|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
+-+-+-+-+-+-+-+-+-+จดหมายถึงคุณ ก่อนที่นกไร้ขาตัวนี้จะเริ่มบิน+-+-+-+-+-+-+-+-+-+
หมายเหตุ - บทความนี้คัดลอกมาจากจดหมายฉบับหนึ่งที่จขบ.เขียนขึ้นเพื่อส่งให้กัลยาณมิตรคนหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก่อนที่จขบ.จะตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อเดินทางท่องเที่ยวเป็นเวลา 6 เดือน
โดยได้มีการดัดแปลงข้อความบางส่วนเล็กน้อย และได้มีการลบชื่อในจดหมายออกเพื่อความเป็นส่วนตัวของทั้งผู้ส่งและผู้รับจม.
สาเหตุที่เอาจม.นี้มาลง ก็เพราะตอนนี้ จขบ.กำลังใกล้จะออกบินเป็นครั้งที่สอง (แต่ขี้เกียจเขียนจม.เป็นครั้งที่สอง เลยเอาของเก่ามาหากินซะเลย 555)
***************************************
ถึง คุณที่รัก
ก่อนที่จะเขียนชี้แจงแถลงไขอะไรต่อไป ก่อนอื่นต้องขออภัยที่จดหมายฉบับนี้ถูกเขียนด้วยลายมือที่ยุกยิกยุ่งเหยิง เหมือนไม่ได้ใช้มือเขียน
หากจะโทษ ก็คงต้องโทษที่ตัวบรรยากาศนั่นแหละครับ
ด้วยแสงสว่างระดับ 1 แรงเทียนบวก 1 แรงแสงจันทร์แกล้มด้วยอุณหภูมิประมาณ 10 องศาบนยอดเขาที่หนาวเหน็บ ทำให้ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเขียนจดหมายถึงใครสักเท่าไร
แต่ที่ต้องเขียนก็เพราะว่า ผมคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเขียนจดหมายถึงคุณ
คุณอาจรู้สึกแปลกใจเล็กๆ ที่อยุ่ดีๆ จดหมายฉบับนี้ก็ถูกส่งมาหาคุณ ทั้งที่ยุคสมัยนี้เขาติดต่อสื่อสารกันด้วยอีเมลล์และโทรศัพท์มือถือกันหมดแล้ว แต่โปรดเก็บความตกใจเมื่อกี้เอาไว้ก่อนครับ เพราะคุณอาจจะยิ่งแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อผมมีเรื่องสำคัญจะบอกให้คุณทราบว่า ผมตัดสินใจลาออกจากงานเรียบร้อยแล้วครับ
เหตุผลที่คนเราจะลาออกจากงานนั้น มีมากมายหลายประการประมาณร้อยแปดพันเก้าข้อได้ ทั้งเบื่องานเก่า ได้งานใหม่ที่ดีกว่า เงินเดือนเยอะกว่า งานใหม่สบายกว่า อยากทำงานใกล้บ้าน ย้ายตามสามี เหม็นขี้หน้าเจ้านาย อยากหาประสบการณ์ เป็นต้น
แต่เหตุผลที่ผมลาออกนั้น ถ้าเทียบแล้วคงอยู่ในข้อที่ร้อยเก้า พันสิบ คือ ไม่อยู่ในบรรทัดเมื่อกี้เลย
ไม่แน่ใจว่าใช่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์หรือเปล่า เคยกล่าวไว้ว่า "ผมจะไม่ยอมให้โรงเรียนมาขัดขวางการเรียนรู้ของผมเด็ดขาด" ของผมก็ออกแนวใกล้เคียงกันคือ ผมจะไม่ยอมให้การทำงานของผมมาขัดขวางการเรียนรู้ของผมเด็ดขาด ไม่ใช่ว่าติสต์แตก หรืออยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้นะครับ (ผมเป็นคนประนีประนอมกับสิ่งรอบๆ ตัวมากกว่าที่คุณคิดนะครับ) แค่ผมรู้สึกว่า ผมกำลังปล่อยโอกาสที่สำคัญบางอย่าง หลุดลอยหายไปจากชีวิต
มีคนบอกผมว่า การทำอะไรให้เชี่ยวชาญเฉพาะทางไปเลย ย่อมดีกว่าการทำอะไรแบบจับฉ่าย ทำได้ไม่ดีสักอย่าง แต่ผมกลับมองตรงข้ามไป นั่นคือ ผมมองว่ามนุษย์เกิดมาอายุสั้นและมีเสรีภาพเกินกว่าที่จะต้องมาจมอยู่กับอะไรไม่กี่อย่าง
ผมมองว่า คนเราควรจะใช้ชีวิตแบบหลายมิติครับ พูดให้เห้นภาพง่ายๆ คือ ถ้าเปรียบเวลาทั้งหมดในชีวิตของคนเราเป็นเค้กก้อนหนึ่ง เราสามารถตัดแยกมันออกเป็นส่วนๆ ทั้งส่วนของการทำงาน ส่วนของการพักผ่อน ส่วนของการเข้าสังคมและความสัมพันธ์ ส่วนของการเสพศิลปะและสิ่งบันเทิง ส่วนของการเก็บเกี่ยวค้นหาประสบการณ์ ส่วนของการท่องเที่ยวเพื่อเปิดหูเปิดตา ส่วนของศาสนาและการค้นหาความหมายของชีวิต และอื่นๆ อีกมากมายแล้วแต่จะนึกออก ซึ่งถ้าคุณแบ่งเค้กให้กับส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไปแล้ว คุณก็จะเหลือเค้กแบ่งให้กับส่วนอื่นๆ น้อยลงตามไปด้วย เช่น ถ้าคุณแบ่งเค้กให้กับส่วนของการทำงานมากเกินไปจนไม่เหลือส่วนของความสัมพันธ์แล้ว คุณก็จะกลายเป็นคนที่บ้างาน จนไม่มีเวลาให้กับคนรอบข้าง หรือถ้าคุณแบ่งเค้กให้กับการพักผ่อนมากเกินไป ไม่สนใจส่วนอื่นเลยคุณก็จะกลายเป็นคนหลักลอย ไร้ความรับผิดชอบ
ความคิดพวกนี้มันแล่นเข้ามาในหัวผม ขณะที่ผมกำลังทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อเก็บเงินที่ผมไม่มีเวลาใช้ เอาเวลาที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนไปใช้ในการยืนเบียดเสียดบนรถเมล์วันละหลายชั่วโมง ก่อนที่จะที่ห้องล้มตัวนอนหัวถึงหมอนก็หลับ แล้วรอให้ชีวิตหมุนวนเวียนกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อจินตนาการว่า ผมต้องใช้ชีวิตเป็นวงจรอุบาทย์แบบนี้ต่อไปทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี (ถ้าชาติหน้ามีจริง คงต้องรวมคำว่า ทุกชาติเข้าไปด้วย) คิดแล้วก็ขนลุกขนพองยิ่งกว่าเจอผีกระชากหัวอีกครับ
ลองคิดดู ขนาดผมอายุไม่มากเท่าไรยังขี้บ่นและท้อแท้กับชีวิตขนาดนี้ นี่ถ้าเกิดผมอายุมากกว่านี้แล้วล่ะก็ แรงใจและไฟฝันที่จะทำให้เรากล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตก็คงจะมอดลงไปทุกวัน ทุกวัน มีผู้ใหญ่ที่เคยอาบน้ำมาอย่างโชกโชนจนตัวเหี่ยว ฝากคำพูดมาให้กับคนที่ไม่ค่อยชอบอาบน้ำแบบผม ว่า ถ้าคุณอยากจะทำอะไรที่มันบ้าๆ เสี่ยงๆ คุณควรจะทำตอนที่คุณยังเป็นวัยรุ่น เพราะอย่างน้อยเวลาคุณล้มคุณก็ยังมีคนที่อยากช่วยเหลือคุณมากกว่าตอนคุณแก่ (ซึ่งนอกจากจะไม่มีใครอยากช่วยแล้วเผลอๆ อาจโดนกระทืบซ้ำแถมโดนฉกกระเป๋าตังค์นาฬิกาสร้อยทองไปอีกด้วย) และถึงไม่มีใครช่วยคุณเลย อย่างน้อยคุณก็ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือมากพอให้คุณลุกขึ้นมาเองได้
ถ้าคุณอ่านที่ผมโม้จน้ำหมึกแตกฟองมาถึงบรรทัดนี้ แล้วคุณยังไม่รู้เรื่องอยู่ดีว่า ตกลงไอ้นี่มันจะลาออกทำไม ผมขอบอกเหตุผลแบบสั้นๆ ง่ายๆ ตรงประเด็นให้คุณฟังเลยแล้วกันครับว่า
ผมจะลาออกไปเที่ยวครับ
ด้วยเหตุผลแนวสร้างสรรค์สังคมแบบนี้ ไม่น่าแปลกที่เสียงคัดค้านจะมากกว่าเสียงสนับสนุนหลายกิโลเดซิเบล (ขนาดผมหน้าด้านตีขลุมว่า คนที่อ้ำอึ้งหรือยิ้มแหะๆ แปลว่าเห็นด้วยแล้วนะครับเนี่ย)
แต่เห็นแบบนี้ ใช่ว่าผมจะหุนหันพลันแล่น หลับตาฝ่าดงตีนโดยไม่มีเหตุผลรองรับนะครับ แผนการแบบเมก้าเคลเวอร์ ฉลาดสุดๆของผมคือ ตอนนี้ผมมีเงินเก็บติดตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งมากพอที่จะเอาไปดาวน์รถได้หนึ่งคัน กินอาหารหรูๆได้หลายร้อยมื้อ แต่ถ้าผมอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัว ใช้จ่ายประหยัด กินกระเพราหมูไม่ใส่ไข่ดาว คำนวณดูแล้ว ผมสามารถอยู่แบบสบายๆ โดยไม่ต้องทำงานได้น่าจะเกินปีนึง หรือถึงหักค่าน้ำมัน ค่าตั๋วรถ ค่าเครื่องบิน ค่าเกสต์เฮาส์ออกไปแล้ว ผมก็มั่นใจว่า ผมน่าจะมีชีวิตรอดอยู่แบบสบายๆ เกิน 6 เดือนแน่นอน โดย 6 เดือนต่อจากนี้ (หรือถ้าติดลมก็อาจขอต่อเวลาได้) ผมจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ที่น่าสนใจต่างๆ อาจจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ โด่งดังหรือไม่มีใครรู้จักเลย ทั้งที่ที่ไปง่ายๆเดินไปก็ถึงหรือเดินทาง 3 วัน 3 คืน อาจจะเที่ยวทั้งแบบ 2 วัน 5 ประเทศหรือไม่ก็นอนเล่นๆ อยู่ที่เดิมไม่ทำอะไร 10 กว่าวันเลยก็ได้ โครงการเที่ยวที่ผมร่างเอาไว้ในหน้ากระดาษมีมากมาย แต่เป้าหมายหลักๆ ที่ผมตั้งใจจะทำให้ได้คือ เดือนนึงต้องเที่ยวให้ได้อย่างน้อย 2 ที่ ช่วงไหนไม่ได้ไปเที่ยวก็ทำในสิ่งที่อยากทำ เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เรียนเขียนพู่กันจีน เรียนกีตาร์ (ต้องขอกลับไปหา 100 สิ่งที่อยากทำก่อนตายที่เคยเขียนเอาไว้เมื่อนานมาแล้วซะแล้วสิ) และคงใช้ชีวิตแบบไม่ทำงานแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเงินเก็บของผมจะหมดหรือจนกว่าผมจะเบื่อ (แต่ดูแล้วน่าจะเกิดจากข้อแรกมากกว่า)
หลายบันทัดที่ผ่านมา ผมใช้คำว่า "เที่ยว" แต่ผมกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด มองภาพผมเป็นนักท่องเที่ยว ใส่หมวก สะพายกล้อง พายเรือล่องแก่ง สั่งซีฟู้ดมากิน ลากกระเป๋าล้อเลื่อนอะไรทำนองนั้น (ซึ่งผมก็ทำเช่นนั้นบ่อยๆ เหมือนกันนะครับ ไม่ใช่ไม่เคย) ผมอาจจะโลกแคบหรือมองอะไรแบบด้านเดียวเกินไปก็ได้ แต่ผมมองว่าการเที่ยวของโลกทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นการเที่ยวแบบโลกยุคทุนนิยมที่ผู้คนไม่มีเวลาแม้จะละเมียดกับสิ่งรอบกาย การท่องเที่ยวกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพักผ่อนไม่ต่างจากการร้องคาราโอเกะ คือ เข้าไปหาความสุขแบบประเดี๋ยวประด๋าวและจากไปโดยไม่มีอะไรติดใส่หัว จะไปเที่ยวที่ไหนสักที่ ก็แค่เปิดหนังสือนำเที่ยว เอาปากกาวงที่เที่ยวที่กินเด็ดๆ ไว้ว่าที่ไหนไม่ควรพลาด แล้วก็ตระเวนไปตามที่ที่วงเอาไว้ ไม่เคยเฉไฉออกนอกเส้นทาง หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจและไปเที่ยวกลางคืนที่ผับท้องถิ่นแล้วก็รีบกลับบ้านเพราะยังมีงานประจำค้างคามากมายรอให้สะสาง สรุปแล้ว คือ ไปเที่ยวแล้วได้มาครบทุกอย่างทั้งของฝาก รูปภาพ อารมณ์ประทับใจ แต่ที่ขาดไปคือ ไม่รู้ว่าลักษณะบ้านเมืองหรือประชากรที่นั่นเป็นอย่างไร เพราะบางทีไปเที่ยวแล้ว มัวแต่สนใจกันเอง ไม่เคยคุยกับคนท้องถิ่นสักคำ ผมไม่ได้บอกว่าการทำแบบนั้นเป็นเรื่องผิด เพราะแต่ละคนก็ล้วนแต่มีมุมมองที่ต่างกัน เพียงแค่รู้สึกเสียดายเล็กๆ ที่หัวใจของการท่องเที่ยวถูกละเลยไปแบบนี้
การเที่ยวแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปสู่ การเที่ยวแบบเน้นทุนนิยม คือ นักเที่ยวบางคนไม่ใส่ใจต่อสถานที่เที่ยว บางคนก็เลยเถิดไปถึงขั้นสร้างปัญหา เช่น ทิ้งขวดเบียร์ไว้เกลื่อนชายหาด โยนถุงพลาสติกไว้ในป่า เป็นต้น สถานที่ท่องเที่ยวบางที่มีการเทซีเมนต์ ราดคอนกรีต ปูกระเบื้อง ส่งนักท่องเที่ยวจากที่พักลัดไปถึงที่เที่ยว จนทำให้เสน่ห์ดั้งเดิมของสถานที่ที่เคยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวยอมลำบากตราดตรำมาเที่ยวที่นี่หายไปอย่างไม่มีวันหวนคืน คุณมุกหอม วงษ์เทศ เคยเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า ทุกวันนี้คนเรากลายเป็นนักท่องเที่ยว (tourists) มากกว่านักเดินทาง (traveller) ไปเสียแล้ว แม้ไม่ถึงขั้น ปั่นจักรยานแบกเป้ไปส่องโลก แต่ผมก็ขอตั้งปณิธานเล็กๆ ในใจว่า ผมขอเลือกเป็นนักเดินทางไม่ใช่ นักท่องเที่ยวครับ
คุยเรื่องตัวเองมาตั้งนาน เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ลืมทักทายคุณไปเลย เป็นยังไงบ้างครับ ช่วงนี้ มีความสุขดีหรือเปล่า งานหนักไหม ได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง มีสายสืบแอบบอกผมมาว่า ช่วงนี้คุณทำงานหนักมาก จนแทบไม่มีเวลากิน เวลานอน เวลาเที่ยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพื่อนผมเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า สวรรค์ชอบเล่นตลกกับมนุษย์ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเที่ยว เพื่อนผมอธิบายไว้แบบนี้ครับ ตอนอยู่ในวัยเรียน ถ้าเราอยากเที่ยว เรานั้นจะมีเวลา มีแรง แต่ไม่มีเงิน ตอนอยู่ในวัยทำงาน ถ้าเราอยากเที่ยว เรานั้นจะมีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ตอนเราแก่ชรา ถ้าเราอยากเที่ยว เรานั้นจะมีเวลา มีเงิน แต่ไม่มีแรง ในเมื่อการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิผล จำเป็นต้องมี 3 ปัจจัย คือ เงิน แรง เวลา ผมก็เลยมีคำถามลับสมอง มาถามคุณเล่นๆ คือ คุณคิดว่า ในบรรดาสามอย่างนี้ สิ่งใดที่หาง่ายที่สุด และสิ่งใดที่หายากที่สุดครับ
ไม่ได้ตั้งใจจะกวนคุณ แต่ทั้งสองคำถามนั้น คำตอบในใจของผมมีอยู่ข้อเดียวครับ สิ่งนั้นก็คือเวลาครับ
ที่บอกว่าหายาก คือ ถ้าคุณไม่มีเงิน หรือไม่มีแรง อย่างน้อยคุณไปหากู้หนี้ยืมสินหรือว่าเลี่ยงไปเที่ยวที่ที่ไม่ต้องใช้เงินหรือแรงมากก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่มีเวลา อยากได้เวลาเพิ่ม ต่อให้เอาเงินมากองเป็นสิบล้าน ขอซื้อเวลาสัก 2-3 วินาที ร้านสะดวกซื้อที่ไหนก็ไม่มีขายให้คุณ
และที่บอกว่าหาง่ายคือ ถ้าคุณไม่มีเงิน หรือไม่มีแรง ถ้าจะรอให้คุณทำธุรกิจหรือเข้าฟิตเนสฟิตร่างกายให้แข็งแรง จนมีเงินหรือมีแรงก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่สำหรับเวลา ถ้าคุณบริหารจัดสรรเวลาดีๆ เวลาที่เคยหายากหาเย็นก็อาจจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้าดั่งมีมนตราเสกสรรค์ ถ้าคุณปล่อยให้สายธารแห่งกาลเวลาพัดผ่านไปพร้อมหอบเอาโอกาสดีๆ ที่นานๆ ทีจะมีสักครั้งติดไปกับมันด้วย ต่อให้คุณมีเงินกี่พันล้าน คุณก็ไม่สามารถทำให้มันย้อนกลับมาได้ เว้นแต่ คุณจะเอาเงินไปคิดค้นสร้างเครื่องไทม์แมชชีนแล้วย้อนเวลากลับมานั่นแหละครับ
ถ้าสายตาของคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว คุณก็ยังไม่เข้าใจว่า แล้วผมจะเขียนจม.มาบอกคุณทำไม เพราะตอนนี้ชีวิตของผมกับคุณก็ไม่ได้พาดผ่านกันอยู่แล้ว ผมมีคำตอบให้ครับ เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ เป้นประสบการณ์ที่ต้องใช้หลายสิ่งของผมแลกมา คิดตามหลักทุนนิยมแล้ว ผมรู้สึกว่า มันไม่คุ้มเลย ถ้าผมจะได้เป็นคนที่รับรู้มันแค่เพียงคนเดียว ถ้าจะมีคนอื่นมาร่วมรับรู้ด้วย คุณเชื่อไหมครับว่า คุณคือคนแรกที่ผมคิดถึง ไม่ใช่ว่าคุณคือคนที่ผมเคยชอบ ไม่ใช่ว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ผมมี หรือคุณเป็นคนเดียวที่ทนอ่านลายมือโคตรหวัดของผมรู้เรื่อง
คุณไม่ต้องมองหาสาเหตุอะไรให้วุ่นวายหรอกครับ เพราะคำตอบทั้งหมดมันอยู่ที่ดวงตาของคุณนั่นแหละครับ เบื้องหลังแววตาของคุณ แววตาที่คนอื่นชอบมองว่าอ่อนแอ อ่อนไหวง่าย ยอมจำนนต่อชีวิต ผมแอบเห็นแววตาของนักสู้ นักผจญภัย ผู้อยากออกไปค้นหาสิ่งใหม่ๆ ซ่อนอยู่ในนั้น และถ้าจดหมายฉบับนี้ มันจะมีความหมายมากบ้าง ผมอยากให้มันเป็นดั่งเชื้อไฟที่จุดลงไปในกองฟืนของคุณ เผื่อมันจะทำให้คุณได้ค้นพบตัวเอง และเริ่มก้าวเท้าเพื่อออกเดินทางไปกับเขาบ้าง ซึ่งการเดินทางนั้น คุณไม่จำเป็นต้องออกเดินหมื่นลี้ หรือบุกป่าฝ่าสายน้ำเชียวให้ยากลำบากลำบนอะไร เพราะการเดินทางที่ยากลำบากที่สุด และสำคัญที่สุดด้วยเช่นกัน ก็คือ การเดินทางเพื่อสำรวจใจของตัวเองครับ
เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองพล่ามมามากพอแล้ว คงได้เวลาเก็บกระเป๋าสักที อย่าเสียเวลาเดาเลยนะครับ ว่าผมเก็บกระเป๋าเพื่อจะเดินทางไปที่ไหน เพราะผมเองก็ยังไม่รู้ตัวผมเลย ว่าจะเดินทางไปที่ไหนดี (เริ่มต้นก็ทำท่าไม่ดีแล้วเรา ฮ่าๆๆ)
แต่คุณจะได้รู้แน่นอน ทันทีที่จดหมายฉบับที่สองถูกส่งมาหาคุณ
สุดท้าย นอกจากอธิษฐานกับดินฟ้าว่า ขอให้เดินทางปลอดภัยแล้ว ผมยังแอบอธิษฐานสอดไส้ลงไปนิดหน่อยว่า ขอให้มีโอกาสได้เดินสวนกับคุณแค่สักครั้งก็ยังดี ถ้าโลกใบนี้ไม่แคบเกินไปนัก
Bon Voyage... นกที่ไม่มีขา
*******************************************
หมายเหตุท้ายเรื่อง - ปัจจุบันผมไม่ได้ติดต่อกับหญิงสาวคนนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางจดหมาย โทรศัพท์ อีเมล (ขนาดตัวเป็นๆ ก็ไม่ได้เจอมานานแล้ว)
ความน่าเศร้าเหลือทนของชีวิตจริงๆ...
Create Date : 21 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 5:21:25 น. |
|
21 comments
|
Counter : 917 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ฟ้าดิน วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:5:33:50 น. |
|
|
|
โดย: p_tham วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:7:39:27 น. |
|
|
|
โดย: แฟนผมตัวดำ IP: 202.134.119.218 วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:10:38:07 น. |
|
|
|
โดย: พลทหารไรอัน วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:14:11:54 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:21:31:13 น. |
|
|
|
โดย: calcium_kid วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:23:45:47 น. |
|
|
|
โดย: visuallyyours IP: 58.8.105.236 วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:8:14:12 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:15:36:50 น. |
|
|
|
โดย: จอม IP: 119.42.64.96 วันที่: 23 สิงหาคม 2551 เวลา:4:45:05 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 23 สิงหาคม 2551 เวลา:9:19:29 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าดิน วันที่: 24 สิงหาคม 2551 เวลา:3:30:44 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าดิน วันที่: 24 สิงหาคม 2551 เวลา:3:32:40 น. |
|
|
|
โดย: Marquez วันที่: 25 สิงหาคม 2551 เวลา:3:37:36 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 25 สิงหาคม 2551 เวลา:14:00:36 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าดิน วันที่: 27 สิงหาคม 2551 เวลา:3:16:05 น. |
|
|
|
โดย: louknam IP: 58.136.56.57 วันที่: 2 กันยายน 2551 เวลา:13:50:32 น. |
|
|
|
โดย: PrincessCharming IP: 125.24.156.111 วันที่: 12 ตุลาคม 2551 เวลา:11:41:13 น. |
|
|
|
|
|
|
|
1.ภาพยนตร์เรื่อง Wall-E
2.เพลงดาวเสาร์ ของลุลาและเพลง La Vie en Rose ที่ประกอบใน Wall E
3.งานเขียนของคุณนรา
4.ดีวีดีภาพยนตร์เรื่องบุญชู 1-8
5.น้องตาล กัญญา รัตนเพชร์
สิ่งที่ไม่ชอบตอนนี้
1.เพลงพิษสตรีเรื้อรัง -Sick Project
2.อะไรๆ ก็โทษเกม
3.ข่าวคุณยอดรัก
4.พวกโทรขายประกัน/ฟิตเนสทางโทรศัพท์
5. การโปรโมต AF จนเกินพอดี