Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 

《ต้าฮั่นเทียนจื่อ 三》 十二(๑๒)

สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป

ตีพิมพ์ครั้งแรก : ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑ / ปรับปรุงแก้ไข : ๑๔ เมษายน ๒๕๕๑

ผู้แปล : เจี่ยงตงจื้อ


จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค ๓ - ตอนที่ ๑๒




๓-๑๒-๑


ฮั่วฉีเหลียนเดินตามขันทีเพื่อจะไปเข้าเฝ้าเว่ยจื่อฟูที่พระตำหนักกันเฉวียน(甘泉宫) ไท่จื่อหลิวจี้ว์เห็นฮั่วฉีเหลียนเดินผ่านมาก็รีบเรียก

ฮั่วฉีเหลียน

ฮั่วฉีเหลียนหันมาทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครแล้วก็ไม่สบอารมณ์สักเท่าใด “หม่อมฉันฉีเหลียน ถวายบังคมไท่จื่อ ขอให้ทรงพระเจริญ พันปี พันๆปี นะเพคะ”

“เจ้าคงจะมีเรื่องล่ะสินะ ถึงได้เข้ามาในพระตำหนักได้ ต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือเปล่า” ไท่จื่อรีบเสdนอตัวเอง

“ฮึ..ใครช่วยใครกันแน่เพคะ ถ้าไม่ใช่เพื่อพี่น้องร่วมสาบงสาบานอะไรของท่านนั่นน่ะ”

หลี่ฮั่นใช้ให้เจ้ามาเหรอ”

“เอ..แล้วหลี่ฮั่นนี่เป็นใครกันเหรอเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นจะรู้จักสักนิด” ฮั่วฉีเหลียนพูดจากวนใส่ไท่จื่อ

“ก็พี่ร่วมสาบานและก็เป็นพี่บุญธรรมของเจ้าด้วยยังไงล่ะ”

“มิทราบว่าใครเป็นคนจัดลำดับความเป็นผู้มีอาวุโสหรือเจ้าคะ อ้อ..คงจะเป็นพระองค์เองสินะเพคะ ยังไงหม่อมฉันก็ไม่บังอาจที่จะไปตีซี้ตีสนิทเป็นเพื่อนของพระองค์ได้หรอกนะเพคะ ขอตัวก่อนเพคะ” พูดจบก็สะบัดหน้าหันหลังแล้วออกเดิน

“คุณหนูฉีเหลียน ไท่จื่อรีบเรียก

ฮั่วฉีเหลียนหันมายิ้มยียวนแล้วเอ่ยตัดบทโดยไม่สนใจว่าไท่จื่อจะต้องการอะไร “หม่อมฉันต้องไปคอยรับใช้หวงโห้วแล้วเพคะ”



๓-๑๒-๒


ไท่จื่อกลับไปที่ตำหนักของตนเองเห็นจี้ฉินหู่รออยู่ จึงได้บอกความคืบหน้าให้ทราบ

เจียงชงคนนี้ช่างเก่งกาจยิ่งนัก สมกับเป็นเซียนเทวดาเลยจริงๆ หลี่ฮั่นไปขอร้องหู้กว๋อฟูเหริน ส่วนหู้กว๋อฟูเหรินก็ไปขอร้องเสด็จแม่ ถ้านับฮั่วฉีเหลียนด้วยอีกคน ก็รวมเป็นผู้หญิงสามคน ”

“ถ้าอย่างนั้นเจียงชงคนนี้ จะไม่ถือว่าเป็นตงฟางซั่วคนที่สองได้อย่างไรกัน” จี้ฉินหู่ลงความเห็น



๓-๑๒-๓


“เจ้าว่าอะไรนะ ดอกโบตั๋นที่บ้านของเจ้าบานแล้วเหรอ แต่ดอกโบตั๋นในวังหลวงยังไม่แตกช่อเลย” เว่ยจื่อฟูตรัสอย่างไม่ทรงเชื่อเท่าไรนัก

“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น(百闻不如一见) เสด็จไปถึงก็จะทราบเอง เพคะ”

“ว่าแต่แม่เจ้าเป็นคนเห็นหรือว่าเจ้าเป็นคนเห็นด้วยตาตนเองกันล่ะ”

ฮั่วฉีเหลียนอ้ำอึ้ง “เอ่อ..ทรงอย่าซักไซร้อะไรหม่อมฉันเลยนะเพคะ หากหม่อมฉันบอกไปว่าเห็นด้วยตาตนเองก็เท่ากับหม่อมฉันเพ็ดทูล ถือว่าไม่จงรักภักดี หากหม่อมฉันบอกไปว่ายังไม่ออกดอก ก็จะเป็นการทำให้แม่ของหม่อมฉันต้องโทษ ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันเป็นทั้งลูกที่กตัญญูและก็คนที่จงรักภักดีด้วยเถิด เพคะ ”

เว่ยจ่างกงจู่ที่ประทับยืนฟังอยู่ด้วยชักงง “แล้วตกลงดอกโบตั๋นที่ว่าออกดอกแล้วหรือยังไม่ออกดอกกันแน่เนี่ย”

“ในเมื่อฉีเหลียนบอกว่าออกดอกแล้ว ก็แสดงว่าออกดอกแล้วจริงๆนั่นแหละ” เว่ยจื่อฟูบอกพระธิดาแล้วหันไปรับสั่งกับนางกำนัล “เตรียมเกี้ยวให้เราด้วย”

“เสด็จแม่ ขอให้หม่อมฉันตามเสด็จไปด้วยนะเพคะ”



๓-๑๒-๔


ฮั่วฉีเหลียนกับเว่ยจ่างกงจู่ประคองเว่ยจื่อฟูพาเสด็จไปที่สวน

“หม่อมฉันน้อมรับเสด็จหวงโห้ว เพคะ” ชิวฉานย่อตัวคารวะเว่ยจื่อฟู

หู้กว๋อฟูเหรินลุกขึ้นเถิด แล้วไหนล่ะโบตั๋นที่ออกดอกน่ะ” เว่ยจื่อฟูชะเง้อพระพักตร์มองหา

“ขอได้ทรงยกโทษให้กับหม่อมฉันที่ได้ล่วงเกินโดยการหลอกลวงพระองค์ด้วยเพคะ”

“เจ้าคงอยากจะบอกว่า ที่จริงดอกไม้ได้บานและก็ได้โรยไปแล้ว ไม่ใช่หรอกหรือ” เว่ยจื่อฟูช่วยแก้แทน

“ไม่เพคะ ที่จริงดอกไม้ได้บานสะพรั่งและก็ยังบานอยู่เพคะ” ชิวฉานพูดเป็นนัยๆ

เว่ยจื่อฟูสงสัยรีบตรัสถาม “แล้วทำไมเราถึงไม่เห็นล่ะ”

ชิวฉานเดินไปที่สระน้ำแล้วกราบทูล “ดอกไม้บานอยู่ในน้ำ เชิญเสด็จทอดเนตรที่ริมน้ำสิ เพคะ”

เว่ยจื่อฟูเสด็จไปที่ริมน้ำแล้วมองเงาที่สะท้อนบนผิวน้ำ

“ลองทอดเนตรภาพที่ปรากฎสิเพคะ ใช่ดอกโบตั๋นที่สิริโฉมที่สุดหรือเปล่าเพคะ”

เว่ยจื่อฟูยกพระหัตถ์ลูบไปที่พระพักตร์ “ทั้งลูกสาวลูกชายต่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ดอกโบตั๋นดอกนี้สมควรจะแห้งเหี่ยวได้แล้วล่ะ”

“ดอกโบตั๋นมีความงดงามในตัวของมันเอง ดอกโบตั๋นก็เปรียบดั่งราชินีของดอกไม้ นอกจากหวงโห้วแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะงดงามพอที่จะนำมาเปรียบกับดอกโบตั๋นได้อีกแล้ว เพคะ”

ชิวฉาน วาจาจากปากของเจ้าแม้จะซ่อนความจริงเอาไว้แต่ก็ชวนให้น่าฟังยิ่งนัก เจ้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับเราเป็นการส่วนตัว(悄悄话)ใช่หรือไม่ งั้นไปคุยกันเถอะ”



๓-๑๒-๕


ชิวฉานพาเว่ยจื่อฟูมานั่งคุยกันที่ห้องรับรอง

ชิวฉาน เจ้ามีอะไรก็พูดมาเถอะ” จากนั้นเว่ยจื่อฟูก็มีรับสั่งกับพวกขันทีและนางกำนัลที่ติดตามมา “พวกเจ้าออกไปให้หมด”

นางกำนัลยังคงยืนนิ่งเฉย ฮั่วฉีเหลียนเลยรีบไล่ “นี่..หวงโห้วบอกให้พวกเจ้าออกไปไงเล่า”

ฉีเหลียน เจ้าก็ออกไปด้วย” ชิวฉานสั่ง

“ข้าด้วยหรือ” ฮั่วฉีเหลียนยืนอิดออดเพราะอยากอยู่ฟังมากกว่า

เว่ยจ่างกงจู่รีบตรัส “หม่อมฉันอยากจะออกไปเที่ยว ฉีเหลียน เจ้าไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ”

ฮั่วฉีเหลียนจำต้องรับคำแล้วเดินหน้ามุ่ยตามเสด็จเว่ยจ่างกงจู่ออกไปนอกห้อง

หลิวซี่จวินยกน้ำชาออกมาตั้งที่โต๊ะ

“ไม่ได้เรียก ไม่ต้องให้ใครเข้ามา” ชิวฉานสั่งหลิวซี่จวิน

“ค่ะ” หลิวซี่จวินรับคำแล้วหันหลังเดินออกไปนอกห้อง

“เดี๋ยวก่อน” เว่ยจื่อฟูตรัสเรียก หลิวซี่จวินตกใจค่อยๆหันหน้ากลับมา

ทรงมองหน้าหลิวซี่จวินแล้วตรัส “สาวใช้คนนี้ เราว่าเราเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ”

“บ่าวเพิ่งมาอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับพระชนนีค่ะ” หลิวซี่จวินตอบ

เว่ยจื่อฟูหันมาทางชิวฉาน “ดูเป็นธรรมชาติ กิริยาก็งดงาม จะหยิบจับเดินเหิรก็ไม่เก้งก้างแม้แต่นิดเดียว คงจะเคยปรนนิบัติรับใช้อยู่ในบ้านคหบดีมาก่อนกระมัง”

“เดิมทีนางอยู่กับไท่สื่อลิ่ง เพคะ”

“มิน่าล่ะ หน้าตาดูเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความรู้ เจ้าคงจะร่ำเรียนมาเยอะละสินะ” ทรงหันมาถามหลิวซี่จวิน

“เรียนมาไม่มากเท่าไร ค่ะ”

“ไม่เพียงแต่สุภาพอ่อนน้อมเท่านั้น แต่ยังถ่อมตนอีกด้วย ถ้าเทียบกับคนที่คอยอยู่รับใช้เราพวกนั้นแล้วเจ้าสบายกว่าพวกนั้นมากเลยล่ะ”

“บ่าวเป็นคนต่ำต้อย ไม่มีวาสนาได้ปรนนิบัติรับใช้พระองค์หรอกค่ะ”

“มีวาสนาหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นกับหู้กว๋อฟูเหรินว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจแล้วล่ะ”

หลิงจือ เจ้าออกไปก่อนเถอะไป”

“ค่ะ” รับคำแล้ว หลิวซี่จวินก็เดินออกไปนอกห้อง

“พระชนนี เพคะ”

“เจ้าเรียกเราว่าอะไรนะ”

“หวงโห้ว เพคะ”

“ตอนนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้น เจ้ายังจะเรียกเราแบบนี้อยู่อีกหรือ ตอนที่ฮั่วชี่ว์ปิ้งยังมีชีวิตอยู่ เราได้รับเค้าเป็นลูกบุญธรรม เวลาเค้าพูดกับเราเค้ามักจะเรียกแทนตนเองว่าลูก”

“เพคะ ท่านแม่”

“เรียกอย่างนี้ค่อยรู้สึกอบอุ่นใกล้ชิดขึ้นมาหน่อย”



๓-๑๒-๖


เว่ยจ่างกงจู่กับฮั่วฉีเหลียนออกมายืนชมสวน หลี่ฮั่นก็รีบวิ่งมาบอกข่าวให้ฮั่วฉีเหลียนทราบด้วยความดีใจ

“น้องฉีเหลียน น้องฉีเหลียน หวงโห้วเสด็จมาแล้วล่ะ”

“เดี๋ยวๆๆๆ เจ้าเข้าใจราชประเพณีบ้างไหมเนี่ย ไม่เห็นกงจู่ประทับอยู่ที่นี่หรืออย่างไร ถวายความเคารพสิ”

“ข้าพระองค์ถวายบังคมกงจู่ พระเจ้าค่ะ”

“นายพลหลี่ ไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้”

“กงจู่เพคะ ยังจะต้องไปเกรงใจเค้าอยู่ทำไมล่ะเพคะ” แล้วฮั่วฉีเหลียนก็กระซิบกระซาบกับเว่ยจ่างกงจู่ “ที่หวงโห้วต้องเสด็จมาเป็นเพราะใครกันล่ะ”

กระซิบเสร็จฮั่วฉีเหลียนก็หันมาทางหลี่ฮั่น “นี่..นายพลหลี่ ผู้หญิงเค้าจะคุยเรื่องส่วนตัวกัน รู้จักมารยาทสักนิดบ้างไหมเนี่ย ถอยออกไปให้ไกลๆเลยไป”

“ก็ได้ ข้าไม่ฟัง ข้าจะถอยไปให้ไกลๆเลย” หลี่ฮั่นพูดเสร็จก็กลับหลังหันรีบวิ่งไปเข้าเฝ้าเว่ยจื่อฟู

เว่ยจ่างกงจู่เห็นฮั่วฉีเหลียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จึงเอ่ยถาม “เจ้าทำแบบนี้กับเค้าบ่อยหรือเปล่า”

“วันไหนที่ข้าไม่ได้แกล้งเค้า วันนั้นจะรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว”

“อ้อ..เรารู้แล้วล่ะ เจ้าต้องตกหลุมรักเค้าแล้วแน่ๆใช่ไหมล่ะ”

“ใครรักเค้ากัน” ฮั่วฉีเหลียนรีบปฏิเสธ “เค้าเป็นพี่ชายของข้า ข้าแซ่ฮั่ว เค้าแซ่หลี่”

“ยิ่งไม่ใช่พี่น้องแท้ๆก็ยิ่งแต่งงานกันได้ไม่ยากนี่ เราได้ยินมาว่า แม่ของเจ้า หู้กว๋อฟูเหรินเมื่อก่อนก็เคยรักเคยชอบพอกันกับพ่อของหลี่ฮั่น

“เจ้าพูดเหลวไหล เจ้าพูดโกหก”

“นี่แม่เจ้าไม่เคยพูดให้ฟังบ้างเลยเหรอ”

“พ่อข้าคือเพี้ยวฉีเจียงจวิน(骠骑将军 นายพลอัศวิน)ฮั่วชี่ว์ปิ้ง เป็นชายชาติทหาร เสียสละเพื่อชาติ ส่วนพ่อของหลี่ฮั่นนั้นก็แค่คนขี้ขลาดกลัวตายคนหนึ่งเท่านั้น เจ้าบอกมานะว่าใครเป็นคนปั้นเรื่องสร้างข่าวลือที่ไม่จริง” ฮั่วฉีเหลียนยกนิ้วชี้หน้าเว่ยจ่างกงจู่เป็นเชิงข่มขู่

“งั้น..ก็คงเป็นพี่ชายของเราที่พูดจาเหลวไหลส่งเดช ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ถือว่าเราไม่เคยพูดก็แล้วกัน”



๓-๑๒-๗


“คำขอร้องจากครอบครัวตระกูลจี้มาถึงเจ้าที่นี่ด้วยหรือ”

“ไม่ใช่ครอบครัวจี้หรอกเพคะ”

“งั้นก็คงจะเป็นไท่จื่อล่ะสินะ”

“ไม่ใช่ไท่จื่อ เป็นบุตรชายบุญธรรมของหม่อมฉันเองเพคะ”

“เรื่องของพวกเค้าทั้งสามคนก็เป็นเรื่องเดียวกันไม่ใช่หรือ”

“แต่หวงโห้วทรงเป็นผู้ที่สามารถจะไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ได้ไม่ใช่หรือเพคะ”

“ไท่จื่อเคยมาขอร้องเรา แต่ว่าเราไม่ได้ตอบตกลง”

“พวกท่านทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว ยังจะต้องคิดโน่นคิดนี่(瞻前顾后)ด้วยอีกหรือเพคะ”

“เป็นสามีภรรยากันมาจนถึงเวลานี้ ยิ่งต้องให้เกียรติและปฏิบัติต่อกันดั่งเสมือนว่าเป็นแขกผู้มาเยือน แขกไม่ใช่เจ้าบ้าน ที่ทุกประโยคที่พูดจะต้องคิดแทนอีกฝ่ายอย่างรอบคอบ ถ้าหากพูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ สู้ไม่พูดเสียดีกว่า”

“หลายปีมานี้ แม้คนข้างกายเค้าจะมีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะหวังฟูเหริน โจวฟูเหริน ในสายตาคนนอกอย่างหม่อมฉัน ผู้ที่กุมหัวใจของเค้าได้มากที่สุดก็คือพระชนนี”

“ยิ่งเป็นแบบนี้ เราก็ยิ่งลำบากที่จะเปิดปากพูด”

“คิดไม่ถึงว่า พระชนนีก็มีเรื่องที่ต้องทรงทุกข์ทนปวดร้าวใจด้วยเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องที่พวกหม่อมฉันสามัญชนคนธรรมดาต่างก็คาดไม่ถึง เพคะ”

“วันนี้เราทำให้ดอกโบตั๋นของเจ้าต้องรู้สึกผิดหวังแล้วล่ะ ไปบอกให้พวกเค้าเตรียมขบวนเถอะ เราจะกลับวังแล้ว”

เว่ยจื่อฟูกำลังจะเสด็จออกจากห้อง จู่ๆหลี่ฮั่นก็พรวดพราดเข้ามา

“ข้าพระองค์ถวายบังคมหวงโห้ว ขอทรงพระเจริญ พระเจ้าค่ะ”

“เค้าเป็นใครกัน” เว่ยจื่อฟูหันมาตรัสถามชิวฉาน

ชิวฉานตำหนิบุตรชาย หลี่ฮั่น เจ้าไม่ควรทำให้หวงโห้วทรงตกพระทัย”

“ข้าพระองค์สมควรตาย แต่ว่าการเสด็จมาของหวงโห้วเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง(千载难逢) ข้าพระองค์ไม่อยากพลาด พระเจ้าค่ะ”

เว่ยจื่อฟูมองดูหลี่ฮั่นแล้วตรัส หลี่ฮั่น เจ้าโตขึ้นมาก เหมือนพ่อไม่มีผิดเพี้ยน หากเป็นช่วงเวลาที่ตกอยู่ในภวังค์เราก็คงเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่สมัยเมื่อยี่สิบปีก่อน ว่าแต่เจ้ามีธุระอะไร เป็นเรื่องของนายพลใหญ่หรือเปล่า”

“นายพลใหญ่อุทิศตนทุ่มเทรับใช้ชาติสร้างความดีความชอบ เพียงแค่ไม่ได้เข้มงวดในการดูแลนักโทษ ปล่อยให้หลิวซี่จวินหลบหนีไปได้ ฝ่าพระบาทควรจะให้เค้าทำความชอบชดใช้ความผิด”

เว่ยจื่อฟูถอนพระทัย “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ทางราชสำนักเองก็มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่แล้ว ปล่อยให้หวงตี้เป็นผู้ตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เองเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้นขอให้พระชนนีได้ทรงช่วยทูลขออนุญาตให้หลี่ฮั่นได้เข้าเฝ้าด้วยเถิด พระเจ้าค่ะ”

“ทำอย่างนี้เกรงว่าจะไม่เป็นการบังควรกระมัง”

“ข้าพระองค์เหมือนคนอับจนหนทางจะเดินไปทางไหนก็พบแต่ทางตัน ถ้าหากท่านปู่ทวด ท่านลุงทวดยังอยู่ ฏีกาของข้าพระองค์ก็คงจะไม่จำเป็น และข้าพระองค์ก็คงไม่กล้าที่จะทำการใดๆให้เป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้องพระบาท ช่างน่าเสียดายที่ต้นไม้เล็กๆบนหลุมศพของพวกเค้าได้เติบโตจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่แล้ว แต่พ่อของข้าพระองค์ก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับมายังวังหลวงสักที ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าพระองค์ก็แค่เด็กกำพร้าไร้ที่พึ่งพิงคนหนึ่ง ไม่มีทางเลือกอื่นเลยต้องมาขอร้องพระชนนี พระเจ้าค่ะ ”

เว่ยจื่อฟูทรงอึดอัดพระทัย “ไม่ต้องพูดอีกแล้ว”

ชิวฉานรีบช่วยบุตรชายกราบทูล “พระชนนี เวลาสิบแปดปีที่ผ่านมาหม่อมฉันยังไม่เคยได้เอ่ยปากทูลขอร้องพระองค์ วันนี้ถือว่าเป็นครั้งสุดท้าย ขอได้ทรงโปรดรับการร้องขอของพวกเค้าด้วยเถิดเพคะ หลี่ฮั่นเป็นเด็กที่ไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อแม่และก็ไม่มีพี่น้องที่คลานตามกันมา ที่มาร้องขอความเมตตาจากพระองค์ก็เพื่อพี่น้องร่วมสาบานของเค้า เพื่อมิตรภาพฉันท์พี่น้องสักครั้งเถิดนะเพคะ”

เว่ยจื่อฟูทรงสดับฟังแล้วก็หันมาตรัสกับหลี่ฮั่น หลี่ฮั่น เจ้าช่างเหมือนกับพ่อของเจ้าเสียจริงๆ ”



๓-๑๒-๘


ดึกดื่นแล้วฮั่นอู่ตี้ยังคงประทับนั่งพระพักตร์เครียดคิดไม่ตกถึงเรื่องการรบอยู่ในห้องทรงงาน

“มีใครอยู่บ้าง” ทรงเรียกหาขันที

“พะย่ะค่ะ” ขันทีรีบเดินเข้ามาคอยรับใช้

“ไปเตรียมขบวนให้เรา”

“ไม่ทราบว่าจะเสด็จไหนหรือพะย่ะค่ะ”

“พระตำหนักกันเฉวียน(甘泉宫)”

“พะย่ะค่ะ”





 

Create Date : 26 ตุลาคม 2550
2 comments
Last Update : 14 เมษายน 2551 12:17:46 น.
Counter : 1343 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ
ตอนนี้ซื้อละครภาค 3 เป็นหนังซองมาเตรียมดู ปกติทั้ง 2 ภาคที่ผ่านมา ดูแต่พากย์ไทยค่ะเห็นตัวละครหลักบางตัวเปลี่ยนอีกแล้ว ได้อาศัยอ่านจาก Blog คุณ WangAnJun นี่แหล่ะค่ะ ประกอบการดู ตอนนี้ชอบละครแผ่นดินใหญ่หลายเรื่อง แต่เสียดายไม่มีพากย์ไทยและซับอังกฤษ ขอบคุณที่แปลให้คนอยากดู แต่ความรู้ด้านภาษาไม่แข็งแรงอย่างเรานะคะ

 

โดย: suta_kung IP: 202.28.181.7 3 มีนาคม 2551 18:46:59 น.  

 

ตามอ่านอย่างต่อเนื่องต่อไปค่ะ
ช่วงนี้ งานยุ่งจัด ก็ไม่ค่อยได้เข้ามาเท่าไหร่
แต่ยังคอยตามอยู่เสมอนะคะ

 

โดย: จอมยุทธหญิง (magarita30 ) 14 เมษายน 2551 20:27:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.