Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
25 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
《ต้าฮั่นเทียนจื่อ 1》 四十四


สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป

จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 44


8 มีนาคม 2551 / ปรับปรุงแก้ไข :




44-1


“เจ้าว่ายังไงนะ” ไท่โห้วโต้วทรงตกพระทัย “ไท่จื่อสิ้นพระชนม์แล้วอย่างนั้นหรือ แล้วพวกเจ้า..พวกเจ้าเห็นกับตาหรือเปล่า”

“พะย่ะค่ะ พอพวกเรา..พวกเราไปถึงที่ริมฝั่งของแม่น้ำหวงเหอ(黄河)ก็เห็น..เห็นพระศพ(遗体)ของไท่จื่อ พะย่ะค่ะ” กัวเส่อเหรินทูลไปร้องไห้ไป

“แล้วเค้าสิ้นพระชนม์ยังไง”

“ทรงถูกธนูยิงทั่วร่าง” เมื่อเห็นสีหน้าตกพระทัยของไท่โห้ว กัวเส่อเหรินจึงทูลใหม่ “เอ่อ..แค่สองดอก พะย่ะค่ะ”

ไท่โต้วโห้วสังเกตเห็นหลี่หลิงสายตามีพิรุธจึงตรัสถาม หลี่หลิง เป็นความจริงหรือเปล่า”

“พะย่ะค่ะ” หลี่หลิงก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาไท่โห้ว

“เงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้” ไท่โห้วโต้วตรัสถามอีกครั้ง “ไท่จื่อสิ้นพระชนม์ที่ไหน”

“ที่ท่าข้ามฟากแม่น้ำหวงเหอ พะย่ะค่ะ”

“แล้วโดนธนูยิงกี่ดอก”

“สามดอก พะย่ะค่ะ”

“แล้วทำไมกัวเส่อเหรินถึงได้บอกว่าโดนธนูยิงสองดอก” ทรงจับผิดคำพูดของหลี่หลิง

“ด้านหลังของไท่จื่อมีอีกดอกหนึ่ง กัวเส่อเหรินเลยไม่ทันได้สังเกต พะย่ะค่ะ” หลี่หลิงใช้ไหวพริบแก้ไขได้ทัน

ไท่โห้วโต้วยังไม่ทรงวางพระทัยนักหันไปตรัสเรียกชื่อก้วนฟู

“เรื่องเป็นไปตามที่หลี่หลิงได้กราบทูลไว้ พะย่ะค่ะ” ก้วนฟูรีบทูล

“แล้วตอนนี้ฝังศพไท่จื่อไว้ที่ไหน”

“น่าอนาจยิ่งนัก ยังไม่ได้ฝังเลย พะย่ะค่ะ”

“อะไรนะ แม้แต่โลงศพก็ยังไม่มีเลยอย่างงั้นหรือ” ไท่โห้วโต้วกริ้วขึ้นมาทันที

กัวเส่อเหรินรีบทูลเสริม “ไม่ใช่ พะย่ะค่ะ เผอิญตอนนั้นพวกเราถูกทหารจำนวนมากไล่ตามมา พวกเรากลัว..กลัวว่าจะฝัง(掩埋)พระศพไม่ทัน พวกเราไม่มีทางเลือก..ก็เลย..ก็เลย..”

ทรงเห็นกัวเส่อเหรินอ้ำอึ้ง ไท่โห้วโต้วจึงตวาดใส่ “ก็เลยอะไร”

“ข้าพระองค์ สมควรตาย” กัวเส่อเหรินรีบก้มหมอบกับพื้น ก้วนฟูกับหลี่หลิงเห็นเข้าก็ทำตาม

“รีบพูดมาเดี๋ยวนี้”

กัวเส่อเหรินค่อยๆเงยหน้าขึ้น “ทูลหวงไท่โห้ว ไท่จื่อได้เคยตรัสเอาไว้ว่า ทรงโปรดแม่น้ำหวงเหอเป็นที่สุด พวกเรา..พวกเราก็เลยส่งไท่จื่อไปยังสุ่ยจิงกง(水晶宫 - ตามตำนานเล่าว่าใต้ผิวน้ำจะมีวังที่มีลักษณะเป็นผลึกแก้วใส เป็นที่ประทับของพญามังกร)ในแม่น้ำหวงเหอแล้ว พะย่ะค่ะ”

ไท่โห้วโต้วพยายามข่มระงับอารมณ์โกรธ “หลานย่า เจ้าเบิ่งตาดู คนพวกนี้เป็นเพื่อนที่ดีนักดีหนาที่เจ้าคบด้วยแล้วเหรอ”

“ชีวิตคนเราตายแล้วไม่อาจฟื้น ขอเสด็จแม่ทรงระงับความโศกเศร้าด้วยพระเจ้าค่ะ” อ๋องเหลียงรีบทูลปลอบ

“เจ้าหุบปาก..เจ้าจะให้แม่อธิบายกับหวงโห้วว่าอย่างไร ต้องสูญเสียสามีเมื่อล่วงเข้าวัยกลางคน ต้องสูญเสียลูกชายเมื่อล่วงเข้าวัยชรา ผู้หญิงคนหนึ่งจะทนแบกรับกับสิ่งรุมเร้าแบบนี้ได้อย่างไร แถมคนที่นางสญเสียไปยังเป็นว่าที่หวงตี้อีก”



44-2


จื่อฟู วันนี้เจ้าคงไม่ได้แต่งหน้า(化妆)สินะ” ไทจื่อตรัสถามขณะเว่ยจื่อฟูจัดแต่งพระเกศาให้

“ถึงแต่งไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกเพคะ”

“ใครว่าล่ะ เจ้าน่ะเหมือนดอกบัวที่บริสุทธิ์(清水芙容) หากได้แต่งหน้าสักหน่อยก็คงจะช่วยเพิ่มความสวยให้กับเจ้าได้แน่ๆ”

“ทรงอย่ามาล้อ(嘲笑)หม่อมฉันเลยเพคะ”

“เอาอย่างนี้นะ เราจะแต่งหน้าให้เจ้าเอาไหม” ไท่จื่อตรัสจบก็จับเว่ยจื่อฟูนั่งลง

“อย่าเลยเพคะ หม่อมฉันจะกล้าใช้พระองค์ได้อย่างไร” เว่ยจื่อฟูขัดขืน

“เอาเถอะน่า อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย นั่งนิ่งๆนะ”

“อย่าเลยเพคะ”

ไท่จื่อหยิบดินสอมาเพื่อจะเขียนคิ้ว แต่เว่ยจื่อฟูหันหน้าหนี

“เจ้าอย่าขยับสิ เดี๋ยวเส้นก็บิดเบี้ยวหมดหรอก” ไท่จื่อค่อยๆบรรจงเขียนคิ้วให้ เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็บอกให้เว่ยจื่อฟูลองส่องดูที่กระจก

“เป็นยังไงบ้าง”

“หม่อมฉันไม่ส่อง หน้าตาเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละเพคะ หม่อมฉันไม่ค่อยจะชอบแต่งแดงแต้มเขียว(涂红抹绿)สักเท่าไรเพคะ” เว่ยจื่อฟูเขิน

“ผู้หญิงพอใจที่ตนเองดูดีไม่ใช่เหรอ”

“แต่หม่อมฉันไม่ได้อยากดูดีนี่เพคะ”

“เอาน่า ถือว่าเพื่อเราก็แล้วกันนะ” ไท่จื่อมองใบหน้าของเว่ยจื่อฟูในกระจก “เจ้าดูสิ เห็นไหม มีสีสรรมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นขนาดไหน(三分颜色 六分精神)”

“วังหลวงส่งข่าวมาว่าไท่จื่อหลิวเช่อสิ้นพระชนม์แล้วล่ะ” เสียงของผิงหยางกงจู่ดังขึ้น

“ต้องเป็นเพราะกัวเส่อเหรินกับหลี่หลิงแน่ๆ พวกเค้ายอมเปิดปากรับสารภาพ(招供)แบบนี้ ต่อไปพี่จะมาว่า ว่าคนของข้าไม่ฉลาดไม่ได้อีกแล้วนะ ครั้งนี้เสด็จย่าคงจะเชื่อเสียสนิทเลยทีเดียว”

“ถึงจะยังทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง(半信半疑) แต่ว่าเรื่องนี้หากเสด็จแม่ทรงทราบเข้าจะต้องทรงเชื่อสนิทอย่างแน่นอน(深信不疑) แผนการณ์ของเจ้าอันนี้พี่รู้สึกว่าออกจะแรง(太毒)ไปสักหน่อย”

“แต่ก็สมควรจะต้องปิดบังเสด็จแม่ไว้ไม่ใช่เหรอ คงต้องเสียพระทัยมากๆแน่ ไม่รู้ว่าจะทรงเป็นอย่างไรบ้าง”



44-3


“เสด็จพี่ หม่อมฉันขอตามไปอยู่ด้วยนะเพคะ” หวงโห้วหวังทรงพร่ำพรรณาด้วยความเสียพระทัยเป็นที่สุด ทรงคิดที่จะฆ่าตัวตายตามหวงตี้จิ่งตี้ไป แต่ก็ถูกขันทีและนางกำนัลคอยขัดขวางเอาไว้

“ปรนนิบัติรับใช้หวงโห้วให้ดีล่ะ หากทรงเป็นอะไรไป เราจะฝังพวกเจ้าตามไปด้วย” ไท่โห้วโต้วรับสั่งกับขันทีและนางกำนัล

“เมื่อเจ้าเป็นหวงโห้ว เจ้าจะต้องยอมรับชะตากรรมอันนี้ให้ได้ แม่เองก็เคยเสียใจมาแล้วหลายปี สำหรับเจ้าตอนนี้แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น” ไท่โห้วโต้วปลอบหวงโห้วหวังแล้วพาไปนั่งสงบสติ จากนั้นก็ทรงเรียกขันทีให้นำน้ำซุปที่ทำจากโสมเข้ามา

“ไม่เย็นและไม่ร้อนจนเกินไป เจ้าดื่มสักหน่อยนะ” ไท่โห้วโต้วยกชามน้ำซุปให้หวงโห้วหวัง

“หม่อมฉัน มิบังอาจเพคะ” หวงโห้วหวังยังคงร่ำไห้ไม่หยุด

“มนุษย์เมื่อไม่เสียใจก็ไม่ร้องไห้ ความเจ็บปวดของเจ้าแม่เข้าใจดี เพราะแม่ก็เคยผ่านมาก่อน เจ้าสูญเสียลูกชายไป แม่เองก็สูญเสียลูกชายไปเหมือนกัน ในเมื่อชีวิตยังมีอยู่ก็ต้องดำเนินชีวิตกันต่อไป ใครบอกให้เราไปวิ่งตามให้ทันพวกเค้ากันล่ะ เจ้าอย่าได้พยายามคิดฆ่าตัวตาย(寻死觅活)อีกต่อไปเลย เพื่อสามี เพื่อลูกชาย เราจะต้องพยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น คนทั่วทั้งแผ่นดินและขุนนางทั้งหลายต่างเฝ้ามองดูพวกเราอยู่..เจ้า รีบดื่มน้ำซุปซะนะ”



44-4


“ทำไมเจ้าถึงไม่มีน้ำตาสักหยด” ไท่โห้วโต้วตรัสถามอ๋องเหลียงระหว่างทางที่เสด็จกลับตำหนัก “ยังไงเค้าก็เป็นหลานแท้ๆของเจ้านะ ภายในใจเจ้าคงคิดอยากที่จะเป็นหวงตี้เสียเต็มประดาแล้วล่ะสิ รู้ไว้ซะด้วยว่า หวงตี้อย่างเจ้า ถ้าแม่อยากให้เจ้าเป็น เจ้าถึงจะได้เป็น แต่หากแม่ไม่อยากให้เจ้าเป็น เจ้าก็ไม่มีทางจะได้เป็น”

“หม่อมฉันจะจัดพิธีพระศพให้กับหลิวเช่อ และไปกราบไหว้ด้วยตัวเอง พระเจ้าค่ะ”

“แค่นี้นะเหรอ”

“ทำพิธีทางศาสนาอุทิศส่วนกุศลให้เค้า 100 วัน”

“แล้วอะไรอีก”

“ฝังพระศพ(安葬)ไท่จื่อตามธรรมเนียมปฏิบัติเดียวกันกับหวงตี้ พระเจ้าค่ะ”

“แบบนี้ก็ยังดี งั้นจัดพิธีพระศพให้กับอดีตหวงตี้ก่อนก็แล้วกัน”

“ทูลไท่โห้ว แล้วจะให้จัดการกับหลี่หลิง กัวเส่อเหริน และก้วนฟูอย่างไร พระเจ้าคะ” โต้วอิงทูลถามขึ้นบ้าง “ความผิดที่พวกเค้าบกพร่องต่อการอารักขาจนเป็นเหตุ(致使)ให้ไท่จื่อต้องสิ้นพระชนม์ สมควรจะต้องลงโทษ(处罚)อย่างหนักเลย พระเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องถึงกับฆ่าให้ตายหรอก คำครหาสิเป็นสิ่งที่น่ากลัว(人言可畏)”

“ความหมายของเสด็จแม่คือ..”

“หวงตี้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์จะต้องมีการพระราชทานอภัยโทษ(大赦)ให้แก่ไพร่ฟ้าประชาชน เจ้าก็อภัยโทษให้พวกเค้าก่อนก็แล้วกัน”

“ถ่ายทอดคำสั่งของเรา ปล่อยพวกเค้าไปให้หมด ให้พวกเค้ากลับไปยังบ้านของตัวเอง” อ๋องเหลียงสั่งโต้วอิง

“พระเจ้าค่ะ”



44-5


“ท่านปู่ๆ” หลี่หลิงตะโกนเรียกหลี่กว่าง “ข้ากลับมาแล้ว”

หลี่กว่างสั่งให้หลานชายคุกเข่าลง

“เจ้ารู้ความผิดของเจ้าหรือไม่”

“ท่านปู่ หวงไท่โห้วทรงอภัยโทษให้ข้าแล้วไง”

“แม้กฎหมายบ้านเมืองจะอภัยให้เจ้า แต่ว่ากฎบ้านก็สุดที่จะให้อภัย ตระกูลหลี่ของเราเป็นทหารมาหลายชั่วอายุคน ปู่หวังว่าเจ้าจะเป็นนายทหารที่มีเกียรติ(虎子) ใครจะไปคาดคิดว่าเจ้าจะทำในสิ่งที่ไร้เกียรติ(鼠子) เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะใช้แซ่หลี่

“ท่านปู่ ท่านฟังข้าอธิบายก่อนสิ..”

“หุบปาก..เจ้าแอบหนีออกจากเมืองหลวงไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าออกไปทำอะไร”

“ข้า..ข้าก็ไปให้การคุ้มครองไท่จื่อยังไงล่ะท่านปู่”

“อะไรที่เรียกกันว่าคุ้มครอง” หลี่กว่างย้อนถาม “เจ้าต้องคุ้มครองทั้งตอนขาไปและขากลับ เจ้าต้องกล้าเผชิญกับความยุ่งยาก(临危不惧) เจ้าต้องสละชีพไม่กลัวตาย(舍身忘死) สิ่งเหล่านี้เจ้าทำได้หรือเปล่า ไท่จื่อประสบภัย(横遭不测) แต่เจ้ากลับไม่เป็นอะไร(毫发无伤) เจ้ายังกล้าที่จะกลับมาอีกเรอะ ตระกูลหลี่ไม่มีคนที่อ่อนแอเหลาะแหละ(软骨头)เช่นเจ้า”

“ท่านปู่ ท่านฟังข้าพูดก่อนสิ..”

“หุบปาก ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าปู่” หลี่กว่างไม่ฟัง “ข้าเป็นนายทหาร เจ้าก็เป็นนายทหาร ข้าจะต้องจัดการกับเจ้าตามวินัยของทหาร” จากนั้นตะโกนเรียกพลทหารแล้วสั่ง “นำตัวเจ้าคนอ่อนแอขี้ขลาดคนนี้ออกไปโบย 40 ไม้”

หลี่หลิงโวยวาย “ท่านปู่ ท่านไม่มีเหตุผล ท่านยังฟังข้าพูดไม่จบเลย ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น”

พลทหารสองนายลังเลไม่กล้าที่จะจับกุมตัวจึงหันหน้ามาเป็นเชิงถามหลี่กว่างเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง แต่หลี่กว่างกลับบอกว่า “ทหารต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด(军令如山) โบยให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

พลทหารนำตัวหลี่หลิงออกไปโบยด้วยไม้พลองทหาร(军棍) เสียงร้องตะโกนของหลี่หลิงดังแว่วมาทุกขณะที่ถูกโบยว่า “ท่านปู่ ท่านไม่มีเหตุผล...”

หลี่กว่างเดินเข้าไปถาม “ข้าขอถามเจ้า หลี่หลิง เจ้าจะยอมรับหรือไม่”

พลทหารหยุดโบยเพื่อรอคำตอบ แต่หลี่หลิงตอบเสียงดังฟังชัดว่า “ไม่”

หลี่กว่างจึงสั่งให้พลทหารโบยต่อไป จนเสียงร้องของหลี่หลิงเงียบไป

“เรียนท่านนายพล นายน้อยสลบไปแล้วครับ”



44-6


“เจ้ากินช้าๆก็ได้ ค่อยๆเคี้ยว ค่อยๆกลืน จะได้รับรู้ถึงรสชาติความอร่อย” ป้านมกัวนั่งมองลูกชายที่กำลังพลุ้ยข้าวใส่ปากด้วยความเอร็ดอร่อย

“กับข้าวที่ท่านแม่ทำ อะไรก็อร่อยทั้งนั้นแหละ”

“ของมันแน่อยู่แล้วล่ะ”

“ท่านแม่ มาทานด้วยกันนะ” กัวเส่อเหรินพูดจบก็คีบอาหารป้อนไปที่ปากของป้านมกัว

“อร่อยหรือเปล่า ท่านแม่”

“อร่อยสิ”

กัวเส่อเหรินนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ วันนั้นใครอนุญาตให้ท่านแม่ไปที่คุกเหรอ”

“หวงไท่โห้วยังไงล่ะ”

“อะไรนะ งั้นคำพูดที่ท่านสอนข้าเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่หวงไท่โห้วบอกทั้งหมดเลยเหรอ”

“ใครบอก เป็นสิ่งที่แม่พูดให้หวงไท่โห้วฟังต่างหากล่ะ ผิงหยางกงจู่เป็นคนสอนให้แม่พูด สักคำเดียวแม่ก็พูดไม่ผิดเลยเชียวนะ”

“ยอดไปเลยท่านแม่ ท่านเยี่ยมจริงๆเลย” กัวเส่อเหรินยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้ม “ข้าจำได้ว่าตอนเด็กๆ ท่านเคยบอกกับข้าว่า คนเราที่สำคัญที่สุดก็คือความซื่อสัตย์(诚实) ห้ามพูดเหลวไหล ห้ามพูดโกหก ใช่ไหมท่านแม่ แต่ว่าวันนี้ที่ท่านสอนข้าน่ะ ท่านพูดโกหกคำโตเลยทีเดียว อย่างนี้มีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง(欺君之罪)เชียวนะท่านแม่”

“คนหนึ่งเป็นลูกชายแท้ๆของแม่ ส่วนอีกคนก็เป็นลูกชายที่ดื่มนมของแม่ หากไม่ทำเพื่อพวกเจ้าแล้วจะให้แม่ทำเพื่อใครกันล่ะ หวงไท่โห้วพระองค์นี้ถึงจะทรงฉลาดเป็นกรด แต่ก็ทรงถูกหลอกให้หลงจนได้”

“แต่ว่าท่านแม่ ความผิดของท่านครั้งนี้มีโทษมหันต์ถึงกับประหารเก้าชั่วโคตร(株连九族)เชียวนะ ท่านไม่กลัวเหรอ”

“จะต้องกลัวอะไรล่ะ หากแม่ไม่ทำ พวกเจ้าก็ต้องทำอยู่ดี ถึงเจ้าจะโดนประหารเก้าชั่วโคตร หัวแรกที่โดนก็แม่อยู่ดี อันนี้ก็ต้องอยู่ที่พวกเจ้าแล้วล่ะว่าจะสู้ชนะหวงไท่โห้วนั่นได้หรือเปล่า”



44-7


หลี่กว่างกำลังทายาไปที่หลังของหลี่หลิง “นี่เป็นยาสมานแผลจินชวง(金创)ที่ดีที่สุดที่ปู่ปรุงขึ้นกับมือ”

“ข้าไม่ต้องการยาของท่าน ตบหัวแล้วลูบหลังอย่างนี้ คนที่เจ็บตัวไม่ใช่ท่านปู่นี่”

“แค่โดนไม้พลองทหารอันเดียวโบยก็ทนไม่ได้เสียแล้ว ตอนที่ปู่เข้ามาเป็นทหารตอนอายุ 16 นั้นเทียบกันแล้วโดนโบยมากกว่าที่เจ้ากินข้าวเสียอีก”

“ท่านเคยโดนโบยด้วยเหรอ”

“ปู่น่ะเคยโดนมาหมดแล้วทั้งมีด ทั้งทวน และก็ลูกธนูของพวกซุงหนู..ทำไม..เจ้าไม่เชื่อเหรอ ปู่ให้เจ้าดูก็ได้” พูดเสร็จหลี่กว่างก็ปลดเสื้อออก

หลี่หลิงดูแล้วเห็นมีแต่รอยยาวเป็นทางหลายรอย “ท่านปู่ บนตัวท่านไม่มีตรงไหนที่ไม่มีรอยแผลเป็นเลยนะเนี่ย”

“ทหารก็อย่างนี้แหละ ปู่ไม่ได้ร้องขอให้เจ้าร่ำรวยเงินทองมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต(荣华富贵)อะไรทั้งนั้น ปู่แค่ต้องการให้เจ้าเป็นนายทหารที่ดี ปู่คงจะคาดหวังไว้สูงเกินไป(恨铁不成钢) โบราณกล่าวไว้ว่า กษัตริย์เสียพระเกียรติขุนนางสมควรตาย(君辱臣死) ไท่จื่อเคราะห์ร้ายถึงกับสิ้นพระชนม์ แต่เจ้าผู้มีหน้าที่คอยอารักขาไท่จื่อกลับไม่เป็นอะไรกลับมา เป็นความอัปยศ(耻辱)..เป็นสิ่งที่น่าอัปยศอดสูที่สุดของคนเป็นทหาร”

“ท่านปู่ ความจริงไท่จื่อเค้ายังไม่สิ้นพระชนม์นะ”

“เอ๋..แต่เจ้าก็ทูลไท่โห้วไปอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ”

“ก็แค่หลอกไท่โห้วเท่านั้นแหละ”

“แล้วทำไมต้องหลอกด้วยล่ะ หลอกลวงคนแก่แบบนี้เจ้าไม่รู้สึกว่าโหดร้าย(残忍)ไปหน่อยหรือไง”

“หวงไท่โห้วมีพระประสงค์จะให้อ๋องเหลียงขึ้นเป็นหวงตี้”

“แล้วตอนนี้ไท่จื่อไปอยู่ซะที่ไหนแล้ว”

“ไท่จื่อตอนนี้เสด็จกลับมาถึงฉางอันแบบลับๆได้สักพักแล้ว ทรงปลอดภัยดี(安然无恙) แม้มีบางคนไม่ต้องการให้เค้าขึ้นเป็นหวงตี้ แต่พวกเราก็จะพยายามคุ้มครองให้เค้าขึ้นเป็นหวงตี้ให้ได้..นายพลหลี่กว่าง ท่านอุทิศตนเพื่อแผ่นดิน รับใช้ชาติบ้านเมือง ออกรบจนมีความดีความชอบไม่น้อย เป็นนายทหารผู้มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นยิ่งนัก เวลานี้ต้องขอดูแล้วล่ะว่าท่านจะยืนอยู่ฝ่ายไหน”

“ไท่จื่อยังมีชีวิตอยู่แน่นะ” หลี่กว่างย้ำถามเพื่อความแน่ใจ

“หากทรงสิ้นพระชนม์ ข้าจะกล้ามาหาท่านปู่เหรอ”

“เจ้าต้องรับผิดชอบคำพูดทุกคำที่เจ้าพูดนะ”

“ข้ารับผิดชอบ”

“ตกลง” หลี่กว่างเรียกพลทหารเข้ามาในห้องแล้วสั่งการ “ไปแจ้งให้นายพลทั้งหลายมาเข้าร่วมประชุมด่วน อย่ากระโตกกระตากให้คนอื่นรู้ล่ะ”



44-8


“จริงแท้แน่นอน(千真万确)ทีเดียวเชียวล่ะ” ก่วนเถากงจู่เอ่ยกับบุตรสาว “หวงไท่โห้วทรงมีรับสั่งลงมาแล้วว่าลูกเช่อ..เค้า..เค้าตายแล้ว ไหนเจ้าว่าเมื่อสองวันก่อนยังดีๆอยู่เลยนี่ แล้วทำไมจู่ๆถึงตายขึ้นมาได้ล่ะ”

เฉินอาเจียวแม้จะสับสนกับสิ่งที่ได้ยินแต่ก็ยังครองสติไว้ได้ “โธ่..แม่..ทำไมถึงไปเชื่อข่าวลือแบบนั้น นิสัยได้ยินลมแล้วว่าเป็นฝน(听见风就是雨)แบบนี้เมื่อไรจะแก้หายสักทีเนี่ย”

“ก็พรุ่งนี้ต้องทำพิธีพระศพให้สองพ่อลูกแล้ว ยังจะว่าไม่จริงอีกหรือ”

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดอีกแล้ว เบื่อๆๆ..น่าเบื่อจริงๆเลย”

“เจียวเจียว ตอนนั้นเจ้าเอาเค้าไปซ่อนไว้ที่ไหนกัน”

“ข้าไม่รู้”

“โธ่เอ๊ย..แล้วแบบนี้พวกเราจะหนีพ้นเงื้อมมือของพวกเค้าไปได้เหรอ แล้วยังความผิดฐานทำให้หวงไท่โห้วขุ่นเคืองพระทัยอีก แม่เคยบอกแล้วไงว่าอย่าไปเป็นศัตรูกับนาง เอางี้..พวกเราไปตำหนักอ๋องเหลียงกัน ไปแสดงความยินดีกับเค้าก่อน”

“แม่..ลูกเขยของแม่ตายทั้งคน..แม่ยังจะไปแสดงความยินดีให้เค้าอีกเหรอ”

“แม่..เอ่อ..แม่..ไม่ใช่อย่างนั้นนะ..คือว่า..เอ่อ..อ๋องเหลียงเค้าขึ้นเป็นหวงตี้..”

“มันก็คือกันแหละแม่..เอางี้..แม่กลับห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะไป จะได้มีแรงเอาไว้ไปร้องไห้ที่วังในวันพรุ่งนี้”



44-9


“ไท่จื่อสิ้นพระชนม์แล้วเหรอ” จางทังรู้สึกอึ้งกับข่าวที่ได้ยินแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อนักจึงเอ่ยถามเจ้าหน้าที่จากศาลกรมวัง “มีใครสร้างเรื่องขึ้นหรือเปล่า”

“คำแถลงการณ์จากหวงไท่โห้วได้เดินทางมาถึงแล้ว”

“ให้ข้าออกไป”

จางทังถูกเจ้าหน้าที่ยืนขวางประตูเอาไว้ “ท่านจาง ท่านจะออกไปไม่ได้นะ”

จางทังคว้ากระบี่ที่อยู่ในฝักจากมือเจ้าหน้าที่ขึ้นมาชี้ขู่ “พรุ่งนี้จะมีพิธีพระศพคู่ของอดีตหวงตี้กับไท่จื่อ เรื่องสำคัญ(天崩地裂)ขนาดนี้ ตัวข้าเองก็เป็นขุนนางจะให้มานั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน(不闻不问)ได้อย่างไร อีกทั้งจะให้ข้าซุกตัวอยู่แต่ในนี้เรียบเรียงกฎหมาย พระราชกฤษฏีกา และพระราชบัญญัติ มันสมควรแล้วหรือ ใครกล้าที่จะขัดขวางข้า ก็ขอถือเป็นคนแปลกหน้า(六亲不认)สำหรับข้า จางทังจะขอสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง..พวกเจ้าหลีกไปนะ”

ทันใดนั้นเอง ท่านเจ้ากรมศาลกรมวังก็เดินเข้ามาในห้อง





Create Date : 25 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 8 มีนาคม 2551 19:40:43 น. 1 comments
Counter : 1538 Pageviews.

 
ลุ้น ลุ้น ลุ้น


โดย: เสี่ยวฉิน IP: 58.185.172.130 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:22:45:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.