ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
21 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
+-+-+-+-+-+-+-+-+-+จดหมายถึงคุณ ก่อนที่นกไร้ขาตัวนี้จะเริ่มบิน+-+-+-+-+-+-+-+-+-+

หมายเหตุ - บทความนี้คัดลอกมาจากจดหมายฉบับหนึ่งที่จขบ.เขียนขึ้นเพื่อส่งให้กัลยาณมิตรคนหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก่อนที่จขบ.จะตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อเดินทางท่องเที่ยวเป็นเวลา 6 เดือน


โดยได้มีการดัดแปลงข้อความบางส่วนเล็กน้อย และได้มีการลบชื่อในจดหมายออกเพื่อความเป็นส่วนตัวของทั้งผู้ส่งและผู้รับจม.


สาเหตุที่เอาจม.นี้มาลง ก็เพราะตอนนี้ จขบ.กำลังใกล้จะออกบินเป็นครั้งที่สอง (แต่ขี้เกียจเขียนจม.เป็นครั้งที่สอง เลยเอาของเก่ามาหากินซะเลย 555)




***************************************







ถึง คุณที่รัก


ก่อนที่จะเขียนชี้แจงแถลงไขอะไรต่อไป ก่อนอื่นต้องขออภัยที่จดหมายฉบับนี้ถูกเขียนด้วยลายมือที่ยุกยิกยุ่งเหยิง เหมือนไม่ได้ใช้มือเขียน


หากจะโทษ ก็คงต้องโทษที่ตัวบรรยากาศนั่นแหละครับ


ด้วยแสงสว่างระดับ 1 แรงเทียนบวก 1 แรงแสงจันทร์แกล้มด้วยอุณหภูมิประมาณ 10 องศาบนยอดเขาที่หนาวเหน็บ ทำให้ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเขียนจดหมายถึงใครสักเท่าไร


แต่ที่ต้องเขียนก็เพราะว่า ผมคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเขียนจดหมายถึงคุณ


คุณอาจรู้สึกแปลกใจเล็กๆ ที่อยุ่ดีๆ จดหมายฉบับนี้ก็ถูกส่งมาหาคุณ ทั้งที่ยุคสมัยนี้เขาติดต่อสื่อสารกันด้วยอีเมลล์และโทรศัพท์มือถือกันหมดแล้ว
แต่โปรดเก็บความตกใจเมื่อกี้เอาไว้ก่อนครับ เพราะคุณอาจจะยิ่งแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อผมมีเรื่องสำคัญจะบอกให้คุณทราบว่า
ผมตัดสินใจลาออกจากงานเรียบร้อยแล้วครับ


เหตุผลที่คนเราจะลาออกจากงานนั้น มีมากมายหลายประการประมาณร้อยแปดพันเก้าข้อได้
ทั้งเบื่องานเก่า ได้งานใหม่ที่ดีกว่า เงินเดือนเยอะกว่า งานใหม่สบายกว่า อยากทำงานใกล้บ้าน ย้ายตามสามี เหม็นขี้หน้าเจ้านาย อยากหาประสบการณ์ เป็นต้น


แต่เหตุผลที่ผมลาออกนั้น ถ้าเทียบแล้วคงอยู่ในข้อที่ร้อยเก้า พันสิบ
คือ ไม่อยู่ในบรรทัดเมื่อกี้เลย


ไม่แน่ใจว่าใช่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์หรือเปล่า เคยกล่าวไว้ว่า "ผมจะไม่ยอมให้โรงเรียนมาขัดขวางการเรียนรู้ของผมเด็ดขาด"
ของผมก็ออกแนวใกล้เคียงกันคือ ผมจะไม่ยอมให้การทำงานของผมมาขัดขวางการเรียนรู้ของผมเด็ดขาด
ไม่ใช่ว่าติสต์แตก หรืออยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้นะครับ (ผมเป็นคนประนีประนอมกับสิ่งรอบๆ ตัวมากกว่าที่คุณคิดนะครับ)
แค่ผมรู้สึกว่า ผมกำลังปล่อยโอกาสที่สำคัญบางอย่าง หลุดลอยหายไปจากชีวิต


มีคนบอกผมว่า การทำอะไรให้เชี่ยวชาญเฉพาะทางไปเลย ย่อมดีกว่าการทำอะไรแบบจับฉ่าย ทำได้ไม่ดีสักอย่าง
แต่ผมกลับมองตรงข้ามไป นั่นคือ ผมมองว่ามนุษย์เกิดมาอายุสั้นและมีเสรีภาพเกินกว่าที่จะต้องมาจมอยู่กับอะไรไม่กี่อย่าง


ผมมองว่า คนเราควรจะใช้ชีวิตแบบหลายมิติครับ
พูดให้เห้นภาพง่ายๆ คือ ถ้าเปรียบเวลาทั้งหมดในชีวิตของคนเราเป็นเค้กก้อนหนึ่ง
เราสามารถตัดแยกมันออกเป็นส่วนๆ ทั้งส่วนของการทำงาน ส่วนของการพักผ่อน ส่วนของการเข้าสังคมและความสัมพันธ์ ส่วนของการเสพศิลปะและสิ่งบันเทิง ส่วนของการเก็บเกี่ยวค้นหาประสบการณ์ ส่วนของการท่องเที่ยวเพื่อเปิดหูเปิดตา ส่วนของศาสนาและการค้นหาความหมายของชีวิต และอื่นๆ อีกมากมายแล้วแต่จะนึกออก
ซึ่งถ้าคุณแบ่งเค้กให้กับส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไปแล้ว คุณก็จะเหลือเค้กแบ่งให้กับส่วนอื่นๆ น้อยลงตามไปด้วย
เช่น ถ้าคุณแบ่งเค้กให้กับส่วนของการทำงานมากเกินไปจนไม่เหลือส่วนของความสัมพันธ์แล้ว คุณก็จะกลายเป็นคนที่บ้างาน จนไม่มีเวลาให้กับคนรอบข้าง
หรือถ้าคุณแบ่งเค้กให้กับการพักผ่อนมากเกินไป ไม่สนใจส่วนอื่นเลยคุณก็จะกลายเป็นคนหลักลอย ไร้ความรับผิดชอบ


ความคิดพวกนี้มันแล่นเข้ามาในหัวผม ขณะที่ผมกำลังทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง
เพื่อเก็บเงินที่ผมไม่มีเวลาใช้ เอาเวลาที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนไปใช้ในการยืนเบียดเสียดบนรถเมล์วันละหลายชั่วโมง ก่อนที่จะที่ห้องล้มตัวนอนหัวถึงหมอนก็หลับ แล้วรอให้ชีวิตหมุนวนเวียนกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อจินตนาการว่า ผมต้องใช้ชีวิตเป็นวงจรอุบาทย์แบบนี้ต่อไปทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี (ถ้าชาติหน้ามีจริง คงต้องรวมคำว่า ทุกชาติเข้าไปด้วย)
คิดแล้วก็ขนลุกขนพองยิ่งกว่าเจอผีกระชากหัวอีกครับ


ลองคิดดู ขนาดผมอายุไม่มากเท่าไรยังขี้บ่นและท้อแท้กับชีวิตขนาดนี้
นี่ถ้าเกิดผมอายุมากกว่านี้แล้วล่ะก็
แรงใจและไฟฝันที่จะทำให้เรากล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตก็คงจะมอดลงไปทุกวัน ทุกวัน
มีผู้ใหญ่ที่เคยอาบน้ำมาอย่างโชกโชนจนตัวเหี่ยว ฝากคำพูดมาให้กับคนที่ไม่ค่อยชอบอาบน้ำแบบผม ว่า
ถ้าคุณอยากจะทำอะไรที่มันบ้าๆ เสี่ยงๆ คุณควรจะทำตอนที่คุณยังเป็นวัยรุ่น เพราะอย่างน้อยเวลาคุณล้มคุณก็ยังมีคนที่อยากช่วยเหลือคุณมากกว่าตอนคุณแก่ (ซึ่งนอกจากจะไม่มีใครอยากช่วยแล้วเผลอๆ อาจโดนกระทืบซ้ำแถมโดนฉกกระเป๋าตังค์นาฬิกาสร้อยทองไปอีกด้วย)
และถึงไม่มีใครช่วยคุณเลย อย่างน้อยคุณก็ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือมากพอให้คุณลุกขึ้นมาเองได้


ถ้าคุณอ่านที่ผมโม้จน้ำหมึกแตกฟองมาถึงบรรทัดนี้ แล้วคุณยังไม่รู้เรื่องอยู่ดีว่า ตกลงไอ้นี่มันจะลาออกทำไม
ผมขอบอกเหตุผลแบบสั้นๆ ง่ายๆ ตรงประเด็นให้คุณฟังเลยแล้วกันครับว่า


ผมจะลาออกไปเที่ยวครับ


ด้วยเหตุผลแนวสร้างสรรค์สังคมแบบนี้ ไม่น่าแปลกที่เสียงคัดค้านจะมากกว่าเสียงสนับสนุนหลายกิโลเดซิเบล
(ขนาดผมหน้าด้านตีขลุมว่า คนที่อ้ำอึ้งหรือยิ้มแหะๆ แปลว่าเห็นด้วยแล้วนะครับเนี่ย)


แต่เห็นแบบนี้ ใช่ว่าผมจะหุนหันพลันแล่น หลับตาฝ่าดงตีนโดยไม่มีเหตุผลรองรับนะครับ
แผนการแบบเมก้าเคลเวอร์ ฉลาดสุดๆของผมคือ
ตอนนี้ผมมีเงินเก็บติดตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งมากพอที่จะเอาไปดาวน์รถได้หนึ่งคัน กินอาหารหรูๆได้หลายร้อยมื้อ
แต่ถ้าผมอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัว ใช้จ่ายประหยัด กินกระเพราหมูไม่ใส่ไข่ดาว คำนวณดูแล้ว ผมสามารถอยู่แบบสบายๆ โดยไม่ต้องทำงานได้น่าจะเกินปีนึง
หรือถึงหักค่าน้ำมัน ค่าตั๋วรถ ค่าเครื่องบิน ค่าเกสต์เฮาส์ออกไปแล้ว ผมก็มั่นใจว่า ผมน่าจะมีชีวิตรอดอยู่แบบสบายๆ เกิน 6 เดือนแน่นอน
โดย 6 เดือนต่อจากนี้ (หรือถ้าติดลมก็อาจขอต่อเวลาได้) ผมจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ที่น่าสนใจต่างๆ
อาจจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ โด่งดังหรือไม่มีใครรู้จักเลย ทั้งที่ที่ไปง่ายๆเดินไปก็ถึงหรือเดินทาง 3 วัน 3 คืน อาจจะเที่ยวทั้งแบบ 2 วัน 5 ประเทศหรือไม่ก็นอนเล่นๆ อยู่ที่เดิมไม่ทำอะไร 10 กว่าวันเลยก็ได้
โครงการเที่ยวที่ผมร่างเอาไว้ในหน้ากระดาษมีมากมาย แต่เป้าหมายหลักๆ ที่ผมตั้งใจจะทำให้ได้คือ เดือนนึงต้องเที่ยวให้ได้อย่างน้อย 2 ที่ ช่วงไหนไม่ได้ไปเที่ยวก็ทำในสิ่งที่อยากทำ เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เรียนเขียนพู่กันจีน เรียนกีตาร์ (ต้องขอกลับไปหา 100 สิ่งที่อยากทำก่อนตายที่เคยเขียนเอาไว้เมื่อนานมาแล้วซะแล้วสิ)
และคงใช้ชีวิตแบบไม่ทำงานแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเงินเก็บของผมจะหมดหรือจนกว่าผมจะเบื่อ (แต่ดูแล้วน่าจะเกิดจากข้อแรกมากกว่า)


หลายบันทัดที่ผ่านมา ผมใช้คำว่า "เที่ยว" แต่ผมกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด
มองภาพผมเป็นนักท่องเที่ยว ใส่หมวก สะพายกล้อง พายเรือล่องแก่ง สั่งซีฟู้ดมากิน ลากกระเป๋าล้อเลื่อนอะไรทำนองนั้น (ซึ่งผมก็ทำเช่นนั้นบ่อยๆ เหมือนกันนะครับ ไม่ใช่ไม่เคย)
ผมอาจจะโลกแคบหรือมองอะไรแบบด้านเดียวเกินไปก็ได้ แต่ผมมองว่าการเที่ยวของโลกทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นการเที่ยวแบบโลกยุคทุนนิยมที่ผู้คนไม่มีเวลาแม้จะละเมียดกับสิ่งรอบกาย การท่องเที่ยวกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพักผ่อนไม่ต่างจากการร้องคาราโอเกะ คือ เข้าไปหาความสุขแบบประเดี๋ยวประด๋าวและจากไปโดยไม่มีอะไรติดใส่หัว
จะไปเที่ยวที่ไหนสักที่ ก็แค่เปิดหนังสือนำเที่ยว เอาปากกาวงที่เที่ยวที่กินเด็ดๆ ไว้ว่าที่ไหนไม่ควรพลาด แล้วก็ตระเวนไปตามที่ที่วงเอาไว้ ไม่เคยเฉไฉออกนอกเส้นทาง
หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจและไปเที่ยวกลางคืนที่ผับท้องถิ่นแล้วก็รีบกลับบ้านเพราะยังมีงานประจำค้างคามากมายรอให้สะสาง
สรุปแล้ว คือ ไปเที่ยวแล้วได้มาครบทุกอย่างทั้งของฝาก รูปภาพ อารมณ์ประทับใจ
แต่ที่ขาดไปคือ ไม่รู้ว่าลักษณะบ้านเมืองหรือประชากรที่นั่นเป็นอย่างไร เพราะบางทีไปเที่ยวแล้ว มัวแต่สนใจกันเอง ไม่เคยคุยกับคนท้องถิ่นสักคำ
ผมไม่ได้บอกว่าการทำแบบนั้นเป็นเรื่องผิด เพราะแต่ละคนก็ล้วนแต่มีมุมมองที่ต่างกัน เพียงแค่รู้สึกเสียดายเล็กๆ ที่หัวใจของการท่องเที่ยวถูกละเลยไปแบบนี้


การเที่ยวแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปสู่ การเที่ยวแบบเน้นทุนนิยม คือ นักเที่ยวบางคนไม่ใส่ใจต่อสถานที่เที่ยว
บางคนก็เลยเถิดไปถึงขั้นสร้างปัญหา เช่น ทิ้งขวดเบียร์ไว้เกลื่อนชายหาด โยนถุงพลาสติกไว้ในป่า เป็นต้น
สถานที่ท่องเที่ยวบางที่มีการเทซีเมนต์ ราดคอนกรีต ปูกระเบื้อง ส่งนักท่องเที่ยวจากที่พักลัดไปถึงที่เที่ยว
จนทำให้เสน่ห์ดั้งเดิมของสถานที่ที่เคยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวยอมลำบากตราดตรำมาเที่ยวที่นี่หายไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
คุณมุกหอม วงษ์เทศ เคยเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า ทุกวันนี้คนเรากลายเป็นนักท่องเที่ยว (tourists) มากกว่านักเดินทาง (traveller) ไปเสียแล้ว
แม้ไม่ถึงขั้น ปั่นจักรยานแบกเป้ไปส่องโลก แต่ผมก็ขอตั้งปณิธานเล็กๆ ในใจว่า ผมขอเลือกเป็นนักเดินทางไม่ใช่ นักท่องเที่ยวครับ


คุยเรื่องตัวเองมาตั้งนาน เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ลืมทักทายคุณไปเลย
เป็นยังไงบ้างครับ ช่วงนี้ มีความสุขดีหรือเปล่า งานหนักไหม ได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง
มีสายสืบแอบบอกผมมาว่า ช่วงนี้คุณทำงานหนักมาก จนแทบไม่มีเวลากิน เวลานอน เวลาเที่ยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เพื่อนผมเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า สวรรค์ชอบเล่นตลกกับมนุษย์ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเที่ยว
เพื่อนผมอธิบายไว้แบบนี้ครับ
ตอนอยู่ในวัยเรียน ถ้าเราอยากเที่ยว เรานั้นจะมีเวลา มีแรง แต่ไม่มีเงิน
ตอนอยู่ในวัยทำงาน ถ้าเราอยากเที่ยว เรานั้นจะมีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา
ตอนเราแก่ชรา ถ้าเราอยากเที่ยว เรานั้นจะมีเวลา มีเงิน แต่ไม่มีแรง
ในเมื่อการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิผล จำเป็นต้องมี 3 ปัจจัย คือ เงิน แรง เวลา
ผมก็เลยมีคำถามลับสมอง มาถามคุณเล่นๆ คือ
คุณคิดว่า ในบรรดาสามอย่างนี้ สิ่งใดที่หาง่ายที่สุด
และสิ่งใดที่หายากที่สุดครับ


ไม่ได้ตั้งใจจะกวนคุณ แต่ทั้งสองคำถามนั้น คำตอบในใจของผมมีอยู่ข้อเดียวครับ
สิ่งนั้นก็คือเวลาครับ


ที่บอกว่าหายาก คือ
ถ้าคุณไม่มีเงิน หรือไม่มีแรง
อย่างน้อยคุณไปหากู้หนี้ยืมสินหรือว่าเลี่ยงไปเที่ยวที่ที่ไม่ต้องใช้เงินหรือแรงมากก็ได้
แต่ถ้าคุณไม่มีเวลา อยากได้เวลาเพิ่ม ต่อให้เอาเงินมากองเป็นสิบล้าน ขอซื้อเวลาสัก 2-3 วินาที ร้านสะดวกซื้อที่ไหนก็ไม่มีขายให้คุณ


และที่บอกว่าหาง่ายคือ
ถ้าคุณไม่มีเงิน หรือไม่มีแรง
ถ้าจะรอให้คุณทำธุรกิจหรือเข้าฟิตเนสฟิตร่างกายให้แข็งแรง จนมีเงินหรือมีแรงก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร
แต่สำหรับเวลา ถ้าคุณบริหารจัดสรรเวลาดีๆ เวลาที่เคยหายากหาเย็นก็อาจจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าดั่งมีมนตราเสกสรรค์
ถ้าคุณปล่อยให้สายธารแห่งกาลเวลาพัดผ่านไปพร้อมหอบเอาโอกาสดีๆ ที่นานๆ ทีจะมีสักครั้งติดไปกับมันด้วย ต่อให้คุณมีเงินกี่พันล้าน คุณก็ไม่สามารถทำให้มันย้อนกลับมาได้
เว้นแต่ คุณจะเอาเงินไปคิดค้นสร้างเครื่องไทม์แมชชีนแล้วย้อนเวลากลับมานั่นแหละครับ


ถ้าสายตาของคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว คุณก็ยังไม่เข้าใจว่า แล้วผมจะเขียนจม.มาบอกคุณทำไม
เพราะตอนนี้ชีวิตของผมกับคุณก็ไม่ได้พาดผ่านกันอยู่แล้ว
ผมมีคำตอบให้ครับ
เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ เป้นประสบการณ์ที่ต้องใช้หลายสิ่งของผมแลกมา
คิดตามหลักทุนนิยมแล้ว ผมรู้สึกว่า มันไม่คุ้มเลย ถ้าผมจะได้เป็นคนที่รับรู้มันแค่เพียงคนเดียว
ถ้าจะมีคนอื่นมาร่วมรับรู้ด้วย คุณเชื่อไหมครับว่า คุณคือคนแรกที่ผมคิดถึง
ไม่ใช่ว่าคุณคือคนที่ผมเคยชอบ
ไม่ใช่ว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ผมมี
หรือคุณเป็นคนเดียวที่ทนอ่านลายมือโคตรหวัดของผมรู้เรื่อง


คุณไม่ต้องมองหาสาเหตุอะไรให้วุ่นวายหรอกครับ
เพราะคำตอบทั้งหมดมันอยู่ที่ดวงตาของคุณนั่นแหละครับ
เบื้องหลังแววตาของคุณ แววตาที่คนอื่นชอบมองว่าอ่อนแอ อ่อนไหวง่าย ยอมจำนนต่อชีวิต
ผมแอบเห็นแววตาของนักสู้ นักผจญภัย ผู้อยากออกไปค้นหาสิ่งใหม่ๆ ซ่อนอยู่ในนั้น
และถ้าจดหมายฉบับนี้ มันจะมีความหมายมากบ้าง ผมอยากให้มันเป็นดั่งเชื้อไฟที่จุดลงไปในกองฟืนของคุณ เผื่อมันจะทำให้คุณได้ค้นพบตัวเอง และเริ่มก้าวเท้าเพื่อออกเดินทางไปกับเขาบ้าง
ซึ่งการเดินทางนั้น คุณไม่จำเป็นต้องออกเดินหมื่นลี้ หรือบุกป่าฝ่าสายน้ำเชียวให้ยากลำบากลำบนอะไร
เพราะการเดินทางที่ยากลำบากที่สุด และสำคัญที่สุดด้วยเช่นกัน ก็คือ การเดินทางเพื่อสำรวจใจของตัวเองครับ


เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองพล่ามมามากพอแล้ว
คงได้เวลาเก็บกระเป๋าสักที
อย่าเสียเวลาเดาเลยนะครับ ว่าผมเก็บกระเป๋าเพื่อจะเดินทางไปที่ไหน เพราะผมเองก็ยังไม่รู้ตัวผมเลย ว่าจะเดินทางไปที่ไหนดี (เริ่มต้นก็ทำท่าไม่ดีแล้วเรา ฮ่าๆๆ)


แต่คุณจะได้รู้แน่นอน ทันทีที่จดหมายฉบับที่สองถูกส่งมาหาคุณ


สุดท้าย นอกจากอธิษฐานกับดินฟ้าว่า ขอให้เดินทางปลอดภัยแล้ว
ผมยังแอบอธิษฐานสอดไส้ลงไปนิดหน่อยว่า
ขอให้มีโอกาสได้เดินสวนกับคุณแค่สักครั้งก็ยังดี ถ้าโลกใบนี้ไม่แคบเกินไปนัก


Bon Voyage...
นกที่ไม่มีขา


*******************************************


หมายเหตุท้ายเรื่อง - ปัจจุบันผมไม่ได้ติดต่อกับหญิงสาวคนนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางจดหมาย โทรศัพท์ อีเมล (ขนาดตัวเป็นๆ ก็ไม่ได้เจอมานานแล้ว)


ความน่าเศร้าเหลือทนของชีวิตจริงๆ...










Create Date : 21 สิงหาคม 2551
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 5:21:25 น. 21 comments
Counter : 917 Pageviews.

 
สิ่งที่ชอบตอนนี้

1.ภาพยนตร์เรื่อง Wall-E
2.เพลงดาวเสาร์ ของลุลาและเพลง La Vie en Rose ที่ประกอบใน Wall E
3.งานเขียนของคุณนรา
4.ดีวีดีภาพยนตร์เรื่องบุญชู 1-8
5.น้องตาล กัญญา รัตนเพชร์

สิ่งที่ไม่ชอบตอนนี้

1.เพลงพิษสตรีเรื้อรัง -Sick Project
2.อะไรๆ ก็โทษเกม
3.ข่าวคุณยอดรัก
4.พวกโทรขายประกัน/ฟิตเนสทางโทรศัพท์
5. การโปรโมต AF จนเกินพอดี


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:5:33:50 น.  

 
เวลาเดินทาง อยากมีเวลานาน ๆ ในการอยู่ที่ไปเยือน มากกว่าไปแปบ ๆ แบบนักท่องเที่ยว อยากอยู่เพื่อซึมซับบรรยากาศ วิถีของที่นั่นน่ะ

สิ่งที่ไม่ชอบตอนนี้ของคุณ เราเห็นด้วยและรู้สึกเช่นกันเกือบทั้งหมด

ชอบคนคิดอะไรแบบที่คุณเป็น



โดย: p_tham วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:7:39:27 น.  

 
ขอบคุณที่แวะเข้าไปบล็อคผมนะครับ

คุณฟ้าดินบอกว่า ขอบคุณที่ผมแนะนำบล็อคดีๆให้ แต่ผมอยากบอกว่า การที่คุณฟ้าดินเข้าไปในบล็อคผม ก็เป็นการทำให้ผมได้รู้จักบล็อคดีๆเพิ่มอีกหนึ่งบล็อคเหมือนกัน

สำนวนจดหมายของคุณฟ้าดิน ทำให้ผมนึกถึงหนังสือ "จดหมายถึงนักเขียนหนุ่ม" ที่ได้อ่าน (แต่ยังไม่จบ) ไปเมื่อเร็วๆนี้ เขียนได้ดีมากๆครับ (อ่านแล้วแทบจะลาออกจากงานแล้วตามไปเที่ยวด้วยเลย)

คุณฟ้าดินแทนตัวเองเป็นนกไร้ขา งั้นผมขอนึกหน้าคุณฟ้าดินว่าคงเหมือน เลสลี่ จาง นะครับ 5555

ส่วนเรื่องของเธอคนนั้น อารมณ์แบบนี้ผมว่าผู้ชาย 9 ใน 10 คน ต้องเคยมีครับ ยืนยันว่ามันจะเป็นความเศร้าที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต แต่ระดับความรุนแรงอาจจะลดลงตามเดือนปีที่ผ่าน ทำใจอยู่กับมันได้เลยครับ


โดย: แฟนผมตัวดำ IP: 202.134.119.218 วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:10:38:07 น.  

 
ผมว่าการเดินทางครั้งใหม่
ควรเริ่มต้นด้วยจดหมายและจุดมุ่งหมายใหม่

โชคดีครับ


โดย: พลทหารไรอัน วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:14:11:54 น.  

 
พี่สนใจงานอาสาสมัครมั้ยอ่ะคะ
ตอนนี้เเอมตั้งใจว่า จะเข้าไปร่วมงานกิจกรรมอาสาสมัครที่เขาเปิดรับ อย่าน้อยก็เดือนละครั้ง

//volunteerspirit.org/

อยู่ในเว้บนี้นะ ถ้าสนใจ ไปด้วยกันมั้ย

มันคือหนึ่งบทเเห่งการเดินทาง
เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
มีความหมาย เเละน่าภูมิใจนะ




โดย: This road is mine วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:14:19:03 น.  

 
อันที่จริงเเล้ว..ถ้าพี่จะออกเดินทางอีกครั้ง ต้องการเพื่อนร่วมทางมั้ย

เอามาเขียนหนังสือขายได้เลย เดี๋ยวเเอมทำภาพประกอบให้ 555


โดย: This road is mine วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:14:21:17 น.  

 
Bon Voyage


โดย: grappa วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:21:31:13 น.  

 
ถึงคุณ เพื่อนผม
(ขออนุญาตใช้คำสุภาพในการเขียน)
ผมได้(แอบ) อ่านจดหมายของคุณ มาครั้งหนึ่งแล้ว ก่อนที่มันจะถูกเผยแพร่ออกมาสู่วงกว้างแบบนี้ อันที่จริงผมได้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาหลังจากที่อ่านจบ แต่เสียดายที่ไม่ได้ส่งให้คุณในวันก่อนนั้น เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานพอสมควร ได้กลับมาอ่านมันอีกครั้ง ก็เลยถือโอกาสค้นกรุจดหมายเก่าๆออกมาปรับปรุงเผยแพร่บ้างเผื่อจะเท่ แบบพี่วินทร์ เขียนตอบกับพี่ปราบดา มั่ง
ผมยินดีกับคุณด้วยที่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวในการเดินทางออกไปจากวงจรข้าราชการอันน่าเบื่อได้ คุณเคยพูดถึงความฝันของคุณ แล้วคุณก็ได้ตัดสินใจก้าวออกไปหามันอย่างกล้าหาญ มันทำให้ผมทึ่งจริงๆ ส่วนผมนะเหรอ ผมรู้ตัวเองดีว่าผมคงไม่กล้าตัดสินใจแบบคุณ ผมอาจยังไม่พร้อมกับเสรีภาพในโลกกว้าง และยังพอใจยึดเหนี่ยวอยู่กับบางสิ่งในโลกแคบๆที่คิดว่ามั่งคง ผมอาจจะอยู่อย่างนี้ พร่ำบ่นกับตัวเองไปวันๆ นั่งมองความฝันที่หล่นหายไปเรื่อยๆ จนเมื่อวันหนึ่งเมื่ออายุมากขึ้น ผมอาจจะลืมไปแล้วว่าเคยฝันอะไรไว้ (โอ้ .....ไม่นะ อย่าให้เป็นแบบนั้น)
คุณบอกจะลาออกเพื่อเดินทาง ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ยกมือสนับสนุนความคิดบ้าๆ นี้ อย่างที่เราเคยคุยกันในวัยของเรามีเงิน มีแรงแล้ว ขาดแต่เวลาที่จะหายากสักหน่อย สำหรับตัวผมเอง ก็คงพอจัดสรรหาเวลาได้บ้าง แต่คงใจไม่กล้าพอเท่าคุณ บางครั้งผมพอใจกับการออกเดินทางเผชิญโลก แต่บางอารมณ์กลับอยากอยู่เงียบๆ นิ่งๆ ในที่ที่คุ้นเคย นั่นแหละผมล่ะ
สิ่งที่ผมอยากฝากบอกคุณ พ่อนกไม่มีขา ผมอยากให้คุณระมัดระวังตัว บางทีที่ที่คุณบินไป คุณอาจคิดว่ามันเป็นโลกกว้างที่แสนเสรี แต่ดูให้ดีนะว่ามันไม่ใช่กรงใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม อืม... ว่างๆก็ส่งข่าวคราวกันบ้าง หวังว่าสักวันคงได้บินตามไป อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย

โชคดี
ผมเพื่อนคุณ

หมายเหตุ - สงสัยอยู่อย่างหนึ่งว่า จดหมายฉบับนี้เขียนถึงใคร เดาไม่ออกจริงๆ ถ้าไม่อ่านจากหมายเหตุท้ายเรื่อง ก็อาจจะพอเดาได้ แต่พออ่านแล้ว ที่ว่าขนาดตัวเป็นๆ ก็ไม่ได้เจอมานานแล้ว ตกลงนี่มันใครวะ (หญิงสาวคนไหนเหรอ เยอะเหลือเกินนะท่าน)


โดย: calcium_kid วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:23:45:47 น.  

 
ไอ้เพลงพิษสตรีเรื้อรังนี่
มันทำให้หูเรื้อรังจริงๆ ผมยืนยัน


โดย: visuallyyours IP: 58.8.105.236 วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:8:14:12 น.  

 
+ ขอบคุณที่แอ๊ดกันนะครับ คุณเลสลี่นกไร้ขา ... เอ๊ย! คุณฟ้าดิน และยินดีที่ได้รู้จัก พูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับ

+ ไอเดียคล้ายๆ ผมเลยครับ ผมก็มีปรัชญาเช่นกันว่า 'ถ้ารักจะเที่ยว ก็ไปซะ ตั้งแต่ตอนยังมีแรง ... ส่วนตังค์ หมดไปก็เก็บใหม่ได้'

+ ผมโชคดีนิดนึง ที่ช่วงเศรษฐกิจยังดีเมื่อหลายๆ ปีก่อน บริษัทได้ส่งไปฝึกงานที่ต่างประเทศบ้าง ก็เลยถือเป็นกำไรชีวิตและเป็นการเปิดหูเปิดตาอันคับแคบของตัวเองไปด้วยในตัว

+ ตั้งแต่ผมทำงานมานี่ ก็เคยแอ๊ดตัวเองไปกับกลุ่มเที่ยวของชาวบ้านมาหลายกลุ่มแล้ว ตะลุยดะทั้งใกล้และไกล ... ส่วนใหญ่ผมชอบไปโซนอันดามัน อ่ะครับ สวยมากมาย แต่ไปป่าแบบลุยๆ ก็มันส์ดีเหมือนกันนะ (แต่หาแก๊งไปด้วยไม่ค่อยได้)

+ ส่วนต่างประเทศ ก็ไปเท่าที่ใจอยาก, เวลาได้, ปัจจัยอำนวย อ่ะครับ (จริงๆ ผมมีลิสต์ของ destination ในโลกใบนี้ที่ผมอยากไปอยู่ 40 กว่าแห่ง ได้ไล่ขีดบางแห่งออกไปแล้วเหมือนกัน แต่ที่ๆ เหลือ ตั้งใจไว้ว่าซักวันนึงจะต้องไปเยือนให้ได้อ่ะครับ) - ตอนนี้ไปได้ 9 ประเทศ ใน 4 ทวีปแล้ว)

+ อันที่ผมทำคล้ายๆ คุณ (แต่ไม่กล้าขนาดที่คุณทำ - คือไม่ได้ลาออก) คือตอนนั้นผมทำเรื่องลาบริษัทไปเรียนภาษาอังกฤษ ที่นิวซีแลนด์ 6 เดือน (โดยไม่รับเงินเดือน - แต่เค้าคงตำแหน่งที่แผนกไว้ให้) ครับ ไปอยู่คนเดียวเลยกับแฟมิลี่ฝรั่ง ไม่รู้จักใคร ... เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มันส์มาก คงไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว (แก่เกินวัยเรียน) และคงอยู่ในความทรงจำไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เลยอ่ะครับผม

+ แล้วไว้จะรออ่านประสบการณ์การตะลุยโลกกว้างของคุณนกไร้ขา นะครับ ... ถ้ามีโอกาสดี ซักวันหนึ่งอาจได้แจมทริปกันอ่ะครับผม

+ คุณเป็นคนมีไอเดียดี และมีความกล้าหาญมากๆ รวมทั้งมีความ อินดี้ ในตัวเองสูง ไม่ยอมให้กรอบสังคมมากำหนดชีวิตคุณ ... แต่ก็อย่าลืมวางแผนหลังจากเสพย์ความสุขมาเต็มอิ่มแล้วด้วยนะครับ ว่าจะทำอะไรต่อไปอ่า


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:15:36:50 น.  

 
แอบคึกคักนะเนี่ย

อ่านแล้วอินเลย 555 อยากออกเดินทางบ้างจังเลย


โดย: จอม IP: 119.42.64.96 วันที่: 23 สิงหาคม 2551 เวลา:4:45:05 น.  

 


แล้วผม(สมจืตร)จะพยายามหยิบเหรียญทองมาฝากชาวไทยนะครับ
ส่งแรงใจช่วยกันด้วย 18.00 น.วันนี้( 23 สค.2551)


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 23 สิงหาคม 2551 เวลา:9:19:29 น.  

 
หนังที่ได้ดูในช่วงพค.-มิย./กค. 2551

ตีพิมพ์(ใช้ศัพท์ถูกหรือเปล่าหนอ 555)ครั้งแรกในบลอกของคุณนาโนกาย

พค.-มิย.2008
//nanoguy.exteen.com/20080714/entry

กค.2008
//nanoguy.exteen.com/20080808/entry

*************************
หนังที่ได้ดูในช่วงเมย.- มิย.51


Requiem for a Dream [A+]
ชอบหนังเรื่องนี้มากครับ ภาพและการตัดต่อเข้าขั้นเทพ
(ภาพตอนนักแสดงกำลังเสพยา ได้ใจผมมาก)
และที่เทพยิ่งกว่า คือการแสดงของคุณเอลเลน เบิร์นสตีน ที่โทรมเพื่อบทได้น่ากลัวยิ่งนัก
ดูจบแล้วหดหู่ไปหลายวัน


สี่แพร่ง [C+]
ลำดับความชอบของผม คือ 3>>1=4>>>>>2
ตอน 3 ผมชอบตอนนี้ที่สุด กำกับดี แสดงดี บทฉลาด รู้สึกว่าคุ้มค่าตั๋วก็ตอนนี้แหละครับ
ตอน 2 กับตอน 4 แม้จะมีช่องโหว่อยู่บ้าง แต่ก็ทำได้ลงตัวดี
ตอน 2 อุตส่าห์ได้วัตถุดิบดีๆ มาแต่กลับเอามาใช้ได้ทิ้งๆ ขว้างๆ มากที่สุด (โดยเฉพาะน้องชลลี่)



Tokyo Tower [C+]
แม้หนังจะดูจริงจังและไม่ออกการ์ตูนเท่า always แต่ผมกลับชอบ always มากกว่าหนังเรื่องนี้
(แต่ก็ชอบมากกว่า always 2 ที่ออกทะเลไปสุดกู่)
อาจจะเพราะผมรู้สึกว่า หนังมันมาในทางแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ เท่าไร
แถมฉากรักษามะเร็งก็เร้าอารมณ์จนเกินพอดี


Iron Man[A-]
ยอมรับตามตรงว่า โคตรชอบ 555
หนังมันก็ดีประมาณนึง แต่สิ่งที่ทำให้ความดีของหนังมันทะลุขึ้นมาอีกขั้นก็เพราะการแสดงของพระเอก
ที่ทั้งกวน ขวางโลก แสบสันต์ดีแท้ ส่วนคุณกวินเนท ถ้าไม่ติที่ว่าตีนแกเธอเยอะไปหน่อย เธอก็ดูสดใสใช้ได้เลยนะ
ส่วนคุณเจฟฟ์ บริดเจส แกดูเฉยๆ ผิดฟอร์มแกไปหน่อย (แต่ก็ยังดีกว่าคุณเทอร์เรนส์ ฮาวเวิร์ดที่เดินไปเดินมา ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำสักเท่าไร)


Wonderful Town[A]
-อารมณ์หนังคล้ายๆ หนังของคุณเจ้ย (อาจจะเพราะมีผู้กำกับภาพ+คนตัดต่อคนเดียวกัน) แต่เป็น"เจ้ยเวอร์ชั่น light" คือ เข้าใจและเข้าถึงง่ายกว่า
-การถ่ายภาพ การตัดต่อ การแสดงของนางเอก บรรยากาศในหนัง และที่สำคัญคือ ดนตรีประกอบ คือ สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่น
-ปกติผมไม่ค่อยเพลงของคุณธีร์ ไชยเดช แต่ยอมรับว่าเพลง"20202" เหมาะกับหนังเรื่องนี้สุดๆ
-ผมชอบช่วงท้ายของหนังมากๆ เพราะมันทำลายความคาดหวังของคนดู (ที่หนังช่วงต้นๆ ปูเอาไว้) เสียจนหมดสิ้น
-หนังเปรียบชีวิตคนเหมือนทะเล คือ มีทั้งช่วงเงียบสงบแต่บางทีอาจแฝงความรุนแรงอยู่ข้างใน คาดเดาไม่ได้ เหมือนตัวละครในเรื่องนี้ที่ทำอะไรตามอารมณ์มากกว่าเหตุผล (จนเป็นการทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว) และการสูญเสียมักจะจู่โจมเราอย่างรวดเร็วและรุนแรงดั่งคลื่นซึนามิ
-เป็นหนังที่ดูจบใหม่ๆ จะรู้สึกเฉยๆ แต่พอเวลาผ่านไป ภาพในหนังจะยังติดตรึงอยู่ในหัวเรา ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ (ความรู้สึกเหมือนตอนดู Brokeback Mountain)
สรุปแล้ว ชอบครับ


The Talented Mr.Ripley[A]
ผมว่าคุณแมต เดมอนแกเหมาะกับบทโรคจิตแบบนี้มากกว่าบทคนดี คนซื่อซะอีก
หนังทำได้ละเมียดมาก สมฝีมือคุณมิงเกลล่า


Speed Racer[C-]
มีหลายคนบอกว่า หนัง Speed Racer ถ้าคนชอบก็จะชอบไปเลย ถ้าคนไม่ชอบก็จะไม่ชอบไปเลยเช่นกัน(ผมจัดอยู่ในกลุ่มหลัง)
สิ่งที่โดดเด่นของหนังเรื่องนี้คือ เทคนิคการสร้าง และมุมมองทางด้านภาพ
แต่น่าเสียดายที่ตัวหนังมันดูขาดๆเกินๆ จนทำให้เจตนาของผู้สร้างที่ตั้งใจจะทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี
กลายเป็น หนังที่เด็กดูแล้วสับสน ส่วนผู้ใหญ่ดูแล้วก็เบื่อไปซะงั้น
ปล.ผมคนนึงที่งงว่า พี่ฮิโรยูกิ ซานาดะมาทำไม (เป็นการใช้ดาราไม่คุ้มค่าอย่างรุนแรง หนังอดัม แซนเลอร์ยังใช้งานร็อบ ชไนเดอร์คุ้มค่ากว่าหนังเรื่องนี้ใช้งานพี่ซานาดะเสียอีก)


Juno[A]
ชอบที่มันไม่ตัดสินว่าการท้องก่อนแต่งเป็นเรื่องเลว (เหมือนที่ผู้ใหญ่ในบ้านเราชอบตัดสิน)
แต่หนังเลือกที่จะมองปัญหานี้ในแง่ดีและมองด้วยความเข้าใจ
แม้จะแอบรำคาญน้องนางเอกบ้าง แต่ยอมรับเลยว่า เธอเล่นดีจริงๆ (อยากมีแฟนแบบนี้สักคน 555)


A Clockwork Orange[A++]
บอกได้คำเดียวว่าหนังเรื่องนี้ แร้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ปล.น่าจับให้กองเซ็นเซอร์ดูหนังเรื่องนี้เป็นยิ่งนัก


Kung Fu Panda[A-]
ถึงแม้จะเป็นหนังที่เอาของชาติอื่นมาทำเพื่อขายความ exotic อีกเรื่อง
แต่ก็ชื่นชมที่เอาของเขามาแล้วทำได้ถึงดี (ดีกว่ามัมมี่3 เยอะ)
แถมหนังยังตลก สนุก น่าติดตาม ตัวละครก็มีเสน่ห์
สรุปคือ เป็นการ์ตูนที่ผมชอบมากๆ ในยุคหลังๆ (แต่ชอบ Wall-E มากกว่า)


สะบายดี หลวงพะบาง[C-]
เป้นหนังที่ถ้าไม่ชอบไปเลยก็เกลียดไปเลย(ผมอยู่ในกลุ่มหลัง)
หนังมันดูเบาบาง ไม่มีปม ไม่มีความน่าสนใจอะไรทั้งสิ้น
แถมช่วงหลังๆ ที่พยายามจะเป็น Before Sunrise ก็ไม่ได้เข้ากับหนังเล้ย
แต่สาเหตุที่ผมดูหนังเรื่องนี้ด้วยความเพลิดเพลินจนจบได้ ขอมอบความดีความชอบให้กับน้องคำลี่ พิลาวงแต่เพียงผู้เดียว


รัก/สาม/เศร้า[C-]
ไม่ชอบมากกว่าสะบายดี หลวงพะบางอีก 555
ชอบที่หนังทำออกมาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่แต่สุดท้ายก็ออกมาเฟค
ตัวละครนอกจากน้องก้อยแล้ว สอบตกทุกคน
บทสรุปที่ตัดทิ้งไปเลยจะดีกว่า
ปมต่างๆ ที่ออกมาแบบซ้ำซาก
เทียบกันแล้ว ผมยังชอบกระสือวาเลนไทน์มากกว่าหนังเรื่องนี้อีก (ยังก็ยังชอบมากกว่า โกยเถอะเกย์นะ)


Wanted[B+]
ชอบมากๆ แม้หนังจะรั่วไปบ้าง
ชอบมุมมองภาพของผกก.ที่ทำออกมาได้กวนและจัดจ้านมากๆ และคุณโจลี่ ที่ออกมาฉากไหน ผู้ร่วมฉากรัศมีดับกลายเป็นตัวประกอบไปเลย (ไม่เว้นแม้แต่พระเอก 555)
เสียดายที่มาดูตอนอายุมากแล้ว ถ้าได้ดูตอนเด็กๆ สักช่วงมัธยม น่าจะชอบมากกว่านี้


The Diving Bell and the Butterfly[A+]
สิ่งที่ต้องชมมาก คือ ฝีมือของผกก.
กำกับได้ดีมาก มีมุมมองด้านภาพเจ๋ง
-ช่วงชม.แรกของหนัง แอบคิดในใจว่า ทำไมพระเอกเรื่องนี้สบายจัง ใช้แต่เสียง (ช่วงแรกไม่เห็นหน้าพระเอกเลย)
-เห็นด้วยที่ว่า ดูหนังแล้วหดหู่กว่าอ่านหนังสือจริงๆ ดูไปเสียวสันหลังไป (กลัวเป็นเหมือนเขา) แต่คิดในอีกแง่ คือ ยิ่งทำให้คนดูอึดอัดเหมือนอยู่ในชุดประดาน้ำมากเท่าไร เวลาที่ผีเสื้อโบยบิน คนดูก็จะยิ่งรู้สึกเหมือนโดนปลดปล่อยมากขึ้นเท่านั้น
-ตอนแรกผมคิดว่า หนังเรื่องนี้จะไม่มีนางเอกเสียอีก ที่ไหนได้ นางเอกเยอะกว่าหนังเจมส์ บอนด์ตอนใหม่เสียอีก
-เห็นหน้าพระเอกตอนอยู่รพ.แล้ว ชู 2 นิ้วให้เลย (ไม่รู้ผมโรคจิตหรือเปล่า เวลากลับไปบ้าน แอบลองทำหน้าแบบพระเอกดู ทำได้ 10 วิก็เมื่อยแล้ว)


Indiana Jones 4[B]
ความจริงเป็นหนังที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้นะ (เพราะภาค 3 มันก็สรุปเรื่องราวทั้งหมดได้ดีอยู่แล้ว)
แต่ถ้าดูแบบไม่ต้องคิดอะไรมากก็เพลินดี
เสียดายที่ส่วนที่ดีๆ ของหนังชุดนี้ ถูกหนังเรื่องอื่นแย่งเอาไปใช้หมดแล้ว ทำให้พิหนังเรื่องนี้กลับมาใหม่
คนรุ่นหลังมาดู จึงอดคิดไม่ได้ว่า หนังเช้ย เชย


Batman ทั้ง 5 ภาค
Batman[A-]
Batman Returns[A+]
Batman Forever[C+]
Batman and Robin[D+]
Batman Begins[A]

-ชอบภาค Batman Returns ที่สุดในกลุ่มนี้(แต่ถ้าถามตอนนี้ก็ต้องตอบว่า The Dark Knight)
-ไม่ชอบภาค 4 ที่สุด แต่ก็รู้สึกว่า หนังมันโดนด่ามากเกินกว่าที่ควรจะเป็น (ความจริงมันก็ไม่ได้ห่วยมากขนาดนั้นนะ ก่อนบ่าย เดอะมูฟวี่ยังแย่กว่าหลายเท่า)




โดย: ฟ้าดิน วันที่: 24 สิงหาคม 2551 เวลา:3:30:44 น.  

 
หนังที่ผมดูในช่วงเดือนกค. ครับ

Red Cliff[C]
อาจจะเพราะไม่ค่อยคาดหวังอะไรมากมาย (หลังจาก จอมใจบ้านมีดบิน, The Promise, The Banquet, Curse of the Golden Flowers และสามก๊กฉบับพี่หลิว ทำให้ความคาดหวังต่อหนังจีนประเภทอลังการงานสร้างลดลงอย่างฮวบฮาบ) ผลที่ออกมาก็เลยเกินคาดนิดหน่อย
หนังมีจุดอ่อนตรงที่ หนังไปเน้นจุดที่ไม่ควรเน้น ทำให้หนังออกมาค่อนข้างยืด และเสมือนเป็นบทเกริ่นนำขนาดยาวให้กับหนังภาคสองที่กำลังจะออกมามากกว่า


The Dark Knight[A+]
นี่คือ หนังที่ผมชอบมากที่สุดในรอบปีครับ
แน่นทั้งเนื้อหา การแสดง บท การกำกับ และงานสร้าง
และดีใจที่หนังเรื่องนี้ทำเงินทะลุ 500 ล้าน
เพราะสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่หนังทำให้ดูง่ายๆ ส่งๆ ตีหัวเข้าบ้านอย่างเดียวที่มีสิทธิ์จะทำเงินถล่มทลาย


Grave of the Fireflies[A+]
ชอบมากตรงที่หนังมันเศร้าแบบเรียบๆ ไม่พยายามบีบคั้นคนดูอะไรมากมาย
เพราะแค่เนื้อหาก็เล่นเอาคนดูถึงตายได้แล้ว
ใช้ล้างตาจากอนิเมชั่นประเภทฟีลกู้ดที่ออกมาเป็นโขยงในช่วงนี้ได้อย่างดี


Hellboy 2: The Golden Army[B]
ชอบภาคสองมากกว่าภาคแรก เพราะรู้สึกว่าคุณเดลโตโร่ แกได้ปลดปล่อยเต็มที่แบบไม่มียั้ง (เหมือน Pan's Labyrinth เวอร์ชั่นเอามัน)
ส่วนที่หลายๆ คนบอกว่า ภาคสองเนื้อหาไม่ค่อยมีอะไร ก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับมันเท่าไร เพราะรู้สึกว่า มันก็ไม่ค่อยจะมีอะไรมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว 555

****************



โดย: ฟ้าดิน วันที่: 24 สิงหาคม 2551 เวลา:3:32:40 น.  

 
คราวก่อนก็ว่าจะออกมาเที่ยวไม่ใช่เหรอ


โดย: Marquez วันที่: 25 สิงหาคม 2551 เวลา:3:37:36 น.  

 
+ คุณฟ้าดิน ไม่ดึงเอาบทสรุปหนังที่แปะไว้ แยกมาทำเป็นหน้าต่างหาก ในกรุ๊ป Cinema Paradiso เลยล่ะครับ ... เพราะก็อ่านเพลินได้อีก (เหมือนผมคุ้นๆ แหละว่าเคยอ่านที่บล็อกน้องนาโนฯ มาทีนึงแล้ว) ... ของผมก็ทำแบบนั้นเช่นกันครับ สรุ๊ปไว้ที่กรุ๊ปหนังในบล็อก แต่จะรีวิวรวบยอดประมาณไตรมาสละครั้งอ่ะครับผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 25 สิงหาคม 2551 เวลา:14:00:36 น.  

 
***คุณ p_tham

ขอบคุณครับ


****คุณแฟนผมตัวดำ

หน้าผมไม่เหมือนเลสลี่ จางหรอกครับ จะออกไปทางหลิวเต๋อหัวมากกว่า 555
(กล้าพูดนะคนเรา 555)


***คุณพลทหารไรอัน

อาจจะเป็นการเดินทางใหม่แต่จุดหมายเดิมก็ได้ครับ เพราะครั้งก่อน ทำที่ตั้งงเป้าไว้ไม่สำเร็จ คราวนี้ว่าจะขอแก้มือ


***คุณThis Road is Mine

เริ่มโครงการแรกเลยดีกว่า หนังสือท่องเที่ยวเวียดนาม 555


***คุณ grappa

You, too.


***คุณ calcium_kid

คนนั้นแหละท่าน มีอยู่คนเดียว
เพราะหลังจากครั้งที่ได้เจอนางผู้นั้นพร้อมกับท่านครั้งกระโน้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เจอนางอีกเลย


***คุณvisuallyyours

ถ้าผมได้ยินเพลงนี้จากวิทยุเมื่อไร ผมจะรีบวิ่งไปปิดวิทยุภายใน 0.01 วินาทีทันที


***คุณบลูยอชท์

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ
แผนการหลังเสพความสุขจนอิ่มแล้วน่ะหรือครับ ขอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่ายังไม่มี แหะๆๆ
ได้แต่หวังว่าระหว่างเที่ยวคงคิดออก


***คุณจอม

แปลว่าปกติ บลอกนี้เงียบเหงาหรือ 555
ไม่จริ๊ง เรตติ้งออกจะดี จะแพ้ก็แต่บลอกพี่เอ๋เท่านั้นแหละ


***คุณเริงฤดีนะ

รับทราบครับ


***คุณMarquez

คราวก่อนยังไม่หนำใจครับ คราวนี้ก็เลยต้องขอสอง แบบน้องพลับ


***คุณบลูยอชท์ (อีกรอบ)

เดี๋ยวรอให้จบเดือนนี้ก่อน แล้วจะทยอยเอามาลงนะครับ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ



โดย: ฟ้าดิน วันที่: 27 สิงหาคม 2551 เวลา:3:16:05 น.  

 
เราได้รับหนังสือของคุณแล้ว

ขอบคุณมากครับ


โดย: ตะวันออกไม่แพ้ วันที่: 27 สิงหาคม 2551 เวลา:10:30:03 น.  

 
ดีครับ สักวันเราอาจจะได้เดินสวนทางกัน อย่าลืมทักทายกันนะครับ


โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:7:32:01 น.  

 
เบื่อเหมือนกันเลยนาย
เบื่อพวกขายประกันทางโทรศัพท์ ขอเวลา 3 นาทีค่ะ เล่นคุยไป 15 นาที ทิ้งโทรศัพท์วางไว้เฉยๆเลย

ดีแล้วแหละพี่ก้อน หาความสุขให้ชีวิต ไว้มีทริปอะไรอีกโทรมาชวนด้วยเด้อ เวียดนามนี่ของดก่อนโลด แล้วก็เอามาอัพในบล็อคด้วยนะ จะติดตาม แม้จะไม่ค่อยเม้น555


โดย: louknam IP: 58.136.56.57 วันที่: 2 กันยายน 2551 เวลา:13:50:32 น.  

 
กล้าที่จะก้าว ก้าวพร้อมกับความกล้า
สิ่งที่จะได้มา มันมากกว่าความฝันค่ะ


โดย: PrincessCharming IP: 125.24.156.111 วันที่: 12 ตุลาคม 2551 เวลา:11:41:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.