จางทังขี่ม้าเดินทางมาถึงฉางอันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อมาถึงประตูวังหลวงชั้นนอก จางทังก็รีบลงจากหลังม้า เปลี่ยนมาเป็นจูงม้าเดิน ยังไม่ทันที่จะได้เดินผ่านประตูเข้าไปก็มีขันทีคนหนึ่งพร้อมผู้ติดตามเดินออกมาจากด้านในร้องบอกให้หยุด พร้อมกับเอ่ยถามว่า “เจ้าคือจางทังใช่หรือไม่”
“มีเรื่องอะไรเหรอ” จางทังเอ่ยถาม
“ไท่โห้วทรงมีรับสั่งให้พาเจ้าไปเข้าเฝ้า ตามข้ามา” พอบอกเสร็จขันทีก็หันหลังเดินนำจางทังไปเข้าเฝ้าไท่โห้วโต้ว
ไท่โห้วโต้วกำลังนั่งพักผ่อนอิริยาบทอยู่ในสวนพร้อมกับเหล่าขันทีและนางกำนัล จางทังเดินเข้าไปถวายความเคารพ
“ข้าพระองค์ จางทัง ขอถวายการคำนับต่อองค์ไท่โห้ว พะย่ะค่ะ” พูดจบก็คุกเข่าลงไปถวายการคำนับ
“ลุกขึ้นได้”
“ขอบพระทัย พะย่ะค่ะ”
ไท่โห้วโต้วทอดพระเนตรดูจางทังที่ลุกขึ้นยืนแล้วตรัสว่า “มองดูเจ้าแล้ว ใบหน้ามีแต่เหงื่อ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นดิน คงจะเดินทางมาด้วยความลำบากไม่น้อย”
“ทูลไท่โห้ว สถานะการณ์ของไท่จื่อตอนนี้กำลังย่ำแย่ พะย่ะค่ะ ข้าพระองค์เลยต้องรีบเดินทางกลับมาที่ฉางอัน เพื่อที่จะเข้าเฝ้ากราบทูลฝ่าพระบาทได้ทรงโปรดให้การช่วยเหลือ พะย่ะค่ะ”
ทันทีที่จางทังพูดจบ ไท่โห้วโต้วก็ทรงถอนหายใจออกมา พร้อมกับตรัสว่า “พระอาการประชวรของฝ่าพระบาท ยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาขึ้นเลย อีกทั้งแพทย์หลวงยังกำชับไว้อีกว่า ห้ามมิให้พระองค์ทรงโดนลม ห้ามมิให้พระองค์ทรงพบกับใครๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามมิให้พระองค์ทรงเกิดอาการกริ้ว เรื่องของไท่จื่อปล่อยให้เราเป็นคนจัดการก็แล้วกัน เจ้าวางใจได้”
“หากองค์ไท่โห้วทรงมีพระเมตตาให้การช่วยเหลือก็ดีเหมือนกัน พะย่ะค่ะ”
“อันที่จริง เราก็ได้จัดการไปบ้างแล้วล่ะ แค่อุบัติเหตุพลั้งมือฆ่าคนตาย ให้เงินไปสักหน่อย หาทำเลที่มีหวงจุ้ย(风水)ดีๆ มอบให้แก่เค้าก็หมดเรื่องแล้ว ไม่ถึงกับจะต้องให้ไท่จื่อชดใช้ชีวิต(偿命)ของเค้าให้จริงๆหรอกนะ ไม่งั้นจะดูเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะน่าขบขันไป”
“ทูลไท่โห้ว ตอนนี้หลิวซิ่น เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อกัดเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย พิจารณาว่าฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต จึงจับไท่จื่อไปคุมขังไว้ที่คุก นับถึงวันนี้ก็เป็นวันที่แปดแล้ว พะย่ะค่ะ”
พอได้สดับว่าไท่จื่อถูกคุมขัง ไท่โห้วโต้วก็ทรงแสดงอาการตกพระทัย ทรงผุดลุกจากที่ประทับแล้วตรัสออกมาด้วยความกริ้วว่า “ช่างบังอาจนัก(大胆) เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อคิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร”
“แต่ว่า ไท่จื่อเองก็ยังไม่ยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเอง(表明身份)ออกไป พะย่ะค่ะ”
ไท่โห้วโต้วทรงถอนหายใจ “แล้วทำไมเค้าถึงไม่บอกฐานะของตนเองออกไปล่ะ เป็นไท่จื่อไม่ได้เป็นอะไรที่จะต้องหลบๆซ่อนๆนี่”
“จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์ก็ถือว่ามีความผิด เพราะในกลุ่มคนที่คอยรับใช้ติดตามไท่จื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวข้าพระองค์เองนั้นมีอายุมากที่สุด ควรจะเป็นคนแรกของกลุ่มที่สมควรได้รับโทษอย่างหนักที่สุด”
ไท่โห้วโต้วได้สดับคำกราบทูลของจางทังแล้วถึงกับแย้มพระโอษฐ์ “พูดได้ดี เราเริ่มจะชอบฟังเด็กๆอย่างพวกเจ้าพูดจาประสาผู้ใหญ่ซะแล้วสิ ความคิดแบบเด็กๆของพวกเจ้า(小心眼儿) มีหรือที่เราจะไม่เข้าใจ อยู่ในวังมีแต่ก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสือจนเหนื่อย ก็เลยคิดหนีออกไปเที่ยวเล่น เที่ยวเพลินไปหน่อยก็เลยไปถึงเมืองเยี่ยนชื่อ ใช่หรือไม่”
“ทรงรอบรู้(明察秋毫)ยิ่งนัก ตรัสได้อย่างชัดแจ้งทีเดียว พะย่ะค่ะ”
“มีเด็กคนไหนที่ไม่ชอบเที่ยวบ้างล่ะ ขืนรอให้อายุเท่าเรา คิดอยากจะเที่ยวก็เที่ยวไม่ไหวแล้ว ไท่จื่อเองก็คงจะกลัวว่าฝ่าพระบาทจะทรงตำหนิ(怪罪) ก็เลยไม่ยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเอง ส่วนเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อก็ทำตามภาระหน้าที่ของตน(公事公办) รายงาน(奏折)ทั้งหมดได้ส่งมาถึงเราแล้ว เอาล่ะ เราจะจัดการเรื่องนี้แทนหวงตี้ให้เอง ส่วนเรื่องที่พากันแอบหนีออกจากวังไปเที่ยวกันนั้น เราไม่ติดใจเอาเรื่อง ปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปก็แล้วกัน”
“แล้วเรื่องช่วยเหลือไท่จื่อล่ะ พะย่ะค่ะ”
“มีย่าคนไหนบ้างที่จะไม่รักหลานของตนเอง กว่าจะรอให้เจ้ากลับมาถึงฉางอันทุกอย่างก็คงจะสายไปแล้ว ดังนั้น หลังจากที่เราได้รับรายงาน(奏章)ก็รีบส่งคนไปที่เมืองเยี่ยนชื่อทันที”
“คนที่พระองค์ทรงส่งไปนั้น ใช่อ๋องเหลียงหรือไม่ พะย่ะค่ะ”
ไท่โห้วโต้วทรงอึ้งเล็กน้อยที่จางทังรู้ว่าอ๋องเหลียงไปที่เมืองเยี่ยนชื่อ จึงตรัสขึ้นเพื่อที่จะดูว่าจางทังรู้อะไรมากน้อยแค่ไหนว่า “อ๋องเหลียง เจ้าพบกับเค้าแล้วงั้นหรือ”
“ขอพระราชทานอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วย การที่อ๋องเหลียงไปเมืองเยี่ยนชื่อในครั้งนี้ ข้าพระองค์เกรงว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับไท่จื่อ พะย่ะค่ะ”
“เค้าไปที่เมืองเยี่ยนชื่อ เค้ามีภาระกิจที่ต้องไปทำที่เมืองเยี่ยนชื่ออย่างงั้นหรือ” ไท่โห้วโต้วแสร้งตรัสถาม
“พระองค์ไม่ทรงทราบเรื่องนี้หรือ พะย่ะค่ะ”
ไท่โห้วโต้วทรงถอนหายใจตรัสว่า “นี่ก็อีกคน หนีออกจากวังไปโดยไม่บอกไม่กล่าว อายุก็สามสิบกว่าแล้ว ยังจะทำตัวเหมือนเด็กๆอีก มีเรื่องกวนใจเราไม่จบไม่สิ้นเสียที” จากนั้นก็ทรงเรียกหาขันที(内侍)
“ข้าพระองค์อยู่ที่นี่แล้ว พะย่ะค่ะ” ขันทีคนหนึ่งรีบเดินเข้ามารอรับคำสั่ง
“เจ้ารีบไปจัดการส่งม้าเร็วออกเดินทางอย่างเร่งด่วนไปที่เมืองเยี่ยนชื่อเดี๋ยวนี้ สั่งให้ไปตามอ๋องเหลียงกลับฉางอันให้เร็วที่สุด”
“พะย่ะค่ะ” พูดจบก็รีบเดินไปจัดการตามรับสั่งของไท่โห้วโต้ว
หลังจากที่ตรัสกับขันทีเสร็จก็ตรัสกับจางทังว่า “ในสายตาของคนเป็นแม่ ไม่ว่าลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่สักแค่ไหนก็ยังเห็นเค้าเป็นเด็กน้อยอยู่ดี จางทัง เจ้าก็ควรจะกลับไปดูแลแม่ของเจ้าได้แล้ว ไท่จื่ออีกสองวันก็คงจะกลับวังแล้วล่ะ เจ้าเองก็ควรจะตั้งอกตั้งใจ(收心)เอาเวลาไปอ่านตำรับตำราให้ขึ้นใจจะดีกว่า เข้าใจที่เราพูดไหม”
“ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว พะย่ะค่ะ” รับคำเสร็จแล้ว จากทังก็ล่าถอยเดินทางกลับไปที่บ้านของตนเอง
ขันทีได้นำสาส์นมาให้ไท่โห้วโต้วพร้อมกับทูล “สาส์นที่จะเรียกตัวอ๋องเหลียงเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอให้ทรงทอดพระเนตรตรวจดูอีกครั้งและทรงประทับตราด้วย พะย่ะค่ะ”
“ทำงานได้ว่องไวดีนี่” ตรัสเสร็จก็หยิบสาส์นจากมือขันทีมาเก็บไว้พร้อมกับบอกให้เดินทางกลับตำหนัก
อ๋องเหลียงทำความเคารพศพเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อเสร็จ หลิวอี้ที่อยู่ในอาการเศร้าเสียใจก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ได้โปรดเมตตาให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย”
“เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง(为国捐躯) ตายก็ตายอย่างมีเกียรติ ขอให้คุณชายหักห้ามความโศกเศร้าเสียใจไว้บ้าง” อ๋องเหลียงเอ่ยปลอบ
ไท่จื่อกำลังนั่งหลับอยู่ กัวเส่อเหรินก็เข้ามาปลุกส่งเสียงร้องอย่างดีใจ “จิ่วเกอ มีข่าวดีล่ะ มีข่าวดีมาบอก ท่านรู้ไหม อ๋องเหลียงได้เดินทางมาถึงเมืองเยี่ยนชื่อแล้ว”
ได้ยินที่ กัวเส่อเหรินบอกไท่จื่อก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้งเอ่ยถามว่า “ท่านอาข้ามาแล้วเหรอ”
“ใช่แล้ว เมื่อตะกี้ข้าได้ยินพวกทหารยามเค้าคุยกัน เค้าบอกว่าอ๋องเหลียงได้มาถึงแล้วล่ะ”
“เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” ไท่จื่อถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ดีจังเลย พรุ่งนี้พวกเราก็จะ..ก็จะได้กลับฉางอันแล้ว ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” กัวเส่อเหรินออกอาการเริงร่าดีใจ
แต่ว่าไท่จื่อกลับไม่รู้สึกดีใจเท่าไรที่จะได้กลับฉางอัน “แต่ว่า เรื่องที่พวกเราหนีเรียนแล้วออกมาเที่ยวข้างนอก(逃学外出)กัน ก็คงจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้วล่ะ”
“ไอ้โย่ว จิ่วเกอ ท่านคงไม่เป็นอะไรหรอกน่า หนีเรียนนะเรื่องเล็ก แต่ฆ่าคนนี่สิเรื่องใหญ่ทีเดียว ขอเพียงแต่เรื่องที่ท่านฆ่าคนคลี่คลาย เปลี่ยนจากเรื่องใหญ่ไปเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วได้ล่ะก็ ถือว่าเป็นบทเรียน คราวหน้าพวกเราก็อย่าหนีออกมาเที่ยวอีกก็แล้วกัน จริงไหม”
ไท่จื่อถอนหายใจ “เจ้าพูดก็ถูก เมื่อก่อนข้าคิดว่าหนานซูฝาง(南书房 - ชื่อของสถานที่ ซึ่งเป็นสถานที่เรียนหนังสือของไท่จื่อกับเพื่อนๆ)เป็นเสมือนคุก(监狱) แล้วการเรียนหนังสือ(读书)ก็เหมือนกับการติดคุก(坐牢) แต่ว่าตอนนี้พอข้าได้มาติดคุกน้ำที่อยู่ใต้ดิน(水牢) กลับทำให้ข้าคิดถึงห้องเรียน(หนานซูฝาง) คิดถึงการเรียนหนังสือ”
“ตอนนี้ท่านยังไม่ต้องคิดอะไรให้มันมากมายนักหรอก ไม่แน่คืนนี้พวกเราอาจจะได้ออกจากคุกแล้วก็ได้ และก็ไม่แน่นะอ๋องเหลียงอาจจะเตรียมอาหารอร่อยๆ(山珍海味) และก็สาวงาม ไว้คอยเลี้ยงต้องรับพวกเราอยู่ก็ได้ จิ่วเกอ แบบนี้พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็จะได้กลับวังได้เดินทางกลับฉางอันกันแล้วล่ะ”
“จะกลับพรุ่งนี้นะเหรอ”
“ทำไม่ล่ะ ท่านยังไม่อยากจะกลับหรือไง หรือท่านกลัวว่าอ๋องเหลียงจะไม่รับปาก ยังไงๆเค้าก็เป็นอาแท้ๆของท่าน”
“แล้วเนี่ยนหนูเจียวล่ะ ยังไงข้าก็จะต้องไปบอกลานางสักหน่อยก่อน”
“หึ จิ่วเกอ ท่านเป็นอะไรไปหรือเปล่าเนี่ย หลายวันมานี่พวกเราต้องทนอยู่อย่างลำบาก(水深火热) ท่านยังจะคิดถึงนางอีกเหรอเนี่ย ท่านนี่สมกับเป็น ชายชาติทหารที่มีจิตใจหนักแน่นเด็ดเดี่ยว แต่กลับลุ่มหลงในความรักกับอิสตรีจนเกินไป(英雄气不短 儿女情更长) จริงๆเลยนะ จิ่วเกอ ในโลกนี้ผู้หญิงที่ดีกว่าเนี่ยนหนูเจียวยังมีอีกตั้งแยะ ข้าสัญญาว่าจะหาผู้หญิงดีๆให้ท่านสักคน เอาไหม ต้องการสักกี่คนข้าก็หามาให้ได้”
“ข้าต้องการแต่เนี่ยนหนูเจียวคนเดียวเท่านั้น” ไท่จื่อลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยบอกกัวเส่อเหรินด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “เจ้าคิดดูสิ พวกเราติดอยู่ในคุกน้ำใต้ดิน มีใครมาเยี่ยมมาดูพวกเราบ้างไหม จะมีก็แต่นางคนเดียว นางใส่ใจข้ารักข้าขนาดนี้ หากข้าไปโดยไม่ร่ำลา(不辞而别)ล่ะก็ นางต้องเสียใจอย่างที่สุดแน่ๆเลย”
“จิ่วเกอ ท่านอย่างลืมสิว่าเนี่ยนหนูเจียว อาชีพของนางก็คือนางคณิกา(烟花) ให้ความสำราญกับแขกที่ผ่านไปมา ไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจจะกำลังจู๋จี๋ออเซาะฉอเลาะอยู่กับหนุ่มๆที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้”
“เจ้าพูดจาส่งเดช”
“ข้าไม่ได้พูดส่งเดชนะ จิ่วเกอ ผู้หญิงประเภทนี้ข้าเจอมาเยอะแล้ว เรามาพนันกันก็ได้”
“บังอาจ(放肆) เนี่ยนหนูเจียว นางขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง” ไท่จื่อเอ่ยอย่างโกรธๆ
“จิ่วเกอ ท่านเพิ่งจะเข้าไปเที่ยวที่สำนักนางคณิกาเป็นครั้งแรก ก็เลยทึกทักคิดว่าพวกนางคณิกาเป็นนางฟ้า ท่านรู้หรือเปล่าว่าคนอื่นๆเขาพูดเกี่ยวกับพวกนางคณิกาว่ายังไง พวกเค้าบอกว่า ตอนกลางวันก็แต่งตัวเป็นเจ้าสาว พอตกกลางคืนก็เปลี่ยนเจ้าบ่าว(天天做新娘 夜夜换新郎)”
ไท่จื่อทนฟังไม่ได้เอามือตบหน้ากัวเส่อเหรินแล้วเอ่ย “เจ้าพูดจาเหลวไหล”
กัวเส่อเหรินเอามือลูบใบหน้าตนเองอย่างคิดไม่ถึง “จิ่วเกอ ท่านตบข้าเหรอ”
“กัวเส่อเหริน คือข้า..”
“ท่านตบหน้าคนที่จงรักภักดี(忠心耿耿)ที่สุดต่อท่าน จิ่วเกอ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆเลยว่า ท่านจะเป็นคนที่เห็นนารีดีกว่าสหาย(重色轻友)ได้ถึงเพียงนี้”
“ข้า.. ข้า..” ไท่จื่ออึกอักทำอะไรไม่ถูก
“ได้ ข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนของท่าน ข้ามันก็แค่..ก็แค่คนรับใช้ที่ต่ำต้อย(草臣)คนหนึ่งของท่านเท่านั้น” พูดเสร็จก็งอนสะบัดหน้าเดินไปซบกับกำแพงร้องไห้
ไท่จื่อตามไปง้อ “ไม่นะ..ไม่ เจ้าเป็นพี่สามของข้า เป็นเพราะมือข้างนี้ของข้าไม่ดีเอง ข้าให้เจ้าตีมันคืนก็ละกัน” พูดพร้อมกับยกมือข้างที่ตบหน้าขึ้น
กัวเส่อเหรินปัดมือที่ยกขึ้นมาทิ้งแล้วเอ่ยว่า “จิ่วเกอ ข้าไม่กล้า” พอนึกขึ้นได้ก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ “ไท่จื่อ ข้าพระองค์ไม่บังอาจ ข้า..ข้าก็แค่คนรับใช้ที่ต้อยต่ำ(草臣)”
“เจ้าไม่ตีใช่ไหม งั้นข้าตีมันเองก็ได้” ไท่จื่อเอามืออีกข้างตีมือข้างที่ไปตบหน้ากัวเส่อเหริน พร้อมกับบอกว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้าตบหน้ากัวเส่อเหรินเหรอ เจ้ากล้าตบหน้าพี่สามของข้าเหรอ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพี่สามของข้าเป็นใคร ตอนเล็กข้าๆดื่มน้ำนมจากแม่ของเค้าถึงโตมาได้จนป่านนี้ เจ้าคิดว่าพวกเราไม่ใช่พี่น้องกินนมแม่เดียวกันใช่ไหม พวกเราเป็นเหมือนพี่น้องร่วมนมแม่เดียวกัน เจ้าหรือรู้เปล่า”
เห็นไท่จื่อตีมือตัวเองไม่หยุด กัวเส่อเหรินก็เริ่มใจอ่อนเอามือตนเองไปห้ามให้หยุดตี “จิ่วเกอ ท่านอย่าทำอย่างนี้สิ”
“ไม่ คราวหน้าหากมือข้างนี้ของข้ากล้าตบหน้าเจ้าอีกล่ะก็ ข้าจะตัดมัน ตัดมัน ตัดมันทิ้งซะ” พูดพร้อมกับตีมือตนเองไม่ยั้ง
“จิ่วเกอ พอได้แล้ว ข้าเป็นพี่ของท่าน ยังไงข้าก็ต้องช่วยท่านตามหาเนี่ยนหนูเจียวให้เจอ ข้าจะทำให้ท่านสมหวัง(如愿) จิ่วเกอ” จากนั้นทั้งสองก็โผเข้ากอดกัน
“สำหรับตำแหน่งเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ ก็คงต้องมองให้เจ้าเป็นแทน(承袭)แล้วล่ะ” อ๋องเหลียงเอ่ยกับหลิวอี้
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
“ความสงบสุขของเมืองเยี่ยนชื่อ ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว”
“ข้าน้อยหลิวอี้ ไม่ว่าเรื่องส่วนรวมหรือเรื่องส่วนตน ก็จะปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถไม่ขาดตกบกพร่อง”
“พ่อ(令尊)ของเจ้า ถูกลอบทำร้ายในห้องนี้เหรอ”
“ใช่ ในช่วงเวลานั้นคนของข้าน้อยได้ไปดักซุ่ม(埋伏)อยู่ที่รอบบริเวณ(周围)คุกน้ำใต้ดิน(水牢) เผื่อว่าคนของไท่จื่อจะมาปล้นคุก แต่คิดไม่ถึงว่าคนร้ายจะฉวยโอกาสลอบเข้ามา”
“แล้วได้เบาะแสร่องรอยของคนร้ายบ้างไหม”
“ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ แต่ว่ามีอยู่คนหนึ่งทำตัวน่าสงสัย(可疑)เป็นอย่างมาก”
“เป็นคนของไท่จื่อหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ เป็นผู้หญิง”
“ผู้หญิงงั้นหรือ”
“คนๆนี้อยู่ๆก็มาที่นี่ แล้วอ้างว่าเป็นภรรยา(未亡人)ของคนตาย ไม่ยอมให้ข้านำศพไปฝัง ต้องการขออยู่เฝ้าศพเป็นเวลา 49 วัน แต่ว่านางเฝ้าอยู่ข้างๆศพแล้วแสดงอาการแปลกๆ พูดไปยิ้มไป”
“จับตัวไว้หรือยัง”
“ไม่ เพราะว่าเรื่องเพิ่งจะเกิดขึ้น”
อ๋องเหลียงนิ่งไปสักพักก็เอ่ยขึ้น “เจ้าบอกว่าคนร้ายไม่ได้มีแค่คนเดียวใช่ไหม”
“น่าจะมีด้วยกันสี่คน”
“งั้นปล่อยไปก่อนอย่าเพิ่งจับ เอาไว้ติดตามหาเบาะแสร่องรอยของคนร้ายจากนางได้แล้ว ค่อยจับตัวมาให้หมดเสียทีเดียว”
ภรรยาของจางทังเดินนำแม่ของกัวเส่อเหรินเข้ามาที่บ้านแล้วเอ่ยกับจางทังที่กำลังเล่นอยู่กับนกที่ได้มาจากตงฟางซั่วว่า
“ท่านพี่ ท่านป้ากัวมาแนะ”
จางทังรีบวางกรงนกลงแล้วเอ่ยทักทาย “ท่านป้ากัว สบายดีไหมครับ”
“ดี ดี ข้าสบายดี”
“อันที่จริง กลับมาถึงฉางอันแล้วข้าก็ควรที่จะไปเยี่ยมเยียนท่าน แต่ว่าต้องไปเข้าเฝ้าไท่โห้วซะก่อน ต้องขอโทษท่านป้ากัวด้วย”
“ตอนนี้พวกเค้าเป็นอย่างไรบ้าง” แม่ของกัวเส่อเหรินเอ่ยถาม
“ลูกชายของท่าน กัวเส่อเหรินตอนนี้อยู่ที่เมืองเยี่ยนชื่อ อีกไม่นานก็คงจะกลับฉางอันแล้ว”
“ที่ป้าอยากจะถามก็คือไท่จื่อ”
“ไท่จื่อ..ไท่จื่อก็อยู่กับกัวเส่อเหริน”
“พวกเค้าสบายดีไหม”
“ไท่โห้วทรงส่งคนไปรับพวกเค้าที่เมืองเยี่ยนชื่อแล้วล่ะท่านป้า”
“ไท่โห้วส่งคนไปรับไท่จื่องั้นหรือ”
“ไท่โห้วทรงตรัสกับจางทังเอง”
“พวกเจ้าแอบหนีออกจากวัง ถือว่าเป็นความผิดใหญ่โต ไท่โห้วจะไม่ทรงเอาผิดพวกเจ้าได้อย่างไรกัน” แม่ของกัวเส่อเหรินถามด้วยความสงสัย
p>“พระองค์ทรงเห็นพวกเราเป็นเหมือนเด็กๆ ทรงหัวเราะแล้วก็ตรัสให้กลับมาตั้งใจเรียนหนังสือ ส่วนเรื่องหนีออกจากวังไม่ทรงติดใจเอาความ”“ไม่ทรงเอาความงั้นหรือ” แม่ของกัวเส่อเหรินรู้สึกแปลกใจ
ภรรยาของจางทังรีบเอ่ยขึ้น “ทุกๆวันข้าก็ได้แต่ห่วงพวกเค้า ครั้งนี้ไท่โห้วทรงมีพระเมตตา ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ ท่านป้า”
“ถ้าไม่เป็นไร มันก็ดี”
จางทังติดใจคำพูดของป้ากัวจึงเอ่ยถาม “ท่านป้าได้ยินข่าวลือ(风声)อะไรมาเหรอครับ”
“ข่าวลืออะไรป้าไม่ได้ยินหรอก แต่ว่า ป้าแค่ไม่เข้าใจในเมื่อพวกเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ทำไมนายพลหลีก่านถึงยังถูกจำคุกอยู่ในคุกหลวงอยู่อีกล่ะ”
“นายพลหลีก่าน ใช่ลุงของหลี่หลิงที่เป็นนายพลใหญ่ของหน่วยราชองครักษ์ประจำวังหลวง(御林军)หรือเปล่าท่านป้า”
“ราชวงศ์ฮั่น ยังมีหลีก่านคนที่สองอีกงั้นเหรอ”
“เค้าถูกจำคุกด้วยความผิดอะไร” จางทังเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย
“ได้ยินมาว่า ไม่ดูแลไท่จื่อให้ดีปล่อยให้ทรงหนีออกจากวัง”
“แล้วเค้าถูกจำคุกตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็หลังจากที่พวกเจ้าหนีออกจากวังไป”
“ตั้งแต่ออกจากวังอย่างนั้นหรือ” จางทังรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยถามต่อ “เป็นรับสั่งของหวงตี้หรือเปล่า ท่านป้า”
“เปล่า เป็นรับสั่งของไท่โห้ว” จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อว่า “หลายวันมานี้พอข้าหลับตาลงทีไรก็ฝันเห็นแต่ไท่จื่อ ไม่ใช่ไท่จื่อที่อยู่ตอนนี้ แต่เป็นไท่จื่อตอนที่เพิ่งจะประสูติใหม่ๆ ทรงดื่มน้ำนมจากอกข้างหนึ่งของป้า ส่วนมือก็จับไปที่อกอีกข้างหนึ่งของป้า จับแน่นเสียจนป้ารู้สึกเจ็บ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ว่าจะทรงออกแรงพยายามสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะทรงดื่มน้ำนมเข้าไปได้ ได้แต่ร้องไห้งอแง เสียงร้องทำให้ป้าตื่น จนทำให้ป้ารู้สึกว่า ตอนนี้พระองค์อาจจะทรงกำลังหิวและก็หนาว(挨饿受冻)”
จางทังเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงเอ่ยขึ้นว่า “ขอเชิญท่านป้าเข้าไปนั่งพักในบ้านก่อนสักครู่ จางทังจะรีบเข้าไปในวังเพื่อขอเข้าเฝ้าหวงตี้สักหน่อย”
ชิวฉานค่อยๆโผล่หน้าของตนเองออกมาจากประตู เห็นที่ด้านหนึ่งของประตูไม่มีคนเฝ้าจึงค่อยๆย่องออกมา แต่กลับพบนายทหารนายหนึ่งที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของประตูสกัดขวางเอาไว้ ชิวฉานตกใจรีบยืดตัวขึ้นแอ่นท้องป่องๆไปทางนายทหารคนนั้น “เจ้าจะทำอะไร คิดจะทำร้ายลูกข้าเหรอ มองอะไรอีกล่ะ ธูปก็จุดหมดแล้ว แม้แต่ข้าวก็ยังบูดเปรี้ยวเลย ข้าจะกลับไปทำอาหารมาให้สามีข้าใหม่ พวกเจ้ามาห้ามข้าไม่ได้หรอก” ทหารอีกนายเดินเข้ามาส่งสัญญาณบอกให้ปล่อยชิวฉานไป แต่ก่อนจะไปชิวฉานได้เอ่ยกำชับทิ้งท้ายไว้ว่า “ข้าจะบอกอะไรพวกเจ้าอย่าง พวกเจ้าช่วยดูแลเค้าแทนข้าให้ดีๆล่ะ หากสามีข้าลุกขึ้นมาหลอกคนล่ะก็ พวกเราได้เจอดีแน่”
ทหารนายหนึ่งเข้ามากระซิบบอกรายงานแก่หลิวอี้
“เจ้าว่าไงนะ สำนักนางคณิกาไห่ถังชุนหรือ เจ้าดูไม่ผิดนะ”
“ตอนนี้ได้ให้คนคอยเฝ้าดูอยู่ที่หน้าประตูอยู่ครับ” นายทหารบอก
“ดีมาก ยิ่งมีไห่ถังชุนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก ทั้งคนตายทั้งนางคณิกา(白事红事)มาเกี่ยวข้องกันอย่างบังเอิญเช่นนี้ จะหมู่หรือจ่าเดี๋ยวก็ได้รู้กัน”
“จะให้ข้าน้อยนำคนไปตรวจค้นหรือไม่ครับ”
“ไม่ต้อง ข้าจะไปค้นด้วยตัวของข้าเอง”
ขันทีคนหนึ่งรีบออกมาบอกจางทัง “หวงตี้ไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าเข้าเฝ้าหรอก”
“แล้วท่านได้ทูลพระองค์ไปด้วยหรือเปล่าว่า เป็นเรื่องด่วนเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับไท่จื่อ”
“ข้าเองได้เข้าเฝ้าหวงตี้ที่ไหนกันล่ะ ไท่โห้วทรงมีรับสั่งลงมาว่า หวงตี้ทรงงดว่าราชกิจเป็นเวลาเจ็ดวัน ใครก็เข้าเฝ้าหวงตี้ไม่ได้ทั้งนั้น”
“อะไรกันเนี่ย” จางทังเอ่ยอย่างโมโหนิดๆ
กลับมาถึงไห่ถังชุน ชิวฉานก็รีบไปที่ห้องของเนี่ยนหนูเจียว หลังจากที่เปลี่ยนชุดแล้วก็มาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่สาวฟัง
“อันที่จริงพวกเราก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว และก็ไม่อยากให้ถูกจับได้(束手就擒)ด้วย ดังนั้น ข้าก็เลยนึกถึงเรื่องปลอมเป็นผี(装鬼) โดยให้หลี่หลิงสวมชุดของคนตาย แล้วพวกเราก็นั่งกอดกันร้องไห้(抱头痛哭)”
“กอดกันร้องไห้อย่างนั้นหรือ”
“ก็ใช่นะสิ”
“เจ้ากับหลี่หลิงเนี่ยนะ”
“ก็แค่ร้องไห้หลอกๆเท่านั้น”
“แล้วที่กอดกันล่ะ”
“ส่วนกอดก็กอดกันจริงๆนะสิ”
“อ้อ” เนี่ยนหนูเจียวเอ่ยพร้อมกับยิ้ม
ชิวฉานกลัวพี่สาวเข้าใจผิดจึงรีบเอ่ย “พวกเราสองคนก็แค่แสดงละครเล่นสนุกๆ(逢场作戏)เท่านั้นเอง พี่อย่าคิดไปไกลสิ พี่..พวกเราสองคนไม่ได้คิดอะไรกันจริงๆนะ ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีเลยนะ”
“ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลยนี่ เจ้ารีบร้อนตัวเชียวนะ”
“ใครบอกล่ะ ก็สายตาของพี่แสดงอาการแปลกๆ แสดงอาการหัวเราะเยาะข้านี่”
“ไม่นะ ไม่สักนิดเดียว ก็แค่คิดว่าพวกเจ้าหากจะมีอะไรกัน ก็เป็นแค่เพื่อนเล่นกัน(两小无猜) แต่หากเกิดถูกใจชอบพอกัน(情投意合) พี่สาวอย่างข้าก็ต้องแสดงความยินดีกับพวกเจ้าอยู่แล้ว” เนี่ยนหนูเจียวหยอกเล่นๆ
“พี่ยังจะเอาข้ามาล้อเล่นอีก เป็นพี่ที่แย่ที่สุด ข้าไม่ทำมันต่อแล้ว หึ ข้าไม่ไปเฝ้าศพให้แล้วด้วย” ชิวฉานเอ่ยอย่างงอนๆ
“เอาล่ะ เอาล่ะ พี่สาวคนนี้ยอมรับผิดแล้ว พอใจยัง”
ทันใดนั้นเสียงของผู้จัดการสำนักก็ดังขึ้นมาว่า “อาเจียว คุณชายใหญ่มาแล้ว รีบลงไปต้อนรับแขกเร็ว”
“เจ้าออกไปก่อน” เนี่ยนหนูเจียวรีบบอกชิวฉาน แต่ชิวฉานรีบเดินไปหาผู้จัดการสำนักเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าก็ไปบอกว่าวันนี้นางไม่สบาย ไม่รับแขกสิ”
“ไอ้หย่า ข้าก็บอกไปหมดแล้ว แต่เค้าบอกว่าเค้าต้องการเยี่ยมคนป่วย(病号)นี่” ผู้จัดการสำนักเอ่ย
ที่ด้านล่างของสำนักคณิกาไห่ถังชุน หลิวอี้นำกำลังทหารบุกเข้ามาเพื่อที่จะทำการตรวจค้นหาตัวคนร้าย หลิวอี้ส่งเสียงร้องบอกแก่เหล่าทหารท่ามกลางความแตกตื่นของแขกที่มาเที่ยวว่า “ไม่ต้องไปสนใจว่าจะเป็นหญิงสาว(姑娘) เด็กรับใช้(丫头) หรือว่าหญิงรับใช้(老妈子) ค้นดูแต่ละคนให้ทั่ว”
“ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่เป็นอะไร ถึงได้ส่งเจ้าหน้าที่มาเฝ้าอยู่ที่ด้านหน้า(脑门子) ข้าว่ามีแต่เจ้าที่พอจะทำให้เค้าหยุดลงได้” ผู้จัดการสำนักเอ่ยกับเนี่ยนหนูเจียว
“พี่ข้าป่วยขนาดนี้ ยังจะไล่ให้นางไปรับแขกอีก เจ้ายังมีมนุษยธรรมอยู่หรือเปล่านี่” ชิวฉานเอ่ยต่อว่า
“ไม่เป็นไร เจ้ามาช่วยข้าเปลี่ยนชุดที” เนี่ยนหนูเจียวบอกกับชิวฉาน
“พี่อ่ะ”
“เชื่อข้าสิ”
ผู้จัดการสำนักเดินลงมาบอกหลิวอี้ที่อยู่ด้านล่างว่า “เนี่ยนหนูเจียวกำลังรอให้การต้อนรับคุณชายใหญ่อยู่ เชิญด้านบนเลยค่ะ”