|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
สมดุลของชีวิต สมดุลของสังคม จงกลับมา
เหนื่อยมากไหมเจ้านกน้อย เจ้าสร้างรังไปถึงไหนแล้ว ระวังรังของเจ้าจะถูกมนุษย์ ลักลูกของเจ้าไปนะ !
จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ มีหนังสืออ่านไทย ที่เขียนถึงชีวิตนกกางเขน ที่ออกไปหาอาหารให้ลูกน้อยในตอนเช้า และถูกเด็กขโมยลูกของมันไป ในฐานะแม่มันจะรู้สึกอย่างไร เมื่อลูกหายไป......
ชีวิตคนเราในยามที่ต้องทำงานและมีความรับผิดชอบ หากจะเปรียบกับการทำศึกสงครามก็อาจดูใกล้เคียง เพราะการแข่งขันที่รุนแรง การกำหนดกลยุทธต่าง ๆ ในเชิงธุรกิจ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่จะกำหนดอย่างไรให้ win-win ทุกฝ่าย ทั้ง ผู้ขาย-ผู้บริโภคและสังคม
สังคมไทยมาถึงจุดทางแยกอีกครั้ง ที่จะต้องทบทวนแนวทางทางเศรษฐกิจ ที่ไม่เป็นทุนนิยมสุดโต่งเกินไป และเรียกคืนความเป็นสถาบันทางสังคมที่สมบูรณ์กลับมา
นั่นคือการสร้างครอบครัวอบอุ่น-สังคมน่าอยู่ สถาบันการศึกษาที่สร้างเด็กรุ่นใหม่ ด้วยแนวทางการสร้างคนที่ถูกต้อง ให้เด็กมีความเข้าใจในรากเหง้าของสังคมบ้านเรา และมีจิตสำนึกที่ดีงามเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม รักการเรียนรู้และรักการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ
วันนี้สังคมไทยมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง และผู้นำการเปลี่ยนแปลงนั้น จะต้องชี้นำและชี้แนะสังคม ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ก่อนที่สังคมนี้จะล่มสลาย และไม่มีวันพรุ่งนี้ที่เราจะอยู่กัน อย่างมีความสุขที่ยั่งยืน
|
|
|
|
บล็อก " มหันตภัยโลกร้อน ในอุ้งมือ "มนุษย์" (1) " คลิกที่นี่
บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่
Create Date : 07 เมษายน 2550 |
|
18 comments |
Last Update : 11 เมษายน 2550 12:25:59 น. |
Counter : 464 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Pim IP: 72.231.12.159 8 เมษายน 2550 10:07:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: p_tham 9 เมษายน 2550 5:02:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจไม่คลอด"น้ำมันพุ่ง-ภาษีพลาดเป้า"อุปสรรคใหญ่
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 5 เมษายน 2550 12:40 น.
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจยัง"ลูกผี-ลูกคน" ไม่คลอดเป็นรูปธรรม หลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้น แถมยอดจัดเก็บภาษีหด นักเศรษฐศาสตร์หวั่นแม้ออกมาตรการกระตุ้น แต่อาจไร้ผลหากไม่แรงพอ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เรียกทีมที่ปรึกษาหารือเพื่อหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อ 3 เมษายน 2550 ยังไร้ความชัดเจน หลังจากที่มีเพียงการแบ่งงานให้ทีมที่ปรึกษาไปหามาตรการที่เป็นรูปธรรมออกมาเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเท่านั้น
โดยแยกเป็นมาตรการดูแลฐานะการคลังในอนาคต เพื่อสร้างระบบเตือนภัยทางด้านเศรษฐกิจให้กับส่วนต่าง ๆ ต่อมาเป็นการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจเป็นรายกลุ่ม โดยเฉพาะรากหญ้าที่ต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไป รวมถึงการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง สุดท้ายคือการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจทีให้บริการด้านสังคม
ถือว่าผิดคาด เนื่องจากก่อนหน้านี้คาดหมายกันว่าการหารือครั้งนี้จะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาเพื่อมาสร้างความมั่นใจให้กับตลาด เห็นได้จากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ขานรับในเชิงบวก โดยดัชนีปรับเพิ่มขึ้น 1.02% หรือ 6.91 จุด ดัชนีปิดที่ 686.53 จุด มูลค่าซื้อขาย 1.38 หมื่นล้านบาทถือเป็นปรับต่อเนื่องจาก 673.71 จุดเมื่อ 30 มีนาคม 2550 หลังจากที่รับทราบว่าจะมีการหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านี้ได้มีการเกริ่นนำถึงการนำเอามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในอดีตมาใช้ เช่น การลดค่าธรรมเนียมซื้อขาย ลดค่าธรรมเนียมจากกรมที่ดิน ลดภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% ลงเหลือ 0.11% แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปธรรม
2 ขุนคลังไร้มาตรการกระตุ้น
นับตั้งแต่มีการเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ยังไม่มีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม นับตั้งแต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนก่อน ที่มุ่งไปที่การแก้ปัญหาการเก็งกำไรค่าเงินบาท ด้วยมาตรการกันสำรอง 30% ทำให้ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจช็อคกับมาตรการดังกล่าว จนถึงปัจจุบันมาตรการดังกล่าวก็ยังบังคับใช้อยู่ เป็นเวลา 5 เดือนเศษของขุนคลังคนก่อนไม่มีแนวทางฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ
หลังจากการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฉลองภพ สุสังกร์กาญ จน์ เมื่อ 7 มีนาคม 2550 ก็ยังไม่สามารถยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทยตามที่เคยเสนอแนะก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยตลาดเงินบาทยังคงถูกแยกเป็น 2 ตลาด คือในประเทศกับต่างประเทศเช่นเดิม โดยตลาดต่างประเทศค่าเงินบาทจะแข็งกว่าเงินบาทในประเทศราว 2 บาท
ขุนคลังคนปัจจุบันพยายามหาทางอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจากเงินงบประมาณ รวมถึงการหาแนวทางให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐดำเนินการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีและกลุ่มรากหญ้า รวมถึงการคงไว้ซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% ตามเดิม หลังจากที่ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังเคยเสนอแนวคิดที่จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าอัตราปัจจุบัน ตามมาด้วยการอัดฉีดเงินตามยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุขที่มียอดเงินเพิ่มให้เป็น 1 หมื่นล้านบาท และงบประมาณปี 2551 ที่ตั้งงบไว้เป็นแบบขาดดุล 1.2 แสนล้านบาท
ภาษีไม่เข้าเป้า-น้ำมันพุ่งก้างใหญ่
นักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่งมองว่า ตอนนี้การออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นค่อนข้างทำได้ลำบาก เนื่องจากยังไม่สามารถดึงความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมาได้ ที่สะท้อนผ่านการเก็บภาษีของกรมสรรพากรที่ออกมายอมรับว่าในปีนี้อาจจะเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.5 หมื่นล้านบาท
ดังนั้นการใช้มาตรการของกระทรวงการคลังผ่านนโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะหากใช้มากเกินไปจะมีผลต่อวินัยทางการคลัง อาจทำให้รายได้ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าของงบประมาณ จะยิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจจากนักลงทุนต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 11 เมษายนว่าจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ หากลดลงจะลดลงที่อัตราใด หลังจากที่กระทรวงการคลังเห็นชอบพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 4 แสนล้านบาทก่อนหน้า
หากทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นปัญหาเหมือนกัน และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของชาติ เชื่อว่าเมื่อหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดปัญหา อีกหน่วยงานหนึ่งก็ต้องเข้ามาร่วมแก้ปัญหาด้วยกัน เนื่องจากสถานการณ์วันนี้ถือเป็นช่วงที่ต้องประคับประคองสภาพเศรษฐกิจ หลังจากที่ประเทศไทยไม่เน้นแนวทางประชานิยมเหมือนในอดีต
มาตรการต้องแรงพอ
"ช่วงนี้ถือเป็นรอยต่อจากแนวทางเศรษฐกิจที่เน้นการอัดฉัดเงินเข้าสู่ระบบมาสู่แนวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันที่พยายามเปลี่ยนแนวทาง แต่การจะเปลี่ยนด้วยการยกเลิกรูปแบบเดิมทั้งหมดจะทำให้เศรษฐกิจทั้งระบบช็อค ดังนั้นรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน"
เรามองว่ามาตรการที่จะออกมา ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นผ่านอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์หรืออิเลคทรอนิกส์ตามที่เคยเป็นข่าวมาก่อนหน้า จะต้องมีความชัดเจนและให้สิทธิประโยชน์มากพอที่จะดึงดูดใจประชาชนให้เกิดความต้องการที่จะจับจ่ายใช้สอยให้ได้ เช่น ดอกเบี้ยจะต้องลดลง 1-2% ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ต้องลดลงจนแทบจะเหมือนไม่มีการจัดเก็บ เพื่อให้สินค้าเหล่านี้ถูกลง
ปัญหาคือรัฐจะกล้าที่จะออกมาตรการเช่นนี้หรือไม่ ยอมเสียรายได้จากภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้ในระดับใด
ที่สำคัญรัฐจะต้องประเมินถึงความแตกต่างของสถานการณ์เข้ามาประกอบด้วย เช่น มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีการลดค่าธรรมเนียมหรือลดอัตราดอกเบี้ยลงมา แต่ราคาน้ำมันในประเทศที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะจากสถานการณ์ความตึงเครียดในต่างประเทศ เบนซิน 95 ขยับขึ้นเป็น 28.39 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ขยับเป็น 27.59 บาทต่อลิตร และดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 24.51 บาทต่อลิตร จะบั่นทอนความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของประชาชนหรือไม่
นอกจากนี้นโยบายกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้มาอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลชุดที่ผ่านมานั้น ต้องประเมินอีกว่าจะมีกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อเหลืออีกมากน้อยเพียงใด คนในระดับล่างจะมีกำลังซื้อพอหรือไม่เพราะที่ผ่านมา ผู้ซื้อบ้านเอื้ออาทรถูกสถาบันการเงินปฏิเสธที่จะปล่อยสินเชื่อ ตรงนี้จะมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ได้แค่ไหน
อุปสรรคของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมา นอกจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว การจัดเก็บภาษียังต่ำกว่าเป้าหมาย ที่สำคัญคือกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างหน่วยงานราชการ ธนาคารของรัฐ ยังกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหากดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลแล้วเกิดความผิดพลาด เนื่องจากเกรงว่าจะถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) ตรวจสอบเอาผิด