สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป
ตีพิมพ์ครั้งแรก : 7 ธันวาคม 2550 / ปรับปรุงแก้ไข : 22 ธันวาคม 2550 ผู้แปล : WangAnJun
จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 3 - ตอนที่ 10
10-1
“ เรื่องราวของกษัตริย์ของหวงตี้ทุกพระองค์ในอดีต พ่อได้สั่งให้มีการเก็บรวบรวมเอาไว้เป็นหมวดเป็นหมู่ จะได้หยิบมาใช้ตรวจสอบตัวเองทุกวัน ” “ แต่ว่าหม่อมฉันก็ยังไม่เข้าใจ ถังเจี่ยวเองมีความผิดต้องจนต้องได้รับพระอาญา แต่ทำไมกษัตริย์แคว้นจิ้นถึงได้ไม่ถือสาหาความ กลับทรงแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ” “ กษัตริย์ก็คือกษัตริย์ นิสัยชมชอบของสวยๆงามๆย่อมมีอยู่ในตัวคนทุกคน(爱美之心 人皆有之) พระองค์ทรงเห็นว่ากิริยาที่ไม่ดีไม่งามหลังจากที่ดื่มเหล้าเข้าไปเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก ดังนั้นพอเมาแล้วเรื่องใหญ่ก็จะเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ เรื่องเล็กๆก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เลยไม่จำเป็นจะต้องไต่สวน(追究)อะไร” “ ถ้าอย่างงั้นก็ถือว่าถังเจี่ยวเป็นคนที่โชคดี(侥幸)มากๆเลย พระเจ้าค่ะ ” “ เจ้าผิดแล้วล่ะ แม้ถังเจี่ยวจะเป็นนายทหารที่มีความกล้า แต่ยิ่งกษัตริย์แคว้นจิ้นทรงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น(若无其事)มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ถังเจี่ยวร้อนรุ่มใจ(心怀忐忑)มากขึ้นเท่านั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กษัตริย์แคว้นจิ้นทรงนำกองทัพออกสู้รบด้วยพระองค์เอง แต่ปรากฏว่ารบแพ้ถูกกำลังทหารฝ่ายข้าศึก(敌兵)ไล่ต้อนอย่างไม่ลดละ และอาจจะเพลี่ยงพล้ำถูกจับกุมตัวเป็นเชลยไว้ได้ในไม่ช้า เพื่อที่จะช่วยชีวิตของกษัตริย์แคว้นจิ้นเอาไว้ เค้าได้ตีฝ่าวงล้อมกองทัพของข้าศึกและขับไล่ต่อสู้จนข้าศึกแตกพ่ายไป ในเวลานี้เค้าจึงได้มีโอกาสบอกกับกษัตริย์แคว้นจิ้นว่าตัวเค้าเองเป็นคนเดียวกับคนที่ตอนนั้นได้ล่วงละเมิด(唐突)พระมเหสีของพระองค์ และตนเองก็ได้แต่รอเวลาที่จะทูลรับสารภาพ แต่กว่าจะสารภาพได้เวลาก็ผ่านล่วงเลยมานานหลายปี ” “ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ” “ คนเป็นกษัตริย์จะใช้งานคน ก็ต้องมีผ่อนหนักผ่อนเบา(张弛)กันบ้าง ถ้าหากว่าในตอนเกิดเหตุกษัตริย์แคว้นจิ้นทรงลงอาญา(惩办)ถังเจี่ยวไว้ ในเวลาต่อมาก็คงจะไม่มีทหารที่เก่งกล้าคนใดที่จะมาช่วยพระองค์ให้รอดพ้นจากการถูกจับกุมได้ ” “ ลูกเข้าใจแล้ว พระเจ้าค่ะ ” “ เจ้าออกไปก่อน พ่อยังมีหนังสือที่จะต้องอ่านอยู่อีก ” ไท่จื่อหลิวจี้ว์ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถึงเรื่องที่อยากจะพูด “ ทูลเสด็จพ่อ ” “ เจ้ามีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ ” “ ท่านนายพลใหญ่ตอนนี้ก็ถูกขังอยู่ในคุกหลวงหลายวันแล้ว ความผิดของเค้าหนักหนาหรือไม่ พระเจ้าคะ ” “ การปล่อยนักโทษกบฎให้หลบหนี เจ้าว่าโทษหนักหรือไม่ล่ะ ” ตรัสพร้อมกับชี้ไปที่กองหนังสือ “ ที่ตรงนั้นมีบทบัญญัติของราชวงศ์ฮั่นอยู่ เจ้าจะลองไปค้นดูก็ได้” “ แต่ว่า..เค้าเป็นถึงนายพลใหญ่ และก็ทำความดีความชอบไว้ตั้งมากมาย จะว่าไปก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าถังเจี่ยวเลยนะ พระเจ้าคะ ” ฮั่นอู่ตี้ได้สดับคำกล่าวของไท่จื่อหลิวจี้ว์แล้ว ก็ทรงสวนคำถามกลับไปทันที “ เจ้ากล้าเอาเค้าไปเปรียบกับถังเจี่ยวแบบนี้ แล้วเจ้าเอาพ่อไปเปรียบกับใครกัน หึ ” “ ลูกไม่กล้านำเสด็จพ่อไปเปรียบกับใครหรอก พระเจ้าค่ะ ” “ ไม่เป็นไร เจ้าอยากจะนำพ่อไปเปรียบกับใครก็เปรียบไปเถอะ ถังเจี่ยวเค้าทำผิดเพราะดื่มเหล้า แต่ว่าจี้อันซื่อรู้ทั้งรู้ว่าผิดแต่ก็ยังฝ่าฝืน(明知故犯) ก่อนที่จะเสร็จสิ้นภารกิจ พ่อก็ได้กำชับเค้าเอาไว้แล้วว่า อย่าให้หนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว การที่เค้าจับตัวหลิวซี่จวินไว้ได้แต่ปล่อยให้นางหนีไป เจ้าจะให้พ่อปิดตาทำไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้นหรือ ” “ แต่ว่าจี้ฉินหู่เค้ายอมรับกับลูกเองว่า เค้าเป็นคนที่ทำให้นักโทษหนีไป ไม่ใช่พ่อของเค้า พระเจ้าค่ะ ” “ จี้อันซื่อเป็นถึงนายพลใหญ่ และก็เป็นผู้บังคับบัญชาของกองทัพ ยังไงความรับผิดชอบทั้งหลายต้องตกอยู่ที่เค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อแรกทำให้กองทัพขาดความเข้มแข็ง ข้อสองสั่งสอนให้ท้ายลูกชายด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม เจ้าเห็นว่าไม่สมควรจะให้บทเรียน(教训)กับเค้าบ้างเลยอย่างนั้นนะหรือ” “ แล้วเสด็จพ่อจะจัดการกับเค้าอย่างไร พระเจ้าคะ ” “ เจ้าถามมากไปแล้ว หลิวจี้ว์ เจ้าฟังพ่อนะ ” “ พระเจ้าค่ะ ” “ ไม่ว่าเจ้าจะถูกใครไหว้วานให้มาขอร้องแทนก็ตาม เจ้าก็ควรจะนำเอาตัวบทกฎหมายของราชวงศ์ฮั่นเข้ามาประกอบการตัดสินด้วย ไม่อย่างนั้น วันใดที่เจ้าได้ขึ้นครองราชย์เจ้าจะเป็นได้แค่หวงตี้ผู้อ่อนแอ ไม่ใช่หวงตี้ผู้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ”
10-2
ที่หน้าตำหนักกันเฉวียน(甘泉宫) ขันทีได้ออกมารายงานไท่จื่อหลิวจี้ว์ว่า “ เรียนไท่จื่อให้ทรงทราบ หวงโห้วมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า พะย่ะค่ะ ” ไท่จื่อหลิวจี้ว์เดินเข้าไปอยู่ต่อหน้ามารดาที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ “ ลูกขอคารวะเสด็จแม่ ขอถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง พระเจ้าค่ะ ” เว่ยจื่อฟูค่อยๆลืมพระเนตรแล้วตรัสถามอย่างรู้ทัน “ ลูกแม่ ทำไมวันนี้ถึงได้มาหาแม่แต่เช้าเชียว ” “ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องร้อนใจ อยากเรียนถามเสด็จแม่ ” “ แม่ก็เดาออกว่าเจ้าต้องมีเรื่องแน่ๆ ” ไท่จื่อหลิวจี้ว์มองไปทางนางกำนัลแล้วก็หันมาทูล “ เสด็จแม่ ท่านให้พวกนางออกไปก่อนได้ไหม พระเจ้าคะ” “ พวกเจ้าออกไปพักผ่อนก่อนเถอะไป ” เว่ยจื่อฟูตรัสกับเหล่านางกำนัลที่อยู่คอยปรนนิบัติ เมื่อนางกำนัลออกไปแล้ว เว่ยจื่อฟูจึงตรัสถามไท่จื่อ “ เอาล่ะ ตอนนี้ก็เหลือแต่พวกเราสองแม่ลูกแล้ว เจ้าคงจะพูดความลับของเจ้าออกมาได้แล้วกระมัง ” “ ลูกอยากจะขอพูดขอร้องเสด็จแม่อย่างจริงๆจังเรื่องจี้อันซื่อ พระเจ้าค่ะ ” “ จี้อันซื่อ รึ ” เว่ยจื่อฟูแปลกพระทัย
“ ก็ท่านนายพลใหญ่จี้อันซื่อยังไงล่ะ พระเจ้าคะ เค้าได้กระทำความผิด ตอนนี้ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง ” เว่ยจื่อฟูถอนพระทัย “ ราชวงศ์ฮั่นมีบทบัญญัติกำหนดเอาไว้ตั้งแต่บรรพชนว่าห้ามนางสนมของหวงตี้ก้าวก่ายงานราชกิจ เหล่าขุนนางจะได้เลื่อนตำแหน่งหรือถอดถอนจากตำแหน่ง แต่ไหนแต่ไรมาแม่ก็ไม่เคยที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือขัดขวางอะไร ” “ แต่ว่าเสด็จแม่ไม่ใช่นางสนมนี่ พระเจ้าคะ ทรงเป็นถึงหวงโห้ว ในบรรดาหกตำหนักก็มีแต่ท่านคนเดียวที่เป็นใหญ่ และท่านก็ยังเป็นแม่ของแผ่นดินอีกด้วย ” “ ยิ่งเจ้าพูดแบบนี้ แม่ก็ยิ่งจะต้องทำตนให้เป็นแบบอย่างแก่เหล่านางสนมทั้งหลาย หากตนเองยังไม่สามารถทำตนให้ถูกต้องแล้วจะไปสั่งสอนอะไรคนอื่นเค้าได้ ” “ แต่ว่าจี้อันซื่อไม่เหมือนกันนะ พระเจ้าคะ และลูกก็ได้รับปากจี้ฉินหู่เค้าไว้แล้วด้วย ” “ จี้ฉินหู่ เป็นลูกชายของเค้าไม่ใช่หรือ ” “ และก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานของหม่อมฉันด้วย พระเจ้าค่ะ ” เว่ยจื่อฟูทรงตกพระทัย “ เจ้า..นี่เจ้ากับเค้าสาบานเป็นพี่น้องกันแล้วเหรอ แล้วสาบานกันกี่คน มีใครอีกบ้าง ” “ ยังมีหลี่ฮั่นอีกคน พระเจ้าค่ะ ” “ ใครอนุญาตให้พวกเจ้าสาบานเป็นพี่น้องกัน ” “ พวกเราสาบานกันเอง พระเจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านน่าจะดีใจกับหม่อมฉันนะ พระเจ้าคะ และการที่พวกหม่อมฉันเห็นพ้องกันว่าจะทำอะไรกันจำเป็นจะต้องให้คนอื่นเห็นชอบด้วยหรือ พระเจ้าคะ” “ แล้วเสด็จพ่อทรงรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง ” “ ความจริงหม่อมฉันต้องการจะทูลบอกเสด็จพ่อ แต่ว่าเมื่อคืนวานยังไม่ทันที่หม่อมฉันจะได้ทูลออกไป เสด็จพ่อก็ทรงนำบทเรียนมาสั่งสอนหม่อมฉันเสียยกใหญ่” “ ดีแล้วล่ะ ที่เสด็จพ่อยังไม่ทรงทราบเรื่อง ลูกรีบไปบอกกับเพื่อนๆของลูกว่า นั่นเป็นเรื่องที่เล่นๆกันไม่ควรถือเป็นจริงเป็นจัง ให้ทำเหมือนไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น ” “ เสด็จแม่ จะให้ลูกกลับคำพูดอย่างนั้น แล้วลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พระเจ้าคะ ” “ หากเจ้ายังเชื่อฟังแม่อยู่ล่ะก็ จงทำตามที่แม่บอก สิ่งที่เสด็จพ่อของเจ้าเกลียดที่สุดก็คือการตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า ” “ แต่ว่า เมื่อตอนที่เสด็จพ่อยังทรงดำรงพระยศเป็นไท่จื่อก็ยังมีฮั่นซิงหุ้ย(汉兴会)ได้เลยนี่ พระเจ้าคะ ” “ เจ้า..เจ้าเอาที่ไหนมาพูด ” “ ก็เสด็จพ่อทรงตรัสกับหม่อมฉันเองว่ามีจางทัง กัวเส่อเหริน ก้วนฟู และก็ยังมีพ่อของหลี่ฮั่นด้วย คนเหล่านี้เสด็จแม่ก็ทรงรู้จักดีไม่ใช่หรือ พระเจ้าคะ ” “ แม่ไม่รู้จัก ” เว่ยจื่อฟูรีบปฏิเสธ “และถึงแม้เมื่อก่อนจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ว่าต่อไปจะต้องไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกอย่างเด็ดขาด เจ้าจะต้องไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป ขอแค่เจ้าคิดทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นพอ ” “ แล้วเรื่องพ่อของจี้ฉินหู่ล่ะ พระเจ้าคะ ” “ นั่นเป็นเรื่องที่เสด็จพ่อของเจ้าจะเป็นคนจัดการ ”
10-3
“ ต้นฉบับชีวประวัติของนายพลเหิรเวหา(飞将军 1)หลี่กว่าง(李广)เล่มนี้ ที่จริงได้เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าอยากจะให้หู้กว๋อฟูเหริน(护国夫人 2)ช่วยตรวจทานให้สักหน่อย หากมีตรงไหนที่ไม่ชัดเจนและไม่ถูกต้องก็ขอให้ฟูเหริน(夫人 หรือที่เคยได้ยินกันว่าฮูหยิน)ได้โปรดชี้แนะให้ด้วย ” ซือหม่าเชียนยื่นบันทึกให้ชิวฉาน “ นักประวัติศาสตร์อย่างท่านซือหม่าเชียนเขียนทั้งที คงไม่มีที่ผิดอย่างแน่นอน เชิญๆๆ เชิญท่านนั่งลงก่อน ” ชิวฉานเอ่ยเชื้อเชิญ ซือหม่าเชียนมองไปรอบๆห้อง “ บ้านพัก(府第)ของฟูเหรินดูใหญ่โตกว้างขวางดีเหลือเกิน ” “ บ้านของพวกเราไม่ใหญ่เท่าไรหรอก เพียงแต่ว่ามีคนอยู่น้อยไปนิดหนึ่ง ” ฮั่วฉีเหลียนเอ่ย “ คุณหนูฉีเหลียน คิดอยากจะมีคนเข้ามาอยู่ในบ้านเพิ่มหรือเปล่าล่ะ ” “ ใต้เท้า คงไม่คิดจะเป็นพ่อสื่อ(保媒)ให้กับนางกระมัง ” ชิวฉานรีบเอ่ย ฮั่วฉีเหลียนหันไปทางมารดาแล้วปฏิเสธทันที “ ไม่เอานะ ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะแต่งงาน ” “ ข้าไม่ได้จะเป็นพ่อสื่ออะไรหรอก เพียงแค่ต้องการอยากจะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนคุณหนู ” “ ใครกันเหรอ ” ฮั่วฉีเหลียนรีบถาม “ เข้ามานี่สิ ” ซือหม่าเชียนเรียกหลิวซี่จวินที่รออยู่ด้านนอกให้เข้ามาในห้อง หลิวซี่จวินเดินเข้ามาคุกเข่า “ ข้าน้อยคารวะฟูเหริน ” ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของหลิวซี่จวิน ชิวฉานก็เอ่ยชม “ เป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก นางเป็นใครมาจากไหนกัน ” “ นางชื่อหลิงจือ เมื่อตอนที่ข้าออกเดินทางไกลเพื่อไปสืบหาข้อมูลเพื่อจะนำมาเขียนบันทึกนั้น ได้เคยไปหยุดแวะพักที่บ้านของนาง แต่ว่าตอนนี้พ่อแม่ของนางตายไปหมดแล้ว นางขาดที่พึ่งพิง จึงมาขออาศัยอยู่กับข้า แต่ว่าบ้านข้าไม่เคยมีผู้หญิงพักมาก่อนเลยเกรงว่าจะไม่สะดวก” “ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว จะมีผู้หญิงในบ้านของข้าอีกมากมายสักเท่าไรก็ไม่กลัว มาๆ ” ฮั่วฉีเหลียนเข้าไปพยุงหลิวซี่จวิน “ ท่านแม่ เป็นอันว่าข้ารับนางไว้ก็แล้วกันนะ ” “ หลิงจือขอบคุณฟูเหริน ขอบคุณคุณหนู ” “ หู้กว๋อฟูเหริน ข้าคงต้องขอมอบนางให้เป็นภาระของท่านแล้วล่ะ ” ซือหม่าเชียนเอ่ยอย่างเกรงใจ
10-4
ตำหนักหย่งหมิง(永明殿) สถานที่สำหรับออกว่าราชการของฮั่นอู่ตี้ เหล่าขุนนางต่างยืนเรียงแถวกระดานอยู่เบื้องพระพักตร์ เจ้ากรมศาลกรมวังได้เดินออกมาจากแถวแล้วกราบทูลต่อฮั่นอู่ตี้ “ ทูลฝ่าพระบาท คดีของท่านนายพลใหญ่จี้อันซื่อ ข้าพระองค์ได้สอบปากคำอย่างละเอียดแล้ว เค้าได้ยอมรับว่าบกพร่องในการควบคุมดูแลนักโทษ เป็นเหตุให้หลิวซี่จวินธิดาของอ๋องเจียงตู(หลิวเฟย)หนีไปได้ ขณะนี้ยังตามจับกุมตัวไม่ได้ ปล่อยให้เป็นภัยต่อราชวงศ์ฮั่น เค้าได้ยอมรับผิดแล้ว พะย่ะค่ะ” “ แล้วบทลงโทษเป็นอย่างไรบ้าง ” “ โทษเบาที่สุดก็คือปลดจากตำแหน่งราชการไปเป็นคนธรรมดา โทษหนักที่สุดก็คือเนรเทศไปในดินแดนที่ห่างไกลสามพันลี้ พะย่ะค่ะ ” “ สามพันลี้เชียวรึ เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ ” “ เกณฑ์เดียวกันกับผู้ที่กระทำความผิด นั่นคือจะต้องได้รับโทษเดียวกันกับคนในครอบครัวของหลิวเฟย พะย่ะค่ะ ” “ แล้วพวกท่านในที่นี้ล่ะ มีความเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสถามขุนนางคนอื่นๆ “ ข้าพระองค์เว่ยชิง ขอกราบทูล พะย่ะค่ะ ” เว่ยชิงเดินออกจากแถวมายืนเคียงข้างเจ้ากรมฯแล้วกราบทูล “ ฝ่าพระบาท การที่นายพลใหญ่จี้อันซื่อได้รับคำสั่งให้เคลื่อนกองทหารม้าลงไปทางใต้ ในเวลาสิบวันก็สามารถปราบกบฎอ๋องเจียงตูให้สงบลงได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าจะชดเชยความผิดของเค้าได้ พะย่ะค่ะ” “ ท่านเจ้ากรมฯ ลองตรวจตราทางกฎหมายดูทีสิว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสถามเจ้ากรมฯ “ ถ้าว่ากันตามกฎหมาย การปล่อยให้นักโทษกบฎหลบหนี คนผู้นั้นจะต้องได้รับโทษอย่างเดียวกัน ความดีความชอบที่ผ่านมาไม่สามารถนำมาลบล้างความผิดได้ พะย่ะค่ะ ” “ ท่านจะบอกว่าการอุทิศตนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยจนได้รับชัยชนะจากศึกสงครามของเค้า ยังเทียบไม่ได้กับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างหลิวซี่จวินอย่างนั้นนะหรือ ” เว่ยชิงหันไปทางเจ้ากรมฯ “ ท่านต้าซือหม่า เรื่องที่ท่านพูดแทนเพื่อนของท่าน พูดจนดูเหมือนเข้าข้างเค้านั้นถือได้ว่าท่านได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ลองฟังความเห็นของคนอื่นๆด้วยดีไหม” ฮั่นอู่ตี้ตรัสจนเว่ยชิงต้องถอยกลับไปเข้าแถวตามเดิม “ ใครที่เห็นด้วยกับท่านเจ้ากรมฯ ให้ออกมายืนนอกแถว ส่วนคนที่ยืนอยู่กับที่ก็คือคนที่สนับสนุนท่านต้าซือหม่า ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสจบขุนนางบางส่วนก็ออกมายืนนอกแถวพร้อมกับบอกว่าพวกตนเห็นด้วยกับท่านเจ้ากรมฯ ฮั่นอู่ตี้ทรงเห็นว่าขุนนางส่วนใหญ่สนับสนุนเว่ยชิงรวมทั้งซือหม่าเชียนด้วยจึงได้ตรัสเรียก “ ต้าสื่อลิ่งซือหม่าเชียน ”
“ พะย่ะค่ะ ” ซือหม่าเชียนเดินออกจากแถวมายืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของฮั่นอู่ตี้ “ ท่านมีคำอ้างอิงในตำราประวัติศาสตร์ที่จะมาโต้แย้งใช่หรือไม่ ” “ ทูลฝ่าพระบาท ข้าพระองค์เห็นว่า เรื่องนี้ไม่ควรจะเร่งรีบด่วนสรุป พะย่ะค่ะ ” “ ทำไมท่านถึงได้บอกว่าไม่ควรจะรีบด่วนสรุป ” “ ข้าพระองค์เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบดำเนินการคดีของจี้อันซื่อ ก็เพราะว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดยังไม่ชัดเจนดี ข่าวคราวของหลิวซี่จวินคนนี้ก็ยังไม่ชัดเจน มีสิ่งที่ยังคลุมเคลืออยู่อีกหลายประเด็น พะย่ะค่ะ ” “ ท่านจะบอกว่า รอให้นำตัวหลิวซี่จวินกลับมาได้ก่อนแล้วค่อยพิจารณาคดีนี้อีกครั้งอย่างนั้นนะหรือ ” “ ทรงมีพระอัจฉริยะ พะย่ะค่ะ ” ฮั่นอู่ตี้ทรงพระสรวล “ ไม่ใช่เราที่มีอัจฉริยะอะไรหรอก เป็นเพราะความฉลาดรอบรู้ของเจ้าต่างหากล่ะ ”
[1 飞将军(เฟยเจียงจวิน) สมญานามที่ชนเผ่าซุงหนูใช้เรียกนายพลหลี่กว่าง]
[2 护国夫人(หู้กว๋อฟูเหริน) ยศพระราชทานของชิวฉาน แปลว่า คุณหญิงพิทักษ์บ้านเมือง ก็คงจะได้มั๊ง]
|
ท่านผู้อ่านพอจะบอกได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ทำไมทั้งจี้อันซื่อและเว่ยจื่อฟูถึงได้คัดค้านไม่เห็นด้วยกับ เรื่องที่ไท่จื่อหลิวจี้ว์ จี้ฉินหู่ และหลี่ฮั่น เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
เพราะ ทั้ง[b]จี้อันซื่อ[/b]และ[b]เว่ยจื่อฟู[/b]
เคยเห็น ภัยอาเพศ.ในอดีต.. จากการ เป็น พี่น้อง ร่วมสาบาน ชอ
ฮั่นอู่ตี๊ มาก่อน..ฮะ
(ขอบพระคุณ ที่ แปลให้ลุกหิน อ่านฮะ ..แอบอ่านมานานแล้วฮะ )
จึงไม่อยากให้..ประวัติศาตร์ ซ้ำรอย