทันที
“นี่แหละโอกาสของเรา” อารยะบอกกับทุกคน
เขาเดินตามหรั่งผู้ก่อการร้ายผมทองไปในทันที ขณะที่ลุกขึ้นอารยะเอื้อมมือไปหยิบซ่อมที่โต๊ะข้าง ๆ
เหมือนลูกค้าคนอื่น ๆ ที่กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ มันจึงไม่มีอะไรผิดปกติที่น่าสงสัย ตัวตลกโจ๊กเกอร์ก็คน มีสิทธิ์ปวดท้องฉี่ได้เหมือนกัน
หรั่งเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว อารยะก็เดินตามติด ๆ เข้าห้องน้ำ
มันเดินเข้าไปในห้องสุดท้ายแล้ว ในขณะที่มันกำลังหันมาปิดประตูนั้นอารยะก็ถีบประตูเข้าให้อย่างแรง จนประตูถูกผลักเข้าไปข้างในตามแรงถีบของเขา กระแทกกับเจ้าโจรใจทรามอย่างแรงจนหรั่งกระเด็นเจ็บลงไปนั่งอยู่บนชักโครก
“ไม่มีอะไรครับทุกท่านตามสบายครับ ผมขอปรับความเข้าใจกับเพื่อนผมนิดหน่อยนะครับ คือว่ามันหนีงานนะ” อารยะหันไปบอกกับทุกคนในห้องซึ่งกำลังหันมามองแล้วทำท่าตกใจเหมือนสะอึก ทำปากหวอแล้วเอามือบังปาก จากนั้นก็ทำปากจู๋ พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาตั้งขวางกลางริมฝีปากที่กำลังทำปากจู๋อยู่นั่น
พร้อมพ่นลมออกมาเสียงดังซู่ เหมือนบอกให้ทุกคนในห้องน้ำเงียบไว้ไม่ต้องเอะอะไป
คนที่อยู่ในห้องน้ำอึ้งเงียบมองอยู่พักนึง
อารยะมองสวนกับไป ทำท่าทางยักไล่ขึ้น ทำท่าบอกให้คนที่จ้องมองอยู่เหล่านั้นว่าไม่มีอะไร ไปกันได้แล้ว
อารยะรีบหันกลับ เดินเข้าไปในห้องน้ำนั่นทันที เขาก้มตัวลงจับคอเสื้อของหรั่งในขณะที่ยังมึนอยู่
อารยะยกตัวหรั่งขึ้นมาแล้วปล่อยหมัดชกซ้ำไปที่หน้าและท้องของมัน
หรั่งทรุดลงไปกองกับพื้นห้องน้ำอีกครั้ง ทำให้มันยิ่งเจ็บหนักมากขึ้นจนไม่สามารถต่อสู้อะไรได้
ในสภาพแบบนี้ทำให้อารยะได้เปรียบเป็นอย่างมากที่จะบังคับให้เปิดปากพูดได้ง่ายขึ้น
“บอกมาว่าแกซ่อนระเบิดไว้ที่ไหน” อารยะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังจนเกินไป พร้อมกับจับตัวมันนั่งบนชักโครก แล้วนำซ่อมจี้ไปที่คอหอย มืออีกข้างเริ่มค้นตัวของหรั่งเพื่อปลดอาวุธของมัน
เขาพบปืนลูกโม่ขนาด .38 จึงปลดปืนมันออกมาจากตัวแล้วใช้นิ้วโป้งข้างเดียวกันนั้นดันปุ่มปลดล็อคลูกโม่
อารยะสะบัดมือที่กำปืนไว้อย่างแรง ลูกโม่เปิดอ้าออกมาจากตัวปืน แล้วเขาก็เทลูกกระสุนทั้งหมดออกจากโม่
ทิ้งลงไปในชักโครกตรงช่องระหว่างขาของเจ้าหรั่งผมทองซึ่งยังนั่งจุกอยู่บนชักโครกที่ยังไม่ได้ปิดฝา
“แกเป็นใคร แล้วแกรู้ได้ยังไง” หรั่งถามกลับด้วยเสียงอันเบาเพราะหมัดที่เข้าที่ข้างแก้มทำให้ข้างแก้มใกล้ริมฝีปากบวมเจ่ออยู่
“ไม่สำคัญว่ารู้ได้ยังไง แกทำแบบนี้ทำไม” อารยะตะคอกใส่อย่างแรงแต่ด้วยเสียงอันเบา
“ทำไมแกต้องใช้ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องเป็นเครื่องมือต่อรองในสิ่งที่พวกแกต้องการ” อารยะโกรธมาก
“ทำไมแกต้องใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน” อารยะไม่ได้อยากรู้นักหรอกในสิ่งที่ถาม
“มันก็ไม่ต่างจากพวกคนใหญ่คนโตในประเทศนั่นแหละ ประชาชนเป็นเครื่องต่อรองที่ดีที่สุด เป็นพลังที่ขับเคลื่อนให้ความต้องการมันเดินไปได้ง่ายที่สุด แล้วมันต่างกันอย่างไรละ” หรั่งกล่าว
“ระเบิดมีกี่จุด ที่ไหนบ้าง แกจุดระเบิดมันด้วยวิธีไหน”
“ทำไมกูต้องบอกมึงด้วย ไอ้บ้า! มึงไม่น่าจะเข้ามาแส่กับเรื่องของกูเลย”
หรั่งมีอารมณ์โมโหแต่แสดงอาการไม่ไหว
“งั้นไม่เป็นไร” ทันทีที่อารยะพูดขึ้นสิ้นสุดคำจึงลดซ่อมลงจากคอหอยของหรั่ง
เขาปักมันลงไปที่ต้นขาข้างขวาของมัน เจ้าหรั่งผมทองออกอาการดิ้นรนทุลนทุลายด้วยความเจ็บแต่ร้องไม่ออกเมื่ออารยะปิดปากมันไว้จนไม่มีเสียงรอดออกมา แค่นั้นอารยะรู้ว่าไม่ได้ทำให้มันต้องตายหรอก
ปรับความรู้สึกเข้าสู่ความนิ่งสงบแสกนหัวของเจ้าผู้ก่อการร้ายผมทองทันที
“….*.*.*.*.*….”
เพียงไม่นานอารยะจับมันขึ้นแล้วปล่อยหมัดที่สามต่อยเข้าไปอย่างเต็มแรงที่สุดบนหน้าของมันอีกครั้งจนหรั่งสลบลงไปกองอยู่ที่พื้นแบบไม่เป็นท่า
อารยะก้มลงหาโทรศัพท์มือถือในตัวของมันจนได้ของตามที่ต้องการแล้วรีบเดินออกมาจากห้องน้ำทันที
“ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมพบคนน่าสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดสถานทูตครับ ตอนนี้อยู่ในห้องน้ำที่เซ็นทรัล เวิลด์ ตรงลานเบียร์ครับ” อารยะใช้โทรศัพท์มือถือของหรั่งโทรออกไปที่ศูนย์ปฏิบัติงานพิเศษเบอร์เดียวกับที่แสดงไว้บนหน้าจอโทรทัศน์ในรายการข่าวระเบิดสถานทูตเมื่อวันก่อนเพื่อให้ประชาชนได้แจ้งเบาะแสที่น่าสงสัย มันจึงเป็นวิธีเดียวที่จะเรียกร้องความสนใจให้ตำรวจวิ่งออกมาดูงานนี้ได้
“ระเบิดถูกวางไว้ถึงสี่จุดไม่ใช่สอง เราคิดผิดไป วันนั้นที่เราอยู่บนรถเมล์ มันกำลังวางจุดที่สามสี่ต่างหากละ” อารยะพูดด้วยสีหน้ากังวลใจ เพราะไม่มั่นใจว่าตนเพียงคนเดียวจะทำอะไรได้ทันหรือไม่
“แล้วที่ไหนบ้างละ ?” วิชิตถาม
“จุดนี้มีอยู่ที่ใต้ถังเบียร์ยักษ์นั่นมันต้องการให้เหล้าเป็นตัวกระจายไฟให้เผาไหม้ไปทั่วลานเบียร์นี้ด้วย
จุดที่สองอยู่ไม่ห่างจากถังแก๊สที่ทำอาหารอยู่ลานเบียร์ฝั่งตรงข้าม จุดที่สามคือจุดที่ใต้ถังเบียร์ยักษ์อีกแห่งหนึ่งตรงลานเชื่อมต่อระหว่าง สยาม เซ็นเตอร์ กับที่ สยาม พารากอน ส่วนจุดที่สี่ลานเบียร์ใน เซ็นเตอร์ พอยท์” อารยะล่วงรู้เรื่องของมันทั้งหมดในคืนนี้แล้ว
“เซ็นเตอร์ พอยด์” อารยะอุทานขึ้นเสียงดัง แล้วใช้โทรศัพท์มือถือของตนเองโทรหาบ๊วยทันที
สายว่างแต่ไม่มีใครรับ อารยะไม่มีเวลาแล้วต้องเร่งมือให้เร็วขึ้น ไม่เช่นนั้นจะมีเพื่อนของเขาด้วยที่จะต้องได้รับบาดเจ็บ
“ตอนนี้มันกี่โมงแล้ว” อารยะถามขึ้นในขณะที่หันไปมองที่นาฬิกาดิจิตอลเรือนใหญ่ซึ่งกำลังนับถอยหลังอยู่ ทำให้รู้ว่าเหลือเวลาอีกกี่ชั่วโมงและอีกกี่เศษนาทีอีกกี่วินาที
“เราเดาได้ถูกต้องมันจะระเบิดที่นี่ให้เป็นผงตอนเที่ยงคืน เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงสองชั่วโมง” อารยะ.พูดในขณะที่รีบเดินจ้ำไปที่บริเวณหลังงานเพื่อแอบมุดเข้าไปภายในบริเวณส่วนของเจ้าหน้าที่
มันไม่ได้จัดการควบคุมไว้อย่างแน่นหนา โจ๊กเกอร์ก็ไม่ได้ทำให้ดูเป็นคนแปลกหน้า
เขาจึงเข้าไปข้างใต้ฐานที่ตั้งของถังเบียร์ใหญ่ที่คุมผ้ากำมะหยี่สีแดงเอาไว้อย่างมิดชิดนั่นได้อย่างสบาย
ต่อไปคือปัญหาที่ยากกว่าการมุดเข้ามาใต้ถังเบียร์ยักษ์นี้อีก
“ทีนี้ตรงหน้าเราคือระเบิดที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ถ้าหากมีใครโทรเข้ามามันก็จะจุดฉนวนระเบิดทันที” อารยะอธิบายให้ทุกคนในร่างทราบ
“แต่ว่าระเบิดมีสี่จุดกับโทรศัพท์มือถือของคนทั้งสี่คน มันพกไว้คนละเครื่อง เมื่อถึงเวลามันจะยกขึ้นโทรเข้าไปที่โทรศัพท์มือถือที่ติดอยู่กับระเบิดทั้งสี่จุดทันที สำหรับจุดนี้ก็คือโทรศัพท์เครื่องนี้ของไอ้เจ้าผมทองนั่น
ได้เวลาที่หมวดคมสันต์จะแสดงฝีมือแล้วนะ นี่คือการไถ่ชีวิตของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้และตัวคุณเองด้วย”
อารยะเชิญให้หมวดคมสันต์ได้ยืมร่างใช้ในการโชว์ผลงาน เท่านั้นแหละอารยะก็เริ่มมีบุคลิกเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาต้องเกาก้น เกาหัว หรือไม่ก็เกาหน้า อย่างที่ไม่รู้ว่าจะคันอะไรนัก
มันคงเป็นบุคลิกที่ผู้หมวดคมสันต์ทำจนติดเป็นนิสัยเมื่อยังมีชีวิต
“ระวังนะครับ พลาดไม่ได้เลยนะ” อานนท์พูดขึ้นในขณะที่หมวดคมสันต์ล้วงเครื่องมือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ถ้าคุณพลาดละก็ มันก็ไม่ต่างจากเราเป็นคนจุดระเบิดเองเลยนะ” ภาวิณีพูดถูกแต่ไม่เหมาะที่จะพูดขึ้นในเวลานี้ เธอมาผิดเวลาที่สมควรอยู่เสมอ
อารยะจับสัญญาณความคิดของเบิ้มได้ว่ามันเริ่มสงสัยแล้วว่าเพื่อนมันทำไมหายไปนานนัก
นั่นคือสัญญาณอันตรายเสียแล้ว หากมันตามไปพบว่าเพื่อนมันถูกทำร้าย หรือ ถูกตำรวจคุมตัวอยู่
มันนั่นแหละที่จะเป็นคนกดระเบิดขึ้นก่อนเวลาที่มันนัดหมายกันไว้ เพื่อข่มขู่และบันดาลโทสะอันเกรี้ยวกราดของมันออกมาให้เห็นด้วยแรงระเบิดที่ทำลายล้างผู้คนให้ตำรวจได้เบี่ยงเบนความสนใจ มันจะได้เข้าไปช่วยเพื่อนของมันออกมาอย่างแน่นอน
หมวดคมสันต์ต้องรีบทำเวลาเสียแข่งกับระเบิดที่กำลังจะต้องทำให้มันหมดพิษสงลูกนี้
“เรามีเวลาไม่มากแล้ว ผู้หมวดคมสันต์ ไอ้อ้วนดำมันเริ่มสงสัยเรื่องเพื่อนของมันแล้ว”
“ขอเวลาคิดหน่อย ขอเวลาอีกหน่อย หากเราทำสำเร็จ นั่นก็หมายถึงระเบิดลูกอื่น ๆ ด้วย มันคงไม่ได้ทำอะไรให้ซับซ้อนเอาไว้เพราะพวกมันคงคิดไม่ถึงว่าจะมีใครรู้เรื่องที่มันทำ” ผู้หมวดคมสันต์พูดไปค่อย ๆ ไล่สายไฟไปทีละเส้น
หยดเหงื่อเริ่มมีให้เห็นบนใบหน้า โดยเฉพาะที่หน้าผากมันไหลลงผ่านมาที่หัวตาลงมาเป็นทาง
ทำให้ดูเหมือนว่าโจ๊กเกอร์กำลังร้องไห้ สีเริ่มเลอะเปื้อนเป็นทางตามรอยเหงื่อผุดและทางเหงื่อไหล
อากาศที่ว่าหนาวแต่ตอนนี้ไม่ใช่สำหรับคนที่รอลุ้นว่าจะออกหัวหรือก้อย มันมีโอกาสแค่กระพริบตาเท่านั้น
“เจอแล้ว ไอ้เจ้าเส้นนี้นี่แหละที่จะหยุดทุกอย่างได้” ผู้หมวดคมสันต์พูดเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
พร้อมกับเกาก้นอีกครั้ง
หมวดคมสันต์กำลังจะตัดสายไฟเส้นนี้ด้วยท่าทางมั่นใจ
“แต้ แหว๊ด..แต้ แหว๊ด.แต้แหว๊ด...”
เสียงเรียกเข้ากวน ๆ จากโทรศัพท์ดังขึ้นมาจากเครื่องของหรั่ง
มันทำลายสมาธิของหมวดคมสันต์ให้ตกใจ ไม่ใช่หมวดคมสันต์คนเดียวเท่านั้น วิญญาณอื่นก็เช่นกัน
ทุกคนหยุดแล้วหันมาสนใจกับโทรศัพท์ของเจ้าหรั่ง
ใช่แล้วมันต้องเป็นการติดต่อของเจ้าเบิ้มที่นั่งสวาปามอยู่นั่นเป็นแน่
อารยะคิด คิด คิด อย่างหนักว่าจะวางแผนอย่างไรต่อไปกับเจ้าอ้วนตระกะนี่ดี บัดนั้นเขาตัดสินใจรับสายของผู้ก่อการร้ายตัวอ้วนคนนี้ซะ
“โหล..โหล..มึงอยู่ไหนวะ” เบิ้มตัวอ้วนไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่ปล่อยให้คอยเสียนาน
“อ เอ่อ โทษทีครับพี่ คือว่า โทรศัพท์เครื่องนี้หล่นอยู่ในห้องน้ำนะครับ พอดีผมเก็บได้ พี่เป็นเพื่อนเขาหรือเปล่าครับ” อารยะแกล้งทำเป็นพูดดี
“เออไอ้น้องเก็บมือถือของมันไว้ให้ด้วยนะ พี่อยู่ข้างนอกนี่เองเดี่ยวเข้าไปเอา ตอนนี้น้องอยู่ตรงไหนละ”
เบิ้มไม่ได้สงสัยอะไรเลย นอกจากเพื่อนของมันหายไปไหนถึงได้ลืมของสำคัญที่สุดในการทำงานเอาไว้
“ได้ครับพี่ พี่รีบมาเร็ว ๆ นะ ผมต้องรีบไปแล้ว” อารยะเร่งเบิ้มในขณะที่ตัวเองยังอยู่ใต้ถังเบียร์ยักษ์นี้อยู่เลย
“เออ เออ ก็ได้ รอเดี่ยวละกันนะไอ้น้อง” เบิ้มพูดจบคำก็ค่อย ๆ ย้ายก้นอุ้ยอ้ายขึ้นจากเก้าอี้ ดูท่าจะอิ่มแปล้เสียเอาการอยู่
“ทีนี้หมวดคงต้องรีบตัดไอ้สายไฟที่เลือกไว้ได้แล้วละ” อารยะเร่งให้มันจบ มันก็คือต้องเสี่ยงแบบไม่ได้มั่ว
“ตู้ม..ม”
ผู้หมวดคมสันต์ร้องตะโกนคำนี้ออกมาซะเสียงดังแล้วก็เกาหน้าเกาหัวจนตอนนี้หน้าเลอะเทอะไปหมดแล้ว
ดวงวิญญาณดวงอื่น ๆ ตกใจกันอีกครั้ง
“อีตาหมวดบ้า เดี่ยวแกก็ตายจริงหรอก” สมชายโวยก่อนคนแรก
“เล่นอะไรบ้า ๆ ขวัญหนีดีฝ่อหมด” ภาวิณีผู้ซึ่งไม่เคยพอใจอะไรรวมทั้งไม่มีอารมณ์ขัน
“ล้อเล่นน่า” หมวดคมสันต์ยังหัวเราะอยู่ไม่หาย
“ถ้าหมวดทำอีกครั้งนึง ชั้นจะกัดแกให้หูขาดเลยนะ” พจนีย์ไม่พอใจมากไม่รู้จะทำไงดี ก็อยู่ในร่างเดียวกันนี่
“เอาละ เราไม่มีเวลาล้อเล่นกันแล้ว” อารยะพูดเสียงอันซีเรียสอยู่บนใบหน้าของโจ๊กเกอร์ที่กำลังร้องไห้
อารยะรีบมุดออกมาจากใต้ถังเบียร์ อากาศข้างนอกปลอดโปร่งสบายกว่าใต้ถังเบียร์เยอะเลย
เขาต้องคิดอย่างเร็วว่าจะเลือกตามเจ้าเบิ้มอ้วนดำนั่นไป หรือ จะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามให้เร็วที่สุดเพื่อห้ามระเบิดลูกที่สองไว้ให้มันไม่สามารถทำงานได้ ก่อนที่เจ้าตัวอ้วนนั่นจะไปถึงห้องน้ำ อารยะตัดสินใจใช้แผนเดิมกับที่จัดการกับเจ้าผมทองเพื่อนของมัน
เขาหายใจลึก ๆ หนึ่งเฮือก แล้วทำท่าทางแบบตัวตลกปัญญาอ่อนโดยไม่รู้เลยว่าบนใบหน้าของเขาตอนนี้ไม่ใช่โจ๊กเกอร์อีกแล้ว
อารยะรีบรุดหน้าไปที่ห้องน้ำทันที เขาเดินแซงผ่านเบิ้มไป ด้วยชุดที่อารยะสวมใส่อย่างสะดุดตา
มันจึงหันมามอง อารยะหันกลับไปมองมันแล้วยิ้มทักทายให้
มันไม่ได้สงสัยอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากเรื่องเพื่อนของมันคือสิ่งที่มันกังวลยิ่งนัก
เขารีบเดินแซงมันไปอย่างรวดเร็วจนถึงห้องน้ำ
อารยะจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำแล้วไปตรวจดูที่ห้องที่เขาอัดเจ้าผมทองจนสลบไป
แต่ไม่พบกับสิ่งใดเลย มันว่างเปล่า ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน อารยะเลิกสนใจแล้วหันมาทำในสิ่งที่รอคอยอยู่ตรงหน้า เขาเดินกลับมารออยู่หน้าประตู อีกเพียงไม่นาน
อารยะกำลังจับจังหวะที่มันย่างก้าวเข้ามา อ่านใจของมันอ่านเข้าไปในหัวของมัน
“เฮ้ย ไอ้น้องมึงอยู่ตรงไหนวะ เนี่ยพี่อยู่หน้าห้องน้ำแล้ว” ผู้ร้ายตัวอ้วนโทรเข้ามาที่เครื่องของเพื่อนมันอีกครั้ง
ในขณะที่มันก้าวเท้าเข้ายังไม่ถึงหน้าน้องน้ำจริง ๆ อย่างที่มันพูด เบิ้มก้าวเท้ามาใกล้เรื่อย ๆ มันก็จ้องมาที่ประตูห้องน้ำชายด้วยเช่นกันว่าจะมีใครบ้างที่กำลังถือโทรศัพท์ของหรั่งอยู่
“ถือว่ามันก็ฉลาดเหมือนกัน เพราะมันต้องการมองมาจากระยะห่างที่พอเหมาะก่อนที่จะมาถึงที่หน้าประตูห้องน้ำ แสดงว่ามันก็ไม่ได้ไว้ใจใครง่าย ๆ เหมือนกัน นี่คงเป็นสันดานในอาชีพที่มันทำอยู่ หรือที่เรียกว่า ‘สันดานโจร’” อารยะนึกอยู่ในใจ
”มันคงต้องการจะมองจากที่ไกลว่าใครเป็นคนรับสายจากเครื่องของมันเป็นแน่” อารยะพูดขึ้นเหมือนกระซิบเบา ๆ ให้เพื่อนในร่างได้รู้
“โทษทีพี่ ผมปวดท้องเลยเข้ามาในห้องน้ำเนี่ย พี่เข้ามาเลยเดี่ยวผมส่งเครื่องให้”
อารยะล่อมันเข้ามาอยู่ในเกมของเขา ในขณะที่มันก้าวมาถึงที่หน้าประตู อารยะใช้แผนเดิมทันที
“ปั้ง” “ปึ้ง”
เสียงถีบประตูอย่างแรงดังเป็นเสียงแรกตามด้วยเสียงกระแทกเข้ากับท้องของมันอย่างแรงตามมาทันที
ดูเหมือนว่าแผนนี้จะใช้ครั้งที่สองไม่สำเร็จ
ผู้ร้ายตัวอ้วนกระเด็นหงายท้องล้มลงก้นจ้ำเบ้า โทรศัพท์มือถือกระเด็นหลุดจากมือ ในขณะที่มันยังจุกอยู่ มันมองมาที่อารยะทำหน้าตางง ๆ ประหลาดใจ
“แกเองรึ” คำเดียวที่มันพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่นี้เจ้าโจ๊กเกอร์ตัวนี้มันก็เดินผ่านหน้าไปแล้วยิ้มให้ทักทายกันด้วยซ้ำ
โจ๊กเกอร์กับใบหน้าอันเลอะเทอะ ตรงรี่เข้าไปหาเบิ้มอย่างรวดเร็วจนมันไม่อาจจะตั้งตัวได้ทัน
โจ๊กเกอร์เข้าชาร์จมันด้วยรองเท้าคู่ใหญ่ เขาเตะเข้าที่หัวของมันอย่างแรงเลยทีเดียว แต่นั่นแค่ทำให้มันได้มึน ๆ เท่านั้น
เบิ้มลงไปนอนแผ่อยู่พักหนึ่ง
จังหวะโอกาสมาถึงอีกแล้ว โจ๊กเกอร์วิ่งรี่ไปยังโทรศัพท์มือถือของเบิ้มที่ตกอยู่ มันคือระเบิดลูกที่สอง
แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยังฝั่งตรงข้ามนั่นคือห้างเกสรพลาซ่า อีกจุดที่มีการเฉลิมฉลองด้วยระเบิดของพวกมัน
อ้วนตัวเบิ้มกว่าจะลุกขึ้นได้ ต้องนั่งก่อนอยู่อีกพักหนึ่ง
ทันใดนั้นยามกำลังเดินเข้ามาหาเบิ้ม อาจจะเนื่องมาจากมีคนแจ้งไปก็เป็นได้
มันออกวิ่งเหยาะ ๆ เหมือนเดินมากกว่า เบิ้มไม่ได้เห็นยามอยู่ในสายตา มันเดินแหวกเข้าช่องตรงกลางระหว่างยามทั้งสอง จนยามกระเด็นไปคนละทาง จากนั้นมันก็ชักปืนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังภายใต้การปกปิดไว้ของเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ยาวปิดปกคลุมจนมองไม่เห็น
เบิ้มยกปืนชูขึ้นขู่ให้ยามเห็นในขณะที่เดินไปข้างหน้าไม่หันกลับมามองที่ยามเลย
ยามทั้งคู่หยุดชะงักทันที เพราะรู้ดีว่าตนเองมีแค่กระบองอันเล็กที่สะกิดมันได้เหมือนไม้จิ้มฟันเท่านั้น

เบิ้มมาหยุดหายใจแฮก ๆ ด้วยความเหนื่อยหอบอยู่ที่หน้าลานเบียร์ มองซ้ายมองขวาแต่ไร้วี่แววของโจ๊กเกอร์ มันจ้ำเดินงุ่นง่านแหวกฝูงชนกระเด็นไปจนเห็นรอยเป็นทางแหวกพงหญ้า
เบิ้มเดินไปด้วยความโมโหอย่างที่สุดไม่สนใจใครทั้งนั้นเหมือนช้างกำลังตกมัน เขาไม่ได้คิดจะตามหาโจ๊กเกอร์ที่ขโมยโทรศัพท์มือถือของมันไป แต่มันต้องการทำอย่างอื่นมากกว่า จนกระทั่งมันมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้โทรศัพท์สาธารณตรงป้ายรถเมล์
ทว่าตู้โทรศัพท์ที่มีอยู่จำนวนห้าตู้มีลูกค้าใช้บริการอยู่เต็มทุกตู้แถมบางตู้ยังมีคนรอต่อคิวอยู่อีกด้วย
เบิ้มที่กำลังตกมันไม่สนใจเรื่องมารยาทของผู้ดีอยู่แล้ว มันเดินไปเคาะที่ตู้โทรศัพท์ตู้แรกที่มีนักศึกษาชายคนหนึ่งกำลังโทรศัพท์อยู่
นักศึกษาชายคนที่อยู่ในตู้โทรศัพท์หันมามองแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร หันกลับไปจู๋จี๋กับแฟนของเขาต่อ
คราวนี้เจ้าเบิ้มตกมันจึงต้องใช้วิธีทุบตู้โทรศัพท์จนเสียงดังถึงสองสามครั้ง
“เฮ้ย หมอเวลาของมึงแล้ว กูจะโทร” เบิ้มตะคอกเสียงดัง แล้วเปิดประตูตู้โทรศัพท์อย่างแรง
เขาก้าวเข้าไปในตู้จนแน่นตู้เหมือนปลากระป๋อง มันเอามือยื่นไปกดปุ่มวางสายของโทรศัพท์ทันที
“มึงออกไปได้แล้ว ตากูมั่ง” เบิ้มยึดหูโทรศัพท์มาจากมือของนักศึกษาคนนั้น
นักศึกษากลัวมันมากแต่จำเป็นที่จะต้องเดินเบียดตัวออกมาจากช่องแคบ ๆ
เบิ้มเริ่มขั้นตอนการใช้โทรศัพท์สาธารณโดยที่ไม่ได้สังเกตบนหน้าจอดิจิตอลซึ่งแสดงข้อมูลให้ผู้ใช้ทราบว่า ‘สามารถใช้ได้เฉพาะเบอร์ฉุกเฉินเท่านั้น’
เบิ้มบันดาลโทสะอย่างแรง ทำให้ยิ่งเพิ่มอาการตกมันมากขึ้น มันวางหูโทรศัพท์กระแทกลงไปอย่างแรงแล้วทุบไปที่ตู้อย่างไม่ยั้งจนเสียงดัง
“เฮ้ย! เอาเหรียญกูคืนมา” ผู้ก่อการร้ายตัวอ้วนบันดาลโทสะมากขึ้นเพราะนั่นมันเป็นเหรียญสิบบาท
เหรียญเดียวที่มันมีเหลือติดกระเป๋าอยู่
เป็นเรื่องปกติของโทรศัพท์สาธารณอยู่แล้วที่มันจะเสียเอาดื้อ ๆ แล้วก็กินเงินเราไปแบบหน้าตาเฉย
เจ้าช้างตกมันไม่ใช่คนแรกที่เจอเข้ากับตัว
เบิ้มผลักประตูตู้โทรศัพท์ออกมาอย่างแรงจนแถบจะไปกระแทกโดนคนอื่นเข้า และเริ่มเกะกะละลานคนไปทั่ว
“เฮ้ย มึงมีเหรียญหรือเปล่าวะ เอามาให้กูเดี่ยวนี้” เบิ้มกร่างมากขึ้นกว่าเดิม
คนที่ยืนรอคิวที่ตู้ข้าง ๆ ถูกละลาน ด้วยความกลัวจึงต้องให้เหรียญที่มีทั้งหมดแล้วรีบเดินออกไปให้ห่างทันที
จากนั้นมันก็ใช้วิธีการเดิมกับตู้ที่ผ่านมาด้วยการเบียดเข้าไปในตู้ทั้งที่ยังมีผู้ใช้คนอื่นอยู่
“เฮ้ย! มึงออกไปได้แล้ว” เบิ้มแย่งหูโทรศัพท์จากผู้หญิงในตู้ ขณะที่ตนเองยืนอยู่ข้างนอก
“มึงวางสายได้แล้ว” เบิ้มตะโกนใส่ที่หูโทรศัพท์ แล้วเอื้อมมือเข้าไปวางหูโทรศัพท์บนเครื่อง
“ออกมาได้แล้ว อีแก่” เบิ้มหยาบคายร้ายอย่างสุดที่ใครจะทน
............................................................................................................................

อารยะกำลังอยู่กับระเบิดลูกที่สองไม่ไกลจากถังแก๊สที่ใช้ปรุงอาหารบนลานเบียร์ใกล้กับห้างเกสรพลาซ่านัก
หมวดคมสันต์ทำงานอย่างคล่องแคล่วขึ้น มันเป็นการประกอบระเบิดที่มีลักษณะเหมือน ๆ กันกับระเบิดลูกแรก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หมวดคมสันต์ประมาท เขาตรวจดูที่มาของสายไฟแต่ละเส้นอย่างระมัดระวังรอบคอบที่สุด เพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมันจะไม่มีโอกาสครั้งที่สองให้แก้ตัวได้เลย
ทุกคนในร่างของอารยะลุ้นระทึกอีกครั้ง แต่ผู้หมวดคมสันต์ลดความกดดันลงไปมาก
‘กึก’
เสียงคีมตัดสายไฟดังขึ้น..........เงียบสงบ....
“สำเร็จไปอีกลูก” หมวดคมสันต์พูดขึ้นพร้อมเกาที่หน้าสองสามครั้ง
“เยี่ยมมากผู้กอง” สาธิตกล่าวชมพร้อมเลื่อนตำแหน่งให้
“เฮ้ย แค่ผู้หมวดเท่านั้น” หมวดคมสันต์ทัก
“ก็นั่นไง ระเบิดนั่นไง ทำให้พี่เลื่อนขั้นเป็นผู้กอง ผมก็เลยเลื่อนยศให้แล้วนี่ไง”
สาธิตไม่ได้พูดผิดแต่แซวให้กำลังใจในความสามารถที่หมวดคมสันต์มี
“ขอบคุณมาก ผมสงสัยว่ามันจวนได้เวลาของผู้หมวดคมสันต์แล้วนะ ครั้งนี้คุณทำเพื่อคนอื่นจริง ๆ
คุณช่วยชีวิตคนจำนวนมากเอาไว้ ถึงแม้ว่าไม่มีใครจะรู้ แต่เราทุกคนรู้” อารยะรู้ว่าเขาจะอยู่กับเราอีกไม่นาน
หมวดคมสันต์ก็เริ่มรู้สึกเช่นนั้นซึ่งเขาสังเกตได้ว่าดวงวิญญาณของเขาเบาขึ้นมาก เวลาในร่างของอารยะเริ่มน้อยลงแล้ว
หมวดคมสันต์ หลุดออกมาจากร่างของอารยะ ร่องลอยไปเป็นดวงวิญญาณดวงน้อยสีทองพร้อมสะเก็ดดาวที่หายวับระยิบระยับไปในพริบตาพร้อมกับควันที่ค่อย ๆ จางหายไป
อารยะออกมาจากที่จุดนั้นแล้วรีบวิ่งไปยังเซ็นเตอร์ พอยน์อย่างรวดเร็ว เพื่อทำอะไรให้ทันก่อนระเบิดลูกที่สามจะระเบิดเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
“ใครบ้างที่วิ่งมาราธอนได้เร็วได้ทน ใครเป็นนักกีฬาบ้างช่วยผมหน่อย” อารยะขอความช่วยเหลือ
เขาเรียกอย่างนี้ว่ามีเพื่อนไว้ทำไม ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อน อารยะเพิ่มความเร็วในการวิ่งทรหดครั้งนี้ได้เร็วกว่าเดิม วิกผมฟูของโจ๊กเกอร์หลุดออกจากหัวของอารยะ ซึ่งก็ดีเขารำคาญอยู่กับเจ้าสิ่งนี้มามากพอแล้ว
อารยะหยิบจมูกลูกกลมใหญ่สีแดงที่ติดอยู่ที่จมูกขว้างทิ้งตามวิกผมไปด้วยเผื่อว่าใครอยากจะมาเก็บไปใช้ต่อได้
เขาหยุดลงที่บริเวณเซ็นเตอร์ พอยน์ รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองโทรไปหาบ๊วยทันที
“บ๊วย รับสายสิวะ” อารยะรำพึงรำพัน เมื่อสัญญาณเรียกสายว่างดังอยู่พักหนึ่ง
“ไง อารยะ นายอยู่ที่ไหน ? เสียงดังไปหน่อยฟังไม่ค่อยชัดเลยวะ”
“ก็อยู่ที่ เซ็นเตอร์ พอยน์นี่แหละ ข้ากำลังจะบอกกับนายว่าให้กันคนออกไปจากพื้นที่นี้ มันมีระเบิด”
“หา นายว่าอะไรนะ ฟังไม่รู้เรื่องเลยวะ”
“ที่นี่มีระเบิด” อารยะตะโกนเสียงดังแต่ใช้คำที่สั้นขึ้น
“หา ที่นี่ อะไร ระเบิดอะไร นะ”
“หรือว่านายกำลังบอกข้าว่า ที่นี่มีระเบิด ใช่หรือเปล่าวะ”
บ๊วยเรียบเรียงสิ่งที่ได้ยินบ้างและไม่ได้บ้างเสียใหม่
“ให้ทุกคนออกไปจากบริเวณนี้”
อารยะตะโกนสั่งเข้าในโทรศัพท์ของเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วตัดสายไป

สายเรียกโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องของเบิ้ม อารยะหยิบโทรศัพท์ของเบิ้มออกมาจากกระเป๋ากางเกง
ซึ่งถูกสวมทับไว้ภายใต้ชุดของโจ๊กเกอร์ เขากดรับสายทันที
“มึงเป็นใคร ? เพื่อนกูอยู่ที่ไหน ?” เบิ้มฉุนจัด
“ผมเป็นใครอย่ารู้เลย ส่วนเพื่อนของแกก็คงถูกยามจับส่งให้ตำรวจไปแล้วมั้ง”
อารยะยิ่งไปเร่งให้ไฟแค้นของเบิ้มทวีเพิ่มขึ้นไปอีก
“กูจะจุดระเบิดลูกที่เหลือ มึงไม่มีวันกู้ได้ทันหรอก แล้วมึงอย่าให้กูรู้ว่ามึงเป็นใคร มึงตายแน่ ๆ”
เบิ้มข่มขู่ไว้อย่างน่ากลัว แต่อารยะไม่ได้สะทกสะท้าน
อารยะกดปิดสายทันที แล้วรีบวิ่งไปที่ระเบิดลูกที่สามอย่างรีบที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิต
มันคือการแข่งกันระหว่างเบิ้มที่กำลังโทรศัพท์ไปหาเพื่อนเพื่อสั่งให้จุดชนวนระเบิดลูกที่เหลือกับอารยะที่กำลังไล่ล่าทำลายลูกระเบิด ใครจะไวกว่ากัน คนจุดระเบิด หรือ คนหยุดระเบิด
“ระเบิดลูกที่สาม มันอยู่กับต้นคริสมาสต์ต้นใหญ่สีขาวประดับด้วยไฟสวยงามกับของขวัญที่ติดตามกิ่งก้านและโคนต้นอีกจำนวนมาก ..อะ นั่นไง”
“ทีนี้ มันน่าจะเป็นกล่องที่มีน้ำหนักมากที่สุด มากกว่ากล่องของขวัญอื่น เพราะกล่องอื่น ๆ ต้องเป็นกล่องเปล่า”
อารยะคิดได้ถูกต้อง เพียงแต่กล่องไหนละ ในเวลาแบบนี้ ไม่มีเวลาให้มาหยิบกล่องเขย่าดูแล้ว
........................................................................................................................

“เฮ้ย ! ทำไมไม่รับสายสักทีวะ”
เบิ้มเครียดจัด ระหว่างที่รอให้พวกของมันรับสายอยู่อย่างร้อนรนโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาที่ตัวมันใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
“ไอ้บ้า มึงมัวทำอะไรกันอยู่วะ กูรอสายตั้งนาน” เบิ้มโทรไปหาแขกซึ่งอยู่กับเค
“เฮ้ยโทษทีวะ แถวนี้เสียงโคตรดังหนวกหูเลยวะ” แขกตะโกนใส่โทรศัพท์เสียงดัง
.....................................................................................................................................

ในระหว่างที่เจ้าเบิ้มโทรศัพท์อยู่นั้นอารยะหันไปสะดุดตาเข้ากับกล่องของขวัญที่ผูกติดอยู่กับลำต้น
อารยะต้องใช้มือเอื้อมแหวกกิ่งก้านใบของต้นคริสมาสต์เข้าไปข้างใน มันเป็นของขวัญที่ไม่น่าจะเป็นแค่กล่องเปล่าที่ใช้ประดับต้นคริสมาสต์ยักษ์ต้นนี้
..................................................................................................................................

“ไอ้หรั่งมันน่าจะถูกตำรวจจับไปแล้ว มีคนรู้เรื่องของเรา”
“ไอ้หรั่งโดนจับ ตายละมึง แล้วมึงจะเอาไง” แขกตกใจ
.......................................................................................................................................

มันไม่มีเวลาแล้ว ตอนนี้มันอาจะระเบิดคามือของอารยะเลยก็เป็นได้
“เอาไงดีพี่ หมวดคมสันต์ก็ไม่อยู่แล้ว” สาธิตพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นสับสน

อารยะหันซ้ายหันขวา ไปรอบ ๆ มองไปจนทั่วจนกระทั่ง.....
เขามองไปเห็นท่อระบายน้ำจึงรีบวิ่งเข้าหาทันที
อารยะก้มลงมองลงไปที่ท่อ
“แล้วนี่คุณจะทำอะไรกันแน่” อาทิตย์สงสัย
..........................................................................................................................

“จุดชนวนระเบิดได้เลยทันที ก่อนที่ไอ้นั่นมันจะเก็บเอาไปทิ้งซะ”
“แล้วระเบิดของมึงละไม่จัดการละ” แขกถามกลับ
“ป่านนี้มันคงจัดการตัดสายทิ้งไปทั้งสองลูกแล้ว” เบิ้มบอกให้เพื่อนรู้ว่าเขาทำงานล้มเหลว
“มันเป็นใครกันแน่วะ หรือว่าเกลือเป็นหนอน” แขกสงสัยว่าเป็นคนในหักหลัง
“กูไม่รู้วะ ตอนนี้มึงจุดระเบิดก่อนเวลาเลยละกัน เสร็จแล้วไปเจอกันที่จุดนัด”
เบิ้มวางหูโทรศัพท์แล้วหันกลับออกมาเห็นคนที่มันได้เคยขู่กรรโชกเอาไว้ กำลังเดินตรงเข้ามา นั่นไม่ได้ระคายเคืองเลยถ้าหากเจ้าทุกข์มาเพียงคนเดียว ตำรวจที่ติดตามมาด้วยอีกสองนายต่างหากที่ทำให้มันแหยง
ทว่ามันมันให้ใครจับไม่ได้เพราะมันก็อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกันกับตำรวจ
ตำรวจกำลังจ้องมองมาที่มันอย่างไม่ลดละ
เบิ้มเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่ายังไงต้องโดนแน่ อย่างน้อยที่สุดก็เรื่องเมาแล้วอาละวาด เพราะสภาพของมันตอนนี้เหมือนคนขี้เมาข้างถนนมากที่สุด
เบิ้มเอามือล้วงไปข้างหลังหยิบปืนขนาดจุดสามห้าเจ็ด ถือได้เหมาะมือของมันพอดี เบิ้มเล็งปืนไปที่ตำรวจที่อยู่ใกล้แค่สิบก้าวเท่านั้น ทำเอาตำรวจก็หยุดชะงักไปเหมือนกัน แล้วเบิ้มก็ถอยฉากหนีออกไปในฝูงชน
ตำรวจใช้วิทยุติดต่อสื่อสารไปยังจุดต่าง ๆ แจ้งรูปพรรณสัณฐานให้ทราบ เพื่อขอกำลังเสริม
แล้วจึงค่อยตามไปห่าง ๆ อย่างไม่ให้เบิ้มได้ทันรู้ตัว เพราะตำรวจก็รู้ดีเช่นกันว่าสถานการณ์ในลักษณะที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้คงต้องปล่อยให้มันไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
.................................................................................................................................................

“เฮ้เพื่อน ขอแรงทุกคน โดยเฉพาะ มีนา กับ อานนท์ ช่วยด้วยนะ ออกแรงเต็มที่เลย”
“นับหนึ่ง สอง สาม เอ้า ฮึบ..” อารยะคร่อมอยู่ข้าง ๆ ฝาท่อตะแกรงเหล็ก มือทั้งสองจับอยู่อย่างมั่นคง
ทุกคนในร่างกำลังออกแรงดึง ตอนนี้อารยะมีแรงมากขึ้นมากกว่าคนปกติหลายสิบเท่า
“สำเร็จแล้ว” “ฝาท่อเปิดออกแล้ว”
อารยะวางมันลงอีกที่ข้าง ๆ ท่อระบายน้ำนั้น
.....................................................................................................................................

ขณะเดียวกันกับที่เจ้าแขก กำลังเปิดข้อมูลเบอร์โทรในเครื่องเพื่อโทรไปจุดระเบิดที่ซ่อนอยู่ในกล่องของขวัญ
....................................................................................................................................

อารยะคว้ากล่องของขวัญที่วางอยู่บนพื้น แต่ไม่ทันแล้ว
“...!?!...”
“เฮ้ย! ของขวัญใครก็ไม่รู้วะ” กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาแล้วหยิบมันขึ้นมาก่อนที่อารยะจะคว้าไว้ได้ทัน
อารยะรีบตามไปคว้ากล่องของขวัญคืนจากมือของเด็กวัยรุ่นคนนั้นทันที
...................................................................................................................................

“New World” แขกเจอเบอร์ระเบิดเข้าให้แล้ว และ มันก็กำลังจะกดปุ่มโทรออกไปที่กล่องของขวัญในมือของอารยะ
.....................................................................................................................................

อารยะนอนหมอบคว่ำลงไปที่พื้น ในขณะที่ถือกล่องระเบิดเอาไว้ในมือ เขาขว้างมันเข้าไปในท่อระบายน้ำให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ กล่องของขวัญหายเข้าไปในความมืดมิดของท่อน้ำทิ้งแล้วรีบลุกขึ้นกระโดดไปจับเจ้าวัยรุ่นที่กำลังงงกับการกระทำของอารยะ
อารยะทั้งผลักทั้งกดหัวของวัยรุ่นคนนั้นลงหมอบตรงจุดอื่นที่ไกลขึ้นกว่าเดิมเพียงไม่กี่เมตร
...............................................................................................................................

บัดนี้แขกกดปุ่มโทรออกไปเรียบร้อยแล้ว สัญญาณกำลังถูกส่งไปที่ดาวเทียมที่อยู่นอกโลก
แล้วถูกส่งสัญญาณกลับมาที่โทรศัพท์มือถือที่ผูกติดเป็นตัวจุดชนวนระเบิด ด้วยความเร็วแสง
.........................................................................................................................................

เพียงเสี้ยววินาทีมันก็ระเบิดขึ้นเป็นเปลวไฟพวยพุ่งสูงขึ้นมาจากปากท่อที่อารยะเปิดทิ้งเอาไว้
แรงระเบิดเกิดเสียงดัง และมันดังกว่าเสียงของเครื่องกระจายเสียงภายในงานนั้นเสียอีก
ทุกคนหยุดการกระทำทุกอย่าง แล้วหันมาต้นเหตุของเสียงระเบิดนั่น
บริเวณที่ถูกระเบิดได้รับความเสียหายส่งผลให้พื้นข้างบนพังยุบตัวลงไปปิดทางน้ำเสียของท่อระบายน้ำมองจากด้านบนพื้นถนนมันกลายเป็นพื้นแตกร้าวเป็นก้อน ๆ ทรุดลงไปขนาดความกว้างเท่ากับความยาวของรถเมล์หนึ่งคัน
อารยะไม่ได้สนใจใคร ๆ ที่ต่างก็พุ่งเป้ามองมาที่ตน เขารีบวิ่งต่อไปทำหน้าที่สุดท้ายในวันนี้ทันที
โดยที่ไม่ทันได้สนใจรู้เลยว่าเพื่อนสนิทของเขากำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องจริงมหัศจรรย์นี้อยู่ และมีอารยะเป็นตัวเอกในท้องเรื่อง

อารยะวิ่งจากเซ็นเตอร์ พอยน์ ไป สยาม พารากอนทันที
ระเบิดลูกที่สี่ ผูกชะตาไว้กับโทรศัพท์ของเค
เคกดโทรออกไปที่โทรศัพท์มือถือเพื่อจุดระเบิดลูกที่สี่
และนั่นทำให้อารยะทันได้เห็นเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นก่อนเวลาเคาท์ดาวน์ครึ่งชั่วโมง
แสงไฟสว่างวาบเข้ามาที่ใบหน้าของอารยะ ตามมาด้วยแรงระเบิดมหาศาล และ เสียงกัมปนาทดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
มันทำให้เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งและรู้สึกเป็นความรับผิดชอบของตนเองที่ทำงานนี้ไม่สำเร็จ
ความรู้สึกเจ็บปวดแสนทรมานแล่นปราบเข้ามาที่จิตใจของเขา
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนขาดใจในทันทีของคนหลายคนที่บริเวณสยามพารากอน
มันทำให้อารยะถึงกับน้ำตาคลอเบ้าแทบล้มทั้งยืน
งานฉลองสนองอารมณ์ของกลุ่มผู้ก่อการร้ายเริ่มขึ้นบนความทุกข์ของเหล่าผู้บริสุทธิ์

งานฉลองวันปีใหม่เลือดเกิดขึ้นจนได้


Create Date : 14 พฤษภาคม 2551
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 15:31:07 น. 0 comments
Counter : 346 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.