Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
25 กันยายน 2550
 
All Blogs
 

《ต้าฮั่นเทียนจื่อ 1》 三十八


สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป

จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 38

30 พฤศจิกายน 2550 / ปรับปรุงแก้ไข : 31 ธันวาคม 2550



38-1


ที่หน้าประตูเมืองฉางอัน

ทหารเวรกำลังตรวจตราผู้คนที่ต้องการจะเข้าไปในเมืองอย่างเข้มงวด

“เดี๋ยวก่อน” ทหารเวรบอกให้ไท่จื่อพร้อมกับม้าที่จูงมาหยุดอยู่ก่อนแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจะเข้าเมืองไปทำอะไร”

“กลับบ้าน”

“แล้วเจ้าแซ่อะไร ชื่ออะไร”

“ข้า..ข้าแซ่จาง ชื่อจางเชียน ในเมืองมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า แล้วไม่ต้องมาถามอะไรส่งเดชด้วย ไหนดูสิเจ้าพกอะไรมาบ้าง” ทหารเวรค้นตัวไท่จื่อ

ทันใดนั้นทหารเวรผลัดใหม่ก็เข้ามารับหน้าที่ ทหารเวรคนเดิมจึงบอกไท่จื่อ “พวกเราเปลี่ยนเวร(换岗)พอดี เจ้าเอาที่เจ้าพูดเมื่อกี้นี้พูดให้เค้าฟังอีกรอบนะ”

ไท่จื่อเปลี่ยนใจรีบจูงม้าเดินหนี ทหารเวรคนใหม่รีบตะโกนถาม “หยุดก่อน ทำไมเจ้าไม่เข้าเมืองล่ะ”

“ข้าเพิ่งจะออกจากเมืองมาน่ะสิ” ได้ยินที่ไท่จื่อบอก ทหารเวรคนใหม่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร



38-2


ควรกลับกลับแล้ว ครองดำเท่านั้น อักษรแปดตัวนี้เจ้าจำมาไม่ผิดนะ” เฉินอาเจียวเอ่ยถามภรรยาของจางทัง

“ไม่ผิดหรอก ข้าท่องจำอยู่หลายรอบทีเดียว”

“แล้วจดหมายล่ะ”

“มอบให้จางทังไปแล้ว เอากลับมาไม่ได้ด้วย”

“ทำไมเจ้าไม่เอามาให้ข้าดูก่อนล่ะ แล้วจะทำไงดีล่ะทีนี้”

“จริงสิ คุณหนูเฉิน ข้ากลัวว่าจะลืมก็เลยคัดลอก(照猫画虎)จดเอาไว้บนแขนด้วย” ภรรยาของจางทังถลกแขนเสื้อขึ้นให้เฉินอาเจียวดูข้อความที่คัดลอกเอาไว้

ควรกลับกลับแล้ว ประโยคนี้น่ะข้าเข้าใจดีว่าหมายถึงไท่จื่อกำลังอยู่ระหว่างทาง แต่ว่าประโยคหลังนี่สิมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่”

“ข้าก็ไม่รู้”

“แล้วจดหมายนั่นใครเป็นคนเขียน”

จางทังบอกว่านกพิราบนั่นเป็นของตงฟางซั่ว จดหมายนั่นคงต้องเป็นเค้าเขียนล่ะ”

ตงฟางซั่วเหรอ เป็นชื่อที่ประหลาดมาก”

จางทังเคยเจอกับเค้ามาก่อน และบอกว่าเค้าเป็นหมอดูอยู่ที่เยี่ยนชื่อเมืองที่อยู่ในซันตง

“รอให้ข้าได้พบกับเค้าก่อนเถอะ จะให้เค้าอธิบายให้รู้เรื่องเลยทีเดียว เขียนอะไรก็ไม่รู้ ครองดำเท่านั้น ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดเดียว”

“หากจะรอพบเค้าก็ไม่ทันแล้วล่ะ”

“ข้ารู้ แต่ข้าก็ร้อนใจไม่แพ้เจ้าหรอกนะ เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ”



38-3


เฉินอาเจียวเดินทางไปหาแม่ของตนเอง ระหว่างทางเจอกับหญิงรับใช้ดักขวางทางเอาไว้

จ่างกงจู่(องค์หญิงใหญ่) มีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน”

“พวกเจ้าช่างกล้านักนะ แม้แต่ข้าก็ยังกล้ามาขวาง” เฉินอาเจียวไม่สนใจรีบเดินไปหาแม่ของตนทันที



38-4


ก่วนเถากงจู่กำลังนั่งเล่นหมากล้อมอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม เฉินอาเจียวเปิดประตูเข้ามาเห็นพอดีจึงเอ่ยถาม

“พวกท่านทำอะไรกันน่ะ แล้วเค้าเป็นใคร”

ชายหนุ่มตกใจรีบผละตัวเองออกจากก่วนเถากงจู่

“เจียวเจียว พวกเราพนันกันเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ หลายวันมานี้แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

“ท่านแม่..ท่านทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน พาหนุ่มหล่อเจ้าสำอางค์(小白脸)เข้ามาในบ้านเนี่ย”

“นี่ เค้าไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าพูดนะ เค้าเป็นเพื่อนสนิท(相好)ของแม่”

“ไล่เค้าไป แล้วไม่ต้องให้มาที่นี่อีก” เฉินอาเจียวบอกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

ได้ยินเฉินอาเจียวไล่ ชายหนุ่มก็รีบเอ่ยลาก่วนเถากงจู่ แต่

“เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” ก่วนเถากงจู่ดึงตัวชายหนุ่มเอาไว้

“เจียวเจียว ทำอย่างนี้ก็เท่ากับเจ้าผิดสัญญา(毁约)แล้วนะ ในเมื่อเจ้าต้องการละเมิดข้อตกลงกับแม่ แม่ก็ทำได้เหมือนกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม่อยากจะพูดอะไรก็จะพูด”

“บ้านเมืองอยู่ในช่วงเศร้าโศก พระศพของเสด็จอาก็ยังไม่ทันได้ฝังเลย เรื่องนี้หากรู้ไปถึงหูคนข้างนอก แม่จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“ตราบเท่าที่เจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครเค้ารู้หรอก จริงไหม”

“ก็ได้..ก็ได้ เค้าไม่ไปใช่ไหม เค้าไม่ไป งั้นข้าไปเอง” พูดจบเฉินอาเจียวก็เดินจากไปด้วยความน้อยใจจนลืมเรื่องที่ตั้งใจจะมาหา

ชายหนุ่มเห็นแม่ลูกทะเลาะกันก็รู้สึกไม่สบายใจ กงจู่(องค์หญิง) ข้าขอตัวกลับก่อนจะดีกว่า”

“เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น จะกลัวอะไรล่ะ” ก่วนเถากงจู่ฉุดแขนชายหนุ่มเอาไว้ “พวกเรายังวางหมากไม่หมดกระดานเลย ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะอยู่เป็นเพื่อนข้าไง มา..มา” ก่วนเถากงจู่ออดอ้อนพร้อมกับลากแขนชายหนุ่มให้ไปเล่นวางหมากกันต่อ

เฉินอาเจียวที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูนึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาถาม “แม่ ข้าขอถามอะไรหน่อย”

“เรื่องอะไรล่ะ อย่ามาถามเรื่องที่แม่ไม่อยากฟังก็แล้วกัน”

“อะไรที่เรียกว่า ครองดำเท่านั้น(仅止执黑)”

ครองดำเท่านั้นเหรอ เอ..แล้วมันเขียนยังไงล่ะ”

“ตัวอักษร (ครอง)ตัวเดียวกับในคำว่า 执行(ดำเนินการ) ตัวอักษร (ดำ)ตัวเดียวกันกับในคำว่าถูกและผิด(黑白)”

ก่วนเถากงจู่ถอนพระทัย “นี่..เจ้าไม่ต้องหาเรื่องมาด่ากระทบ(指东骂西)แม่เลยนะ”

“ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพวกท่าน ข้ากำลังขอคำปรึกษาอยู่นะ”

ก่วนเถากงจู่นึกไม่ออกจึงถามบุตรสาว “แล้วเจ้าไปเอามาจากไหนกัน”

ชายหนุ่มเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า กงจู่ มันจะเกี่ยวกับการวางหมากหรือเปล่า”

“วางหมากเหรอ” เฉินอาเจียวเกิดความสงสัย

“ในการวางหมากล้อม จะแบ่งหมากออกเป็นสองสีดำกับขาว ผู้ที่ถือหมากสีดำก็เรียกว่าครองดำ ชายหนุ่มอธิบาย

เฉินอาเจียวยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม “แล้วครองดำ มันเป็นยังไงล่ะ”

“ผู้ที่ถือหมากสีดำจะเป็นผู้ได้เริ่มวางหมากก่อน ก็หมายถึงเป็นผู้ที่ได้เดินนำหน้าอีกฝ่ายหนึ่งไปก่อนอยู่หนึ่งก้าว”

เฉินอาเจียวร้องอ๋อขึ้นมาทันที “ข้าเข้าใจแล้ว เชิญพวกท่านวางหมากกันต่อก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินจากไปทันที



38-5


ไท่จื่อเองก็ยังไม่ได้ไปไหนไกลยังคงยืนอยู่ห่างๆอยู่ที่หน้าประตูเมืองฉางอันเพื่อดูลาดเลาและคิดหาแผนการณ์ที่จะเข้าไปข้างในให้ได้



38-6


“ถ้างั้น ครองดำเท่านั้น ก็หมายถึงการก้าวเดินนำไปก่อนเพียงหนึ่งก้าว” ภรรยาของจางทังเอ่ยหลังจากที่ได้รับทราบความกระจ่างของปริศนาแล้ว

“คงจะความหมายตามนี้แหละ ก็ข้อความชวนให้คนเวียนหัวเล่นซะขนาดนั้น ทำไมไม่รู้จักบอกให้มันตรงๆนะ” เฉินอาเจียวบ่น

“เค้าก็คงกลัวว่านกพิราบจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นนะสิ”

“ไท่จื่อเดินทางล่วงหน้ามาก่อนคนอื่นหนึ่งก้าวก็จริง แต่ไม่รู้ว่าหนึ่งก้าวนี้สุดท้ายแล้วจะยังนำอยู่หรือเปล่า”

“แล้วคนที่ไท่จื่อเดินทางล่วงหน้ามาก่อนน่ะ ใช่คนที่เล่นวางหมากกับเค้าหรือเปล่า”

“ใช่สิ ต้องเป็นคนที่คิดจะเล่นวางหมากกับเค้า และต้องเป็นการวางหมากบนกระดานที่ใหญ่มากเสียด้วยสิ แผ่นดินฮั่นก็คือกระดานหมากใหญ่ของการเล่นในครั้งนี้ เจ้า ข้า และก็จางทัง พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดาน”

“คุณหนูเฉิน ได้ยินอย่างนี้แล้วทำให้ข้าชักจะกลัวขึ้นมาซะแล้วสิ”

“จะกลัวยังไงก็ต้องเดิน แม้ข้อความในจดหมายได้บอกกับเราว่าไท่จื่อได้เดินออกมาก่อนหนึ่งก้าวก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะ(赢)นี่ ไม่ได้การล่ะ เห็นทีว่าข้าจะต้องออกไปรับเค้าที่นอกเมืองซะแล้ว”

ภรรยาของจางทังรีบบอก “คุณหนูเฉิน หากจะออกนอกเมืองไปจริงๆ ตอนนี้ที่ประตูเมืองมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด หากไม่มีป้ายนำทาง(路牌)ก็ออกไปไม่ได้”

“เป็นความจริงเหรอ แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้”



38-7


ไท่จื่อที่อยู่นอกประตูเมืองได้ยินชายชรากับคนหนุ่มคุยกัน

“ไม่รู้อะไรกันนักหนา หวงตี้ก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว จะไม่อนุญาตให้พวกเราทำมาหากินเลยเหรอยังไง เมียของข้านอนป่วยอยู่บนเตียง จะเข้าไปในเมืองซื้อยาก็ไม่ยอมให้ข้าเข้าไป” ชายชราบ่นให้ฟัง

“ท่านยังโชคดีกว่าข้าอีก พวกทหารกักตัว(扣住)ข้าไว้ไม่ยอมปล่อย ดีที่มีราชบุตรเขย(驸马)ที่ชื่อโต้วอะไรนั่นน่ะเข้ามาบอกว่าข้าไม่ใช่ ก็เลยปล่อยตัวข้าออกมา ข้ากลัวแทบแย่เลย”

“ถ้าเจ้าไม่ใช่เจ้า แล้วเจ้าจะเป็นอะไรล่ะ”

“แล้วข้าจะรู้ไหมเนี่ย”

ได้ยินคำสนทนาของทั้งสองแล้วไท่จื่อก็รู้สึกหนักใจ



38-8


“เจ้าจะออกไปรับเค้าเหรอ” ผิงหยางกงจู่เอ่ยถาม

“ใช่ ข้านั่งก้นไม่ติดแล้วล่ะ แล้วพี่ไม่คิดถึงพี่เขยบ้างหรืออย่างไร” เฉินอาเจียวถาม

“แต่พี่เกรงว่า พวกเราสองคนคงจะออกไปไม่ได้น่ะสิ”

“ทำไมจะออกไปไม่ได้ล่ะ ท่านเป็นถึงกงจู่(องค์หญิง)เชียวนะ ใครจะกล้ามาขวางท่าน”

“แต่พี่เป็นคนรุ่นลูกรุ่นหลาน(晚辈) พระศพของเสด็จพ่อก็ยังนอนอยู่ในวังยังไม่ได้ทำพิธีฝัง หากจะออกไปข้างนอกล่ะก็ไม่รู้ว่าจะอ้างเหตุผลอะไร จะไปบอกว่าขอไปเดินเล่นชื่นชมความงามของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ หรือไปดูทิวทัศน์ยามใบไม้เปลี่ยนสี ก็ยังไม่ใช่ฤดูของมัน ที่สำคัญต้องให้ไท่โห้วทรงอนุญาตเสียก่อนนี่สิ ถ้าหากเสด็จย่าทรงรู้ความจริงเข้าพี่ต้องแย่แน่ๆ”

“ถ้างั้นจะทำอย่างไรกันดีล่ะท่านพี่ ตอนนี้พอข้าหลับตาลงทีไรก็มักจะฝันเห็นแต่เค้าที่อยู่ข้างนอกวนเวียนไปมา จะเข้าเมืองก็เข้าไม่ได้ หากชักช้ากว่านี้อ๋องเหลียงก็อาจจะกลับมาถึงแล้วก็ได้”

“จะไม่ออกนอกเมืองก็ไม่ได้เสียด้วย ในเมื่อพี่ไปไม่ได้..แต่แม่เจ้าไปได้นี่”

“แม่ข้าเหรอ”

“ใช่ เรื่องนี้ต้องให้แม่เจ้าจัดการคนเดียว”

“แต่แม่ข้าก็เป็นกงจู่เหมือนกันกับท่านพี่นี่ พี่ไม่ได้แล้วทำไมแม่ข้าได้ล่ะ”

“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า แม่เจ้าดำรงพระยศเป็นจ่างกงจู่(องค์หญิงใหญ่) ท่านไม่ใช่พระธิดาของอดีตหวงตี้ แต่เป็นน้องสาวของอดีตหวงตี้ มันห่างไกลกันมาก อีกอย่าง...”

“อีกอย่างอะไร”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“อีกอย่างอะไร พี่ก็พูดมาสิ อ้ำๆอื้งๆ(吞吞吐吐)อยู่ได้”

“พี่กลัวว่าพูดไปแล้ว เจ้าจะไม่สบายใจน่ะ”

“พี่พูดไปเถอะ พูดอะไรข้าก็สบายใจทั้งนั้น”

“ไม่โกรธพี่จริงๆนะ”

“หากพี่ไม่พูดล่ะก็ ข้าจะโกรธจริงๆด้วย”

“ก็ได้ ก็ได้ พี่จะพูด พี่มีความรู้สึกว่าอุปนิสัย(脾气)ของเสด็จอาก่วนเถาต่างเป็นที่รู้จักกันดี(闻名)ของคนทั่วทั้งเมืองหลวง หากเสด็จอาเกิดทรงเอาแต่พระทัยไม่ฟังเหตุฟังผลขึ้นมา ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ใช่หรือไม่”

“แม่ข้าคนนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ แม้แต่ข้าเองก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย”

“พี่จึงเห็นว่ามีแต่แม่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถฝ่าด่านละเมิดคำสั่งนี้ออกไปได้”



38-9


ไท่จื่อนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่ริมน้ำ แล้วหวนรำลึกนึกถึงคำสอนของหวงตี้จิ่งตี้

“ลูกขอถวายพระพรเสด็จพ่อที่ได้รับชัยชนะกลับมา” ไท่จื่อคุกเข่าถวายพระพรต่อเบื้องหน้าพระพักตร์หวงตี้จิ่งตี้

“ที่พื้นมันเย็นเกินไป เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัย พระเจ้าคะ”

“กบฎเจ็ดอ๋อง(七王之乱)ได้สงบลงแล้ว พี่น้องประชาชนจะได้ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสงบร่มเย็นเสียที พวกที่ก่อกบฎมักจะไม่คำนึงถึงขวัญของพี่น้องประชาชน(民心) เมื่อได้ใจประชาชนก็จะได้มาซึ่งแผ่นดิน(得人心者得天下) หากไม่ได้ใจประชาชนแล้วไซร้ก็จะไร้ซึ่งแผ่นดิน(失人心者失天下) หลักการนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“ลูกเข้าใจแล้ว พะย่ะค่ะ ดูเหมือนเสด็จพ่อจะซูบผอม(消瘦)ลงไปนะ พะย่ะค่ะ”

“ผอมเหรอ พ่อไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย แต่ถึงพ่อจะผอมลงก็ถือว่าคุ้มค่า(值得)ที่ทำให้แผ่นดินสงบลงได้ เมื่อไรที่เจ้าได้เป็นหวงตี้จะได้ไม่ต้องเสียแรงไปต่อกรกับพวกขุนนางที่ชั่วช้าคิดคดทรยศ(乱臣贼子)มักใหญ่ใฝ่สูง(野心家)พวกนั้นให้เหนื่อยเปล่า”

“ไม่นะ พระเจ้าคะ เสด็จพ่อจะต้องทรงมีพระชนมายุที่ยืนยาว(万寿无疆)”

“ยังไงเจ้าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เมื่อเจ้าได้ขึ้นเป็นหวงตี้พ่อก็ยังคงเป็นไท่ซ่างหวง(太上皇 พ่อของหวงตี้)ที่ยังอยู่ดีมีสุขจนถึงบั้นปลายของชีวิต”

“เสด็จพ่อ ในภายภาคหน้าจะไม่มีเหล่าขุนนางที่ชั่วช้าคิดคดทรยศมักใหญ่ใฝ่สูงอีกแล้วใช่ไหม พระเจ้าคะ”

“คงจะไม่มีแล้วล่ะ กบฎเจ็ดอ๋องถือเป็นบทเรียน(教训)ได้เป็นอย่างดีไม่ใช่เหรอ ถึงแม้พวกเค้าจะแผลงฤทธิ์(嚣张)ขึ้นมาข่มขู่คุกคาม(气势汹汹)อีกมากเท่าไร สุดท้ายก็ต้องพินาศย่อยยับ(土崩瓦解)อยู่ดี ไม่มีแล้ว ไม่มีอีกแล้ว”

ไท่จื่อตื่นจากภวังค์แล้วรำพึงว่า “เสด็จพ่อ ท่านตรัสไว้เร็วเกินไปหน่อย พระเจ้าค่ะ”

จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบคลำหาถุงผ้าที่ตงฟางซั่วมอบให้ในอกเสื้อแต่ก็ไม่พบ คิดว่าได้ทำตกอยู่ที่ไหนสักแห่ง จึงได้ขี่ม้าย้อนกลับไปดูตามทางที่ผ่านมา



38-10


ก่วนเถากงจู่ปฏิเสธเสียงแข็งทันที “ไม่ไป ไม่ไป แม่ไม่ไปไหนทั้งนั้น ตอนนี้ทุกคนต่างกำลังไว้ทุกข์ จะออกนอกเมืองไปได้อย่างไรกัน อีกอย่างก็ใกล้จะถึงพีธีฝังพระศพ(发丧)ของอดีตหวงตี้แล้วด้วย พวกเราจะต้องคอยอยู่ดูแล”

“ไท่จื่อยังไม่เสด็จกลับมา ก็ยังจัดพิธีฝังพระศพไม่ได้หรอก ท่านแม่” เฉินอาเจียวให้เหตุผล

“ก็ตอนนี้รอไท่จื่อเสด็จกลับมาอยู่ไม่ใช่เหรอ” ก่วนเถากงจู่ย้อน

“แล้วถ้าไท่จื่อไม่กลับมาล่ะ”

“ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กลับมานี่” จากนั้นก่วนเถากงจู่ก็ปลอบบุตรสาว “เจียวเจียว เจ้ายังเป็นห่วงเค้าอยู่ใช่ไหม ไม่มีอะไรหรอกน่า มีคนรอบกายคอยคุ้มครอง(护驾)เค้าอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ”

“ลูกกลัวว่าถึงฉางอันแล้วจะเข้าเมืองไม่ได้นะสิ”

“ใครจะกล้ามาขวางเค้ากัน จะมีใครกล้าขนาดนั้นบ้างล่ะ เค้าคือว่าที่หวงตี้องค์ต่อไป ใครมันจะกล้ามาขวางเค้าเอาไว้ ไหนบอกแม่มาสิ”

“มีแน่นอน ก็คนที่คิดอยากจะเป็นหวงตี้นะสิ ท่านแม่ก็”

“พูดจาเหลวไหล” ก่วนเถากงจู่พูดด้วยเสียงเบาๆว่า “ที่ว่ามาเนี่ยโทษประหารทั้งตระกูลถึงเก้าชั่วโครตเชียวนะ”

“ท่านแม่ก็ คนชนะได้เป็นเจ้า(成者王侯) คนแพ้ได้เป็นโจร(败者寇) ท่านแม่เข้าใจไหม ถ้าหากเค้าได้เป็นหวงตี้ ใครจะกล้าลงโทษเค้าล่ะ ใครจะกล้าประหารเค้าเก้าชั่วโคตรกัน”

“เจ้าหมายถึงใครกัน”

อ๋องเหลียง

“เอาที่ไหนมาพูด เค้าไม่มีทางได้เป็นหวงตี้หรอก หากไท่โห้วไม่ทรงยินยอม”

“ก็ไท่โห้วเองแหละท่านแม่ที่จะให้เค้าเป็นน่ะ”

“ไท่โห้วเหรอ ฝ่ายหนึ่งก็หลาน ฝ่ายหนึ่งก็ลูกในไส้ ไม่ว่าจะฝ่ายไหน(翻来覆去)ก็ล้วนแซ่หลิวทั้งนั้น แล้วจะทรงทำอย่างนั้นทำไม”

“แล้วถ้าเกิดทรงทำขึ้นมาจริงๆล่ะ ท่านแม่”

“ท่านก็คงจะทรงเลอะเลือนไปแล้วนะสิ พวกเราก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก อีกอย่างในราชสำนักทั้งระดับบนระดับล่างก็มีแต่คนแซ่โต้ว ไม่ทรงให้หวงตี้แซ่โต้วก็ดีแล้วล่ะลูก”

“ท่านแม่ ท่านเข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่าเนี่ย ที่ข้าบอกตอนนี้ก็คืออ๋องเหลียงต้องการจะเป็นหวงตี้”

อ๋องเหลียงก็แซ่หลิวไม่ใช่เหรอ และยังเป็นลูกหลานคนแซ่หลิวอีกด้วย”

เฉินอาเจียวชักโมโห “ท่านแม่ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้นะ ถ้าอ๋องเหลียงเป็นหวงตี้ แล้วจะมีท่าน มีข้าไว้ทำไมกันล่ะ ท่านก็เป็นได้แค่พี่สาวของหวงตี้ ไม่มีทางที่จะได้เป็นแม่ยายของหวงตี้(亲家)ไปได้หรอก”

“แต่..แต่ว่าเรื่องที่เจ้าหมั้นหมายกับหลิวเช่อนั้นก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เหรอ”

เฉินอาเจียวขึ้นเสียงกับมารดา “ข้าไม่ได้ต้องการจะเป็นเมียของไท่จื่อหรอกนะ ข้าต้องการจะเป็นหวงโห้ว”

“เจ้าทำให้แม่มึนงงสับสนไปหมดแล้ว ถ้าอ๋องเหลียงเป็นหวงตี้ แล้วหลิวเช่อล่ะ หลิวเช่อก็ไม่ได้เป็นหวงตี้นะสิ”

เฉินอาเจียวเหน็บมารดา “แม่ ท่านน่าจะตื่นจากฝันได้แล้วนะ”

“แม่ตื่นแล้ว แม่ตื่นแล้วล่ะลูก ไหนเจ้าบอกแม่มาทีสิว่า พวกเราจะต้องทำยังไง”



38-11


ระหว่างทางที่ไท่จื่อขี่ม้ากลับไปตามเส้นทางเดิมนั้น จู่ๆจางเชียนก็กระโดดออกมาขวางทางเอาไว้ จนไท่จื่อต้องหยุดม้ากระทันหัน

จางเชียน ไท่จื่อเรียกชื่อจางเชียนแล้วรีบลงจากม้าเดินเข้าไปหา “เจ้าเห็นถุงผ้าปักลายของข้าไหม”

จางเชียนล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบถุงผ้าออกมาส่งให้ “ใช่ใบนี้หรือเปล่า”

“เจ้าเก็บได้ที่ไหนเหรอ”

“ในเสื้อของท่านน่ะสิ ตอนที่ท่านเปลี่ยนเสื้อกับข้า ท่านลืมถุงผ้าเอาไว้”

“ข้าเป็นหนี้บุญคุญเจ้าอีกแล้วสิเนี่ย” ไท่จื่อนำมือตบไปที่ไหล่ของจางเชียน

จางเชียนรู้สึกเขิน “จริงสิ ท่านลองดูสิว่ามีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่า เพราะข้าก็ยังไม่เคยเปิดออกดูเลย”

“ถุงผ้าใบนี้ ตงฟางซั่วมอบให้ข้า บอกว่าหากถึงคราวจวนตัว(无奈)จริงๆเมื่อไรจึงค่อยเปิดออกมาดู” ไท่จื่อหยิบกระดาษที่อยู่ในถุงผ้าออกมาคลี่ดู เห็นมีเขียนตัวอักษรไว้สี่ตัวว่า “金屋藏娇(ห้องทองซ่อนเจียว)

ห้องทองซ่อนเจียว มันหมายความว่าอย่างไรกัน” ไท่จื่อสงสัย

“ไม่มีอักษรตัวอื่นอีกเหรอ” จางเชียนถาม

“มีแค่อักษรสี่ตัวนี้เท่านั้น เค้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือไงเนี่ย นี่เป็นคำที่พูดกันเล่นๆตอนสมัยเด็กๆระหว่างข้ากับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของข้า แต่ว่าตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร ข้าผิดเองที่ไปหลงเชื่อคำของเค้า” ไท่จื่อเขวี้ยงของที่อยู่ในมือทิ้ง “คนที่อยู่ไกลถึงซันตงเมืองเยี่ยนชื่อ แม้แต่ฉางอันก็ยังไม่เคยมา แล้วเรื่องพวกนี้ เค้าเดาออกได้อย่างไรกัน”

“ไม่นะ ซินแสตงฟางเคยมาที่ฉางอัน

“ใครบอกเจ้ากันล่ะ”

“เค้าบอกกับข้าเอง”

“เค้าคงคุยโม้(吹牛)ให้เจ้าฟังน่ะสิ”

“แต่สิ่งที่เค้าพูด จากซันตงเรื่อยมาจนถึงฉางอันนั้น ทั้งภูมิประเทศ(山川)ภูมิศาสตร์(地理)ทำเลที่ตั้ง(形势) กับสิ่งที่ข้าได้มารู้ได้มาเห็นด้วยตาตนเองนั้นไม่มีผิดเพี้ยนกันเลยแม้แต่น้อย(分毫不爽)”

“แล้วเค้าบอกหรือเปล่า ว่าเค้ามาฉางอันทำไม”

“นั่นเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อน เค้านำเอาตำราไม้ไผ่ที่เขียนเกี่ยวกับแผนการปกครองประเทศ(治国)กว่าสามพันเล่มบรรทุกใส่เต็มเกวียนที่ลากด้วยวัว นำมาถวายให้แก่หวงตี้ แต่ว่าบรรดาขุนนาง(官员)ในวังเหล่านั้นไม่ยอมรับเค้าและก็ไม่มีใครยอมที่จะช่วยเหลือเค้ากราบทูลหวงตี้ให้ทรงทราบ เค้าต้องอดทนรอถึงสามเดือน สุดท้ายก็ต้องลากเกวียนกลับมายังเยี่ยนชื่อ

“ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ถ้างั้น..งั้นก็เท่ากับว่าเค้าคิดที่จะอุทิศตนรับใช้แผ่นดินแต่ไม่มีโอกาสน่ะสิ”

จางเชียนหยิบกระดาษบนพื้นขึ้นมา “ดังนั้น อักษรสี่ตัวที่เค้ามอบให้ท่าน ข้ามั่นใจว่าจะต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ หวังว่าท่านคงจะพินิจพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ(斟酌)”

ไท่จื่อหยิบกระดาษจากมือจางเชียนมาพิจารณาอีกครั้ง ห้องทองซ่อนเจียว(金屋藏娇) อะไรคือห้องทอง(金屋)อะไรคือซ่อนเจียว(藏娇)กันนะ คำว่าเจียว(娇)..รึว่า..”





 

Create Date : 25 กันยายน 2550
0 comments
Last Update : 31 ธันวาคม 2550 13:37:11 น.
Counter : 1832 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.