วันส่งท้ายปี 2554 (ตอนที่ 3)
เสาร์ 31 ธันวาคม 2554 อะแฮ้ม! นู๋เมี่ยงยังอยู่ร่วมงานสวดมนต์ข้ามปีที่ยุวพุทธ เพชรเกษมซอย 54 อยู่ค่ะ และนี่ก็บล็อกที่ 3 ของวัน นั่นหมายถึงใกล้ถึงช่วงไฮไลท์ของงานเข้าไปทุกทีๆ แล้ว เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็จะหมดวัน ข้ามสู่วันใหม่ ปีพุทธศักราชใหม่ 2555 กันแล้วค่ะ
ธรรมเทศนา ภาคเช้า ตอนที่ 1 ธรรมเทศนา ภาคบ่าย ตอนที่ 2
มื้อเย็น
คนไทยใจบุญ เรื่องงานบุญงานกุศล การให้ทาน น้ำใจคนไทยไม่เคยพร่อง ไม่น้อยหน้าชาติใดในโลก อาหารคาวหวานยังคงอุดมสมบูรณ์แจกจ่ายให้กับผู้ร่วมงานในวันนี้ จบจากของคาวแล้วยังมีไอศกรีม น้ำแข็งใส เฉาก๊วย ฯ หมายเหตุ* ที่เขียนมานี่นู๋เมี่ยงไม่ใช่รับ(ประทาน)หมดทุกรายการนะคะ แค่นำบรรยากาศวันนั้นมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
ความหิวคือโรคอย่างหนึ่ง การที่มีเจ้าภาพนำอาหารมาเลี้ยงในวันนี้ เปรียบเสมือนเขาเหล่านั้นได้เข้ามาปัดเป่าบรรเทาทุกข์ นู๋เมี่ยงรู้สึกตื้นตันในน้ำใจของเจ้าภาพเหล่านี้มาก เพราะเสียสละทั้งทรัพย์สิน เวลามาตระเตรียมอาหารให้พวกเรา ถึงแม้เราจะบอกว่าถึงไม่มีพวกเขา เราเองก็มีเงินซื้อข้าวกินเองได้นี่ ก็จริงอยู่ แต่ว่าเราไม่ต้องเสียเวลาที่จะต้องออกไปหาซื้อเอา หรือหอบหิ้วอาหารเกะกะเป็นภาระ ดังนั้นนู๋เมี่ยงขอขอบคุณค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ แต่ตอนนี้นู๋เมี่ยงชักอยากได้อีโนสักซองสองสองด้วยนะมีไหมคะ?
ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศแจ้งให้ทราบว่าขณะนี้พระครูเกษมธรรมทัตได้เดินทางมาถึงแล้ว นู๋เมี่ยงก็เดินกลับขึ้นหอประชุมชั้นบน ราว 5 โมงเย็น พระครูฯ ได้ขึ้นธรรมมาส พวกเรากล่าวอาราธนาท่านแสดงธรรม
เริ่มแรกท่านพูดถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ทุกคนเป็นทุกข์ วิกฤติการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ได้สอนอะไร? ปัญหา --> ก่อให้เกิดปัญญา อาศัยความขัดสนเพื่อหาความพอเพียง อาศัยความทุกข์เพื่อให้เห็นธรรม ความทุกข์เป็นบทเรียนและข้อสอบ กำหนดรู้ทุกข์เพื่อก่อให้เกิดปัญญา ได้ถึงธรรมะ
ขอบคุณปัญหาที่ทำให้ปัญญาบรรเจิด, ขอบคุณอุปสรรคที่ทำให้เราเป็นนักต่อสู้ ทำให้เราเกิดความพากเพียร ทำให้เรารู้จักความสามารถของเรา, ขอบคุณศัตรูที่ทำให้เราอยู่อย่างเข้มแข็ง, ขอบคุณความเจ็บปวดที่ทำให้เราไม่ประมาท
จากนั้นท่านก็วกเข้าสู่หัวข้อเรื่อง จิต ดังนี้ จะฝึกช้าง ฝึกม้า เราก็ต้องรู้จักช้าง ม้าเสียก่อน การที่เราจะฝึกจิตก็ต้องรู้ใจเป็น กำหนดจิต/ใจให้เป็น แล้วท่านก็ถามต่อว่า จิตไปอยู่กับความว่างเป็นการปฏิบัติกัมมัฏฐานหรือไม่? ทิ้งระยะเวลาไปช่วงหนึ่ง เมื่อไม่มีคนตอบ ท่านจึงพูดต่อไปว่า ให้ดูที่ผล/ ผลลัพธ์ อธิบายดังนี้คือ กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ทำงานของใจ เปรียบเหมือนสำนักงาน (office) มีสติสัมปชัญญะ ความเพียร เป็นต้น เป็นตัวทำงาน , อารมณ์ใดเป็นที่พาให้จิตไปด้วยโลภ โกรธ หลง ไม่ถือว่าเป็นกัมมัฏฐาน, จิตอยู่กับความว่าง ความสงบ จิตตั้งมั่น ถือว่าเป็นกัมมัฏฐาน อารมณ์นั้นต้องนำไปสู่การเกิดปัญญาได้ นำไปสู่วิปัสสนา
สมถะ คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบ สมาธิ ได้ฌาน อภิญญา วิปัสสนา คือ การปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา และอภิญญาข้อที่ 6 <คือกำจัดสิ้นอาสวะเสียได้>
ถึงตรงนี้แล้ว พระครูฯ เริ่มสาธยายลงหัวข้อลึกลงไปเรื่อยๆ นู๋เมี่ยงก็เริ่มจับความไม่ค่อยทันแล้ว ท่านแจงถึงการต่อยอดจากสมถะสู่วิปัสสนา --> สติกำหนดรู้กัมมัฏฐาน อารมณ์ที่สมมุติหรือที่เป็นสภาวะ (ปรมัต) สภาพที่เป็นจริงแท้ๆ รู้ตรงกับสภาวะที่มันปรากฏ สติต้องกำหนดรู้ปรมัตธรรม (???? ไม่เข้าใจค่ะ)
ใครเป็นผู้รู้? จิตนั่นแหละคือผู้รู้ รู้ว่ามันว่าง - แล้วจะหาเจอได้อย่างไร? นู๋เมี่ยงลองนั่งสมาธิฟังท่านสอนไปเรื่อยๆ สักพักรู้สึกเหมือนตัวเองจะเริ่มโงกแล้ว เดี๋ยวได้เข้าภวังค์หลับ(ใน)ไปเสียก่อน ไม่ได้การ ... จึงต้องลืมตา ตั้งใจฟังท่านให้ดีๆ
จิต เปรียบเสมือน เจ้าของบ้าน อารมณ์ เปรียบเสมือน แขกที่มาเยือน แขกในที่นี้มาทางหู มาทางตา มาทางจมูก มาทางลิ้น มาทางกาย มาทางใจ
--> เจ้าของบ้านออกไปรับแขก จะเห็นว่าในแต่ละวันเจ้าของบ้านมักติดแขก รับแขกหลงแขก ทะเลาะกับแขก ฯลฯ ฉะนั้น จึงต้องฝึกเจ้าของบ้านให้มีสติรู้เท่าทัน ฝึกเจ้าของบ้านให้รู้จักปล่อยวางอารมณ์ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจมาสู่ความสนใจในตัวของจิตเอง
งงมั้ยคะ นู๋เมี่ยงเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เอาว่าพอถูๆ ไถๆ ตัวเองก็พยายามตั้งใจฟังและทำความเข้าใจกับเทศนาของท่านให้ได้มากที่สุด ต่อค่ะต่อ
ความว่าง (คือสภาวะ) vs ผู้รู้ว่าว่าง (คือสติ) -->เราต้องฝึกการรู้จิต ด้วยการอาศัยอารมณ์เพื่อไปรู้จิต อาศัยกายเพื่อให้รู้ใจ (เช่นอาศัยการสังเกตจากอาการพอง-ยุบ มีใจเป็นตัวดู ตัวรู้อาการของพอง-ยุบ, การเดินจงกรม กายเคลื่อนที่ไป ใจเป็นผู้รู้อยู่ว่าขากำลังยก-ก้าวออกไป เป็นต้น)
การปฏิบัติที่ถูกต้องคือ ระลึกได้ตรงสภาวะปัจจุบันที่กำลังปรากฏ วางท่าที/ท่าทางให้ถูกต้อง เช่น การเพ่งจะทำให้เกิดความเครียด วางใจให้ถูก อย่าไปยินดียินร้าย รู้-แต่ไม่จัดแจง รู้เฉยๆ แล้วปล่อยวาง รู้สักแต่ว่ารู้ ฟุ้งก็รู้อยู่ว่าฟุ้ง
นู๋เมี่ยงว่าตัวเองไม่ค่อยเข้าใจที่ท่านสาธยายธรรมเหล่านี้เท่าไหร่หรอกนะ แต่ไหง กลับจด lecture ได้เยอะเหมือนกันแฮะ
สุดท้าย พระครูธรรมทัตได้กล่าวถึง ความเป็นจริงของชีวิต คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความเป็นอนัตตา ภัยใหญ่หลวงของชีวิตคือการเวียนว่ายตายเกิด มีอวิชชา (คือความไม่รู้) เป็นต้นเหตุ ฉะนั้นจึงต้องเจริญ ปัญญา ให้เกิดเพื่อดับอวิชชา แล้วทำอย่างไร ปัญญาในความรู้แจ้งเห็นจริงจึงจะเกิด? --> ต้องปฏิบัติเจริญ สติ ให้มากเพื่อให้เกิดปัญญา
สาธุ สาธุ สาธุ ......
1 ทุ่ม เสร็จจากการบรรยายธรรมของท่านพระครูเกษมธรรมทัตแล้ว เหล่าพุทธศาสนิกชนก็ต่อแถวเข้าถวายปัจจัยท่าน จนถึงเวลาที่ท่านต้องรีบเดินทางกลับวัดมเหยงคณ์ เพราะท่านก็ต้องอยูร่วมงานสวดมนต์ข้ามปีที่วัดมเหยงคณ์ด้วยเช่นกัน
ทำวัตรเย็น สวดบทอุปปาตะสันติ
ต่อจากนั้นพิธีกรได้แจ้งให้มีการสวดมนต์ทำวัตรเย็นโดยพร้อมเพรียงกัน และสวดบท อุปปาตะสันติ นำโดยพระสงฆ์จากวัดพิชัยญาติ นู๋เมี่ยงเพิ่งรู้จักบทสวดนี้เป็นครั้งแรกจากที่นี่แหละ และเป็นบทสวดที่ยาววววมากกกกกก
เสร็จจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นและสวดบทอุปปาตะสันติแล้ว ก็คั่นเวลาด้วยการปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิสักเล็กน้อย
พิธีกรปล่อยให้พักได้สักครึ่งชั่วโมง แล้วให้รีบกลับขึ้นมาสวด มหาสมัยสูตร และ ธัมมจักกัปปวัฒนสูตร ตอน 4 ทุ่มครึ่ง เน้นว่าให้ตรงเวลา เพราะว่าหลังจากสวดบทดังกล่าวจบ พวกเราจะได้สวดมนต์พร้อมเพรียงกับทางท้องสนามหลวง (ทางศูนย์ยุวพุทธฯ จะเปิดทีวี ถ่ายทอดสดจากท้องสนามหลวงมาให้ดูตอน 5 ทุ่มครึ่ง) ต้องอาศัยการทำเวลาเป็นอย่างมาก เพราะคนติด คนไหล กว่าจะลงถึงชั้นล่างได้เกือบ 10 นาที นู๋เมี่ยงถึงบอกไงคะว่าจุดนี้เป็นพึงระวังที่ฝ่ายอาคารสถานที่ต้องตระหนักไว้ให้มาก
ได้ข้าวต้มใส่ผัดผักคะน้า ไข่เค็ม ไช่โป้ว ก็ทานจนแน่นพุง (นู๋เมี่ยงมีปัญหากับระบบย่อยอาหารเสียด้วยซี) เสียงพิธีกรประกาศว่าพระสงฆ์จากวัดนาคปรกเดินทางมาถึงแล้ว กว่านู๋เมี่ยงจะเดินกลับมาถึงที่นั่งก็ได้เวลาพระท่านกำลังจะเริ่มสวดกันพอดี
สวดมหาสมัยสูตรและธัมมจักกัปปวัฒนสูตร
ประมาณ 5 ทุ่มครึ่งก็สวดมนต์จบบทกันพอดี เจ้าหน้าที่ยุวพุทธฯ เปิดภาพสัญญาณภาพการถ่ายทอดสดงานสวดมนต์ที่ท้องสนามหลวง เพื่อให้พวกเราทุกคนที่นี่ได้สวดมนต์พร้อมกัน
บันทึกความทรงจำจากภาพและสมุดโน๊ต 5 มกราคม 2555
Create Date : 13 มกราคม 2555 |
|
2 comments |
Last Update : 13 มกราคม 2555 12:00:39 น. |
Counter : 1031 Pageviews. |
|
|
|