ชิมแหนมเนือง เที่ยวเมืองเว้+ดานัง+ฮอยอัน ฉบับกึ่งแบคแพกกึ่งทัวร์ ตอนที่ 2 (ชายแดนเวียดนามถึงเว้)
กลับมาแล้วคร้าบ หลังจากหายไปนาน จนหลายคนนึกว่าบทความนี้แท้งกลางอากาศไปแล้ว
ความจริงไม่ได้แท้งหรอกครับ แค่ตั้งท้องนานไปหน่อยเท่านั้นเอง แหะๆๆ
เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงปลายปี อากาศกำลังดี ผู้คนกำลังออกท่องเที่ยว และถามใครๆ ก็มีแต่คนบอกว่าไปฮอยอัน ทางผมจึงเห็นว่าสมควรที่จะขุดเอาบลอกนี้ขึ้นมาเขียนต่อได้แล้ว
ถ้าใครหลงมาอ่านบลอกนี้ แล้วเกิดแรงบันดาลใจ อยากไปเวียดนามบ้าง (จะมีไหมเนี่ย) ก็อย่าลืมโพสต์บอกเล่าเรื่องราวบ้างนะคร้าบ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง เราไปตะลุยเวียดนามกันต่อเลยครับ!
อ๋อ เกือบลืมไป
Happy New Year 2009 คร้าบ
**********************************************
อ่านบทความตอนแรกได้ที่
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=birdwithnolegs&month=10-2008&date=14&group=2&gblog=15
ผลงานภาพถ่าย โดย Pookie, Un, Knot, Kan, Bellevue, Mookie, หมาควาย, Pangyaa, Dalha, Hiim และ Tomoya ส่วนข้าพเจ้า ไม่มีกล้องจ้า (แต่รูปเยอะเชียว 555)
**********************************************
ตอนที่แล้ว เราพูดค้างเอาไว้ถึงตอน แม่ค้าแลกเงิน ครับ
ขณะที่พวกเรากำลังมึนงง ไม่รู้ชีวิตจะเดินต่อไปทางไหนดีอยู่ ทันใดนั้นมีกลุ่มผู้หญิงประมาณ 10 กว่าคน เข้ามารุมล้อมเราอย่างรวดเร็ว
ลักษณะเด่นของพวกเธอ คือ ใส่หมวก ใส่ผ้าปิดปาก เสื้อแขนยาว ไม่ยอมให้พวกเราได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอแบบชัดๆ ราวกับพวกเธอเป็นหลินชิงเสีย ใน chungking express
(ขออภัย ไม่มีรูปแม่ค้าประกอบ เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงตกใจ 555)
กิตติศัพท์เรื่องชอบเล่นตุกติกพลิกแพลงของแม่ค้าแลกเงินกลุ่มนี้ เป็นที่กล่าวขวัญถึงจากเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวมากมาย เรียกได้ว่า ถ้าหนังสือเที่ยวเว้-ฮอยอันเล่มไหน ไม่เขียนถึงแม่ค้าแลกเงินไว้ ก็เปรียบเหมือนกับ หนังสือท่องเที่ยวเชียงใหม่ที่ไม่ยอมเขียนถึงหมีแพนด้าเช่นนั้นแล
พวกเธอเข้ามาเสนอขอเข้ามาแลกเงินดอลลาร์ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ เป็น 16000 ด่อง พร้อมบอกว่า นี่คืออัตราที่ดีที่สุดเท่าที่จะแลกได้แล้ว ถ้าเข้าไปในเวียดนามจะได้เรตที่แย่กว่านี้ เจอแบบนี้เข้าไป สมาชิกทัวร์จึงเข้ามารุมถามผมกันใหญ่ ว่า "ตกลงอัตรานี้ถือว่าดีแล้วใช่ไหมพี่"
ด้วยความที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องอัตราการแลกเงินให้ดีก่อน ทำให้ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่า ในสภาวการณ์ที่เศรษฐกิจโลกผันผวนด้วยวิกฤติซับไพรม์แบบนี้ อัตรานี้ที่แม่ค้าแลกนี้ถือว่าถูกหรือแพง
ผมก็เลยตอบด้วยความมั่นใจไปว่า
"แลกๆ ไปเหอะ แต่ไม่ต้องแลกทั้งหมดนะ เอาแค่พอประทังชีวิตก็พอ อย่างน้อย เผื่อรถไปตายกลางทาง อย่างน้อยพวกเราจะได้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกัน"
หลังจากนั้น พวกเราก็ทำการแลกเงินอย่างสนุกสนาน และนี่คือ เศษเสี้ยวตัวอย่างของความสนุก (แต่หัวเราะไม่ค่อยออก) ที่ว่านั่น 1 ดอลล่าร์ ได้แค่หมื่นหกหรือ หมื่นแปดได้ไหม ไม่ได้ งั้นไม่เอาแล้ว ได้ๆๆ (เรื่องต่อราคานี่ พี่ไทยไม่เป็นรองใครจริงๆ หลังจากเอาเงินไปให้แม่ค้า 1000 นึง แม่ค้าก็โยนเงินมาให้เราปึกใหญ่ ใหญ่มากขนาดที่สามารถฟาดหัวหมาแตกได้ ใช้เวลานานมากกว่าจะนับเสร็จทั้งปึก) "เอ๊ะ นี่มันไม่ครบนี่" "ครบแล้ว" "เมื่อกี้บอก 1 ดอลล่าร์ต่อ 16000 ด่องไม่ใช่หรือ" "ก็นี้ไง หมื่นแปดที่ขอ หนึ่งหมื่นแปดร้อย ก็ครบแล้วไง" "....."
*******************
"พี่คะขอแลกเงินหน่อยค่ะ" "อ่ะ เอาไป" แม่ค้าเอาเงินมาให้อีกฟ่อน "อุ๊ย นี่มันไม่ครบนี่คะ ยังขาดอีก..." พูดไม่ทันขาดคำ คุณแม่ค้าสวมวิญญาณนินจา ออกไปยืนปะปนกับเหล่าเพื่อนๆ อย่างรวดเร็ว "แกๆ ช่วยด้วย ฉันได้เงินไม่ครบ" "จริงหรือแก ขาดไปเท่าไร จะไปทวงให้ แม่ค้าคนไหนล่ะ" "ฉันจำไม่ได้แล้ว เมื่อกี้ฉันลืมสังเกต" "..."
*********
ที่ฮากว่านั้น คือ ขณะที่สมาชิกทริปกำลังแลกเงินและซื้อซิมมือถือจากแม่ค้าอยากเมามัน ทันใดนั้นคุณตร.ก็ย่องสามขุมเข้ามา "*&*^+X($$#@" คุณตำรวจตะคอกเสียงดัง พอพวกเราหันกลับไปมอง เหล่าแม่ค้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในไม่กี่ วินาที จนสุดท้ายก็เหลือแต่พวกเรายืนกำเงิน 1 ฟ่อนท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบแต่เพียงลำพัง (ถ้าวาดเป็นการ์ตูน ก็อาจจะใบไม้พัดฟิ้ว หรือมีอีกาบินไปมาร้องอะห้อยๆ อยู่ที่ฉากหลังไปแล้ว)
ขออภัย ไม่มีรูปแม่ค้าประกอบ เนื่องจากกำลังอยู่ในอารมณ์ตื่นตกใจ ฮ่าๆๆ
พอทำเรื่องที่ด่านลาวเสร็จ ก็มีรถบัสจอดรอเราอยู่ตรงหน้าทันที พี่รถตู้ฝั่งโน้นเขาบอกให้ผมรอ บอกว่าพวกคุณจะมา แม้จะวางแผนกันตั้งแต่ทีแรกว่า จะเดินทางไปเว้ต่อด้วยรถตู้ แต่พอเห็นรถบัสแอร์เย็นฉ่ำจอดอยู่ข้างหน้าเห็นๆ แบบนี้ ใครเล่าจะอดใจไหว พวกเราทุกคนก็เลยขนของขึ้นรถตามที่พี่คนรถบอกแบบว่าง่ายดั่งต้องมนต์ อะไรก็ทำท่าว่าจะง่าย จนกระทั่งถึงตอนเจรจาค่าโดยสารกันนี่แหละ
"คนละกี่บาทครับ" "300 บาท" "ใช้เวลาเดินทางเท่าไร" "5 6ชม." "ทำไมนานจัง" "ปกติก็แบบนี้แหละ ต้องแวะหลายเมือง" "ผมอยากไปเร็วๆ น่ะครับ ถ้าผมไม่ไปรถพี่ แถวนี้จะมีรถตู้ให้เช่าไหมครับ" "ไม่มีหรอกรถตู้ มีแต่รถผม" "คราวก่อนที่ผมเคยมาเที่ยว ผมมาถึงที่นี่ตอนหนึ่งทุ่ม ตอนนั้นด่านจะปิดแล้ว แต่ผมก็เห็นรถตู้จอดอยู่นะ" "สงสัยเขามาส่งผู้โดยสารพอดีมั้ง" "แล้วอีกอย่าง ค่าตั๋วรถพี่มันแพงกว่ารถตู้ที่ผมนั่งเมื่อกี้อีกนะ ระยะทางไปเว้มันใกล้กว่าสะหวันนะเขตมาที่นี่อีกนะ ลดได้อีกหรือเปล่า" ลดไม่ได้แล้ว เนี่ย พี่รถตู้เขาบอกให้รอ พวกผมก็อุตส่าห์รอ เสียเวลาพวกผมนะเนี่ย อ้าวก็พวกผมไม่ได้บอกว่าจะขึ้นรถพวกพี่นี่ แล้วทำไมพี่รถตู้บอกผมว่าคุณจะไปด้วยล่ะ แล้วคนทั้งรถก็รอคุณหมดเลย พวกเขาเสียเวลานะเนี่ย "อย่างนี้ พวกผมผิดใช่ไหมเนี่ย"
คุยไปคุยมาเริ่มชวนทะเลาะ ทะเลาะไปทะเลาะมา พวกเราก็เลยขนกระเป๋าทั้งหมดลงจากรถบัสทันที กะว่าไปหารถตู้เอาดาบหน้าดีกว่า ส่วนรถบัสก็ไม่รีรอ พอพวกเราขนกระเป๋าลงก็ออกรถทันที ไม่เผื่อเวลาให้เรากลับตัวกลับใจเลย (ซึ่งตอนหลัง พอมาคิดทบทวนอีกที ก็รู้สึกว่า การกระทำดังกล่าวไม่ต่างจากทะเลาะกับกัปตันเรือแล้วไม่ยอมขึ้นเรือ ขอลอยคอเกาะขอนไม้รอเรือลำใหม่เลยนะเนี่ย)
ผมคิดปลอบใจตัวเองว่า คราวก่อน ผมมาตอนทุ่มนึง ยังมีรถตู้เลย ตอนนี้แค่บ่ายแก่ๆ ก็น่าจะมีหลงมาสักคันสองคันบ้างสิน่า (แต่แอบคิดในใจเล็กน้อยว่า หรือว่ารถที่มาหนึ่งทุ่มตอนนั้นมันจะหลงมาจริงๆ ฟะ ฮ่าๆๆ)
บรรยากาศอันเงียบสงบจนน่ากลัวที่ด่านลาว-เวียดนาม
ขณะนี้ บ่าย 3 เข้าไปแล้ว อาหารก็ยังไม่ตกถึงท้อง รถก็ยังไม่มี แต่ถึงอย่างไร เราจะต้องไปถึงเว้ก่อนมืดให้ได้ เพื่อที่ว่า จะได้ไม่ลำบากในการหาเกสต์เฮาส์ ด้วยสถานการณ์บังคับอย่างนี้ พวกเราจึงสวมวิญญาณทหารพระเจ้าตาก ขอทุบหม้อข้าวหม้อแกง ขอลุยต่อไป อาหารมื้อต่อไปที่เราจะได้กิน จะต้องเป็นที่เมืองเว้เท่านั้น ถ้าไม่งั้นพวกเราจะยอมอดตาย!(แต่ไม่ลืมซื้อขนมปังตุนไว้คนละ 2-3 ห่อ แหะๆๆ)
ในเมื่อไม่มีพนักงานตั๋วมาช่วยเราหารถเหมือนที่บขส.สะหวันนะเขตแล้ว คนที่น่าไว้ใจที่สุดในเวลานี้ ก็คือ พี่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองนี่แหละ ถึงแม้ในชีวิตนี้ เราจะไม่เคยพบเจอกับพี่เขามาก่อน แต่เราก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาพี่เขาด้วยหน้าตาผูกมิตรเต็มที่
โทษเด้อครับ what? เวรกรรม ลืมไปว่าเข้าเขตเวียดนามแล้ว Can you help me? I want the van to Hue (เว้ เขียนว่า Hue แต่อ่านไงเป็นเว้ กรุณาอย่าถาม เพราะไม่รู้เช่นกัน) พี่ตม.ทำหน้างงเล็กน้อย แต่สุดท้าย พี่แกก็ตกลงช่วยเรา คาดว่าน่าจะจากอารมณ์ "มึงกล้าขอ ตูก็กล้าให้วะ"
จนในที่สุด พี่ตม.ก็ติดต่อหารถตู้แบบ 16 ที่นั่งมาได้คันนึง ขณะที่พวกเรามีกัน 19 คน (ขนาดพี่ตม.ยังอึ้งกับจำนวนสมาชิกทริปเรา) แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยากรอรถคันที่สองแล้ว ไม่เป็นไร นั่งเบียดๆ กันหน่อย จากด่านไปที่เว้ แค่ 160 กม. เอง ประมาณกทม.-พัทยาเห็นจะได้
ปัญหาอีกอย่างคือ พี่คนขับพูดอังกฤษไม่ได้ ต้องให้พี่ตม.เป็นล่าม ช่วยบอกที่หมาย ต่อราคาให้ ซึ่งต่อไปต่อมา ราคาต่อหัวถูกกว่ารถบัสคันเมื่อกี้อีก(เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงอย่าดูถูกสัญชาตญาณของตนเอง)
สุดท้าย การเดินทางสู่เวียดนามก็ดำเนินต่อไป(จนได้...ขอถอนหายใจสักสามเฮือก!)
ระหว่างทาง
ดูจากรูปแล้วจะสังเกตได้ว่า บรรยากาศระหว่างทางในเวียดนามดูดีกว่าที่ลาวมาก เพราะมีแม่น้ำ ก้อนเมฆ ขุนเขาที่ดูแล้วชวนให้ชุ่มชื้นหัวใจ จนเกือบลืมไปแล้วว่า นั่งรถมาจากกทม.จะครบ 24 ชม.แล้ว ยังไปไม่ถึงที่หมายเลย ฮ่าๆๆ
หมายเหตุ-หลังจากนั่งรถไปได้ระยะนึง พี่คนขับก็ส่งโทรศัพท์มาให้เราคุย ซึ่งคนในสายก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่องพอๆ กับพี่คนขับ คุยไปคุยมา พอจับใจความได้ว่า พี่คนขับยังไม่รู้เลยว่าเราจะไปไหน พี่แกเลยขับออกจากด่านมาก่อน แล้วค่อยหาทางสืบดูอีกที...ดีนะเนี่ย ที่ยังหาทางสื่อสารกันรู้เรื่อง ไม่งั้นมีหวังได้ไปเที่ยวโฮจิมินท์ซิตี้โดยไม่รู้ตัว
จากหลังรถ
บรรยากาศดี
มาทันรถบัสจนได้ เวียดนามมืดเร็วมาก ตอนที่ถ่ายรูปนี้น่าจะแค่ 4-5 โมงเย็นเอง 6โมงเย็นก็มืดสนิทแล้ว
เนื่องจากทางการเวียดนามเขาจำกัดความเร็วรถ ทำให้คนขับรถของเรา ขับเร็วเกินกว่าที่เขากำหนดไม่ได้ ซึ่งทางการเขาก็กำหนดความเร็วไว้ได้อย่างจุ๋มจิ๋มน่ารักมาก คือ 60-70 กม./ชม.ในทางราบ เลยทำให้เส้นทาง 190 กม.จากด่านมาถึงเว้ ใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่คิด จนในที่สุด พวกเราก็มาถึงเว้ในเวลา 1 ทุ่มตรงด้วยอาการตูดชาสุดๆ สรุปแล้วจากกทม.มาถึงเว้ ใช้เดินทาง 21.5 ชม. เรียกได้ว่าถ้าพี่คนขับพานั่งรถเล่นอีกสักหน่อยอีกชม.สองชม.ก็ครบ 1 วัน พอดี
เว้ยามราตรี
พี่คนขับรถตู้มองหน้าเรา ใช้ภาษามือถามพวกเราประมาณว่า มึงจะให้กูไปส่งที่ไหน พวกเราเลยส่งสายตากลับไป ด้วยอารมณ์ประมาณ แล้วแต่พี่ ฮ่าๆๆ และแล้วพรมแดนแห่งภาษาก็ไม่อาจกั้นขวางความเข้าใจระหว่างมนุษยชาติ สุดท้ายพี่เขาก็เลยพาพวกเรามาส่งที่ guesthouse แห่งหนึ่ง แต่คราวนี้ พวกเราล้วนเอากระเป๋าลงอย่างว่าง่าย พี่จะให้หนูนอนที่ไหนหนูก็นอน ไม่ดื้อรั้นเหมือนตอนกลางวันแล้ว ฮ่าๆๆ ด้วยฝีมือนักต่อราคาระดับทีมชาติไทย ทำให้คืนนี้เราเสียค่าที่พักแค่คนละ 180 บาทเท่านั้น เจออย่างนี้ เงินที่เตรียมมา 5 พันบาทเผลอๆ มีเหลือเก็บนะเนี่ย...
โฉมหน้าที่พัก โรงแรมอยู่ในซอกหลืบมาก ถ้าพี่คนขับรถตู้ไม่พามา ผมไม่มีวันหาเจอหรอกครับ 555
พนักงานต้อนรับในชุดอ๋าวหย่าย อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราเลือกพักที่นี่ ฮ่าๆๆ
ห้องดูไฮโซใช้ได้
พอเก็บข้าวเก็บของล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ที่หมายแรกที่เรามุ่งหน้าไป ไม่ใช่สะพานหรือถนนคนเดินที่ไหน แต่ที่นั่นคือ ร้านอาหารนั่นเอง
แต่อนิจจา แม้จะได้ชื่อเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่เมืองนี้หาร้านอาหารดีๆ ได้ยากเย็นเข็นใจเหลือเกิน
จากที่วาดหวังไว้ตอนแรกว่า มื้อแรกที่เราจะกินที่เว้นั้น ต้องเป็นแหนมเนืองสุดหรูเท่านั้น แต่สุดท้ายความหิวเอาชนะทุกสิ่ง ทนเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ต้องลงเอยที่ร้านเฝอข้างทางแทน
ร้านอาหารไปไหนโม้ดดดด
ร้านนี้ก็ได้ฟะ
เช็คบิลแล้ว ตกชามละประมาณ 45 บาท (มาแอบถามคนที่โรงแรมทีหลัง จึงได้รู้ว่า จริงๆ แล้วมันชามละ 15 บาทเท่านั่นแหละ โดนฟันอีกแล้วตู 555)
โฉมหน้าคนใจร้าย สังเกตการดิสเพลย์ตู้โชว์ร้าน เอาไก่มาปนกับเบียร์ เป็นการ mix and match ที่น่าสนใจมาก
สุดท้าย เป็นไปตามคาด คือไม่อิ่ม...(ใครที่ต้องการทานอาหารที่ทานแล้วอยู่ท้อง พึงหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มเฝอหรือข้าวเปียก เพราะกินเสร็จ เดินออกจากร้านได้ 20 ก้าวก็หิวใหม่แล้ว ฮ่าๆๆ)
สุดท้ายเลยต้องมาจบที่ร้านอาหารยอดฮิตร้านนี้แทน
ร้านนั้นคือ
KFC (อนุญาตให้ประนามหยามเหยียดข้าพเจ้าได้ ฮ่าๆๆ)
ที่น่าสนใจคือ KFC ที่นี่ขายถูกกว่าที่เมืองไทย แถมยังมีเมนูแปลกๆ อย่างต้มยำไก่อีกด้วย! (ทำไปได้)
กะว่าจะสั่งเมนูนี้มาลิ้มรสสักหน่อย พนักงานดันบอกว่า ไม่มี
แบบนี้ตีความได้สองอย่าง คือ เมนูนี้ ถ้าไม่อร่อยมากเสียจนขายหมดเกลี้ยง ก็ต้องรสชาติแย่มากจนไม่มีใครสั่ง จนพนักงานเขาเลิกเอามาขายแล้ว...
กินเสร็จแล้วก็ได้เวลาเยี่ยมชมบ้านเมือง
ที่แรกที่เราต้องการไปเยี่ยมชมก็คือ Landmark ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ นั่นคือ สะพาน 7 สีนั่นเอง แต่พวกเราไปถึงช้าไปหน่อย สุดท้ายสะพานเลยไม่เหลือสักสี สรุปเลยอดถ่ายไป แต่จะลงรูปสะพานไร้สี เปล่าๆ เปลือยๆ มันจะดูเป็น Reality Show เกินไป ก็เลยขอลงรูปสะพานที่มีสีแล้ว ที่พวกเราไปถ่ายรูปซ่อมในวันต่อมาแล้วกันนะครับ
สีสันสดใส เปรี้ยวเยี่ยวราดจริงๆ ฮ่าๆๆ
ดูมาดูไปก็คล้ายๆ สะพานข้ามแม่น้ำแควเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆๆ
อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมบ้านเราไม่ทำแบบนี้บ้างหนอ เริ่มที่สะพานพระราม8ก็ได้
บ้านเมืองริมน้ำ แสงไฟเรียงสีได้ใจข้าพเจ้าจริงๆ
การจราจรที่นี่ มอเตอร์ไซค์ซิ่งไปมาน่ากลัวมาก จะข้ามถนนทีต้องถอนหายใจ 2 เฮือกถึงจะกล้าข้าม เคยมีคนบอกเคล็ดลับในการข้ามถนนที่เวียดนามไว้ว่า ให้เดินข้ามด้วยความเร็วคงที่ ถึงรถจะพุ่งมาหาเราก็ไม่ต้องสนใจ ให้เดินต่อไปเรื่อยๆ เพราะสุดท้ายเดี๋ยวรถจะก็หลบเราเอง 555 แต่ต้องมาเจอของจริง เห็นรถปาดกันไปปาดกันมาแบบฉวัดเฉวียนสุดๆ ถึงได้รู้ว่าพูดง่ายกว่าทำจริงๆ สุดท้าย พวกเราต้องรอให้คนเวียดนามข้ามก่อน แล้วเราค่อยข้ามตามไป แบบนี้อุ่นใจสุด
จากรูป พยายามถ่ายให้เห็นความวุ่นวายของสี่แยกใจกลางเมือง แต่ถ่ายเท่าไรก็ดูไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไรแฮะ
ร้านข้างทางยังล้ำทะลุมิติขนาดนี้
พูดถึงเรื่องซื้อของแล้ว ก็ชวนให้เหนื่อยใจยิ่งนัก เวลาถามราคาสินค้า ถ้าเขาเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว เขาจะบอกราคาแพงแบบโคตรเว่อร์ ต้องต่อราคาจนเหนื่อยกว่าจะได้ราคาที่สมเหตุสมผล (แต่ก็ยังแพงกว่าที่เขาขายให้คนเวียดนามอยู่ดี) ขนาดซื้อน้ำซื้อนม ยังต้องต่อราคาเลย ที่เด็ดกว่านั้น คือ ถึงต่อราคาแล้ว แต่ถ้าตอนหลังถ้าเราไปซื้อของชิ้นเดิม ที่ร้านเดิม ซึ่งแม่ค้าก็คนเดิม แต่แม่ค้าคนนั้นเขาก็จะยังจะบอกเป็นราคา แพงเว่อร์ให้เราต่อซ้ำซากอยู่นั่นแหละ มาซื้อ 5 ทีก็ต้องต่อราคา 5 ครั้ง
เพื่อนผมเคยต้องต่อราคาน้ำกับแม่ค้าคนเดิม 4-5 รอบจนเหนื่อย สุดท้าย เพื่อนผมเลยทำตัวแนวด้วยการไม่ต่อราคา แม่ค้าบอกกี่ดอง เออ เอาไปเลย แล้วเดินออกมา เพื่อนบอกแอบสังเกตได้ว่า แม่ค้ามีอาการงงเล็กน้อย ฮ่าๆๆ
หุ่นกระบอกน้ำ
ตอนแรก มีคนบอกว่า อยากไปดูหุ่นกระบอกน้ำ คนคนนั้นเลยโดนผมประณามว่า หุ่นกระบอกน้ำอยู่ที่ฮานอยโน่น ที่นี่มันเว้ มีที่ไหนเล่า! พูดยังไม่ทันขาดคำ โชว์หุ่นกระบอกน้ำก็โผล่ขึ้นมาข้างหน้าซะงั้น จากการสอบถามพี่ไกด์คนไทยแถวนั้นแล้ว เขาบอกว่า ของจริงอยู่ที่ฮานอย แต่ที่เว้เขาทำขึ้นมาเผื่อให้คนที่ไม่ได้ไปฮานอยได้ดู ดูแล้วน่าสนใจ ก็เลยสอบถามสมาชิกทริปว่า อยากดูหรือไม่ ทุกคนล้วนแสดงหน้าตาอิดโรยสุดขีด แทนคำตอบว่า ไม่!
กะจะชอปปิ้งซะหน่อย แต่ร้านค้าก็ทยอยปิดกันจะหมดเมืองอยู่แล้ว ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทางแบบสุดๆ พวกเราก็เลยขอตัวกลับโรงแรม ไปนอน เก็บแรงไว้สำหรับการผจญภัยพรุ่งนี้
ซะที่ไหนเล่า!
หลังจากส่งสมาชิกชมรมคนนอนเร็วกลับโรงแรมแล้ว ก็ได้เวลาของสมาชิกชมรมคนนอนเช้า ออกท่องตะเวนราตรีต่อไป ราตรีนี้ยังอีกยาว!
วันที่เราอยู่เว้คืนแรก เป็นวันที่ 22 ตค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันเกิดน้องฮิม สมาชิกทริปของเราคนนึง! ซึ่งแทนที่จะฉลองวันเกิดอยู่กับครอบครัว น้องฮิมกลับเลือกที่จะมาเที่ยวกับพวกเราแทน
(...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ท่านผู้ชม น้องฮิมบอกว่าตัดสินใจดีแล้ว 555)
น้องฮิมเล่าว่า น้องฮิมไปบอกกับคุณพ่อว่า วันเกิดปีนี้ไม่ขออะไรมาก ขอแค่ได้ไปเวียดนามก็พอ เท่มากน้อง...แต่ถ้าเป็นพี่ พี่เลือกเอาของนะ ฮ่าๆๆ
วันพิเศษอย่างนี้ ต้องจิบเบียร์ฉลอง
ผับที่นี่ อารมณ์เหมือนหนัง หว่องการ์ไวมากๆ ครับ พี่น้อง
กินยี่ห้อไหนดีเนี่ย สุดท้ายเลยลองทั้ง 3 ยี่ห้อมันซะเลยเลย เบียร์ที่นี่ดีอย่าง ตรงที่กินแล้วไม่ค่อยเมา (แต่กินแล้วง่วงมาก เหมาะกับการนำไปมอมเหล้าสาว)
ฉลากเบียร์พี่แก เหลือกินจริงๆ Hue Beerอ่านว่า เว้เบียร์ (ถ้าเป็นนักการตลาด เขาจะถือว่า ตั้งชื่อไม่ดี เพราะเป็นการตั้งชื่อที่ Local เกินไป เหมือนเราตั้งชื่อว่า มุกดาหารเบียร์ มันจะทำให้คนจังหวัดอื่นไม่รู้สึกอยากกินเท่าไร...สงสัยกินเบียร์มากไปหน่อย เริ่มเพ้อเจ้อแล้ว 555)
เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวต่อ พวกเราจึงกินกันพอหอมปากหอมคอ ดังคำพูดที่ว่า หวีผมแค่พอเกล้า กินเหล้าแค่พอกลิ้ง (ยืมคำมาจากหนังสือเหล้านั้ง ของคุณวรพจน์ ประพนธ์พันธุ์) จึงเรียกมาเช็คบิลล์ พลางคิดในใจว่า มื้อนี้กี่ดองหนอ (ผมกับเพื่อนเคยไปสร้างวีรกรรมที่ลาวมาแล้ว ประมาณว่า ไปเที่ยวเธคที่เวียงจันทน์ประมาณ 10 คน เปิด black label กินกันเมาปลิ้น พอผับปิดเลยเรียกเขาเช็คบิลล์ พี่บ๋อยเดินมาบอกด้วยหน้าตาเฉยเมยว่า สองล้านหนึ่งแสนกีบครับ จนวงเหล้าที่เคยรื่นเริง เงียบกริบกันทั้งวงไปประมาณครึ่งนาที จนสุดท้ายเอาเครื่องคิดเลขมาคิด จึงได้รู้ว่า ที่แท้มันแค่คนละ 700 กว่าๆ เองนี่นา เล่นเอาใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย) สรุป ค่าอาหารค่าเบียร์ออกมา แทบช็อค
ไม่ได้ช็อคที่แพง แต่ช็อคเพราะถูกเหลือเชื่อ เพราะเฉลี่ยออกมาคนละ 50 บาทเอง พอรู้อย่างนี้ ผมกับเพื่อนเลยโชว์มาดเสี่ย มาๆ พี่เลี้ยงเอง โดยไม่บอกราคาอาหารที่แท้จริงให้น้องๆ รู้ เล่นเอาน้องๆ กรี๊ดกันตรึม(อย่างหลังนี่ ท่าจะคิดไปเอง ฮ่าๆๆ)
ขณะที่เดินเมาโซเซกลับโรงแรมนั้น ก็มีเหล่าบรรดา 3 ล้อเดินตามเรามา พร้อมถามว่า Do you want Lady Boom Boom? (คิดว่าคงไม่ต้องแปลนะครับ...เป็นศัพท์ที่ไม่ถูกไวยากรณ์แต่สื่อความหมายอย่างได้อารมณ์มาก) พวกเราได้แต่ปฏิเสธ เพราะไม่ชอบอะไรแนวนี้อยู่แล้ว (ที่จริง ที่ไม่ไปเพราะมากับสาวๆ ต้องสร้างภาพ) สรุปแล้ว กว่าจะเดินถึงโรงแรม ก็มีแต่สามล้อมาถามแบบนี้ 3-4 ราย แสดงว่า หน้าตาผมหื่นกามใช้ได้เลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ
สุดท้าย พอหัวถึงหมอนก็หลับสนิท เตรียมเก็บแรงไว้ผจญภัยในวันพรุ่งนี้ต่อไป
จบตอนที่ 2 ตอนต่อไปเราจะพาไปลุย สถานที่ท่องเที่ยว top 5 ของเมืองเว้กันครับ รับรองว่าอลังการงานสร้างแน่นอนครับ! โปรดติดตาม
Create Date : 23 ธันวาคม 2551 |
|
17 comments |
Last Update : 20 มกราคม 2552 6:34:45 น. |
Counter : 1754 Pageviews. |
|
|
|