สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป
ตีพิมพ์ครั้งแรก : 4 พฤศจิกายน 2550 / ปรับปรุงแก้ไข : แปลโดย : WangAnJun
จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 3 - ตอนที่ 9
9-1
“ ไท่จื่อ พ่อของข้าไม่ได้เป็นคนผิด คนที่ควรจะเข้าไปอยู่ในคุกควรจะเป็นข้ามากกว่า ท่านช่วยไปพูดกับหวงตี้ให้ทีนะ ” จี้ฉินหู่อ้อนวอนไท่จื่อหลิวจี้ว์ “ ทำไมเจ้าไม่ไปพูดกับหวงตี้เองล่ะ ” หลี่ฮั่นเอ่ยถาม “ ก็พ่อของข้าห้ามไม่ให้ข้าไปเข้าเฝ้าหวงตี้ ท่านต้องการจะยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ” “ เฮ้อ มีพ่อกับเค้าบ้างสักคนก็คงจะดีเหมือนกันเนอะ ” หลี่ฮั่นรู้สึกอิจฉา “ เจ้าเห็นคำพูดของข้าเป็นเรื่องขำขำเหรอ ” จี้ฉินหู่รู้สึกฉุน กล่าวหาว่าหลี่ฮั่นพูดว่ากระทบตน “ ข้าจะมีสิทธิ์อะไรไปหัวเราะเจ้าได้ เจ้ามีเรื่องเดือดร้อนก็มีพ่อคอยคุ้มครองปกป้อง หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ข้าก็คงจะต้องทนทุกข์อยู่เพียงคนเดียวแน่ๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครให้พ่อของข้าไม่อยู่เองล่ะเนอะ ” หลี่ฮั่นพูดด้วยความน้อยใจนิดๆ
ไท่จื่อหลิวจี้ว์รีบเอ่ยห้าม “ เอาล่ะ พวกเจ้าเถียงกันเรื่องพ่ออยู่ได้ ที่มาหาข้าไม่ใช่ต้องการให้ข้าไปหาพ่อของข้าหรอกหรือไง ” “ ไท่จื่อ ก็มีแต่ท่านคนเดียวเท่านั้นแหละที่พอจะพูดกับหวงตี้ได้ ” หลี่ฮั่นบอกกับไท่จื่อหลิวจี้ว์ จี้ฉินหู่รีบเอ่ย “ ช่วยทูลบอกหวงตี้ ให้ข้าเข้าไปอยู่ในคุกแทนพ่อของข้าทีนะ แม้ข้าจะไม่ได้เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์(忠臣) แต่ขอให้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกกตัญญู(孝子)ก็ยังดี ” “ พวกเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน เอาไว้ให้ข้าหาโอกาสเหมาะๆก่อน ” ไท่จื่อหลิวจี้ว์บอกกับคนทั้งสอง
9-2
ซือหม่าเชียนกำลังนั่งเขียนงานอยู่ภายในห้อง หลิวซี่จวินยกน้ำชาเข้ามาให้ แต่ยกมาวางอีท่าไหนไม่รู้ทำน้ำชาหกใส่งานเขียนของซือหม่าเชียน “ ขอประทานโทษค่ะ ท่านใต้เท้า ” หลิวซี่จวินรีบเอาชายแขนเสื้อมาซับน้ำที่หกพร้อมกับเอ่ย “ ข้าน้อยจะหยิบกระดาษไม้ใผ่มาให้ใหม่ ” “ ไม่ต้อง ” ซือหม่าเชียนเอ่ย หลิวซี่จวินเอื้อมมือไปหยิบกระดาษไม้ไผ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ก็พลาดทำให้กองกระดาษไม้ไผ่ร่วงหล่นจากโต๊ะ จึงก้มลงเก็บ “ แม่นางหลิงจือ ” ซือหม่าเชียนเรียกชื่อของหลิวซี่จวิน “ ใต้เท้า เรียกข้าหรือเปล่า ” หลิวซี่จวินเอ่ยถามโดยไม่กล้าหันหน้าไปมองผู้ถาม
ซือหม่าเชียนเห็นท่าทางที่ดูเงอะงะของหลิวซี่จวินแล้วก็เอ่ยปลอบ “ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป งานเขียนชิ้นนี้ข้าคิดว่าข้าเขียนไม่ค่อยดีเท่าไร ตั้งใจจะเขียนใหม่ แต่เจ้าก็มาช่วยให้ข้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ” “ ข้าช่างโง่เง่าเสียนี่กระไร ” หลิวซี่จวินเอ่ยว่าตนเอง “ เจ้าอยู่ที่บ้านเคยทำงานพวกนี้มาก่อนหรือเปล่า ” “ ข้าเคยทำ ” หลิวซี่จวินตอบไม่ค่อยจะเต็มเสียง “ คนอื่นเป็นคนยกน้ำชามาให้เจ้า หรือว่าเจ้าเป็นคนยกน้ำชามาให้คนอื่น ” “ แน่นอน เป็นข้าที่ยกน้ำชาเสิร์ฟคุณชายกัว ” “ ไหนเจ้าแบมือของเจ้าออกมาให้ข้าดูทีสิ ” หลิวซี่จวินค่อยๆแบมือของตนเองออกมาให้ซือหม่าเชียนดู “ มือของเจ้าดูไม่เหมือนคนทำงานหนัก(粗活) ดูเหมือนมือที่ใช้เขียนตัวหนังสือซะมากกว่า ” หลิวซี่จวินรีบหุบมือของตนเองทันทีก่อนจะเอ่ยไปว่า “ ใต้เท้าได้โปรดอย่าล้อข้าเล่น ” “ ใครสอนหนังสือให้กับเจ้า ” “ ท่านพ่อของข้าที่ตายไปแล้ว ” “ แต่ว่าในจดหมายของกัวเจี่ย เขียนบอกไว้ว่าพ่อของเจ้าตาย(亡故)ไปตั้งแต่เจ้ายังเล็ก ในตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะอายุสามขวบก็ได้รับการสอนให้เริ่มรู้จักเขียนตัวอักษร(开蒙识字)แล้ว ” “ ในจดหมายเค้าเขียนไว้ว่าอย่างนั้นหรือ ” “ เจ้าอย่าบอกกับข้านะว่า เจ้าไม่เคยอ่านจดหมายฉบับนั้นมาก่อน อันที่จริงเจ้าก็คงคิดอยากที่จะรู้ ว่าเค้าเขียนแนะนำเจ้าไว้ว่าอย่างไร เมื่อสักครู่ข้าก็เรียกเจ้าว่าหลิงจือ ” ซือหม่าเชียนเงียบไปสักครู่ก่อนจะถามออกไปว่า “ แม่นาง เจ้าเป็นใครกันแน่ ” “ ใต้เท้า ท่านเป็นอะไรไปเหรอ ข้าก็คือหลิงจือ ชื่อนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ” ซือหม่าเชียนถอนหายใจ “ แสดงว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้า ข้าซือหม่าเชียนเป็นนักประวัติศาสตร์(史家) นักประวัติศาสตร์จะจดบันทึกไม่ได้หากไม่มีหลักฐานแหล่งที่มา(无一字无出处) ไม่ว่าจะเป็น โจวเทียนจื่อ(周天子) ฉินสื่อหวง(秦始皇 - ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฉิน หรือจิ๋นซีฮ่องเต้) หรือแม้แต่สามเทพห้ากษัตริย์(三皇五帝 1) ช่วงเวลาแต่ละยุคสมัยก็ห่างกันเป็นเวลาหลายปี ข้าล้วนต้องคาดคะเน(揣摩)เอาด้วยความระมัดระวัง เจ้ากับข้าก็อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม(近在咫尺) แล้วจะให้ข้าถ่ายทอดตัวหนังสือที่มีความคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง(以讹传讹)ได้อย่างไร” “ หวงตี้เสด็จ เสียงของขันทีตะโกนดังลอยมา “ เจ้าไม่ต้องไปไหน อยู่กับข้ารอรับเสด็จหวงตี้ ” ซือหม่าเชียนบอกหลิวซี่จวินที่มีทีท่าตกใจ “ ข้าพระองค์ซือหม่าเชียน ถวายบังคมฝ่าพระบาท ” ซือหม่าเชียนพร้อมกับหลิวซี่จวินคุกเข่าถวายความเคารพเมื่อฮั่นอู่ตี้เสด็จเข้ามาในห้อง “ ไท่สื่อลิ่งของเราทำงานทั้งวันทั้งคืน(夜以继日)ตามที่เราคิดไว้ไม่ผิด จุดเทียนไขเพื่อเขียนบทความกองโตของเค้า เจ้าลุกขึ้นเถอะ ” “ ขอบพระทัย พะย่ะค่ะ ” ซือหม่าเชียนกับหลิวซี่จวินลุกขึ้นยืน “ เรานอนไม่ค่อยหลับ เลยออกมาเดินเล่น หน่วยงานต่างๆก็หยุดพักผ่อนกันไปหมดแล้ว เหลือแต่บ้านเจ้าที่ยังมีแสงสว่างไสวอยู่ กำลังเขียนอะไรอยู่หรือ ”
“ ชีวประวัติของท่านนายพลใหญ่จี้อันซื่อ พะย่ะค่ะ ” “ เจ้าวางงานเขียนชิ้นนี้ไว้ก่อน เขียนไว้แต่เนิ่นๆตอนหลังก็ต้องมาแก้ไขอยู่ดี แล้วงานเขียนของอ๋องเจียงตูหลิวเฟยล่ะ เจ้าเขียนเสร็จแล้วหรือยัง ” “ ยังเป็นงานร่างที่เขียนไว้ในความคิดของข้าพระองค์อยู่ พะย่ะค่ะ ” “ ที่จริงเค้าก็เข้าไปอยู่ในวงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดไปแล้ว เจ้าจะเขียนอะไรก็ได้ได้ตามสบาย ” “ ทูลฝ่าพระบาท เรื่องที่เกี่ยวกับอ๋องเจียงตูนั้น ข้าพระองค์ยังมีอยู่หลายประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนดี ข้อมูลก็มีไม่เพียงพอ คนใกล้ชิดคนที่รู้เรื่องราวของเค้าดี ข้าพระองค์ก็ยังไม่ได้ไปสอบถาม ข้าพระองค์เห็นว่า เอาไว้หลังจากที่ข้าพระองค์ได้ไปสอบถามข้อมูลมาให้ได้มากกว่านี้ ค่อยลงมือเขียนก็ยังไม่สาย พะย่ะค่ะ ” “ สายไปแล้วล่ะ คนในครอบครัวของเค้าได้ถูกเนรเทศไปใช้แรงงานอยู่ที่หลิ่งหนาน(岭南 2)ดินแดนที่เต็มไปด้วยไข้ป่า เจ้าจะไปตามถามคนที่ใกล้ชิดของเค้าได้ที่ไหนอีก ” “ พวกเค้าออกเดินทางไปแล้วหรือ พะย่ะค่ะ ” “ ไปได้สองสามวันแล้ว จะเหลือก็แต่คนที่กำลังหลบหนีที่ชื่อหลิวซี่จวิน ” “ งั้นข้าพระองค์ก็หมดโอกาสที่จะพบกับนางแล้ว พะย่ะค่ะ ” “ เจ้าไม่ต้องเขียนให้มันละเอียดลออมากนัก(洋洋洒洒)ก็ได้ เอาแค่พอสังเขป(寥寥数语)ก็พอ ” ฮั่นอู่ตี้ทรงเสนอความคิดเห็น “ เจ้าก็เขียนไปว่า สติฟั่นเฟือนจนก่อความผิดมหันต์(横行不法) เลยถูกสวรรค์ลงโทษจนตายอย่างอนาถ(粉身碎骨) แม้แต่ความตายก็ไม่สามารถจะลบล้างความผิดที่เค้ากระทำเอาไว้ได้(死有余辜) ” “ ดูเหมือนว่าหลิวเฟยจะปลิดชีพตนเองด้วยยาพิษนะ พะย่ะค่ะ ” ซือหม่าเชียนทูลแย้ง “ ไท่สื่อลิ่งของเราดูจะให้ความสำคัญกับถ้อยคำตัวอักษรมากเกินไปหน่อยนะ(咬文嚼字) ” “ นักประวัติศาสตร์จะตวัดปลายพู่กันได้ เรื่องที่เขียนก็ควรจะมีมูล พะย่ะค่ะ ” “ ตามใจ งั้นเจ้าก็เปลี่ยนจากตายอย่างอนาถไปเป็นกลัวการลงโทษจนฆ่าตัวตายก็แล้วกัน ” ตรัสเสร็จก็เสด็จกลับ “ น้อมส่งเสด็จ พะย่ะค่ะ ” ฮั่นอู่ตี้ชะงักพระองค์แล้วหันมาตรัสถาม “ แล้วคนนี้ใคร ” “ หญิงรับใช้ของข้าพระองค์ พะย่ะค่ะ ” “ มาใหม่หรือ ” “ มาได้ครี่งปีกว่าแล้ว พะย่ะค่ะ ” “ ท่าทางดูเหมือนเด็กขี้อาย(小鸟依人) ” ฮั่นอู่ตี้ทรงทอดพระเนตรหลิวซี่จวินแล้วตรัสถาม “ รู้หนังสือหรือเปล่า ” “ พอรู้บ้างนิดหน่อย เพคะ ” หลิวซี่จวินก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา “ หนังสือที่นี่มีอยู่มากมายก่ายกอง(浩如烟海) การที่ได้มารับใช้ไท่สื่อลิ่งถือเป็นความโชคดี(福气)ของเจ้านะ ” ตรัสจบก็เสด็จกลับตำหนัก [1 三皇五帝(ซันหวงอู่ตี้) หรือยุคของสามเทพห้ากษัตริย์ เป็นยุคแรกๆของกษัตริย์ผู้ปกครองบ้านเมืองของชาวจีนสมัยตั้งแต่ครั้งที่ยังไม่ได้มีการก่อตั้งเป็นราชวงศ์ กษัตริย์สามองค์แรกที่ได้ถูกยกย่องจนเหมือนกับเป็นเทพได้แก่ ซุ่ยเหริน(燧人) ฝูซี(伏羲) เสินหนง(神农) ส่วนห้ากษัตริย์ได้แก่ หวงตี้(黄帝) จวนซีว์(颛顼) ตี้คู่(帝喾) ถังเหยา(唐尧) อี๋ว์ซุ่น(虞舜)] [2 เป็นชื่อเรียกดินแดน(ปัจจุบันก็คือกว่างตง(广东) กว่างซี(广西))ที่อยู่ทางตอนใต้ของอู่หลิ่ง(五岭)หรือเทือกเขาทั้งห้า(ได้แก่ ต้าอี่ว์หลิ่ง(大庾岭) ตูผางหลิ่ง(都庞岭) ฉีเถืยนหลิ่ง(骑田岭) เหมิงจู่หลิ่ง(萌渚岭) เย่ว์เฉิงหลิ่ง(越城岭))]
9-3
จี้ฉินหู่ยืนเกาะลูกกรงดูจี้อันซื่อที่นั่งนิ่งเฉย “ ท่านพ่อ ท่านรีบทานข้าวสิ ข้าวเย็นหมดแล้ว ” แต่จี้อันซื่อกลับหลับตาแล้วเอนตัวลงนอน เมื่อเห็นปลอดคนคุมจี้ฉินหู่ก็เอ่ยเบาๆว่า “ ไท่จื่อรับปากลูกแล้วว่าจะช่วยพูดแทนท่านให้ ” จี้อันซื่อรีบผุดลุกขึ้นนั่งเอ่ยถามทันที “ เจ้าบอกอะไรไท่จื่อไปบ้าง แล้วเจ้าเอ่ยถึงบ้านจอมยุทธ์กัวหรือเปล่า ” “ เปล่า ” “ คำเดียวก็ไม่ได้เอ่ยนะ ” จี้อันซื่อลุกขึ้นเดินมาถามลูกชายใกล้ๆ “ ก็ท่านพ่อเป็นคนกำชับลูกไว้ไม่ใช่เหรอ ”
จี้อันซื่อถอนหายใจ “ จงจำไว้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน หรือจะกับใคร หากเจ้าเอ่ยชื่อกัวเจี่ยขึ้นมาล่ะก็ พวกเราตัดขาดความเป็นพ่อลูกกัน ” “ แต่ว่าไท่จื่อก็ไม่ใช่คนอื่นนะท่านพ่อ ” “ ถ้าเค้าไม่ใช่คนอื่น เจ้าก็เป็นคนอื่นแล้วล่ะ ” “ ไม่นะท่านพ่อ ลูกกับเค้าได้สาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ยังมีหลี่ฮั่นด้วยอีกคน ” “ เจ้าว่าอะไรนะ ” จี้อันซื่อตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ ไปสาบานกันตั้งแต่เมื่อไร ” “ เมื่อตอนที่พวกเราลงจากกำแพงหมื่นลี้ฉางเฉิง สาบานกันต่อหน้าสุสานของท่านนายพลอาวุโสหลีกว่าง แม้ไม่ได้ร่วมเกิดวันเดียวกัน แต่ก็ขอตายวันเดียวกัน ” “ เด็กอ่อนประสบการณ์อย่างพวกเจ้า ไม่รู้อะไรควรไม่ควรบ้างหรืออย่างไร ” จี้อันซื่อดุว่าลูกชาย “ แล้วมันไม่ดียังไงล่ะ ท่านพ่อ ” จี้ฉินหู่สังสัย “ ทางที่ดีเจ้าควรจะลืมให้หมด เจ้าคิดว่าตีตนเสมอมังกรแล้วจะได้เป็นพระญาติกับมังกรอย่างงั้นเหรอ ” จี้ฉินหู่ก็ยังไม่หายสังสัยกับคำพูดของพ่ออยู่ดี “ แล้ว..แล้วมันจะเป็นยังไงล่ะ ท่านพ่อ ก็ในเมื่อ..เมื่อก่อนหวงตี้ตอนที่ทรงดำรงตำแหน่งไท่จื่อก็ยังมีพี่น้องร่วมสาบานตั้งหลายคนเลย ” “ ตอนนี้กับตอนนั้นเอาไปเปรียบกันไม่ได้ หวงตี้ยังไงก็เป็นหวงตี้ ข้ารับใช้ยังไงก็ยังเป็นข้ารับใช้อยู่วันยังค่ำ ” จี้อันซื่อสั่งกำชับลูกชายไปว่า “ เจ้าไปบอกไท่จื่อเลยว่าไม่ต้องไปขอร้องแทนข้า ข้าไม่ต้องการ ”
9-4
ไท่จื่อหลิวจี้ว์เดินทางไปเข้าเฝ้าฮั่นอู่ตี้ที่ตำหนักซวนซื่อเก๋อ(宣室阁)
“ ลูกจี้ว์ หลังจากที่กลับมาจากกำแพงหมื่นลี้ฉางเฉิง พ่อก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับเจ้าเลย หลายวันมานี้เจ้าทำอะไรบ้าง ” “ ทูลเสด็จพ่อ ลูกอ่านตำราแล้วก็ศึกษาประวัติศาสตร์อยู่ พระเจ้าค่ะ ” “ แล้วเจ้าอ่านตำราเล่มไหนอยู่ล่ะ ” “ ลูกกำลังอ่านตำราจั่วจ้วน(左传 3)อยู่ อ่านแล้วเห็นว่ามีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง พระเจ้าค่ะ ” “ ไหนเจ้าลองว่ามาสิ ” “ ในตำรากล่าวไว้ว่า กษัตริย์แห่งแคว้นจิ้น(晋国)จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำให้แก่เหล่าขุนนาง ในนั้นมีนายพลอยู่คนหนึ่งที่ชื่อว่า ถังเจี่ยว(唐狡) เค้าดื่มเหล้าเข้าไปมากมาย แล้วได้กระทำความผิดในงานเลี้ยงโดยการเข้าไปขโมยกอดมเหสีแห่งแคว้นจิ้น ” “ ทำอย่างนั้นแล้วไม่มีใครเห็นกันเลยเหรอ ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสถามอย่างสงสัย “ คนอื่นๆต่างก็ดื่มไปมากเหมือนกัน เลยไม่ทันได้สังเกต ส่วนมเหสีแห่งแคว้นจิ้นก็ไม่รู้จักว่าเค้าเป็นใคร จึงได้แอบขโมยดึงขนนกสีแดงที่เสียบอยู่บนหมวกของเค้า จากนั้นก็ได้ไปบอกความแก่พระสวามีเพื่อให้จับตัวชายผู้นี้มาลงโทษ” “ สุดท้ายกษัตริย์แห่งแคว้นจิ้นไม่เพียงแต่จะไม่ลงโทษเค้า แต่กลับมีรับสั่งให้ดับไฟ แล้วบอกให้นายทหารนายพลคนอื่นๆดึงขนนกที่เสียบอยู่บนหมวกออก ใช่หรือไม่ ” “ ที่แท้เสด็จพ่อก็ทรงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ” [3 左传(จั่วจ้วน) เป็นบันทึกประวัติศาสตร์จีนยุคสมัยชุนชิว]
|