จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
The Stand Inner (The Wind of Angel) ส่วนที่ 2 ตอนที่ 15. เดินทางสู่ความวุ่นวาย

“เรียบร้อยแล้วคะ กรุณาตรวจสอบความถูกต้องด้วยนะคะ”
ทันทีที่อารยะหันกลับมาไฟในธนาคารก็ดับลง เพียงในเวลาอันสั้นไฟฉุกเฉินในธนาคารก็สว่างขึ้น
มันเป็นแค่แสงสว่างสลัวสีส้มเท่านั้น
“เข้ามาได้แล้ว” อารยะได้ยินเสียงนี้จากที่มุมไหนสักแห่งภายในธนาคาร
ทันใดนั้นก็มีผู้ชายหน้าตาหน้ากลัวและมีผิวคล้ำทั้งหมดจำนวน 4 คน ทุกคนไว้หนวดและเครา สวมแว่นกันแดดสีดำสวมเครื่องแต่งกายในชุดซาฟารีเหมือนกันหมด ในมือถือปืนกันคนละกระบอก พร้อมกับถือกระเป๋าใบใหญ่สีดำเข้ามาด้วย
ผู้ร้ายทั้งสี่เดินแยกกระจายกันไปสี่จุดคลุมพื้นที่ หนึ่งในนั้นรูปร่างสันทัดจมูกโด่ง ผมยาวย้อมผมเป็นสีทอง เดินไปที่ยามอย่างนิ่งสงบ เขามีชื่อว่า ‘หรั่ง’
ในขณะที่ยามเองก็เห็นภาพตรงหน้าอย่างสะทกสะท้านกลัว
‘เปรี้ยง’
เสียงปืนดังขึ้นจนหูแทบแตก
เจ้าหรั่งยิงปืนเข้าใส่ยามในระยะเผาขนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างที่ไม่ได้ให้โอกาสเขาเลย
เสียงปืนดังขึ้นพร้อม ๆ กับร่างของตำรวจที่ประจำการอยู่ในธนาคารนายหนึ่งหล่นตุบฟุบลงไปที่พื้นในลักษณะหน้าคว่ำ
“เรียบร้อย พวกมึงขนเงินให้เกลี้ยง” บุคคลลึกลับคนที่ 5 ปรากฏตัวด้วยใบหน้าคมเข้มผิวขาวผมหยิกไว้หนวดเคราและใส่แว่นสายตาสีชา แต่งตัวสุภาพภูมิฐานเหมือนนักธุรกิจ กำลังเดินข้ามร่างของตำรวจที่เพิ่งจะฟุบลงไปกองที่พื้นเพราะมีดที่ถูกเสียบจากด้านหลังเข้าตัดที่ขั้วหัวใจพอดี เขามีชื่อว่า ‘เค’
เสียงร้องฮือและความโกลาหลของลูกค้าจำนวนมากวิ่งไปวิ่งมาเหมือนแมลงสาบถูกยาฆ่าแมลง
“เฮ้ย ! เงียบกูสั่งให้พวกมึงหมอบลงเดี่ยวนี้ ใครเงยหน้าโผล่หัวขึ้นมากูจะยิ่งหัวแหว่ง” ผู้ร้ายอีกคนหนึ่งร่างอ้วน มีไฝอยู่ใต้แก้มไปทางท้ายใบหูข้างขวากำลังตะโกนแผดเสียงทุ้มใหญ่ เขาชื่อ ‘เบิ้ม’

อารยะอยู่ในจุดที่ใกล้กับด้านหน้าเคาน์เตอร์ธนาคารและรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่กำลังเปลี่ยนเป็นความหนาวเย็นมันค่อย ๆ คืบคลานเข้ากินร่างของยามที่นอนอยู่ที่หน้าประตู ความเจ็บปวดของอารยะก่อเกิดขึ้นอีกครั้งที่เห็นคนกำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตา อย่างที่ไม่สามารถจะเข้าไปช่วยอะไรได้ แม้แต่จะเคลื่อนย้ายตัวเองไปหายามคนนั้น
เหตุการณ์มันรวดเร็วมากจนไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ผู้ร้ายมีอาวุธครบมือและความสามารถของอารยะก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเอาชนะลูกกระสุนได้
“ใช่แล้วคนที่ 5 เขาเข้ามาแฝงตัวปะปนอยู่กับลูกค้าที่มาติดต่อธนาคารแห่งนี้ คือคนที่คอยประกบตำรวจนายนี้โดยเฉพาะและคอยสังเกตการณ์รายงานออกไปให้พรรคพวกได้ล่วงรู้เวลาที่เหมาะสมภายในธนาคารแห่งนี้” อารยะนึกอยู่ในใจ
หลังจากทุกอย่างสงบลง ผู้ร้ายจำนวน 3 คนวิ่งเข้าไปในส่วนพื้นที่สงวนไว้เฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่เท่านั้น
‘เฉพาะเจ้าหน้าที่ ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต’
ดูเหมือนพวกกลุ่มผู้ร้ายพวกนี้คงอ่อนภาษาไทยจึงไม่สนใจคำในป้ายที่บอกห้าม มันช่างไร้มารยาทเสียนี่กระไร
หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะระมัดระวังกระเป๋าเป็นพิเศษเหมือนข้างในมีไข่ไก่อยู่เต็มกระเป๋า รูปร่างหน้าตาผอมแห้งมีสิวขึ้นที่หน้าอยู่ทั่วไป มีรอยสักที่แขนซ้ายเป็นรูปอะไรบางอย่างเหมือนตัวอักษรหรือภาษาอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่สัญลักษณ์ที่พบเห็นในประเทศไทย เขามีชื่อว่า ‘ปลิว’
ส่วนอีกสองคนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูเซฟขนาดใหญ่ของห้องเก็บเงิน คนหนึ่งก็คือหรั่งที่ยิงยามจนได้รับบาดเจ็บ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นรูปร่างท้วมสูงใหญ่ ที่แขนข้างซ้ายเห็นรอยสักรูปลักษณะเดียวกับที่อยู่บนแขนข้างซ้ายของปลิว เขามีชื่อว่า ‘อาล’
ปลิวมาหยุดอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์ที่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘กรุณาใช้บริการช่องถัดไป’
แต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่ค่อยเข้าใจกระมัง
ปลิวเอากระเป๋าดำใบใหญ่ที่ถือมาด้วยอย่างทะนุถนอมวางบนโต๊ะ แล้วหยิบกล่องอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าซึ่งห่อไว้ด้วยกระดาษห่อของขวัญที่สวยงามผูกโบว์เอาไว้เป็นอย่างดี มันทำอย่างค่อย ๆ ระมัดระวังช้า ๆ แล้ววางลงไว้บนโต๊ะทำงานหลังเคาน์เตอร์นั่น มันคงไม่ใช่ช่วงคืนกำไรของเหล่าผู้ร้ายกลุ่มนี้เป็นแน่
“เฮ้ย ! มึงรีบเก็บเงินใส่กระเป๋าให้หมด” ปลิวแผดเสียงเล็ก ๆ แหลม ๆ ด้วยเสียงดัง สำเนียงเหมือนพูดไทยไม่ชัด พร้อมกับโยนกระเป๋าสีดำใบใหญ่ให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่นั่งบริการประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์
เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนั้นตกใจกลัวเก็บเงินไปมือก็สั่นระริกไปด้วย
“เอ้า.! มึงช่วยมันเก็บหน่อยเดะ เฉยอยู่ทำไมวะ” ปลิวตะคอกใส่เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งที่ก้มหน้าหมอบลงอยู่ข้าง ๆ
ปลิวดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย นอกจากนั้นยังต้องไปฝึกการพูดจากับสุภาพสตรีเสียใหม่
เบิ้ม กับ เค ยังยืนคุมเชิงอยู่ตรงพื้นที่บริเวณส่วนของลูกค้าซึ่งทุกคนยังหมอบกันอยู่บนพื้น
“ใครเป็นผู้จัดการสาขา ไปเปิดเซฟเดี่ยวนี้” หรั่งยืนตะโกนอยู่หน้าตู้เซฟ
ด้วยความกลัวผู้จัดการสาขาจึงปรากฏตัวออกมาด้วยท่าทางสั่นเทิ้มอย่างสุด ๆ
“ผ..ผ.ผม..ม..เ..เอง..ง..ค..ค.รับ” ผู้จัดการธนาคารพูดเหมือนคนติดอ่างขึ้นมาฉับพลัน
“งั้นมึงเปิดประตูเซฟเดี่ยวนี้” หรั่งออกคำสั่งเสียงดัง
“ป..เปิด..ด..ไ..ไม่ไ.ด้..ค.รับ” ผู้จัดการสาขาไม่ได้ตั้งใจจะท้าทายแค่พูดความจริง
“ทำไมมึงจะเปิดไม่ได้หา ? มึงจะมีปัญหากับกูงั้นเหรอ” หรั่งเริ่มไม่พอใจพร้อมกับเอาปืนตบที่หน้าเบา ๆ
“ค..คือ..ว่า.า ต้อง อ ใช้ คน น.อีก ก สอ สองคนค..รับ”
“งั้นไปเรียกมันมาเดี่ยวนี้” หรั่งใช้มือที่ถือปืนอยู่โบกไล่ด้วยเสียงกรรโชกดัง ในขณะที่อาลยังยืนถือปืนหันไปหันมาคุมเชิงอยู่อยู่ข้าง ๆ หรั่ง
เจ้าหน้าที่สองคนไม่ต้องรอให้ผู้จัดการเดินมาหา ทั้งคู่ลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินเข้าไปที่หน้าตู้เซฟ
พร้อมกับถือกุญแจคนละดอก ทั้งคู่นำกุญแจไปเสียบที่ช่องของมันซึ่งอยู่หน้าประตูเซฟแล้วหมุน ส่วนผู้จัดการสาขาเดินเข้าไปเสียบกุญแจอีกดอกสุดท้ายเข้าช่องของมัน แล้วกดรหัสผ่าน จากนั้นผู้จัดการสาขาจึงใช้มือทั้งคู่จับที่เปิดซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพวงมาลัยรถยนต์ แต่มันถูกยึดไว้กับประตูเหล็กกล้าขนาดใหญ่และหนามาก ๆ
ผู้จัดการสาขาหมุนมันเบา ๆ แล้วเปิดประตูออกอย่างช้า ๆ
“พวกมึงทั้งหมดเอากระเป๋าเข้าไปใส่เงินให้หมดยกเว้นเหรียญ” หรั่งสั่งเหมือนคำราม
อารยะทำอะไรไม่ได้เลย เสี่ยงมากสำหรับการที่จะต้องพ่ายแพ้และเกิดอันตรายขึ้นกับลูกค้าคนอื่น ๆ อีกด้วย เขาทำได้เพียงอย่างเดียวเท่านั่นคือเก็บข้อมูลจากในหัวของผู้ร้ายทุกคนให้มากที่สุด
อารยะรู้แล้วว่าความเดือดร้อนในวันนี้จะไม่ใช่ความเดือดร้อนเพียงวันเดียว มันจะมีอีกหลายครั้งต่อเนื่องกันไป สำหรับเงินที่พวกมันได้ไปจะถูกนำไปใช้เพื่อก่อการร้ายอีกครั้ง หากการเงินเริ่มฝืดเคืองก็จะกลับมาปล้นธนาคารแบบนี้อีก โดยมีผู้มีอิทธิพลในระดับท้องถิ่นและระดับชาติซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มคอยให้การสนับสนุนและให้ข้อมูล นอกจากนั้นยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรผู้ก่อการร้ายในต่างประเทศอีกด้วย
ส่วนเหตุผลที่มันกระทำนั้นไม่ได้มาจากเรื่องศาสนาแต่พวกมันดึงเอามาเป็นประเด็นที่สามารถก่อสร้างอารมณ์คนได้มากที่สุดเพื่อสร้างให้เกิดแนวร่วมในการใช้เป็นเครื่องมือไปสู่ความสำเร็จให้กับพวกมัน
สำหรับตอนนี้หากพวกมันทำงานสำเร็จมันจะกลับฐานที่มั่นเพื่อกบดานอีกระยะก่อนจะออกทำการก่อกวนใหม่อีกครั้ง
สถานที่กบดานนั้นยังไม่สามารถรู้ได้ชัดเจนว่าเป็นที่ไหน เห็นแต่ว่าเป็นสวนเป็นทุ่งแห่งหนึ่งที่ไกลออกไปจากที่นี่มาก ซึ่งน่าจะอยู่ในปริมณฑลที่ไหนสักแห่ง และระหว่างทางกลับฐานที่มั่น พวกมันจะเปลี่ยนถ่ายรถ และแยกกระจายกันทุกจุดเพื่อไปยังที่นัดหมายในกำหนดที่วางแผนเอาไว้ เพื่อเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือยุทโธปกรณ์อาวุธสงครามต่าง ๆ เพื่อก่อการร้ายในหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทย
อารยะรับรู้ได้ว่ากำลังมีลูกค้าธนาคารคนหนึ่งกำลังแอบใช้โทรศัพท์มือถือกดออกไปติดต่อกับภายนอก มีเจ้าหน้าที่ธนาคารที่อยู่หลังเคาน์เตอร์อีกคนหนึ่งกำลังใช้เท้าเอื้อมไปเหยียบสัญญาณเตือนภัย
แต่สิ่งที่คนทั้งคู่ทำอยู่นั้นไม่เป็นผล นอกจากนั้นเขาสัมผัสได้ว่าพวกมันยังมีปะปนอยู่ในนี้อีกหนึ่งคน
ปนอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่กำลังหมอบคว่ำหน้าอยู่แต่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ มันจึงต้องใช้คนปลอมปนในฝูงชนเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเอง เผื่อว่าต้องจับตัวประกันตัวปลอมคนนี้ไปด้วยเมื่อจนตรอกแก่ตำรวจ มันมีการเตรียมการวางแผนมาอย่างดีเยี่ยม ก่อนจะลงมือ ไม่ใช่โจรกระจอก ๆ แน่” อารยะนึกอยู่ในใจ
ผู้ร้ายคนหนึ่งเหลือบมาเห็นลูกค้าที่กำลังพยายามโทรศัพท์ติดต่อออกไปภายนอกคนนั้น
“มึงจะทำอะไร ?” “กูให้มึงโทร เอ้า ! โทรไป มึงหยุดนะ ไม่งั้นกูยิงมึงแน่” เบิ้มพูดจบก็หัวเราะเสียงดังน่ากลัว
ทำให้อารยะล่วงรู้ความคิดของเจ้าเบิ้มว่า พวกมันมีพรรคพวกที่คอยส่งคลื่นสัญญาณรบกวนกำลังแรงสูงออกมา นอกจากนั้นไฟฟ้าและโทรศัพท์ รวมทั้งสัญญาณเตือนภัยขอความช่วยเหลือทั้งหมดเป็นฝีมือของพวกมันนั่นเอง
.............................................................................................................................................
ที่สถานีตำรวจท้องที่เขตบางนา
ที่นี่ไม่รู้เรื่องการกดสัญญาณเตือนขอความช่วยเหลือจากทางธนาคาร
นอกจากนั้นทางสถานีตำรวจบางนาเองก็ประสบกับปัญหาขึ้นกับยานพาหนะที่ใช้ไล่ล่าโจร
“มอเตอร์ไซค์ทุกคันที่ ส.น. พังหมดทุกคัน ไม่เว้นแม้แต่รถยนต์นั่งของตำรวจ ยางทั้งสี่ล้อถูกเจาะขาดทุกเส้น ทำให้ที่สถานีตำรวจแห่งนี้อาจจะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานส่วนหนึ่งเพื่อจะได้ช่วยกันซ่อมแซมรถทั้งหมด นอกจากนั้นยังพบว่าโทรศัพท์ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เนื่องจากสายโทรศัพท์อาจถูกตัดขาดจากที่ใดที่หนึ่ง มันเป็นการกระทำที่ท้าทายที่หมิ่นศักดิ์ศรีของตำรวจไทยเป็นอย่างยิ่ง หากนี่เป็นการกระทำของน้ำมือของกลุ่มโจรเพื่อการแก้แค้น หรือไม่ก็ความขัดแย้งเรื่องส่วนตัวของนายตำรวจบางคน...ลือชัยถ่ายภาพ กาญจนารายงานข่าวสด ๆ จากหน้าสถานีตำรวจ บางนา” สถานีโทรทัศน์หลายช่องกำลังทำข่าวกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้ว่าเลยว่าที่ ๆ ควรจะไปทำข่าวอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 11 กิโลเมตรเท่านั้น
“รีบไปกันได้แล้วพวกมึง” เคตะโกนบอกพรรคพวกก่อนที่จะยกแขนซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกา
“เอ้าเร็ว เดี่ยวก็ระเบิดตายห่ากันหมดหรอก” เบิ้มตะโกนใส่เพื่อน ๆ
ปลิวได้เงินหมดเคาน์เตอร์แล้ว โยนกระเป๋าดำข้ามมาลงที่พื้นบริเวณเดียวกับที่ลูกค้าคนหนึ่งนอนหมอบอยู่ แล้วจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเพื่อนที่ยืนคุมอยู่หน้าตู้เซฟขนเงินต่อ
ชายคนหนึ่งนอนหมอบปะปนอยู่กับลูกค้าคนอื่น ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างไม่สะทกสะท้านเกรงกลัวกลุ่มก่อการร้ายที่จะยิงปืนเข้าใส่ ไม่มีใครรู้ความจริงนอกจากอารยะ
เขามีชื่อว่า ‘เด’ หน้าตาของเขาคล้ายกับแขกฝรั่งมากกว่าคนไทย สวมใส่แว่นสีดำ ร่างท้วมผิวขาวไม่สูงแต่ไม่อ้วนแค่พอท้วม เดินไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาหน้าตาเฉย แล้วสะกิดผู้หญิงคนหนึ่งด้วยเท้า
“ลุกขึ้น เอาเงินในกระเป๋าออกมาเดี๋ยวนี้” เดผู้ร้ายแขกขาวพูดไทยสำเนียงไม่ชัดรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เอาเงินมาอีกเยอะเลยทีเดียว
ด้วยความกลัวตายเธอจึงลุกขึ้นนั่งแล้วรีบส่งให้ด้วยดี
เด เอาปืนโบกให้เบิ้มมาหยิบเอากระเป๋าถือไปจากผู้หญิงคนนี้ แล้วก็เดินละออกมาจัดการเรียกเก็บเงินจากคนอื่นต่อ
เขาเดินข้ามลูกค้าคนแล้วคนเล่าจนมาถึง ผู้ชายคนหนึ่งที่นอนหมอบคว่ำหน้าอยู่แล้วใช้เท้าสะกิดอย่างไม่สุภาพ
“ชั้นขอเงินแกไว้ใช้เป็นทุนหน่อยได้ไหม” เดพูดอย่างนุ่มนวลแต่สำเนียงก็ยังไม่ชัดอยู่ดี
คราวนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ง่ายอย่างผู้หญิงคนแรก
“ได้ เมื่อไม่ให้ ชั้นจะให้แกแทน” เด พูดจบ แล้วจึงเหนี่ยวไกปืนใส่ผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นในระยะเผาขนที่กลางหน้าผาก
ถึงเจ้าของไม่ให้ มันก็ต้องได้ไปอยู่ดี
“ชั้นขออย่างสุภาพแล้วนะ ขอดี ๆ แล้วไม่ให้ดี ๆ ก็ต้องได้ดีสินะ” เดก้มลงเก็บกระเป๋าของชายที่เป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายบนความโหด ในขณะที่เบิ้มยังคอยเดินตามคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ
ดูเหมือนว่าหัวหน้าชุดกลุ่มผู้ก่อการร้ายปล้นธนาคารกลุ่มนี้น่าจะเป็นเจ้าแขกขาวที่ชื่อ ‘เด’ คนนี้
มันเดินไปหยุดรออยู่ที่หน้าประตูทางออกพร้อมปืนที่คอยแกว่งไปมาเหมือนเข็มทิศส่องหาผู้ที่ยังขัดขืน
“เอาละ พอแค่นี้แล้ว พวกมึงทุกคนไปกันได้แล้ว” เดเหลือบไปดูเวลาที่ข้างฝาผนังธนาคารพร้อมพูดขึ้นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกไปก่อนใคร ๆ แล้วตามด้วยผู้ร้ายอีก 3 คนที่เพิ่งออกมาจากหน้าตู้เซฟ วิ่งตามออกไปจากอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่เพียงกล่องของขวัญเป็นอภินันทนาการเอาไว้ให้แก่ทุกคนในที่แห่งนั้น
เหมือนตั้งใจให้คนทุกคนที่ร่วมในชะตาเดียวกันได้รับเป็นของกำนัล
เบิ้มและเค เดินมาคุมเชิงอยู่ที่หน้าประตูทางออกแล้วส่ายปืนไปทั่วธนาคาร
เหมือนว่าจะมองหาอะไรบางอย่างที่ลืมไว้ แต่ไม่ใช่
พวกมันทั้งคู่เดินออกไปจากประตูตรงนั้น เบิ้มยังคงถือปืนคุมเชิงแล้วปล่อยให้เคเอาโซ่มาคล้องล็อคด้วยแม่กุญแจ จากนั้นจึงดึงประตูม่านเหล็กบานใหญ่ชักลงมาปิดเหมือนว่าธนาคารปิดทำการทั่ว ๆ ไป
มันวิ่งลงบันไดไปอย่างเร่งรีบ ตามด้วยพวกมันอีก 1 คนที่ปลอมตัวเป็นตำรวจคอยยืนคุมอยู่ที่หน้าธนาคารตรงบันไดทางลง พร้อมฉากเหล็กกันทางไว้ ไม่ให้ลูกค้าเข้ามาติดต่อภายในได้อีก
ตอนนี้หน้าธนาคารมีรถจอดอยู่ห้าหกคัน และในนั้นมีรถไว้คอยพาหนีของพวกมันรวมอยู่ด้วย
ผู้ร้ายชุดสุดท้ายรีบวิ่งขึ้นรถตู้คันหนึ่งที่จอดรออยู่หน้าธนาคาร ในขณะที่พวกที่ออกมาจากธนาคารชุดแรกรออยู่บนรถตู้คันแรกเรียบร้อยแล้ว
รถตู้ของพวกมันทั้งสองคันพุ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงรถกระบะคันสีส้มที่มีโลโก้การสื่อสาร
รถบรรทุกสีส้มคันใหญ่ของการไฟฟ้า รถตู้โมบายส่งสัญญาณ สุดท้ายเป็นรถคันเก่า ๆ ของใครก็ไม่รู้อีกหนึ่งคัน ซึ่งคันหลังนี้น่าจะเป็นรถลูกค้าธนาคารที่มาจอดทิ้งไว้เพราะที่จอดรถใต้ธนาคารเต็ม
รถเหล่านี้น่าจะถูกแอบนำออกมาปฏิบัติงานเฉพาะกิจในครั้งนี้ และทั้งหมดนี่แหละที่เป็นตัวก่อกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือตัดทำลายสายโทรศัพท์ทั่วทั้งหมดในบริเวณพื้นที่นี้ รวมทั้งตัดไฟในเขตนี้ทั้งหมด
ย้อนกลับมาในธนาคาร หลังจากที่ประตูเหล็กถูกชักปิดลง ทุกคนในธนาคารลุกขึ้นยืนอยู่ภายใต้แสงไฟสำรองของธนาคาร
“ใครก็ได้โทรติดต่อตำรวจ กับ รถพยาบาลด่วนเดี่ยวนี้” อารยะรีบลุกขึ้นพร้อมขอความร่วมมือจากคนข้างในธนาคารซึ่งกำลังติดอยู่ด้วยกันในห้องกว้าง ๆ กับลูกระเบิดที่ผูกชะตาชีวิตของทุกคนในนี้ให้เป็นเรื่องเดียวกัน ดูเหมือนความพยายามที่จะช่วยกันโทรศัพท์ออกไปจะไม่เป็นผล มันยังไม่สามารถโทรออกไปได้
เพราะสัญญาณรบกวนยังถูกเปิดทิ้งไว้จากภายนอกธนาคาร มันทำให้ระบบของโทรศัพท์มือถือล่ม ตอนนี้มันจึงเป็นได้แค่ก้อนหิน
อารยะอยากจะช่วยยามคนนี้เหลือเกินเพราะเขาจับพลังชีพของยามคนนี้ได้แต่มันก็อ่อนแอมากเหลือเกิน อย่างไรนั่นก็ยังหมายถึงว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ไม่มีเวลาแล้วเขาตั้งใจว่าหลังจากกู้วิกฤตระเบิดนี้ได้ จึงจะกลับมาช่วยยามคนนี้
หวังเพียงว่าเขาจะมีพลังชีวิตเพียงพอที่จะอยู่ต่อให้เขาได้มีโอกาสพอที่จะได้ช่วย
อารยะวิ่งไปที่กล่องของขวัญ รีบหยิบมันขึ้นมา
จริงอย่างที่เขาได้รู้มาจากเจ้ากลุ่มผู้ร้ายว่ามันคืออะไร
หลังจากที่พวกมันไปแล้วจะเหลือเวลาให้พวกเราได้หนีตายอีกแค่เพียง 15 นาทีเท่านั้นระเบิดก็จะทำงาน
ตอนนี้เหลืออีกเพียงแค่ 5 นาที
“เฮ้ย ! ไอ้น้องใจเย็นให้พี่ช่วยกู้ระเบิดให้เอามั๊ย” “พี่อยู่หน่วยรบพิเศษชื่อผู้หมวดคมสันต์ ผ่านการเก็บกู้วัตถุระเบิดมาแล้วมากมาย” ผู้หมวดคมสันต์แนะนำตัวพร้อมเล่าสรรพคุณจากงานทีเคยผ่านมา
อารยะรู้จักเขาในฐานะที่เป็นคนทำระเบิดให้กับกลุ่มนักการเมืองและนายทหารระดับสูงที่เสียผลประโยชน์
เขาตกเป็นเครื่องมือในการฆ่าคนบริสุทธิ์โดยใช้ประชาชนเป็นอำนาจต่อรอง ส่วนรายวันเขาคุมบ่อนและเรียกเก็บค่าคุ้มครอง
“ไม่ทันแล้วละครับ ขอเป็นครั้งหน้าละกันครับพี่” อารยะพูดกับหมวดคมสันต์ที่อยู่ในร่างของเขา
“แล้วน้องจะทำอะไรกับไอ้ระเบิดกล่องนี้” ผู้หมวดคมสันต์เป็นห่วงกลัวว่ามันจะระเบิดขึ้นมา
อารยะไม่ได้ตอบอะไร รีบวิ่งไปหาผู้จัดการธนาคาร
“ผู้จัดการครับ กรุณาตามผมมาด้วยครับ” อารยะไม่มีเวลาจะเล่าแล้ว
อารยะถือกล่องด้วยมือทั้งสองวิ่งตรงเข้าไปในตู้เซฟของธนาคารที่ยังเปิดอ้าอยู่
ข้างในห้องว่างเปล่าเหลือแต่เพียงเงินเหรียญเท่านั้นที่ยังวางไว้ เขาวางกล่องระเบิดชิดไว้ที่กำแพงอีกด้านตรงกันข้ามกับประตูเซฟ แล้วหิ้วถุงเงินเหรียญสามสี่ถุงค่อย ๆ วางล้อมกล่องระเบิดนี้ไว้
ก่อนที่จะรีบวิ่งออกมา อารยะดูแล้วว่ามันไม่ได้เป็นจุดที่เป็นเสารับน้ำหนักของอาคาร อารยะออกมาแล้วผลักประตูเซฟปิดเข้าไป
“ผู้จัดการครับ ปิดประตูเซฟล็อคไว้ให้แน่นเหมือนเดิมก่อนที่มันจะระเบิด” อารยะพูดจบก็เงยหน้าขึ้นดูเวลาที่บนผนังของธนาคาร มันเหลืออีกแค่ 1 นาทีเท่านั้น
ผู้จัดการสาขาปิดล็อคประตูเสร็จแล้วอารยะก็พาผู้จัดการสาขาวิ่งออกมาให้ไกลสุดจากห้องเก็บเงินนั่น
“ทุกคนมารวมกลุ่มกันไว้ด้านนี้ครับ ตอนนี้ในตู้เซฟมีระเบิด” อารยะตะโกนแจ้งให้ทุกคนทราบจะได้รีบทำตามในสิ่งที่บอก
อารยะเลือกบริเวณริมกำแพงอีกมุมหนึ่งด้านหน้าของธนาคารซึ่งไกลมากพอที่จะพ้นจากแรงดันของระเบิด
““ตูม”” “กริ๊ง .กริ๊ง...กริ๊ง” “กริ๊ง..กริ๊ง..”
เสียงระเบิดดังขึ้นตามด้วยเสียงเศษเหรียญที่คงปลิวว่อนอยู่ในห้องเก็บเงินนั่น
แรงระเบิดทำให้อาคารทั้งอาคารสะเทือนจนคนธรรมดาก็รู้สึกได้
อารยะพาผู้จัดการพร้อมเจ้าหน้าที่ธนาคารอีกสองคนไปเข้ารหัสเปิดประตู ดีทีเดียวที่ตอนล็อคประตูไม่จำเป็นต้องเข้ารหัสเหมือนตอนเปิดประตูไม่เช่นนั้นคงไม่ทันเวลาเป็นแน่
“โอ้โห ! กำแพงเป็นรูเลย” ผู้จัดการสาขาอุทานออกมาอย่างไม่ติดอ่าง
อารยะมองเข้าไปภายในห้องเก็บเงินเห็นร่องรอยของเหรียญที่กระเด็นไปกระแทกกับกำแพงในห้องอยู่โดยรอบ บางแห่งยังมีเหรียญฝังอยู่ในกำแพง อารยะจำเป็นต้องเสี่ยงทำเช่นนี้เพื่อเพิ่มน้ำหนักของแรงระเบิดให้มากพอที่จะทำลายกำแพงของห้องเก็บเงิน โชคดีที่ธนาคารถูกออกแบบให้กำแพงไม่ได้หนามากจนเกินไป
เนื่องจากเป็นชั้นสองของอาคารและเป็นอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวไม่ติดกับอาคารอื่น
อารยะเดินเข้าไปดูช่องกว้าง ๆ ที่เกิดจากแรงระเบิดใกล้ ๆ

มันทำความเสียหายให้กับผนังกำแพงด้านข้างและพื้นด้านล่าง จนเป็นช่องกว้างตรงมุมของผนังห้องเก็บเงิน และมันก็กว้างพอที่จะให้คนหนึ่งคนเข้าออกได้อย่างสบาย
อารยะก้มมองลงไปที่ช่องข้างล่าง
“ดี! ทุกคนเรามีทางออกแล้ว” “ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว ขอให้ทุกคน ค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปกันทีละคนนะครับ ข้างล่างจะเป็นหลังคารถพอดี ซึ่งจะช่วยรับน้ำหนักพวกคุณไว้ได้” อารยะออกมาโบกมือตะโกนเรียกทุกคน
ในขณะที่ทุกคนพยายามหย่อนตัวลงไปทีละคนเรื่อย ๆ อารยะเดินเข้ามาดูร่างอันไร้วิญญาณของชายทั้ง 3 คนภายในธนาคาร

“เฮ้ ! เฮ้! น..นั่น มันรถของชั้นนะ” ในที่สุดก็ถึงคิวผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของรถราคาแพงคันนี้พอดี
“เหอะน่า เดี่ยวคุณค่อยไปเคลมเอากับประกันละกันน่า” ผู้จัดการธนาคารไม่แคร์ในการให้บริการแล้ว
อารยะยืนอยู่ที่ศพของชายทั้งสาม อย่างเสียใจที่สุดและคิดว่าเป็นความผิดของตนที่ไม่อาจช่วยพวกเขาไว้ได้ นอกจากสวดมนตร์แผ่เมตตาให้พวกเขาได้เท่านั้น
“คุณช่วยอะไรเค้าไม่ได้แล้ว” อาทิตย์เตือนสติ
“ไปกันเถอะ ! คุณได้เวลาที่จะต้องไปจากตรงนี้แล้ว” อดิศักดิ์พูดขึ้นหลังจากหายไปนาน
“ใช่พี่ยังมีเรื่องอื่นที่ยังต้องทำอยู่อีกนะ” สาธิตเร่งให้เร็วขึ้น
“ชั้นอยากจะไปจากที่นี่แล้ว” ภาวิณีพูดขึ้นอีกครั้งหลังวิกฤต
ในขณะที่เหตุการณ์ปล้นธนาคารจบลง พร้อมกับเงินที่เหล่าผู้ก่อการร้ายขนเอาไปได้อย่างสบาย
สำหรับผู้ที่รอดชีวิตก็ตกเป็นข่าวการให้สัมภาษณ์ของสื่อมวลชนจำนวนมาก
การพาดพิงถึงของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ย่อมมีเกิดขึ้น โดยเฉพาะอารยะถึงแม้ว่าไม่ได้ช่วยพวกเขาจากกลุ่มผู้ร้ายนั้นได้ แต่เขาก็ได้ช่วยเหลือทุกคนให้รอดพ้นจากระเบิดที่จะต้องทำให้เกิดการตายหมู่ขึ้นได้
“มันน่ากลัวมากเลยคะ ตอนนั้นดิฉันทำอะไรไม่ถูกเลยคะ ต้องหยิบเงินให้มันไปอย่างไม่ต้องคิดมากเลยคะ” “กลัวตายมากตอนนั้น ยิ่งมีคนถูกฆ่า แล้วก็ตอนที่ระเบิดกำลังจะระเบิดอีก โชคดีที่มีผู้ชายคนหนึ่งเค้ารีบคว้าระเบิดนั่นไปไว้ในห้องเก็บเงินของธนาคารคะ เราเลยรอดตายกันมาได้” ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกเจ้าหัวหน้าของกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้กรรโชกทรัพย์ไปได้อย่างง่าย ๆ
“แล้วผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรคะ ยังอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุนี้หรือไม่คะ” ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์พร้อมกับมองไปยังจุดต่าง ๆ ที่ยังมีผู้ร่วมเหตุการณ์ที่กำลังตื่นเต้นกับเหตุการณ์กำลังถูกรุมสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนทำข่าวกระจายไปเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย
“ไม่เห็นเลยคะ ไม่ทราบว่าหายไปไหนแล้ว เมื่อครู่ยังเห็นเขาลงมาจากรูนั่นเป็นคนสุดท้ายเลยนะคะ” ผู้หญิงที่กำลังถูกสัมภาษณ์นี้พูดในขณะที่กำลังมองไปรอบ ๆ แล้วชี้ไปที่รูระเบิดที่เกิดขึ้น.......
เพียงแต่ว่าอารยะเพียงคนเดียวที่ปลีกตัวรอดพ้นจากกลุ่มสื่อมวลชนที่กระหายความจริง เขาได้ออกมาจาก ณ ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว
“คาดว่าน่าจะเป็นการกระทำของผู้ร้ายกลุ่มใดคะ ?” ผู้สื่อข่าวถาม
“เราได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารแล้วแต่ปรากฏว่ามันได้ถูกถอดสายสัญญาณออกไป จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นการกระทำของผู้ร้ายกลุ่มไหน” อธิบดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาดูพื้นที่ด้วยตนเองขณะที่กำลังให้รายงานกับสื่อมวลชน
“ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วเขตบางนา โทรศัพท์ถูกตัดสัญญาณ สัญญาณโทรศัพท์มือถือถูกรบกวน สัญญาณเตือนภัยในธนาคารไม่ทำงาน และที่สำคัญรถยนต์ของสถานีตำรวจพัง น่าจะเป็นฝีมือของผู้ร้ายกลุ่มนี้ใช่หรือไม่คะ หากใช่ก็แสดงว่าผู้ร้ายได้มีการวางแผนไว้เป็นอย่างดีแล้ว” ผู้สื่อข่าวยิงคำถามเป็นชุดยาวแบบโยงประเด็น
“อาจจะเป็นไปได้ครับ เราคงต้องตรวจสอบข้อมูลประกอบและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเพื่อทำการเสก็ตภาพใบหน้าของผู้ร้ายกลุ่มนี้เพื่อออกหมายจับต่อไป” อธิบดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าว
“ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของผู้ร้ายกลุ่มใด และ ผู้ที่ช่วยชีวิตผู้รอดตายจากการระเบิดครั้งนี้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กิตติถ่ายภาพ สาวิตรีรายงานสดจากที่เกิดเหตุ” ผู้สื่อข่าวทำรายการสัมภาษณ์สดจากที่เกิดเหตุเพียงแต่ขาดคนสำคัญคนหนึ่งไปเท่านั้น
…......................................................................................................................
ที่ห้องสอบสวน สำนักงานศูนย์ปฏิบัติการลับพิเศษ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ครับ ! มีผู้ชายคนหนึ่งเค้าเป็นคนเอาระเบิดของพวกมันไปไว้ในตู้เซฟของธนาคาร ทำให้พวกเรารอดตายมาได้” ผู้จัดการธนาคารบอกเล่าเรื่องส่วนของที่ตนได้ร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุนั้น
“แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ผู้กองพรชัยสอบถามพยานในที่เกิดเหตุ
“น่าจะเป็นลูกค้าคนหนึ่งที่มาเจอเหตุการณ์เหมือนลูกค้าคนอื่น ๆ นะครับผู้กอง” ผู้จัดการธนาคารกล่าว
เหตุการณ์ในห้องสอบสวนยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ พยานคนแล้วคนเล่าถูกเวียนเปลี่ยนกันเข้าห้องสอบสวน เพื่อให้ปากคำประกอบกันเป็นข้อมูลที่จะใช้ในการตามสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เช่นเดียวกับอารยะที่ต้องเดินทางต่อไปยังบ้านแต่ละหลังของเพื่อนร่วมร่าง หลังแล้วหลังเล่าตามที่ได้ให้สัญญาไว้ไม่ต่างจากบุรุษไปรษณีย์ที่ทำหน้าที่แค่ส่งสารแล้วก็จากไป
.................................................................................................
ตัดบทมาที่อำนวยซึ่งพลาดหวังไปจากการที่ไม่ได้พบกับน้องชายต่างอุดมคติ
“คุณอำนวยครับ ตอนนี้ก็ค่ำแล้วผมว่าน้องชายของคุณน่าจะกลับถึงบ้านแล้วนะครับ
ผมรู้ว่าคุณไม่ได้จำเบอร์โทรศัพท์ของน้องชายคุณไว้ แต่คุณยังจำเบอร์โทรที่บ้านได้ เอาอย่างนี้นะครับเราจะใช้โทรศัพท์ให้เป็นประโยชน์ในครั้งนี้”
“สวัสดีครับ” “ผมเป็นเพื่อนร่วมงานของพี่ชายคุณนะครับ” อารยะติดต่อไปที่บ้านของอำนวย
“ครับ มีเรื่องอะไรหรือครับ” น้องชายของอำนวยรับสาย
“คือว่าผมเจอเครื่องบันทึกเสียงของพี่ชายคุณอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของเขา ก็เลยอยากให้คุณได้ฟังบางสิ่งบางอย่างจากอำนวยนะครับ” อารยะพูดจบ ก็ให้ร่างทรงแก่อำนวยทันที
“พี่ขอโทษด้วยน้องอำนาจ ที่ผ่านมาเรามีอุดมการณ์แตกต่างกันทำให้เราเหมือนไกลกันคนละฝาก
แต่วันนี้พี่รู้สำนึกแล้วว่าทางที่น้องได้ทำอยู่นั้นถูกต้องดีแล้ว ขอให้น้องเดินบนอุดมการณ์แห่งเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริต่อไปนะ มันเป็นการส่งเสริมความเป็นอยู่ในชีวิตให้ดีขึ้นอย่างมีความผาสุกได้จริง
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พี่จะขอเดินบนเส้นทางเดียวกับน้องอำนาจอย่างแน่นอน ขอโทษอีกครั้งที่ไม่ได้บอกด้วยตัวเอง” อำนวยพูดขึ้นเองทั้งหมดบนหลอดเสียงร่างทรงของอารยะ
“มันคงเป็นความต้องการของพี่คุณที่ตั้งใจจะทิ้งเครื่องบันทึกนี้ไว้ที่บ้านเพื่อให้คุณได้เปิดฟัง แต่มันก็สายเกินไปที่จะได้ทำ” อารยะดึงร่างกลับคืนมาแล้วกล่าวขึ้น
“เท่านี้ผมก็ดีใจแล้ว ขอบคุณมากนะครับ ที่นำเทปบันทึกเสียงนี้มาเปิดให้ผมฟัง” อำนาจน้องชายอำนวยกล่าว
“ผมเห็นว่าคุณควรจะได้รับฟังความรู้สึกของพี่ชายของคุณเป็นครั้งสุดท้าย เท่านี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
อารยะกดวางสาย


Create Date : 13 พฤษภาคม 2551
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 15:34:55 น. 0 comments
Counter : 236 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.