<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
27 มิถุนายน 2554
 
 

ลั้ลลา ปีใหม่เจ้า...แอ่วเมืองเชียงใหม่ 3 – 5 มกราคม 2554 (ตอนที่ 2)

จันทร์ 3 มกราคม 2554



หลังจากมื้อกลางวัน อาหารแด๊กด่วน นู๋เมี่ยงขอทำเวลา 20-30 นาที จ้ำไปเที่ยวชมวัดที่อยู่บนถนนช้างคลาน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดบริการรับรถเช่า Avis เท่าไหร่นัก


วัดอุปคุต


“พระอุปคุต” นู๋เมี่ยงเหมือนเคยได้ยินมาก่อน แต่พอกลับไปค้นหาประวัติพระพุทธสาวก 80 องค์ก็ไม่ปรากฏนามพระรูปนี้อยู่ จึงต้องสืบค้นไปเรื่อยๆ และพบเรื่องราวประวัติความเป็นมาของท่านซึ่งน่าสนใจ ตามประวัติท่านเป็นพระอรหันต์อยู่หลังพุทธกาลประมาณ 200 ปี อยู่ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชซึ่งมีพระราชประสงค์ให้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฏก

ประวัติเรื่องราวของพระอุปคุตอันพิสดารนั้น นู๋เมี่ยงได้คัดลอกมาจากผู้เขียน/ตอบกระทู้ท่านหนึ่งในพันธุ์ทิพย์นานมาแล้ว (ขอโทษด้วยค่ะ ที่ไม่ได้จดชื่อผู้ตอบกระทู้ท่านนั้นไว้) มีไว้ดังนี้



ประวัติความเป็นมาของพระอุปคุต


พระอุปคุต ผู้เป็นพระอรหันตสาวกที่ทรงมหิทธานุภาพ มีฤทธิ์อำนาจในทางปราบศัตรูหมู่มารทั้งหลาย พระอุปคุต แปลว่า “ผู้คุมครองรักษา” เป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะ ชอบความวิเวกสงบ และอยู่ตามลำพังผู้เดียว ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ท่านจึงเข้านิโรธสมาบัติ จำพรรษาภายในกุฎิเรือนแก้ว กลางสะดือทะเล

โบราณจารย์มักจะสร้าง เป็นรูปพระอุปคุตแตกต่างกันไปหลายรูปแบบ เช่น นั่งอยู่ภายในกุ้ง หอย ปู ปลา หรือพระบัวเข็มอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญทำให้ศีรษะแหลม เพราะที่ศีรษะคลุมด้วยใบบัวมีลักษณะแหลม จึงเรียกกันว่า "พระบัวเข็ม"



เรื่องราวของท่านปรากฏเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว 218 ปี พระอุปคุตเกิดในตระกูลวานิช บิดาประกอบอาชีพค้าเครื่องหอม อยู่ในเมืองมถุรา แคว้นสุรเสนะ ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมุนา ท่านมีพี่ชาย 2 คน ส่วนท่านนั้น เป็นคนสุดท้อง

มูลเหตุที่ทำให้พระอุปคุตได้บวชนั้น ก็สืบเนื่องมาจาก บิดาของท่าน ได้เคยให้สัญญาไว้กับ พระเถระรูปหนึ่ง คือ พระสาณวาสี (สาณสัมภูติ) ไว้ว่าหากมีบุตรชายจะให้อุปสมบทในพุทธศาสนา ทีนี้พอมีบุตรชายคนแรก ก็ก็บ่ายเบี่ยง ด้วยอ้างว่าจะต้องเอาไว้ดูแลทรัพย์สิน ในเหย้าเรือน เอาไว้ถ้ามีบุตรชายคนที่ 2 เมื่อไร แล้วจะยอมให้บวช แต่พอมีลูกชายคนที่ 2 เข้าจริง ๆ ก็หาเรื่องบิดเบือนอีก ว่ามีความจำเป็น ต้องเอาไว้สำหรับ ทำธุระตามหัวเมือง ขอให้รอไว้มีลูกชายคนที่ 3 แล้วจะต้องบวชให้อย่างแน่นอน

จนกระทั่งมีบุตรคนที่สาม คือ “อุปคุต” เกิดมาก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพระเถระ พระเถระท่านเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลา ท่านจึงนิ่งไว้ก่อน และก็ไม่ได้ไปทวงถามถึงสัญญานั้น จนกระทั่งอุปคุตโตเป็นหนุ่มตอนนั้นอุปคุตได้มาช่วยบิดาขายเครื่องหอมอยู่ที่ร้านในตลาด ตั้งแต่อุปคุตมาอยู่ที่ร้าน ก็ปรากฏว่า เครื่องหอม ขายดิบขายดี เป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนมาซื้อหากันไม่ขาดสาย นี่เป็นธรรมดาของผู้มีบุญไปอยู่ที่ไหน ทรัพย์สิน ก็จะหลั่งไหลมา ด้วยอำนาจแห่งบุญ เพราะฉะนั้นจึงเชื่อกันว่า ผู้ที่ค้าขาย หากได้บูชาพระอุปคุตเป็นประจำทุกเช้าตอนเปิดร้าน ก็จะทำให้ค้าขายดี มีคนมาซื้อหาไม่ขาดสายทรัพย์สิน ก็จะหลังไหลมาเทมา กิจการเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป

วันหนึ่งพระสาณวาสีเถระ ได้แวะเข้าไปในร้านที่อุปคุตขายของ และได้กล่าวธรรมกถาให้อุปคุตฟัง ปรากฏว่า อุปคุตฟังแล้วเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ในพระพุทธศาสนา เมื่อพระสาณวาสีเถระเห็นว่า อุปคุตได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงได้ไปทวงสัญญากับนายพาณิชย์ ผู้เป็นพ่อของอุปคุต พอนายพาณิชย์ถูกทวงถามเช่นนั้น ก็อับจนปัญญา ไม่อาจหาวิธีพูดบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงได้อีก จึงตัดสินใจอนุญาตให้อุปคุตออกบวชได้

เมื่อออกบวชแล้ว ท่านพระอุปคุตก็ได้เจริญวิปัสสนาญาณโดยลำดับ จนบรรลุพระอรหันต์ผล นอกจากนี้แล้ว ท่านยังสำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่า ท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ


พระอุปคุตปางนิโรธสมาบัติ?


ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้สร้างวิหารและสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ กำหนดจัดให้มีการสมโภชครั้งใหญ่ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เพื่อให้งานสมโภชสำเร็จเรียบร้อยด้วยดี จึงขอให้พระสงฆ์ขีณาสพที่ทรงอิทธิฤทธิ์เป็นผู้คุ้มครองงานให้ปราศจากอุปสรรคปัญหาต่างๆ คณะสงฆ์ในนครปาตลีบุตร จึงตกลงกันว่าให้ไปอัญเชิญพระอุปคุตเถระที่จำพรรษาอยู่กลางสะดือทะเลมาช่วยรักษาความปลอดภัยในงานสมโภชพระสถูปเจดีย์พระอุปคุตเถระรับนิมนต์

พระเจ้าอโศกมหาราช เห็นว่าท่านมีร่างการผายผอมอ่อนแอ เกรงจะทำหน้าที่ไม่สำเร็จจึงทดสอบฤทธิ์ด้วยการปล่อยช้างตกมัน ให้วิ่งมาทำร้ายระหว่างพระอุปคุตกำลังบิณฑบาตช้างก็ถูกพระอุปคุตสะกดให้แข็งเป็นหินนิ่งอยู่กับที่ ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชเลื่อมใสศรัทธามากครั้นถึงงานสมโภชพระสถูปเจดีย์พญาวสวดีมารก็มุ่งมาทำลายงานสมโภช โดยใช้ฤทธิ์อำนาจของตนเอง ในที่สุดพระอุปคุตเถระก็ปราบมารจนสิ้นฤทธิ์ พระอุปคุตอธิฐานประคตเอวเป็นโซ่รัดพญามารไว้กับภูเขา และเนรมิตให้ซากสุนัขเน่าไปคล้องคอพญามารไว้ไม่มีใครสามารถช่วยพญามารได้ เสร็จงานสมโภชแล้วพระอุปคุตจึงปล่อยพญามาร ทำให้พญามารเลื่อมใสศรัทธาอธิฐานเข้าสู่บวรพระพุทธศาสนาและตั้งจิตอธิฐานปรารถนาสำเร็จเป็น พระสัพพัญญู ในอนาคต


พระอุปคุตปางจกบาตร 2 ภาพนี้เป็นองค์เดียวกันค่ะ แต่ถ่ายคนละมุม

พระอุปคุตจึงขอให้พญามารเนรมิตการเป็นรูปพระพุทธเจ้าเพื่อให้พระสงฆ์สาวกได้เห็นเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังคงมีพระชนม์ชีพพญามารก็แสดงฤทธิ์เนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์สาวกนับแสนรูปได้เห็นเป็นที่เจริญศรัทธายิ่งนักตั้งแต่นั้นมาจึงถือคติว่าพระอุปคุตเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์ทางปราบมาร บันดาลโชคลาภ ได้มีการสร้างรูปพระอุปคุตเป็นวัตถุมงคลรูปแบบต่าง ๆ ทั้งพระกริ่งอุปคุต พระบัวเข็ม พระอุปคุตบูชา พระอุปคุตจกบาตร

ปัจจุบันยังมีความเชื่อว่าพระอุปคุตยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำตรงกับวันพุธ ชาวล้านนาจะเรียกว่า "วันเป็งปุ๊ด" หรือ "วันเพ็ญพุธ" พระอุปคุตจะออกมาบิณฑบาตในร่างของสามเณรน้อย โดยจะออกมารับบาตรเริ่มตั้งแต่ตีหนึ่งของวันพุธ ผู้คนจึงมักเห็นสามเณรน้อยเดินบิณฑบาตไปตามถนน ทางสี่แพร่งสามแพร่ง ตลอดจนถนนหนทางตามริมน้ำท่าน้ำต่างๆ จนกระทั่ง ตี๋นฟ้ายก หรือแสงเงินแสงทองออกมา จึงเนรมิตกายหายไป ทำให้เกิดประเพณีตักบาตรกลางคืนด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง ดอกไม้ธูปเทียน

เชื่อกันว่า หากผู้ใดมีบุญบารมีได้ใส่บาตรพระอุปคุตมักทำให้ร่ำรวยเงินทอง มีโชคลาภ เจริญรุ่งเรือง มีสติปัญญาเฉียบแหลม มีสมาธิจิตดี ปราศจากภัยทั้งปวง

พระอุปคุต ปางจกบาตร หมายถึง กิ๋นบ่เสี้ยง หรือกินไม่หมด ให้คุณทางทรัพย์สินเนืองนอง มากมาย ร่ำรวย
....

เสริมข้อมูลเพิ่มอีกนิดค่ะ (ก็ได้ความรู้มาจากกระทู้ในเวปพันธุ์ทิพย์นี่แหละค่ะ ขออนุญาตแบ่งปันนะคะ) …..

การตั้งที่บูชา นิยมใช้ภารชนะใส่น้ำ แล้วตั้งองค์พระบัวเข็มหรือพระอุปคุตตรงกลาง โดยมีฐานรองเป็นลักษณะจำลองคลายกับว่าท่านประดิษฐาน (จำพรรษา) อยู่ในน้ำ (มหาสมุทร หรือสะดือทะเล) เพื่อตรงกับการเป็นอยู่จริงๆ ของท่าน (ตามประวัติของท่าน) แล้วบูชาด้วยดอกไม้

ดอกไม้ที่ต้องโฉลกคือ ดอกมะลิ ใช้ลอยน้ำบูชากล่าวกันว่า หากใครบูชาด้วยดอกมะลิเป็นประจำ ก็จะนำโชคลาภและสวัสดีมงคลมาให้มิได้ขาด

ส่วนตำแหน่งที่ตั้งพระอุปคุตหรือพระบัวเข็มไว้บูชานั้น ควรตั้งในตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่า พระพุทธ เนื่องจากว่า พระบัวเข็มหรือพระอุปคุต เป็นพระอรหันต์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้านั้นเอง
....

เที่ยววัด 20 นาทีแต่เล่าเรื่องเป็นคุ้งเป็นแคว ได้เวลาต้องเดินย้อนกลับไปหากลุ่มแล้วค่ะ ทางบริษัท avis คงจัดหารถได้แล้ว เดี๋ยวจะได้ขับรถไปดูสภาพบ้านทาวน์เฮาส์ของแม่ที่แม่ริมก่อนที่ฟ้าจะมืด ต้องบอกว่าสภาพบ้าน .. ที่ไม่ได้รับการดูแลรักษามานานกว่า 5 ปี ... มัน ดูไม่จืดเลยล่ะ

เห็นแล้วก็ได้แต่ทำใจ แล้วค่อยกลับไปคิดวางแผนกันใหม่ว่าจะจัดการกับบ้านหลังนี้ที่เชียงใหม่กันอย่างไรต่อไป

ยังไม่ 5 โมงเย็น พี่สาวเลยขับรถแวะเข้าไปชมงานอัศจรรย์ดอกไม้บาน



แต่แรกก็อยากถ่ายภาพดอกไม้เยอะๆ แต่แหม... ถ่ายแต่ดอกไม้ ที่ไหนก็เหมือนกัน กลายเป็นว่าถ่ายภาพแม่กับพี่สาวท่ามกลางมวลดอกไม้เสียมากกว่า

มื้อเย็นวันนี้นู๋เมี่ยงเสนอว่าขอเป็นขันโตก เพราะไม่ได้เยือนเชียงใหม่เสียนาน คิดถึงบรรยากาศขันโตกและการแสดง เลือกไปที่ “คุ้มขันโตก”

แต่กว่าจะเริ่มเปิดโต๊ะทานอาหารประมาณ 1 ทุ่ม (การแสดงเริ่ม 2 ทุ่ม) พี่สาวได้เสนอให้ลองมาทานเค้กร้าน Mont Blanc ที่ถนนนิมมานฯ ก่อนถือเป็นออเดิฟ



สั่งเค๊ก strawberry MontBlanc เกาลัด MontBlanc และ Paline Cream Cake ไม่ค่อยติดใจเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะนู๋เมี่ยงไม่ใช่คนช่างสรรหาของกินเท่าไหร่มั้ง

กะเวลาว่าทางคุ้มขันโตกน่าจะตั้งโต๊ะให้แขกเข้าไปรับประทานอาหารได้แล้ว นี่เลย ได้เวลากำลังพอดีๆ


คุ้มขันโตก




แจ้งพนักงานต้องรับ บอกจำนวนคนเสร็จ ก็พาพวกเราไปนั่ง อาหารจัดตั้งโต๊ะให้แขกรับประทาน ก่อนการแสดงจะเริ่ม 1 ชั่วโมง อาหารทั้งหมดก็เท่าที่มีอยู่บนโตก สามารถบอกพนักงานนำมาเติมได้ตลอด ส่วนเครื่องดื่ม หรืออาหารนอกรายการจากนี้ ต้องจ่ายเพิ่มต่างหาก



การแสดงมีประมาณ 10 ชุด เท่าที่นู๋เมี่ยงพอจำได้ก็มีระบำกลองสะบัดชัย ฟ้อนนก ระบำชาวเขา ฯลฯ



อาศัยเลนส์คิตตี้จึงไม่อาจดึงสีหน้าและท่าทางการแสดงของนักแสดงให้เห็นใกล้ๆ ได้
ถ่ายภาพขณะแสงน้อย (เช่นกลางคืน) แล้วยังเคลื่อนไหวอีก ... จับจังหวะได้ภาพยากมากเลย



และการแสดงที่เรียกรอยยิ้ม และเงินรางวัลจากนักท่องเที่ยวได้มากชุดหนึ่ง คือตอนที่นางสุพรรณมัจฉาพยายามหลบซ่อนตัว และหนุมานตามไล่จับ ต่างก็เข้าไปหาแขกนักท่องเที่ยวและถ่ายรูป



ปิดท้ายการแสดงด้วยชุดรำวง นักแสดงเชิญแขกเหรื่อขึ้นมาร่วมรำวง



ดึกมากแล้ว นู๋เมี่ยงรู้สึกเพลียแล้วค่ะ งั้นขอจบโปรแกรมวันนี้ไว้ที่หน้าบล็อกนี้ก่อน แล้วจะรีบกลับมาอัพเล่าเรื่องการเดินทางของวันรุ่งขึ้นต่อไปค่ะ


บันทึกจากภาพความทรงจำ
17 มิถุนายน 2554




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2554
3 comments
Last Update : 28 มิถุนายน 2554 0:19:19 น.
Counter : 3743 Pageviews.

 

สวัสดียามเช้าค่ะ
ขอตามมาเที่ยวเหนือด้วยคนค่ะ
คิดถึงเมืองเหนือจัง

 

โดย: iamorange 28 มิถุนายน 2554 9:22:30 น.  

 

แวะมาเยี่ยม ทักทายค่ะ

สถานที่ท่องเที่ยว
ไปเยี่ยมบล็อกของน้ำชาได้ค่ะ ThaiLand Travel เป็น Blog ที่รวบรวมข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยว ทั่วทั้ง 77 จังหวัด ในประเทศไทย รวมถึงยังให้บริการ จองโรงแรม ที่มอบส่วนลดให้คุณสูงสุดถึง 75% พร้อมรับข้อเสนอแล้ววันนี้

 

โดย: nonguide 28 มิถุนายน 2554 12:42:39 น.  

 

สวัสดยามค่ำคืนค่ะ
ขอบคุณที่แวะไปทักทายกัน
คืนนี้นอนหลับฝันดี

 

โดย: iamorange 28 มิถุนายน 2554 23:40:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com