จี้อันซื่อพร้อมด้วยจี้ฉินหู่กับหลี่ฮั่นนำกำลังกองทัพไปปราบกองทหารของอ๋องเจียงตูที่คิดก่อการกบฎจนได้รับชัยชนะ จี้อันซื่อได้มีคำสั่งให้จี้ฉินหู่เดินทางล่วงหน้าไปจับตัวอ๋องเจียงตูกับครอบครัวเพื่อนำตัวไปรับโทษที่ฉางอัน
จี้ฉินหู่เมื่อรู้ว่าจี้อันซื่อกับหลี่ฮั่นขี่ม้าเดินทางมาตรวจตราความคืบหน้าที่จื่อตงเตี้ยน(紫東殿)ซึ่งเป็นตำหนักของอ๋องเจียงตู ก็รีบวิ่งออกมาให้การต้อนรับพร้อมกับรายงานสถานะการณ์ “ รายงานท่านพ่อ ” จิ้ฉินหู่เอ่ยกับต้าเจียงจวินจี้อันซื่อ จี้อันซื่อเอ่ยถามกลับไปว่า “ ใครเป็นผู้รายงาน ” “ ก็ลูกไงท่านพ่อ ” จิ้ฉินหู่เอ่ยอย่างงงๆ “ บนสนามรบไม่มีคำว่าลูก ไม่มีคำว่าพ่อ เจ้าลองรายงานใหม่อีกครั้งสิ ” “ ข้านายทหารยศเสี้ยวเว่ย(校尉) ชื่อจี้ฉินหู่ ขอรายงานต่อท่านนายพลใหญ่ว่า กองทหารทั้งหมดของอ๋องเจียงตูได้รับความพ่ายแพ้แล้ว ” “ เมื่อข้าศึกถอยหนีก็จำต้องไล่ตาม สำหรับอ๋องเจียงตูกับครอบครัวนั้น เจ้าจงไปตามจับตัวอย่าให้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว ” “ รับทราบ ” จี้ฉินหู่รับคำสั่งเสร็จก็พาทหารไปตามจับตัวอ๋องเจียงตู
จี้อันซื่อยืนรออยู่ด้านหน้าตำหนัก หลี่ฮั่นเดินออกมาเอ่ยกับจี้อันซื่อว่า “ รายงานท่านนายพลใหญ่ ” “ ค้นดูทั่วแล้วหรือยัง ” “ เรียนท่านนายพลใหญ่ คนที่ควรจะจับตัวไว้ก็ได้จับตัวเอาไว้หมดแล้ว ” “ แล้วอ๋องเจียงตูหลิวเฟยล่ะ ” “ เค้าดื่มยาพิษปลิดชีวิตตนเองแล้วครับ ”
จี้อันซื่อเดินนำหน้าหลี่ฮั่นกับจี้ฉินหู่เข้าไปในตำหนัก ที่เบื้องหน้ามีศพของอ๋องเจียงตูนอนตายอยู่ ที่ข้างๆศพมีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งร้องไห้หันหลังให้กับคนทั้งสามอยู่ “ เจ้าเป็นใคร ” จี้อันซื่อเอ่ยถาม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา จี้ฉินหู่จึงส่งเสียงดังบอกหญิงสาวผู้นั้นว่า “ ท่านนายพลใหญ่ถามเจ้าอยู่นะ ” หญิงสาวผู้นั้นค่อยๆหันหน้ามาบอก “ เค้าไม่คู่ควรที่จะมาถามอะไรเรา ” หลี่ฮั่นได้ยินที่หญิงสาวพูดจึงรีบเอ่ยถาม “ หากท่านนายพลใหญ่ไม่คู่ควร ยังจะมีคนที่คู่ควรอีกหรือ ” “ นายพลใหญ่ จะใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว ก็แค่บ่าวรับใช้ของคนตระกูลหลิว เราก็คือจวิ้นจู่(郡主 คำเรียกหญิงสาวที่เป็นบุตรของคนระดับอ๋อง)ของอ๋องเจียงตู พวกเจ้าได้ปฏิบัติตนตามธรรมเนียมการเข้าพบเชื้อพระวงศ์แล้วหรือไม่ ” “ น่าเสียดาย ที่ท่านอ๋องพ่อของเจ้ากระทำการไม่สำเร็จ คนชนะก็ได้เป็นอ๋องเป็นโหว คนแพ้ก็เป็นโจรดีๆนี่เอง ข้าคงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อโจร ” พูดจบจี้อันซื่อก็สั่งจี้ฉินหู่ “ จี้ฉินหู่รับคำสั่ง ” “ ข้าน้อยพร้อมรับคำสั่ง ” “ ตัดหัวหลิวเฟยแล้วนำกลับเมืองหลวง ส่วนบรรดาญาติพี่น้องไม่เว้นคนแก่หรือเด็กก็ให้จับกลับไปฉางอันพร้อมกัน ” จากนั้นก็กำชับอีกว่า “ เจ้าต้องระมัดระวังขณะคุมตัวส่งกลับฉางอันล่ะ ” “ ข้าน้อยรับทราบ ”
รหว่างที่จี้ฉินหู่พาทหารคุมตัวนักโทษเดินทางกลับฉางอันนั้น ก็มีม้าเร็วตะโกนไล่ตามหลังมาว่า “ มีนักโทษหลบหนี ” จี้ฉินหู่จึงรีบไปตรวจดูว่าเป็นใครกันที่หลบหนีไป เมื่อตรวจดูนักโทษทีละคนแล้ว จี้ฉินหู่ถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความแค้นใจ “ หลิวซี่จวิน ยังไงเจ้าก็หนีข้าไม่พ้นหรอก ”
ที่ตำหนักไท่จื่อฝู่(太子府) ไท่จื่อหลิวจี้ว์ทรงหยิบหนิวเจี่ยวห้าว(牛角号 เครื่องดนตรีประเภทเป่าลักษณะคล้ายเขาสัตว์โค้ง)ออกมาส่งให้เว่ยจ่างกงจู่กับฮั่วฉีเหลียน “ เอาไปคนละอัน ไม่ต้องแย่งกันนะ ” ฮั่วฉีเหลียนรับมาแล้วแอบทำหน้าเบ้กับเว่ยจ่างกงจู่ “ ใครอยากได้อ่ะ ” เว่ยจ่างกงจู่ตรัสกับไท่จื่อ “ ทรงคิดว่าพวกเรายังเป็นเด็กเล็กๆอยู่หรือเพคะ ” ฮั่วฉีเหลียนเหน็บ แต่ไท่จื่อกลับตรัสอย่างชื่นชมกับของที่ตนเองนำกลับมาให้ทั้งสอง “ ตอนนั้นช่วงเวลาที่ท่านอาเว่ยชิงไปออกรบ ข้ายังรบเร้าให้ท่านนำหนิวเจี่ยวห้าวกลับมาให้ข้าเลยนะ ” “ ช่วงเวลานั้น ทรงมีพระชนมายุได้กี่พรรษาเหรอ เพคะ ” ฮั่วฉีเหลียนทูลแดกดันไม่เลิก “ เอาล่ะ เอาล่ะ ถือซะว่าเราเป็นพวกชอบคิดเองเออเอง คิดว่าพวกเจ้าคงจะชอบของฝากชิ้นนี้ก็แล้วกัน แต่ว่าครั้งนี้นะ เราได้ทำงานใหญ่ชิ้นหนึ่งล่ะ ” “ งานใหญ่? ” ฮั่วฉีเหลียนหูผึ่งรีบทูลถาม “ งานใหญ่อะไรเหรอ เพคะ ” “ เรา หลี่ฮั่น และจี้ฉินหู่ ได้สาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว และเราได้นับพวกเจ้าสองคนเข้าไปด้วยแล้ว ” ไท่จื่อตรัสอย่างภูมิใจ แต่ฮั่วฉีเหลียนกลับส่ายหน้าเบื่อๆเมื่อได้ทราบงานใหญ่ของไท่จื่อ “ หม่อมฉัน เป็นขณิษฐาแท้ๆ ยังต้องร่วมสาบานด้วยเหรอ เพคะ ” เว่ยจ่างกงจู่ตรัสถาม “ ในตอนนั้นฮั่นซิงหุ้ย ก็มีเสด็จป้าผิงหยางกงจู่ของพวกเรารวมอยู่ด้วย ” ทรงหันมาทางฮั่วฉีเหลียนแล้วตรัสต่อว่า “ ฮั่วฉีเหลียน ยังมีเจ้าด้วยอีกคนหนึ่ง ” “ มีหม่อมฉันด้วยเหรอ เพคะ ” “ จะชายหรือหญิงก็ไม่สำคัญ ยังไงก็มีเจ้ารวมอยู่ด้วย ” “ แต่ว่าหม่อมฉันก็ไม่อาจทราบได้ว่า คนเสเพลเกเร(狐朋狗友)อย่างสหายของพระองค์ คู่ควรพอที่จะร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับหม่อมฉันหรือไม่ ” “ เค้าสองคนเนี่ยนะที่ไม่คู่ควร ” “ วิทยายุทธ์ของพวกเค้าทั้งสองคนเหนือกว่าหม่อมฉันหรือเปล่าล่ะ เพคะ ” “ ขี้คุย ” “ งั้นก็เชิญพระองค์ชื่นชมและยอมรับไปคนเดียวแล้วกัน ฉีเหลียนขอทูลลา ” ทูลเสร็จก็เดินหนีจากไปดื้อๆ ไท่จื่อรู้สึกเคืองกับกิริยาท่าทางของฮั่วฉีเหลียน จึงตรัสกับเว่ยจ่างก่งจู่ “ เจ้าดูนางสิ ทำตัวพิลึกกึกกือไปกันใหญ่แล้ว พี่ว่าจะพานางไปเล่นอะไรสนุกๆสักหน่อย นางก็มาทำเสียบรรยากาศหมด ” “ อะไรสนุกๆที่พี่ว่า นี่ใช่ใช้กำลังงัดข้อแข่งกับเพื่อนๆ(左膀右臂)ของพี่หรือเปล่าเนี่ย เป็นการเล่นที่ต้องใช้สมองสักนิดก็ไม่มี ดูอย่างเสด็จพ่อในตอนนั้นสิเพคะ ท่านโชคดีมากๆที่มีตงฟางซั่ว ” “ ตงฟางซั่ว ร้อยกว่าปีจึงจะมีคนอย่างเค้าสักคน นั่นเป็นอะไรที่ยากมากๆเชียวนะ ” “ แต่ว่าถ้าตอนนี้ยังมีตงฟางซั่วอยู่ล่ะ เพคะ ” “ ตงฟางซั่ว เค้ากลับมาแล้วเหรอ ” “ แม้ว่าเค้าจะไม่ได้แซ่ตงฟาง แต่ว่าความสามารถของเค้าก็ไม่ด้อยไปกว่าตงฟางซั่วเลยนะ เพคะ ” ได้ยินปุ๊บไท่จื่อรีบตรัสถามทันทีว่า “ เค้าอยู่ที่ไหน ”
ไท่จื่อหลิวจี้ว์รีบเดินทางมายังร้านของตงฟางหมอดูแม่นๆในทันที เมื่อไปถึงก็เห็นเจียงชงกำลังให้คำทำนายแก่ลูกค้าอยู่ จึงหยุดยืนดูอยู่ห่างๆที่นอกร้าน หลังจากที่ลูกค้าลากลับไปแล้ว ไท่จื่อหลิวจี้ว์ก็เดินเข้าไปหาเจียงชงแล้วตรัสถาม “ เจ้าใช่คนที่ยกตนเองเทียบชั้นกับตงฟางซั่วหรือเปล่า ” “ ข้าไม่บังอาจหรอก ” เจียงชงตอบอย่างถ่อมตน “ ทำนายอักษรให้ข้าทีสิ ” “ ต้องขอโทษด้วย วันนี้ข้าได้ทำนายครบสามคำทำนายแล้ว วันพรุ่งนี้ท่านค่อยมาเร็วกว่านี้ก็แล้วกัน ” ไท่จื่อหลิวจี้ว์ไม่อยากมาเสียเที่ยวจึงเอ่ยถาม “ ไม่มีข้อยกเว้นบ้างหรือ ” “ ภายในสามคำทำนาย ทุกคำทำนายล้วนถูกต้องแม่นยำ หากเกินสามคำทำนายไปแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรไปจากคำพูดที่เหลวไหลไร้สาระ ต้องขออภัยคุณชายด้วย ” |