บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
7 เมษายน 2550
 
All Blogs
 

สมดุลของชีวิต สมดุลของสังคม จงกลับมา






เหนื่อยมากไหมเจ้านกน้อย
เจ้าสร้างรังไปถึงไหนแล้ว
ระวังรังของเจ้าจะถูกมนุษย์
ลักลูกของเจ้าไปนะ !

จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ มีหนังสืออ่านไทย
ที่เขียนถึงชีวิตนกกางเขน
ที่ออกไปหาอาหารให้ลูกน้อยในตอนเช้า
และถูกเด็กขโมยลูกของมันไป
ในฐานะแม่มันจะรู้สึกอย่างไร
เมื่อลูกหายไป......

ชีวิตคนเราในยามที่ต้องทำงานและมีความรับผิดชอบ
หากจะเปรียบกับการทำศึกสงครามก็อาจดูใกล้เคียง
เพราะการแข่งขันที่รุนแรง
การกำหนดกลยุทธต่าง ๆ ในเชิงธุรกิจ
ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แต่จะกำหนดอย่างไรให้ win-win ทุกฝ่าย
ทั้ง ผู้ขาย-ผู้บริโภคและสังคม

สังคมไทยมาถึงจุดทางแยกอีกครั้ง
ที่จะต้องทบทวนแนวทางทางเศรษฐกิจ
ที่ไม่เป็นทุนนิยมสุดโต่งเกินไป
และเรียกคืนความเป็นสถาบันทางสังคมที่สมบูรณ์กลับมา

นั่นคือการสร้างครอบครัวอบอุ่น-สังคมน่าอยู่
สถาบันการศึกษาที่สร้างเด็กรุ่นใหม่
ด้วยแนวทางการสร้างคนที่ถูกต้อง
ให้เด็กมีความเข้าใจในรากเหง้าของสังคมบ้านเรา
และมีจิตสำนึกที่ดีงามเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
รักการเรียนรู้และรักการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ

วันนี้สังคมไทยมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
และผู้นำการเปลี่ยนแปลงนั้น
จะต้องชี้นำและชี้แนะสังคม
ไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ก่อนที่สังคมนี้จะล่มสลาย
และไม่มีวันพรุ่งนี้ที่เราจะอยู่กัน
อย่างมีความสุขที่ยั่งยืน











บล็อก " มหันตภัยโลกร้อน ในอุ้งมือ "มนุษย์" (1) " คลิกที่นี่


บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่







 

Create Date : 07 เมษายน 2550
18 comments
Last Update : 11 เมษายน 2550 12:25:59 น.
Counter : 464 Pageviews.

 


แผนกระตุ้นเศรษฐกิจไม่คลอด"น้ำมันพุ่ง-ภาษีพลาดเป้า"อุปสรรคใหญ่

โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 5 เมษายน 2550 12:40 น.





แผนกระตุ้นเศรษฐกิจยัง"ลูกผี-ลูกคน" ไม่คลอดเป็นรูปธรรม หลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้น แถมยอดจัดเก็บภาษีหด นักเศรษฐศาสตร์หวั่นแม้ออกมาตรการกระตุ้น แต่อาจไร้ผลหากไม่แรงพอ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เรียกทีมที่ปรึกษาหารือเพื่อหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อ 3 เมษายน 2550 ยังไร้ความชัดเจน หลังจากที่มีเพียงการแบ่งงานให้ทีมที่ปรึกษาไปหามาตรการที่เป็นรูปธรรมออกมาเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเท่านั้น

โดยแยกเป็นมาตรการดูแลฐานะการคลังในอนาคต เพื่อสร้างระบบเตือนภัยทางด้านเศรษฐกิจให้กับส่วนต่าง ๆ ต่อมาเป็นการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจเป็นรายกลุ่ม โดยเฉพาะรากหญ้าที่ต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไป รวมถึงการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง สุดท้ายคือการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจทีให้บริการด้านสังคม

ถือว่าผิดคาด เนื่องจากก่อนหน้านี้คาดหมายกันว่าการหารือครั้งนี้จะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาเพื่อมาสร้างความมั่นใจให้กับตลาด เห็นได้จากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ขานรับในเชิงบวก โดยดัชนีปรับเพิ่มขึ้น 1.02% หรือ 6.91 จุด ดัชนีปิดที่ 686.53 จุด มูลค่าซื้อขาย 1.38 หมื่นล้านบาทถือเป็นปรับต่อเนื่องจาก 673.71 จุดเมื่อ 30 มีนาคม 2550 หลังจากที่รับทราบว่าจะมีการหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ก่อนหน้านี้ได้มีการเกริ่นนำถึงการนำเอามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในอดีตมาใช้ เช่น การลดค่าธรรมเนียมซื้อขาย ลดค่าธรรมเนียมจากกรมที่ดิน ลดภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% ลงเหลือ 0.11% แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปธรรม

2 ขุนคลังไร้มาตรการกระตุ้น

นับตั้งแต่มีการเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ยังไม่มีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม นับตั้งแต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนก่อน ที่มุ่งไปที่การแก้ปัญหาการเก็งกำไรค่าเงินบาท ด้วยมาตรการกันสำรอง 30% ทำให้ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจช็อคกับมาตรการดังกล่าว จนถึงปัจจุบันมาตรการดังกล่าวก็ยังบังคับใช้อยู่ เป็นเวลา 5 เดือนเศษของขุนคลังคนก่อนไม่มีแนวทางฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ

หลังจากการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฉลองภพ สุสังกร์กาญ จน์ เมื่อ 7 มีนาคม 2550 ก็ยังไม่สามารถยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทยตามที่เคยเสนอแนะก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยตลาดเงินบาทยังคงถูกแยกเป็น 2 ตลาด คือในประเทศกับต่างประเทศเช่นเดิม โดยตลาดต่างประเทศค่าเงินบาทจะแข็งกว่าเงินบาทในประเทศราว 2 บาท

ขุนคลังคนปัจจุบันพยายามหาทางอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจากเงินงบประมาณ รวมถึงการหาแนวทางให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐดำเนินการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีและกลุ่มรากหญ้า รวมถึงการคงไว้ซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% ตามเดิม หลังจากที่ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังเคยเสนอแนวคิดที่จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าอัตราปัจจุบัน ตามมาด้วยการอัดฉีดเงินตามยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุขที่มียอดเงินเพิ่มให้เป็น 1 หมื่นล้านบาท และงบประมาณปี 2551 ที่ตั้งงบไว้เป็นแบบขาดดุล 1.2 แสนล้านบาท

ภาษีไม่เข้าเป้า-น้ำมันพุ่งก้างใหญ่

นักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่งมองว่า ตอนนี้การออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นค่อนข้างทำได้ลำบาก เนื่องจากยังไม่สามารถดึงความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมาได้ ที่สะท้อนผ่านการเก็บภาษีของกรมสรรพากรที่ออกมายอมรับว่าในปีนี้อาจจะเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.5 หมื่นล้านบาท

ดังนั้นการใช้มาตรการของกระทรวงการคลังผ่านนโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะหากใช้มากเกินไปจะมีผลต่อวินัยทางการคลัง อาจทำให้รายได้ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าของงบประมาณ จะยิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจจากนักลงทุนต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 11 เมษายนว่าจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ หากลดลงจะลดลงที่อัตราใด หลังจากที่กระทรวงการคลังเห็นชอบพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 4 แสนล้านบาทก่อนหน้า

หากทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นปัญหาเหมือนกัน และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของชาติ เชื่อว่าเมื่อหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดปัญหา อีกหน่วยงานหนึ่งก็ต้องเข้ามาร่วมแก้ปัญหาด้วยกัน เนื่องจากสถานการณ์วันนี้ถือเป็นช่วงที่ต้องประคับประคองสภาพเศรษฐกิจ หลังจากที่ประเทศไทยไม่เน้นแนวทางประชานิยมเหมือนในอดีต

มาตรการต้องแรงพอ

"ช่วงนี้ถือเป็นรอยต่อจากแนวทางเศรษฐกิจที่เน้นการอัดฉัดเงินเข้าสู่ระบบมาสู่แนวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันที่พยายามเปลี่ยนแนวทาง แต่การจะเปลี่ยนด้วยการยกเลิกรูปแบบเดิมทั้งหมดจะทำให้เศรษฐกิจทั้งระบบช็อค ดังนั้นรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน"

เรามองว่ามาตรการที่จะออกมา ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นผ่านอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์หรืออิเลคทรอนิกส์ตามที่เคยเป็นข่าวมาก่อนหน้า จะต้องมีความชัดเจนและให้สิทธิประโยชน์มากพอที่จะดึงดูดใจประชาชนให้เกิดความต้องการที่จะจับจ่ายใช้สอยให้ได้ เช่น ดอกเบี้ยจะต้องลดลง 1-2% ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ต้องลดลงจนแทบจะเหมือนไม่มีการจัดเก็บ เพื่อให้สินค้าเหล่านี้ถูกลง

ปัญหาคือรัฐจะกล้าที่จะออกมาตรการเช่นนี้หรือไม่ ยอมเสียรายได้จากภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้ในระดับใด

ที่สำคัญรัฐจะต้องประเมินถึงความแตกต่างของสถานการณ์เข้ามาประกอบด้วย เช่น มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีการลดค่าธรรมเนียมหรือลดอัตราดอกเบี้ยลงมา แต่ราคาน้ำมันในประเทศที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะจากสถานการณ์ความตึงเครียดในต่างประเทศ เบนซิน 95 ขยับขึ้นเป็น 28.39 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ขยับเป็น 27.59 บาทต่อลิตร และดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 24.51 บาทต่อลิตร จะบั่นทอนความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของประชาชนหรือไม่

นอกจากนี้นโยบายกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้มาอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลชุดที่ผ่านมานั้น ต้องประเมินอีกว่าจะมีกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อเหลืออีกมากน้อยเพียงใด คนในระดับล่างจะมีกำลังซื้อพอหรือไม่เพราะที่ผ่านมา ผู้ซื้อบ้านเอื้ออาทรถูกสถาบันการเงินปฏิเสธที่จะปล่อยสินเชื่อ ตรงนี้จะมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ได้แค่ไหน

อุปสรรคของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมา นอกจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว การจัดเก็บภาษียังต่ำกว่าเป้าหมาย ที่สำคัญคือกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างหน่วยงานราชการ ธนาคารของรัฐ ยังกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหากดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลแล้วเกิดความผิดพลาด เนื่องจากเกรงว่าจะถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) ตรวจสอบเอาผิด




 

โดย: คนเดินดินฯ 7 เมษายน 2550 22:11:03 น.  

 

สู่วิสัยทัศน์ใหม่:พอกันได้หรือยัง!?

โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 5 เมษายน 2550 11:40 น.


คนไทยทุกคนเปรียบเสมือนคนที่อยู่ในเรือลำเดียวกัน ตอนนี้เรือลำนั้นกำลังเจอมรสุมร้ายลูกแล้วลูกเล่าทำให้เรือโคลงไปโครงมาหาทิศทางไม่เจอตั้งหลักไม่ได้

ถ้าจะประคองไม่ให้เรือล่มจมน้ำตายกันหมดทั้งลำจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องตั้งสติกันให้ดีๆ หันหน้าเข้ามาหากัน ช่วยกันหาทางเลือกว่าในอนาคตข้างหน้าเราอยากจะอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขในสังคมลักษณะไหนซึ่งผมพอจะสรุปออกมาได้เป็น 3 ลักษณะด้วยกัน

สังคมลักษณะแรก เป็นสังคมแบบเสรีนิยมสุดกู่หรือขวาตกขอบที่คนบางกลุ่มเขาเรียกว่า "ทุนนิยมสามานท์"เปรียบเสมือนสังคมที่ประกอบด้วยคนนับล้านๆคนที่แต่ละคน คิด พูด ทำ อย่างอิสระภายใต้การชี้นำของกลไกราคาในระบบตลาดเสรี (Free market) เพื่อมุ่งไปสู่ประสิทธิภาพและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ

สังคมแบบนี้เน้นบริโภคนิยม วัตถุนิยม มองมนุษย์แค่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ ใครเก่งกว่ามีโอกาสมากกว่า เข้าถึงทุนและใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าก็จะมีอำนาจทางการเงินที่จะนำไปใช้เป็นอำนาจในการครอบงำผู้อื่น

ลักษณะที่สอง เป็นสังคมที่เปรียบเสมือนกองทัพที่รวมศูนย์อำนาจสั่งการจากบนลงล่างมีระเบียบวินัยเคร่งครัดมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันภายใต้มาตรฐานการดำรงชีวิตที่ถูกกำหนด สังคมแบบนี้เน้นการแบ่งปันกันอย่างเสมอภาค ไม่คำนึงถุงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล

เป็นสังคมที่คนอยู่กันในคอมมูนภายใต้ระบบเสรีนิยมสุดโต่งหรือคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นเผด็จการโดยรัฐหรือคนกลุ่มเดียว

สังคมลักษณะที่สาม เป็นสังคมที่เปรียบเสมือนคณะเต้นรำที่ประกอบด้วยผู้เต้นที่มีรูปแบบการเต้นหลากหลายไม่ซ้ำกัน สมาชิกในคณะเต้นรำแต่ละคนเต้นไปในแนวทางของตนแต่ทั้งคณะเคลื่อนที่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนเป็นองค์รวม(Harmony) มีเอกภาพอยู่ในความหลากหลายไม่เสรีเกินไปคนละทิศละทางจนขาดความกลมกลืนกันไม่เชื่อมโยงพึ่งพิงกันและทุกคนก็ไม่ต้องเต้นเหมือนกันหมด มีระเบียบวินัยอย่างตายตัวเป็นสังคมที่เดินสายกลาง อย่างพอเพียง คนในสังคมแตกต่างกันแต่เชื่อมโยงพึ่งพิงอิงกันอย่างเป็นเอกภาพในความหลากหลาย

แตกต่างต่างแต่ไม่แตกแยก

สังคมในสองลักษณะแรกเป็นสังคมแบบสุดโต่งอย่างแรกสุดโต่งไปทางขวาเสรีนิยมขวาจัดและอย่างที่สองสุดโต่งไปทางซ้ายเป็นเสรีนิยมซ้ายจัด

สังคมทั้งสองลักษณะดังกล่าวเคยปะทะกันมาแล้วในอดีตทำให้เกิดสงครามเย็น ก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในโลกร่ำๆจะบานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกมาหลายครั้งแล้วแต่สุดท้ายสังคมนิยมแบบสุดโต่งก็ถึงแก่กาลอาวสานสู้ฝ่ายเสรีนิยมไม่ได้เพราะขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาต้องการสิ่งจูงใจทางการเงินเพื่อนำมาเสพสุขจากวัตถุอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและพอเพียง

เมื่อสู้อำนาจเงินไม่ได้อาณาจักรโซเวียตซึ่งอดีตคือผู้นำค่ายสังคมนิยมก็ถึงกาลล่มสลายลงไปเหลือเพียงทุนนิยมเสรีนำโดยพี่เอื้อยนายทุนใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกายืนผงาดครองโลกอยู่เพียงขั้วเดียว

มันแสดงให้เห็นว่าถึงเวลาที่บรรษัทข้ามชาติเข้ายึดครองโลกเสียแล้ว

วิกฤติซ้อนวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้เกิดจากการต่อสู้ของคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มตระหนักถึงพิษภัยของระบบทุนนิยมเสรีแบบสุดโต่งที่นำประเทศไปสู่เผด็จการของนายทุนซึ่งแฝงเข้ามาในระบอบประชาธิปไตย

การต่อต้านสังคมแบบทุนนิยมสุดโต่งมิใช่มีแต่ในประเทศไทยเราเท่านั้นแต่ได้กลายเป็นกระแสของการต่อสู้ในระดับสากลในหลายๆประเทศ

ในเวลานี้ประเทศไทยเรากำลังอยู่ในทางสองแพร่งหรือระหว่างเขาควายสองเขาที่น่าสะพรึงกลัวเหมือนแล่เรือในแม่น้ำขึ้นบกก็เจอเสือออกปากอ่าวก็เจอจระเข้

ที่ผ่านมาการต่อต้านทุนนิยมเสรีสามานท์สุดโต่งก็บานปลายออกไปจนกระทั่งเป็นเงื่อนไขให้เกิดการใช้กำลังอาวุธเข้ามาปฏิวัติรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ ถอยหลังเข้าคลองเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่

มาบัดนี้ก็ยังทะเลาะกันไม่เลิกยังไม่เกิดจิตสำนึกร่วมกันได้ว่าจะสร้างสังคมที่พึงปรารถนาที่ทุกคนจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง "อยู่ดีมีสุข"ในลักษณะอย่างไร

เปรียบเสมือนไก่อยู่ในเข่งที่เขากำลังจะนำไปฆ่าเพื่อเซ่นไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีนทุกตัวแย่งชิงพื้นที่แคบๆภายในเข่ง จิกตีกันไปมาเพราะขาดเป้าหมายที่พึงปรารถนาในอนาคตร่วมกัน ตีกันมากๆก็ก่อให้เกิดเงื่อนไขให้ผู้มีอำนาจทางอาวุธใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ามายึดอำนาจรักษาความสงบเพื่อความมั่นคงของประเทศในที่สุด

สังคมไทยเราก็จะวนเวียนกลับไปสู่สังคมเผด็จการสุดโต่งได้ รังเกียจเสรีนิยมแต่อาจต้องเผชิญกับเผด็จการรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมืองพอๆกันไม่ว่าจะเป็นเผด็จการที่ใช้อำนาจเงินหรือเผด็จการที่ใช้อาวุธ ไม่เป็นผลดีเพราะสังคมทั้งสองลักษณะเอาอำนาจเงิน อำนาจการเป็นศูนย์กลางไม่เอาคนเป็นศูนย์กลางคนเป็นเพียงแค่เครื่องมือเพื่อสนองกิเลสตัณหาของผู้มีอำนาจเท่านั้น

คนไม่ได้รับการพัฒนาให้มีความอยู่ดีมีสุขอย่างพอเพียงเติมศักยภาพของแต่ละคน เป็นเพียงแค่ลูกค้าของบริษัทหรือเครื่องมือรับใช้ค้ำบัลลังก์ให้แก่ผู้เผด็จการเท่านั้น

ถ้าหากเราจะสร้างสังคมที่คนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างอยู่ดีมีสุขสมศักดิ์สรีของความเป็นมนุษย์ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องช่วยกันหลีกเลี่ยงสังคมแบบสุดโต่งทั้งสองลักษณะที่กล่าวไว้ข้างต้น

ต้องหันหน้าเข้าหากันช่วยกันเรียนรู้ที่จะสร้างสังคมที่พึงปรารถนาในลักษณะที่สามซึ่งเป็นสังคมที่ผู้คนมีสิทธฺเสรีภาพในการดำรงชีวิตอย่างเสรีตามแบบฉบับของแต่ละคนเต็มไปด้วยความหลากหลายแต่เคลื่อนกันไปข้างหน้าอย่างกลมกลืนกัน เชื่อมโยงกันพึ่งพิงอิงกันอย่างเป็นเครือข่ายที่มีพลัง

สังคมแบบนี้เป็นสังคมที่เดินอยู่ในสังคมสายกลางมีเอกภาพในความหลากหลายไม่อยู่ภายในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบสุดโต่งเกินไปและไม่ใช่เผด็จการรวมศูนย์อำนาจแบบสุดขั้ว

เป็นสังคมที่ยึดมั่นในแนวคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งได้รับการบรรจุไว้เป็นหลักในการพัฒนาประเทศอย่างชัดเจนมาเรื่อยๆตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับที่ 8 แผนพัฒนาฉบับที่ 9 และแผนพัฒนาฉบับที่ 10 ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบันควรที่ทุกฝ่ายจะต้องให้ความสนใจที่จะนำมาใช้แปลงออกไปสู่ภาคปฏิบัติร่วมกันให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการปฏิบัติเพื่อนำสังคมไทยไปสู่ความอยู่ดีมีสุขร่วมกันนั้นทุกฝ่ายในสังคมจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดกันเสียใหม่ให้ลด ละ วิธีคิดแบบแยกส่วนตายตัว มองมนุษย์ มองสังคมเป็นเครื่องจักรไม่มีชีวิต นิยมใช้อำนาจทั้งกำลังเงินและกำลังอาวุธเข้ามาควบคุมกำกับผู้อื่นหันมาคิดแบบมองมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเป็นศูนย์กลางในการพัฒนามองสังคม มององค์กรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ล้วนแต่ต้องพึ่งพิงอิงกัน ยอมรับความเป็นเอกภาพในความหลากหลายแบบองค์รวม

วิธีคิดเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางแบบองค์รวมมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การพัฒนาคนไทยให้มีความรู้คู่คุณธรรมอันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะก่อให้เกิดความพอประมาณ ความมีเหตุผลการมีภูมิคุ้มกันที่ดีตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ก่อนที่จะสายเกินไปคนไทยทุกคนจำเป็นจะต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิตประจำวันเพราะเป็นแนวทางการดำรงชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของสังคมในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง


 

โดย: คนเดินดินฯ 7 เมษายน 2550 22:13:55 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณคนเดินดินฯ
ขอบคุณที่แวะไปนะคะ กำลังอัพบล็อกพอดีเลยค่ะ

นกกางเขนที่ชื่อนิ่ม นิด หน่อย น้อย หรือเปล่าคะ (จะบ่งบอกอะไรมั้ยเนี่ย)

ข่าวสารหมู่นี้ก็ไม่ค่อยได้อ่าน ก็ถือโอกาสมาอ่านที่นี่ซะเลยค่ะ

 

โดย: หญ้าหนวดแมว 8 เมษายน 2550 6:47:03 น.  

 

คัดจากกรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์กายใจ

เซนของนักกลยุทธ์



โดย : ดร.สุวินัย ภรณวลัย //www.suvinai-dragon.com

สภาวะไร้ใจของนักกลยุทธ์

พุทธะไม่พึ่งปัจจัยใดๆ เลย ธรรมชาติที่แท้ของจิตเดิมคือ ความว่าง ซึ่งทั้งไม่ใช่สะอาดและไม่ใช่สกปรก ด้วยเหตุนี้ พุทธะจึงไม่ถูกยึดติดด้วยการปฏิบัติ และการบรรลุในการปฏิบัตินั้น

เพราะพุทธะไม่ถูกยึดติดด้วยเหตุปัจจัยและผลจากปัจจัยนั้นด้วยเหตุนี้ พุทธะ จึงไม่รักษาศีล ไม่ทำบุญ และไม่ทำบาป พุทธะ จึงไม่วิริยะ และไม่เกียจคร้าน เพราะ พุทธะคือผู้ที่ไม่ต้องทำอะไร ไม่แม้แต่การกำหนดสติ เจริญสติ เพราะพุทธะคือผู้ที่ไม่เป็นแม้แต่ 'พุทธะ' ดังนั้น เซนจึงสอนว่า จงอย่าคิดถึงพุทธะ หากไม่เข้าใจคำสอนข้างต้นนี้ ก็อย่านึกเลยว่าจะเห็นแจ้งในธรรมชาติที่แท้แห่งตนได้

การไม่พึ่งปัจจัยใดๆ เป็นการเฉพาะเลย คือการดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่งไม่พึ่งทุกปัจจัยเลยอย่างไม่มีข้อยกเว้น คือการดับจากทุกสิ่ง อันเป็นภาวะแห่งอนัตตา ทั้งนี้เพราะ วิถีพุทธ คือ วิถีที่มุ่งเป็นอิสระจากการถูกยึดเหนี่ยวรัดรึงจากปัจจัยใดๆ ที่มีลักษณะเฉพาะ มันเป็นการปลดปล่อยจิตของตัวเองให้ยิ่งใหญ่เทียมเท่า ใจของฟ้า คือใหญ่เสียจนเป็นความว่างของจิต

ด้วยเหตุนี้ พุทธะจึงเป็นผู้ที่ใจกว้างเสมอ คนที่ใจแคบย่อมมิอาจเป็นพุทธะได้เลย ไม่แต่เท่านั้น วิถีพุทธที่แท้ย่อมเป็นวิถีที่ข้ามพ้นความเป็นคู่เสมอ การก้าวข้ามความเป็นคู่ คือ การอยู่เหนือโลกด้วยสภาวะที่ไร้ใจ

สภาวะไร้ใจ คือ การตระหนักรู้อันบริสุทธิ์

สภาวะไร้ใจ คือ ท้องฟ้าที่ไร้เมฆ

สภาวะไร้ใจเช่นนี้ เข้าถึงได้ด้วยการทำสมาธิภาวนาแบบเซน

เซน สอนว่า พุทธะเป็นเรื่องของ "สภาวะการดำรงอยู่" หรือ "การเป็น" ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น คือ มีแต่การตระหนักรู้อย่างบริสุทธิ์ในการกระทำใดๆ ทั้งปวงเท่านั้น จึงไม่แปดเปื้อนด้วยการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ถูกยึดติดด้วยการกระทำใดๆ เลย

เหตุที่ เซน บอกว่า "พุทธะไม่รักษาศีล" ก็เพราะ พุทธะไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามศีลหรือพระวินัยใดๆ เลย เนื่องจาก พุทธะเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยความตระหนักรู้อย่างเป็นที่สุดอยู่แล้ว และตอบสนองต่อทุกสิ่งที่เผชิญจากความตระหนักรู้นี้เสมอ หาใช่จากศีลหรือจากบัญญัติพระวินัยใดๆ ไม่ทุกขณะจิตที่เปลี่ยนไป พุทธะพิจารณาดูอย่างสงบในแต่ละขณะจิตนั้น และให้สภาวะการดำรงอยู่แห่งพุทธะของตนตอบสนองออกไปอย่างเป็นไปเอง ดุจกระจกเงาที่ใสกระจ่าง พุทธะจึงไม่ติดบุญไม่ติดบาป พุทธะจึงไม่ต้องย้ำเรื่องวิริยะเรื่องความเกียจคร้าน และไม่ต้องระวังในเรื่องการเสื่อมจากความเป็นพุทธะของตัวเอง ไม่ต้องประคองฌาน ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพื่อรักษาความเป็นพุทธะของตนเอาไว้

เพราะตราบใดที่มี ความตระหนักรู้อย่างยิ่งดำรงอยู่ในทุกขณะจิตอยู่แล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดเลยที่จะทำลายความเป็นพุทธะของคนนั้นลงได้ เพราะฉะนั้นพุทธะจึงเป็นผู้ที่ไม่เป็นแม้แต่ 'พุทธะ' ในความหมายที่ไม่จำเป็นต้องตระหนักในความเป็นพุทธะของตน จึงไม่คิดแม้แต่เรื่องการเป็นพุทธะของตน เพราะ การคิดถึงพุทธะมันจะได้อะไรสำหรับผู้ที่เป็นพุทธะอยู่แล้ว?

สภาวะไร้ใจมันดำรงอยู่เสมอ แต่คนเราจะมองเห็นหรือไม่! จะตระหนักรู้ได้หรือไม่ สภาวะไร้ใจ ไม่ใช่วัตถุ มันจึงไม่อาจเป็นเป้าของการฝึกจิตได้เหมือนการฝึกกสิณ และอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นคนละเรื่องกันเลย

สภาวะไร้ใจ เป็นที่ว่างอันพิสุทธิ์ เป็นความสงบงันอย่างที่สุดและเป็นความไม่มีอะไรในความตระหนักรู้อันบริสุทธิ์ อุปมาดั่งดวงตาที่สามารถแลเห็นได้ทุกสิ่งยกเว้นดวงตาของตนเอง คนเราจึงไม่อาจเป็นความฝันได้ เพราะความฝันปรากฏให้เราเห็นตรงหน้า เราคือ ผู้ดูความฝันนั้น

สภาวะไร้ใจจึงเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ ลิ้มลองได้ อยู่ในภาวะนั้นได้กล่าวถึงได้ แต่ไม่อาจเห็นได้ เพราะตัวเราที่แท้จริงคือสภาวะไร้ใจนั้น

คนเรามีชีวิตอยู่กับใจ อยู่ด้วยใจ ทุกข์ด้วยใจ และก็สุขด้วยใจมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นจึงยากที่คนเราจะรู้จักตัวเองและเห็นซึ้งถึงความจริงที่ว่า ใจคือวัฏสงสาร และ ใจคือ สามโลก สภาวะไร้ใจ เข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนาและการเจริญสติในอิริยาบถ นั่ง ยืน เดิน นอน เคลื่อนไหว

สภาวะไร้ใจนี้ มันดำรงอยู่อย่างเป็นเช่นนั้นของมันมายาวนานจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ มันไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ใช่ทั้งดี-เลว ไม่ใช่ทั้งสะอาด-สกปรก ไม่เป็นทั้งอดีต-อนาคต ไม่เป็นทั้งจริง-ปลอม ไม่เป็นทั้งหญิง-ชาย ทั้งนักบวช-ฆราวาส ไม่ปรากฏเป็นอริยะหรือโลกิยะ และไม่ปรากฏเป็นพุทธะหรือสรรพสัตว์ มันไม่เคยลำบากในการบรรลุและไม่ทุกข์ในปัจจัยอันเกิดจากเหตุและผล มันไม่มีรูปลักษณ์ใดๆ เลย จับก็ไม่ได้ ทิ้งก็ไม่ได้

สภาวะไร้ใจ นี้ จึงมีฤทธานุภาพที่จะทะลุทะลวงภูเขาแห่งขันธ์ 5 ข้ามพ้นมหาสมุทรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ว่ากรรมใดๆ ก็ไม่อาจยับยั้งได้ สภาวะไร้ใจนี้มองเห็นได้ยาก ไม่ว่าใครๆ ก็ควรมุ่งที่จะได้เห็นสภาวะไร้ใจอันนี้ อันเป็นสภาวะแห่งการดำรงอยู่ที่แท้จริง อันเป็นสภาวะของพุทธะ

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีการปฏิบัติใดที่จะมีสาระ และให้ประโยชน์แก่คนเรามากเท่ากับการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสภาวะไร้ใจนี้อีกแล้วในสายตาของเซน เพราะสภาวะไร้ใจนี้อยู่เหนือกฎแห่งกรรม และทำให้ผู้นั้นสามารถข้ามพ้นมหาสมุทรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้นั่นเอง

 

โดย: คนเดินดินฯ 8 เมษายน 2550 9:18:11 น.  

 

Pi chai ja

Here i am already reach my place here ka
My mom and all here everybody so happy ...
well i do miss my daddy badly ..kidtung mak mak ka
sorry for unable to pick up the phone before leaving bangkok
I am going to tum boon for my Dady next week here .
kidtung ka please takecare of yourself both physical and also your soul ,your heath as well .

miss u ka

Nong pim

 

โดย: Pim IP: 72.231.12.159 8 เมษายน 2550 10:07:44 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า

ฝากความ คิดถึง ห่วงใย มาให้
ส่งผ่านดอกทิวลิปของรุ่งอรุณ
เราต่างอยู่ไกลกันเกินครึ่งฟ้า
แต่ความจริงใจยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง


** มีความสุขกับคนที่คุณรักนะจ้า **

 

โดย: จอมแก่นแสนซน 8 เมษายน 2550 12:16:01 น.  

 

กำลังวางแผนจะไปเที่ยวทะเลค่ะ

แต่..สงสัยต้องเลื่อนไปก่อนมั๊งเนี่ย

 

โดย: Black Tulip 8 เมษายน 2550 18:51:54 น.  

 




สวัสดีตอนกลางคืนของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า

ไม่มีใครมากมายให้คอยคิดถึง
นอกจากเธอที่เป็นเพื่อนในใจฉัน
ไม่มีคำหวานมากมายร้อยพัน
มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น..สำหรับเธอ


** มีความสุขมากๆในวันนี้นะจ้านะจ้า **

 

โดย: จอมแก่นแสนซน 9 เมษายน 2550 3:09:03 น.  

 


เฮ้อ..........อ สังคมไทยมันก็น่าเหนื่อยทุกปีนี่

 

โดย: p_tham 9 เมษายน 2550 5:02:42 น.  

 

ขอยืมไหล่ซบ...กลบคราบน้ำตา

ง่าส์


ขอบคุณสำหรับเพลงคะ..ชอบมาก

หนิงจะไปทะเล...พี่อย่าลืมไปดูรูปตอนกลับมาแล้วนะคะ
ไว้หนิงจะมาเรียก

คิดถึงคะ

 

โดย: run to me 9 เมษายน 2550 14:14:29 น.  

 


สวัสดีค่ะ...

สงกรานต์ปีนี้จะไปเที่ยวที่ไหนค่ะ...ระวังรักษาสุขภาพด้วย..

วันก่อนถ่ายรูปต้นชมพูพันธุทิพย์(ตาเบบูย่า)จากหน้าที่ทำงาน

เห็นรถไฟฟ้าBTSวิ่งผ่านไป สวยมากๆเลย แล้วจะถ่ายมาให้ดูนะค่ะ

ไม่น่าเชื่อว่าเมืองไทย มีดอกไม้สวยๆ ไม่ต้องไปดูดอกซากุระที่

ญี่ปุ่น เพราะที่เมืองไทย ในกรุงเทพก็มีให้เห็นดกมากๆค่ะ

ลองสังเกตุดูนะค่ะ...

 

โดย: คนผ่านทางมาเจอ 9 เมษายน 2550 17:59:36 น.  

 




สวัสดีตอนค่ำๆของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า

ไม่เข้าใจตัวเอง...เหมือนกัน
ว่าความอาทร....ผูกพัน
มันเกิดขึ้นตรง...จุดไหน
รู้แค่ว่า..คิดถึงและห่วงใย



** มีความสุขในการทำงานนะจ้า **

 

โดย: จอมแก่นแสนซน 10 เมษายน 2550 2:13:07 น.  

 





ไปเที่ยวไหนรึป่าวคะวันหยุด
โบว์อยู่บ้านค่ะ
วันนี้มีปาท่องโก๋มาฝาก^^...

 

โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) 10 เมษายน 2550 8:37:10 น.  

 

ชวนเพื่อนไปไหว้พระเก้าวัดสารทไทย..
สำหรับเราจบเก้าวัดด้วยความอ่อนล้า..แต่อิ่มบุญมากล้นค่ะ
นำมาฝากเพื่อนๆๆทุกคนเลยนะค่ะ.....

สำหรับพระนี้ได้บุญมากหลาย...
ระลึกถึงทุกคนเมื่อไหว้กราบพระ
ด้วยจิตสงบและใจสดใส..
นำบุญกลับมาฝังในจิตใจ..
มิลืมสลาย..มอบตอบแทนกัน..แด่เพื่อนยาใจ

อนุโมทนาค่ะ





ดีใจเสมอค่ะ..ที่เห็นข้อความดีๆๆจากคุณมิตรที่น่ารักค่ะ
อย่าลืมนะค่ะวันครอบครัวที่แสนสุข..
ขอให้มีแต่ความสุขพร้อมบุญมาฝากนะค่ะ



 

โดย: catt.&.cattleya.. 10 เมษายน 2550 8:55:59 น.  

 

สวัสดีครับ

อีกสองวันก็จะได้หยุดยาว ๆ กันแล้ว
ปีนี้คงไม่ได้ไปไหนไกล ๆ แล้ว
อาจจะไปแว๊บหนึ่งใกล้ ๆ เช่นหาดแม่พิมพ์
ไปเช้าเย็นกลับเป็นทริปแบบสั้น ๆ
เป็นความสุขในวันสงกรานต์
ที่ถือเป็นวันครอบครัวของไทย
ที่ดูจะอบอุ่นมาก ๆ เมื่อครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า

วันนี้ก็มีบทรำพันเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากอีกครั้งครับ




ในเส้นทางของความรัก
บางครั้งอาจดูเหมือนง่าย
บางครั้งอาจดูเหมือนยาก
บางครั้งอยากยื้อยุดรักนั้นไว้
บางครั้งอยากหนีไปให้ไกล
และบางครั้งเหมือนมีพลัง
ที่ดึงดูดคนสองคนเข้าไว้ด้วยกัน

ทางเดินของรัก
ที่เหลือไว้ของความทรงจำดี ๆ
เป็นการเติมเต็มของคนสองคน
ที่มีให้กันในยามที่มีชีวิตอยู่
ทางเดินนั้นอาจหวานชื่น
หรือเต็มไปด้วยขวากหนาม
แต่สุดท้ายหัวใจของเราสอง
ก็ดูเหมือนจะอยู่ใกล้กันตลอดไป

 

โดย: คนเดินดินฯ 10 เมษายน 2550 11:53:56 น.  

 

คัดจากกรุงทพธุรกิจ Bizweek


พันทิปดอทคอม 'ครบเครื่อง' เวบคอมมูนิตี้

ต้องยอมรับว่าพันทิปเป็นหนึ่งใน "ผู้มีอิทธิพล" จนทำให้หลายคน "เสพ" การท่องเน็ตติดกันงอมแงม
เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลทางความคิด ให้หลายคนเริ่มต้นที่จะมีเวบไซต์ของตัวเอง



ประการสำคัญ พันทิปคือผู้ทรงอิทธิพลบนเวบคอมมูนิตี้ที่ "ครบเครื่อง" ที่สุด

บนเครือข่ายเวบคอมมูนิตี้ของพันทิปมี 3 แกนหลัก คือ pantip.com bloggang.com และ pantown.com

กว่าจะมาเป็นเวบคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่มียอดสมาชิกมากกว่า 4 แสนคนในปัจจุบัน พันทิปเริ่มจากการเป็นเวบนิตยสารออนไลน์ด้านไอที ซึ่ง วันฉัตร ผดุงรัตน์ เจ้าของเวบพันทิปดอทคอม มีฝันเล็กๆ ขณะนั้นแค่ต้องการทำเวบภาษาไทยให้คนอ่าน

ด้วยประสบการณ์และความคลั่งไคล้ในไอทีสุดๆ ทำให้เขาเริ่มต้นเวบนี้ขึ้นมา แต่เพราะคอนเซปต์ธุรกิจใหม่เอี่ยมอ่องทำให้เอเยนซียังไม่ยอมรับ เงินจึงเริ่มขาดมือ สุดท้ายวันฉัตรค้นพบว่าต้องปรับโฉมพันทิปใหม่แล้วใช้ศักยภาพการสื่อสาร "สองทาง" ของอินเทอร์เน็ตมาใช้ให้เป็นประโยชน์

"คอมมูนิตี้ บนเวบไซต์" ไอเดียสุดคลิก ไม่แค่ทำให้พันทิปพ้นปากเหว แต่ยังดังเปรี้ยงปร้างและกลายเป็นเวบคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่ทำให้นักท่องเวบ "เสพติด" กันงอมแงม

เป็นจุดเริ่มต้นให้นักท่องเวบผันตัวมาเป็นเจ้าของเวบไซต์กันไปตามๆ กัน

แม้จะนานวันแต่เสน่ห์ของพันทิปยังไม่เสื่อม ถึงจะมีเวบใหม่สีสันฉูดฉาดบาดตาเกิดขึ้นมากมาย แต่เวบพันทิปยังเป็นเวบหนึ่งในใจนักท่องเน็ตที่ต้องแวะเวียนเข้ามาหา "เพื่อน" และกลายเป็นเวบสำหรับในการเช็คเรทติ้ง เช็คมุมมองของสังคมได้ในหลายๆ ครั้ง

วันฉัตรบอกว่า เวบพันทิปมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนมีอายุนิดหนึ่ง หลายคนอาจจะมองว่า "เชย" ว่า "แก่" เพราะสีสันเวบใหม่ที่เกิดขึ้นสะดุดตากว่า แต่นั่นเป็นความตั้งใจของเขาที่ตั้งใจทำเวบให้ทึมๆ เพื่อสร้างบรรยากาศ เสริมการแสดงความคิดเห็นที่ลุ่มลึก

"เราไม่ตามกระแสหรือแฟชั่น" วันฉัตรบอก

เขาบอกว่า ถ้าคนมองเรื่องของอินเทอร์เน็ตเป็น จะพบว่าพันทิปเป็นคอมมูนิตี้ที่มีเครือข่ายสมบูรณ์ โดยมีแกนหลัก 3 แกน

pantip.com เป็นเวบแลกเปลี่ยนความคิดเวทีใหญ่ที่มีหลายหลากเรื่อง หลายหลากรสชาติ มีห้องย่อย 20 เซคชั่น

bloggang.com เวบบล็อก เป็นการต่อยอดจากเวบพันทิป ที่นี่ไม่ใช่แค่คอมมูนิตี้ แต่เป็นที่ที่ให้สมาชิกสามารถแสดงตัวตนได้มากขึ้น จากพื้นที่ที่เอื้ออำนวยมากขึ้น

pantown.com คอมมูนิตี้เล็กๆ สำหรับนักท่องเน็ตที่สนใจเรื่อง "เฉพาะทาง"

"อย่างเช่น หมวดดนตรี ในเวบพันทิปเราทำได้อย่างมากแค่ย่อยลงไปเป็นประเภทของเพลง แต่เราค้นพบว่ามีสมาชิกที่สนใจเรื่องเฉพาะทาง เช่น ฟลุต เปียโน หรือคนที่อยู่ต่างประเทศเอาสูตรอาหารไทยไปดัดแปลงมาเผยแพร่กัน เป็นคอมมูนิตี้เล็กที่กระจายไปทั่ว ซึ่งเขาสามารถสร้างเวบไซต์ของเขาเองได้อย่างง่ายๆ เป็นเวบที่กำลังมาแรง"

เขาบอกว่า พันทิปยังเป็นเวบที่มาแรงต่อเนื่องจากการเป็นเวบบอร์ดที่มีมานาน โมเมนตัมจึงยังส่งให้แรงขึ้น ขณะที่บล็อกก็มีแรงในระดับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยบล็อกแกงค์จะมี "อัตราเร่ง" นำหน้าเวบอื่น ทั้ง 3 ขานี้จึงทำให้พันทิปสามารถให้บริการผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ครบถ้วน

"นี่เป็นแก่นของเรา ไม่ใช่เปลือกนอกที่คนเห็นว่าเราเชย" เขาย้ำ

ในฐานะคนทำเวบ วันฉัตรบอกว่า ต้องมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ ลูกเล่นใหม่ๆ ออกมาให้บริการสมาชิก และคนเล่นเน็ตตลอดเวลา และกลางปีนี้พันทิปมีของดีมาให้สมาชิกได้เล่นมากขึ้น

"เราพยายามพัฒนาคอมมูนิเคชั่นเซ็นเตอร์ ที่มีซอฟต์แวร์ของตัวเองมาใช้ ซึ่งหลังจากพันทิปใหญ่ขึ้น มีศาลาประชาคม เขียนบล็อกให้คนเข้ามาเขียนเรื่องราวตัวเอง มีพื้นที่เฉพาะทาง วันหนึ่งเขาน่าจะมีการสื่อสารกันเฉพาะทาง

เลยจะให้พันทิปทุกขาสามารถใช้ซอฟต์แวร์นี้สื่อสารกันได้ อาจจะเป็นการสื่อสารแบบ "one to one" หรือ "one to many" เพื่อให้คนสื่อสารถึงกันได้มากขึ้น คาดว่าจะเสร็จกลางปีนี้"

มุมมองของวันฉัตร มองว่า พันทิปคือเวบคอมมูนิตี้ และหัวใจของคอมมูนิตี้คือการสื่อสาร การพัฒนาสิ่งต่างๆ จึงต้องเน้นที่จะให้ "บริการเสริม" เพื่อให้การสื่อสารออกรสออกชาติมากขึ้น

จึงไม่แปลกอะไรที่ไม่ปรากฏภาพของอีคอมเมิร์ซบนเวบนี้

"จริงๆ เราก็อยากทำอีคอมเมิร์ซ แต่ก็ขาดกำลังคน ไม่ใช่ว่าไม่มี เรามีพันทิปมาร์เก็ตที่มีการทำอีคอมเมิร์ซ แต่อีคอมเมิร์ซไม่ใช่ "แก่น" ของเรา การเอาสินค้ามาขายในเวบต่างๆ ผมมองว่าคงจะไม่ใช่ธุรกิจหลัก คงทำแบบบายโปรดักท์ ตามน้ำ มากกว่า"

ดังนั้นรายได้หลักของเวบไซต์ จึงมาในรูปของโฆษณา แบนเนอร์ และกิจกรรมมากกว่า ซึ่งปีที่ผ่านมาโฆษณาในพันทิปเติบโตขึ้นถึง 80% จากการเติบโตของบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต

ส่วนปีนี้ธุรกิจจะเติบโตเท่าไร วันฉัตรบอกว่า เขาไม่เคยตั้งเป้าธุรกิจ หรือตั้งเป้ายอดขาย

"วิธีคิดเราไม่เหมือนนักธุรกิจ แต่เป็นเหมือนนักว่ายน้ำที่ทำให้ดีที่สุด ได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะเป้าหมายไปบีบทำให้เราสร้างสิ่งที่ไม่คุ้มค่าให้ลูกค้า เช่น ผมตั้งเป้าไว้ 20 ล้าน แต่ถ้าทำได้ไม่ถึง ก็จะไปบีบมาร์เก็ตติ้งให้นำเสนอสินค้าบางอย่างที่ลูกค้าไม่ชอบ ซึ่งไม่คุ้ม

เราถือว่าทำดีที่สุดก็แล้วกัน"

เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ยัดเยียดที่จะหาแต่กำไร แต่เป็นพื้นที่มีความจริงใจ มีความรู้มาแบ่งปันกันบนคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้ ที่หาไม่ได้ในเวบไซต์ระดับโลก

"ผมก็ประหลาดใจว่าทำไมไม่มีคอมมูนิตี้ใหญ่ๆ อย่างนี้ในเวบไซต์ยาฮู กูเกิล แต่ถ้าถามว่าพันทิปอยากเป็นอะไร พันทิปเป็นอะไรที่ดีมากอยู่แล้วตอนนี้ เป็นพื้นที่ที่เป็นรู้จัก ไม่ใช่แฟชั่นหวือหวา แต่เป็นพื้นที่ที่ผู้คนเอาความรู้มาต่อยอด มาแบ่งกันในเรื่องทัศนะ น้ำใจ ซึ่งดีมาก และเราจะรักษาตรงนี้ไว้"

 

โดย: คนเดินดินฯ 10 เมษายน 2550 13:33:00 น.  

 

ตามมาอ่านต่อ... ชอบอันนี้ค่ะ
"คนเรามีชีวิตอยู่กับใจ อยู่ด้วยใจ ทุกข์ด้วยใจ และก็สุขด้วยใจมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นจึงยากที่คนเราจะรู้จักตัวเอง"

 

โดย: หญ้าหนวดแมว 11 เมษายน 2550 3:50:50 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า

ส่งข้อความผ่าน Bloggang
ส่งดอก Tulips เป็นสื่อความหมาย
ส่งความห่วงใยผ่าน Net ตามสายไป
ถึงเพื่อนดีที่ใจ I MISS YOU



** มีความสุขกับคนที่คุณรักนะจ้า **


ปล..ชอบข้อความเดียวกันกับคนข้างบนเลยอะจ้า

 

โดย: จอมแก่นแสนซน 11 เมษายน 2550 13:21:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.