<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
18 มกราคม 2555
 
 

สวดมนต์ข้ามปี สู่วันใหม่ ปีใหม่ 2555 (ตอนที่ 1)

อาทิตย์ 1 มกราคม 2555




ประมาณ 5 ทุ่มครึ่งของคืนวันสิ้นปีพุทธศักราช 2554 ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพได้จุดธูปเทียนบูชารัตนตรัย พระสงฆ์ขึ้นต้นสวดมนต์ อันบทสวดมนต์นั้นประกอบไปด้วยบทบูชาคุณพระรัตนตรัย พระปริตรต่างๆ โพชฌงค์ มงคลสูตร ชยันโต เป็นต้น จนล่วงเข้าสู่วันใหม่





หลังจากที่พระสงฆ์และเหล่าพุทธศาสนิกชนร่วมกันสวดมนต์กันเสร็จแล้วสักพักหนึ่ง เวลาประมาณ 00.15น. ก็ได้ชมภาพในหลวงอวยพรวันปีใหม่ให้กับประชาชนชาวไทย นู๋เมี่ยงขอยกกระแสพระราชดำรัสของท่านตอนหนึ่ง ตรงส่วนที่เป็นคำสอนมาไว้เป็นเครื่องเตือนสติแก่ประชาชนชาวไทยประจำปี 2555 ตามนี้ค่ะ



ชีวิตของคนเรานั้นจะต้องมีทุกข์ มีภัย มีอุปสรรคผ่านเข้ามาเนืองๆ ไม่มีผู้ใดจะอยู่เป็นปรกติสุขอย่างเดียวได้ ทุกคนจึงต้องเตรียมกายเตรียมใจและเตรียมการไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อเผชิญและป้องกันแก้ไขความไม่ปรกติเดือดร้อนต่างๆ ด้วยความไม่ประมาท ด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้วยความสามัคคีธรรม

ขอให้ประชาชนชาวไทยได้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปให้ทันการณ์ทันเวลา ผลงานทั้งนั้นจะได้ส่งเสริมให้แต่ละคนประสบแต่ความสุข ความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมืองดำรงมั่นคงและก้าวหน้าต่อไปด้วยความผาสุกสวัสดี ....
.....

ทุกคนพร้อมใจลุกขึ้น ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

จากนั้นก็เป็นการปฏิบัติธรรม เดินจงกรม-นั่งสมาธิกันต่อค่ะ ถึงตอนนี้นู๋เมี่ยงก็เริ่มไฟตกเหมือนกัน ต้องลงไปยืดเส้นข้างล่างและขอกาแฟดื่มสักถ้วย พอชาร์จแบตในตัวให้พออยู่ได้ ก็กลับขึ้นมาใหม่ค่ะ


ธรรมะบรรยายช่วงที่ 4


ตารางเวลาของที่ยุวพุทธมีอย่างต่อเนื่องตลอดตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้จวบจนหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติเดินจงกรม-นั่งสมาธิ ตี 2 ครึ่ง โดยปกติคือช่วงที่หลายคนกำลังหลับใหลอย่างเป็นสุขอยู่ในบ้าน และเวลานี้ก็เป็นช่วงที่นู๋เมี่ยงต้องคอยปลุกกระตุ้นตัวเองให้ตื่นเป็นระยะๆ ก็พอดีกับทางผู้จัดฯ ได้นิมนต์พระภาสกร ภูริวฒฺโน เป็นพระธรรมเทศนาในเวลานี้ (ตั้งแต่ตี 2 ครึ่งถึงตี 4 ครึ่ง)



พระภาสกรได้ขึ้นมาบรรยายหัวข้อ “26 ศตวรรษ ตรัสรู้ไร้เทียมทาน” ท่านอธิบายว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นต้องอาศัยการสั่งสมบารมี (บารที 30 ทัศ) มานานนนนนและเต็มเปี่ยมอย่างอุกฤต หากจะแบ่งการได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีนั้น จัดว่ามีอยู่ 3 ประเภทคือ

1. ปัญญาธิกะสัมพุทธเจ้า (20.1 อสงไขย) ได้แก่ พระศรีศายะโคดม องค์ปัจจุบันของพวกเรานี้
2. สัทธาธิกะสัมพุทธเจ้า (40.1 อสงไขย)
3. วิริยาธิกะสัมพุทธเจ้า (80.1 อสงไขย) พระศรีอริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคต



การที่จะได้ตรัสรู้มาเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้นต้องผ่าน 3 ช่วงระยะคือ
• ระยะแรกเป็นช่วงปรารภในใจ ตั้งปณิธานความปรารถนาว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต
• ระยะที่ 2 คือการเปล่งวาจา ประกาศตนว่าได้ตั้งความประสงค์ว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
• และระยะที่ 3 คือการได้รับพุทธพยากรณ์จากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนหน้านี้ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในภายภาคหน้า จากนั้นพระโพธิสัตว์ก็ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีจนเต็มเปี่ยมต่อไปอีก ดังตัวอย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรานี้คือพระศรีศากยะโคดม ในคราที่ได้เสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบส พระองค์ทรงได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้านี้มาแล้วเริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าทีปังกรเป็นต้นมา



การที่ในชาตินี้เราได้เกิดมาเป็นคน มาพบพระพุทธศาสนานั้นถือว่าโชคดีหนักหนาแล้ว จงอย่าได้รีรอที่จะฝึกประพฤติปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด เพราะหากรอให้ไปถึงยุคพระศรีอริยเมตตรัยนั้นอีกหลายอสงไขย (80.1 อสงไขย) ไม่รู้ว่าเราจะตายไปอีกกี่ชาติภพ แล้วถ้าเราพลาดจากยุคของท่านล่ะ อืมมม....

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อริยสัจ 4 คือทุกข์ สมุหทัย (เหตุแห่งทุกข์) นิโรธ (ภาวะสิ้นทุกข์) และ มรรคมีองค์ 8
มรรคมีองค์ 8 นั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้สรุปรวมลงไปอยู่ใน “ไตรสิกขา” (สิกขาแปลว่าการศึกษา) คือ ศีล สมาธิ ปัญญา พระภาสกรเสริมว่า ในศีล สมาธิ ปัญญานั้น อย่าลืม “อธิษฐานขอถึงพระนิพพาน” เป็นการล็อกเป้าหมายของเราด้วย พระภาสกรอธิบายเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ได้มรรค-ผลนั้น ได้แก่

• ผู้ที่ผูกอาฆาต พยาบาท จองเวร เพราะบุคคลเหล่านี้ผูกความเจ็บแค้นไว้ จะไม่ยอมหยุดจากการเวียนว่ายตายเกิด คิดจะตามจองล้างเขาไปตลอด
• ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ขอตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะการตรัสรู้นั้นต้องเป็นตรัสรู้ด้วยตนเอง
• ผู้ที่อธิษฐานผูกพันติดตามใครไป ติดตามกองบุญใครไป ดังนี้เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวปิดกั้นมรรค-ผล นิพพานอันจะเกิดกับบุคคลผู้ตั้งความปรารถนานั้น ในยุคสมัยของพระศรีศายโคดม คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรานั่นเอง



นอกจากนี้ พระภาสกรยังได้พูดถึงเหตุการณ์การทะเลาะวิวาท แบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่าย แบ่งเป็น 2 ค่ายสีใหญ่ (แม้แต่ภายในบ้านยังแบ่งค่ายสี) ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนต่างก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น สาเหตุคือ: เพราะโง่จึงยึด เพราะยึดจึงอยาก เพราะอยากจึงทุกข์ (พระภาสกรใช้เวลาในการอธิบายถึงอาการ โง่ ยึด อยาก ทุกข์ ไว้ในช่วงนี้ด้วย แต่นู๋เมี่ยงขอสรุปในส่วนนี้ไว้เฉพาะเท่านี้ค่ะ)

และช่วงสุดท้าย พระภาสกรได้กล่าวว่า เจ้ากรรมนายเวรซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอดีตบุคลอันเป็นที่รัก ช่วงนี้ คนในห้องประชุมและด้านนอกก็ดีได้มีการเปล่งเวลากล่าวคำขออโหสิกรรม และการให้อภัยต่อเจ้ากรรมนายเวรด้วยตามคำกล่าวนำของพระภาสกร.... เสียงดั่งกระหึ่มก้องไปทั่วห้อง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องขยายเสียงใดๆ ....

สาธุ สาธุ สาธุ .....


บันทึกจากภาพและสมุดโน้ต
อังคาร 10 มกราคม 2555





 

Create Date : 18 มกราคม 2555
2 comments
Last Update : 18 มกราคม 2555 12:25:43 น.
Counter : 1354 Pageviews.

 

สาธุ..

 

โดย: charn32vi IP: 58.11.0.66 18 มกราคม 2555 22:09:32 น.  

 

มาอ่านต่อ

 

โดย: นัทธ์ 19 มกราคม 2555 21:34:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com