สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป
จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 27
ตีพิมพ์ครั้งแรก : 10 กรกฏาคม 2550 / ปรับปรุงแก้ไข :
27-1
ที่หน้าพระตำหนักที่เป็นที่ประทับของหวงตี้ฮั่นจิ่งตี้ ก่วนเถากงจู่ได้ตรัสถามหวงโห้วหวังขึ้นว่า “เสด็จพี่เป็นถึงหวงโห้ว ทำไมจะเข้าเฝ้าพระองค์ท่านไม่ได้ล่ะ” “หากไม่มีรับสั่งจากไท่โห้ว ใครก็เข้าเฝ้าพระองค์ท่านไม่ได้” หวงโห้วหวังตรัสบอกเหตุผล “แต่..แต่ว่าพระอาการของพระองค์ท่านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ดีขึ้น(见好)บ้างแล้วหรือยัง” ก่วนเถากงจู่ตรัสถามด้วยความร้อนพระทัย “เสด็จพี่ไปถามพวกขันที(太监)ที่ดูแล(伺候)พระองค์ท่านให้หน่อยสิ เพคะ” “พวกขันทีเดิมที่ดูแลอยู่ก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นคนของไท่โห้วแล้ว พวกเค้าไม่ยอมบอกอะไรพี่เลยสักนิด” “ทำแบบนี้คิดจะก่อกบฎกันหรืออย่างไร น้องไม่สนใจแล้ว น้องจะต้องไปดูให้รู้เรื่อง” หวงโห้วหวังรีบตรัสห้าม เมื่อเห็นก่วนเถากงจู่ทำท่าจะเสด็จเข้าไปในพระตำหนัก “ก่วนเถา น้องทำแบบนี้ หากไท่โห้วทรงทราบเข้าจะกริ้วเอาได้นะ” “หากจะกริ้วก็ปล่อยให้กริ้วไปสิ เพคะ น้องสาวเข้าเยี่ยมพี่ชายมันจะผิดกฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์ฮั่นข้อไหนกันเชียว น้องไม่สนใจหรอก ยังไงน้องก็จะต้องเข้าไปดูให้ได้” พอตรัสเสร็จ ก่วนเถากงจู่ก็เสด็จดำเนินไปที่ประตูพระตำหนักด้วยความรีบร้อน ส่วนหวงโห้วหวังทรงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเรียกห้าม “ก่วนเถา น้องก่วน...” แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ขันทีที่ยืนเฝ้าประตูพระตำหนักได้ยกมือขึ้นกางขวางเอาไว้ ก่วนเถากงจู่จึงตรัสออกไปว่า “พวกเจ้า..พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่านางเป็นใคร” ตรัสพร้อมกับชี้ไปที่หวงโห้วหวัง “นางคือหวงโห้ว นางคือพระมารดาของแผ่นดิน พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบังอาจขวางนางเอาไว้ รีบถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ” หวงโห้วหวังเสด็จตามไปที่ประตูพระตำหนักพร้อมกับพยายามดึงตัวก่วนเถากงจู่ให้ออกมาจากที่ประตู “น้องก่วนเถา พี่ว่าช่างเถอะ พวกเรากลับกันก่อนเถอะนะ” “จะกลับได้อย่างไรกันล่ะ เพคะ เสด็จพี่ไปเข้าเฝ้าพระองค์ท่านถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง(天经地义) เสด็จพี่..เสด็จพี่อย่าทรงทำพระองค์อ่อนแออย่างนี้สิ เพคะ” “พี่รู้ แต่ว่าไท่โห้วไม่ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้านี่” “ไท่โห้วไม่ทรงอนุญาตก็ไม่เป็นไรนี่ เพคะ” ทันใดนั้นประตูของพระตำหนักก็ถูกเปิดออกมา ไท่โห้วโต้วเสด็จดำเนินผ่านประตูออกมาด้านนอก หวงโห้วหวังรีบย่อพระองค์ถวายบังคมต่อไท่โห้วโต้ว “หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จแม่ เพคะ” “ลุกขึ้นเถอะ พระองค์ท่านเสวยพระโอสถแล้ว และก็เพิ่งจะทรงพระบรรทมไป จะให้พระองค์ท่านตื่นบรรทมจากเสียงเอะอะของพวกเจ้าหรืออย่างไร” “เสด็จแม่ เรื่องนี้หวงโห้วไม่เกี่ยวเพคะ หม่อมฉันเป็นคนส่งเสียงเอะอะเอง” “ใครบอกว่าหวงโห้วไม่เกี่ยว นางเป็นพระมเหสีของหวงตี้ ส่วนหวงตี้ก็เป็นพระสวามีของนาง แม้แต่สามัญชน(平民百姓) เมื่อสามีป่วย คนที่เป็นภรรยาจะไม่กระวนกระวายร้อนใจ จะไม่สนใจใยดีคอยดูแลได้อย่างไร หากเป็นอย่างนั้นจริง แม่ก็คงจะแปลกใจยิ่งนัก” “ขอบพระทัย เพคะ เสด็จแม่” หวงโห้วหวังตรัสขอบคุณไท่โห้วโต้วที่ทรงเข้าพระทัยความรู้สึกของคนที่เป็นภรรยา “พวกเราทั้งสามคน ต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด(骨肉至亲)กับพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะเป็นแม่ เป็นภรรยา หรือว่าเป็นน้องสาว ใครบ้างจะไม่ร้อนใจ แต่ถึงร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราไม่มีใครที่รู้วิชาการแพทย์เลยสักคน เราสามคนรวมกันจะสู้แพทย์หลวงหนึ่งคนได้อย่างไรกัน เจ้าว่าจริงไหม” “แต่ว่า เสด็จแม่ หวงตี้เค้า...” ก่วนเถากงจู่พยายามจะพูดเพื่อขอเข้าไปเยี่ยมหวงตี้ แต่ก็ถูกไท่โห้วโต้วพูดตัดบทกับหวงโห้วหวังเสียก่อนว่า “พระอาการของพระองค์ท่านส่วนใหญ่ก็ดีขึ้นมากแล้ว เหลือแต่พระวรกายที่ยังคงอ่อนแออยู่นิดหน่อย ไม่สามารถโดนลม หรือพบปะผู้คนได้ ทรงต้องการการพักผ่อนอย่างสงบ โดยเฉพาะเจ้า เจ้าเป็นคนแรกที่ไม่ควรจะพบกับหวงตี้ พระองค์ท่านทรงรักเจ้าที่สุด หากพวกเจ้าที่เป็นคู่รักพบหน้ากันแล้วเกิดโหยหาความรัก(恩爱)ต่อกันขึ้นมา พระองค์ท่านจะทรงทนไหวหรือ” หวงโห้วหวังทรงรู้สึกเขินอายกับคำพูดของไท่โห้วโต้ว “เสด็จแม่ ตรัสอะไรน่ะ เพคะ” “แม่ไม่ได้หมายถึงเจ้าหรอก แม่หมายถึงพวกนางสนมพวกนั้นน่ะ ไม่ว่าจะ เพียนเฟย(偏妃) หรือว่ากุ้ยเฟย(贵妃) แต่ละนางดูน่าชวนให้หลงใหลทั้งนั้น หากเกิดมีใครได้ใกล้ชิดเข้า พระองค์ท่านจะทรงทนไหวอย่างนั้นหรือ” ก่วนเถากงจู่รีบเสนอ “แต่ว่า เมื่อพ่อป่วย ลูกชายก็ควรจะกลับมาอยู่ดูแล เสด็จแม่ รีบส่งคนไปตามไท่จื่อกลับวังด้วยเถิด เพคะ” หวงโห้วหวังได้ยินเข้าก็ทรงสนับสนุนคำพูดของก่วนเถากงจู่ขึ้นทันที “จริงด้วยเพคะ เมื่อไท่จื่อกลับมา แล้วพระองค์ท่านได้ทรงเห็นหน้าไท่จื่อ ไม่แน่พระอาการประชวรอาจจะดีขึ้นมาทันทีเลยก็ได้” “แม่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แม่ถึงได้ให้อ๋องเหลียงออกไปตาม อีกสักสองวันก็คงจะกลับกันมาแล้วล่ะ”
27-2
กัวเส่อเหรินกำลังส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งอยู่กับการเจ้ากี้เจ้าการสั่งคนงานในการจัดตกแต่งห้องสำหรับไท่จื่อ จนดูวุ่นวายไปหมด ไท่จื่อที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงเห็นแล้วรู้สึกรำคาญสายตาเป็นยิ่งนัก “กัวเส่อเหริน เจ้าไม่รู้สึกรำคาญบ้างหรือไง พวกเค้าจะจัดวางอย่างไรก็ช่างพวกเค้าเถอะ” “จะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ จิ่วเกอ ขนาดในวังหลวงยังต้องมีกฎมีเกณฑ์เลย เฮ้อ คนพวกเนี้ย ช่างซื่อบื้อซะจริงๆเลย” “เจ้าก็เหนื่อยมามากพอแล้ว เพิ่งจะออกมาจากคุก ก็ควรจะหยุดพักซะบ้างนะ” ไท่จื่อเอ่ย “จิ่วเกอ ข้าไม่รู้สึกเหนื่อยเลยจริงๆนะ ตัวท่านเองนั่นแหละที่จะต้องเหนื่อย เพราะท่านได้รับความลำบากอยู่ในนั้นตั้งหลายวันทีเดียว ข้าน่ะ อยากให้ท่านพักผ่อนให้สบายๆ” “แต่ข้ารู้สึกเบื่อ” กัวเส่อเหรินเดินเข้าไปหาไท่จื่อ “เบื่อเหรอ ที่นี่ก็สบายจะตาย ท่านยังจะเบื่ออะไรอีก ข้ารู้แล้วล่ะ ท่านคงจะเบื่อ เพราะเรื่องตงฟางซั่วใช่ไหมล่ะ ไม่เป็นไรน่า พรุ่งนี้กัวเส่อเหรินจะไปเรียกเค้ามาที่นี่แต่เช้าเลย ข้าจะไม่บอกเค้าเรื่องที่จะให้มาทำนายหรอก แต่ข้าจะบอกเค้าว่า ไท่จื่อให้มาเข้าเฝ้า ล่ะกัน” “เจ้าพูดอะไรน่ะ พวกเราจะขอคำแนะนำจากเค้า ใช้คำว่ามาเข้าเฝ้าได้อย่างไรกัน” กัวเส่อเหรินรีบประจบ “ก็ได้ ไม่พูดว่ามาเข้าเฝ้าก็ได้ ยังไงก็ตาม พรุ่งนี้ข้าจะตื่นแต่เช้า ไปพาเค้ามาให้ได้ ข้าจะสกัดขัดขวางเค้าไม่ให้หนีไปไหนเลย จากนั้นนะ จิ่วเกอ จากนั้นพวกเราก็เหมาคำทำนายของเค้าหมดทั้งสามครั้งเลย ทีนี้พวกเราอยากจะถามอะไรก็ถามได้ตามสบายเลยล่ะ” ไท่จื่อเห็นด้วย “ก็ดีนี่ แล้ววันนี้พวกเราจะทำอะไรกันดีล่ะ” กัวเส่อเหรินทุบไหล่คลายเมื่อยให้ไท่จื่อ “วันนี้เหรอ...” “จิ่วเกอ” หลี่หลิงส่งเสียงเรียกไท่จื่อ “หลี่หลิงมาแน่ะ” กัวเส่อเหรินบอกไท่จื่อ “จิ่วเกอ อ๋องเหลียงได้ให้คนจัดโต๊ะเลี้ยงอาหารแล้วล่ะ แถมมีนางรำมาให้ดูด้วย ท่านดูสิ” หลี่หลิงพูดจบเหล่านางรำก็เดินเข้ามาถวายบังคมต่อไท่จื่อ ไท่จื่อเห็นแล้วรู้สึกเฉยๆ แต่กัวเส่อเหรินเห็นแล้วก็อดแซวไท่จื่อไม่ได้ว่า “จิ่วเกอ ที่พูดเมื่อกี้เห็นทีจะต้องเติมประโยคว่า พอราตรีดีๆเข้ามาเยือนความลำบากก็มาเลือนมลายไป ดูอย่างตอนนี้สิ แค่คิดอยากจะนอนหมอน(枕头)ก็มาเลยทีเดียว” “จิ่วเกอ อ๋องเหลียงยังบอกอีกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนท่านดื่มเหล้า ไม่เมาไม่เลิกรา ด้วยล่ะ”
27-3
ไท่จื่อเดินทางไปหาเนี่ยนหนูเจียวถึงที่สำนักนางคณิกาไห่ถังชุน กำลังจะก้าวเดินขึ้นบันไดไปก็ถูกชิวฉานที่เดินลงมาขัดขวางไว้ซะก่อน “เดี๋ยวก่อน ท่านไม่ต้องขึ้นไปหรอก พี่ข้าไม่อยู่” “นางไปไหนแล้วล่ะ” “นางไม่ได้บอก และข้าก็ไม่ได้ถามซะด้วยสิ” “แล้วนางจะกลับมาเมื่อไหร่” “ก็คงจะไม่กลับมาเร็วและก็ไม่กลับช้าจนเกินไปหรอก” “งั้นข้ารอได้” พูดเสร็จไท่จื่อก็เดินขึ้นบันไดไปทันที
27-4
“ถวายพระพรท่านอ๋อง” กัวเส่อเหรินพร้อมด้วยก้วนฟูและหลี่หลิงออกมาให้การต้อนรับอ๋องเหลียงที่เสด็จมาหาไท่จื่อถึงหน้าบ้าน “ไท่จื่อล่ะ” อ๋องเหลียงตรัสถามเมื่อไม่เห็นไท่จื่อ “เมื่อตะกี้นี้ยังเห็นอยู่เลย แต่ไม่ทราบว่าตอนนี้ทรงหายไปไหนแล้ว เดี๋ยวข้าน้อยจะไปตามให้ล่ะกัน” กัวเส่อเหรินพูดเสร็จก็หันไปบอกหลี่หลิง “หลี่หลิง เจ้าอย่ามัวยืนเฉยสิ รีบไปตามไท่จื่อเร็วๆเข้า” หลี่หลิงงงนิดๆที่จู่ๆก็มาบอกให้ตนไปตามไท่จื่อ แต่เมื่อกัวเส่อเหรินเร่งบอกให้รีบไป ก็เลยต้องเดินออกไปตามไท่จื่อ เมื่อหลี่หลิงไปแล้ว กัวเส่อเหรินจึงเอ่ยเชิญอ๋องเหลียงให้เข้าไปรอข้างในบ้าน
27-5
“นางรีบร้อนออกไปข้างนอก นางมีเรื่องด่วนอะไรหรือ” ไท่จื่อเอ่ยถามชิวฉานที่กำลังพับเก็บผ้าปูที่นอนอยู่ “นางก็มีนิสัยอย่างนี้แหละ คิดจะทำอะไร ใครจะรั้งก็รั้งไว้ไม่อยู่” ไท่จื่อได้ยินคำตอบจึงหยอกกลับไปเล่นๆอย่างเอ็นดูว่า “ถ้านางมีนิสัยอย่างนั้น แล้วเจ้าล่ะ” “นางน่ะคิดแล้วค่อยทำ ส่วนข้าก็ทำแล้วค่อยคิด” ได้ยินที่ชิวฉานบอก ไท่จื่อยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะถามต่อไปอีกว่า “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกเจ้ายังกล้าที่จะพักอยู่ที่นี่อีกเหรอ” “ถ้าไม่พักที่นี่แล้วจะให้ไปพักอยู่ที่ไหนกันล่ะ” “แต่ว่าที่นี่เป็นสถานที่สำหรับหาความสำราญ(秦楼楚馆) เป็นสำนักนางคณิกา(青楼)นะ” “แม้แต่ดอกบัวที่เติบโตในโคลนตม(污泥) ก็ยังไม่แปดเปื้อนจากสิ่งสกปรกเลย” “แต่ข้ากลับคิดว่า ดอกบัวจะมาเติบโตอยู่ที่นี่คงไม่ใช่ความปรารถนาของนางแน่ และตอนนี้ความแค้นของนางก็ได้รับการสะสางแล้ว นางจะต้องมีแผนอย่างอื่นอีกแน่แท้ทีเดียว” “เรื่องนี้ท่านคงต้องถามนางเองจะดีที่สุด แต่ว่านางคงไม่บอกออกมาหรอก” “ยังไงตอนนี้พวกเราก็เป็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์มาด้วยกันแล้วนะ(患难之交)” “สามารถร่วมทุกข์(患难)มาด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถร่วมสุขด้วยกันได้นี่” “แล้วถ้าหากว่าข้า หลิวเช่อ อยากร่วมสุขด้วยกันกับนางล่ะ เจ้าว่านางจะขัดข้องหรือเปล่า” ชิวฉานนิ่งไปสักครู่ก่อนจะหยั่งเชิงถาม “ท่านมีเมีย(老婆)หรือยัง” “ตอนนี้ยังไม่มี” ชิวฉานซักไซ้ต่อ “แล้วคู่หมั้น(定亲)ล่ะ” “คู่หมั้นเหรอ มีอยู่คนหนึ่ง เป็นลูกของอาข้าเอง” “นั่นปะไร แล้วท่านอยากจะกินของที่อยู่ในชามหรือว่าอยากจะกินของที่อยู่ในหม้อล่ะ” ได้ยินคำถามเชิงเปรียบเปรยของชิวฉานแล้วไท่จื่อรู้สึกร้อนตัวต้องรีบแก้ต่างให้ตัวเองว่า “โธ่เอ้ย ผู้ชายที่มีเมียเยอะแยะ(三妻四妾)ก็มีอยู่มากมายทั่วไป ยิ่งข้าเป็นไท่จื่อด้วยแล้ว อนาคตข้างหน้าเมื่อได้เป็นหวงตี้จะมีตำหนักเล็กตำหนักน้อย(三宫六院) จะมีนางสนมสักหลายสิบคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่หากหวงตี้มีหวงโห้วแค่คนเดียวล่ะก็จะกลายเป็นเรื่องแปลกเลยทีเดียว” “แล้วท่านยังจะอยู่ที่เมืองเยี่ยนชื่อทำอะไรอีกล่ะ รีบๆกลับฉางอันไปซะสิ ไปถึงแล้วจะได้ไปกกไปกอดบรรดานางสนม ตำหนักเล็กตำหนักน้อยของท่าน แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปยังไงล่ะ” ไท่จื่อรีบเอ่ยปฏิเสธ “ที่ข้าพูดหมายถึงหวงตี้องค์อื่นต่างหาก และที่สำคัญข้าเองก็ยังไม่ได้เป็นหวงตี้สักหน่อย” “งั้นถ้าท่านได้เป็นหวงตี้เมื่อไหร่ก็คงจะเป็นแบบเดียวกันใช่ไหมล่ะ ท่านเลิกมารบกวนจิตใจพี่ข้าได้แล้วล่ะ” “แต่ว่าข้าชอบนางนะ ตั้งแต่ที่ได้เห็นนางครั้งแรก ข้าก็ชอบนางทันที ข้ายังคิดว่า ข้าจะพานางกลับไปที่ฉางอัน และจะจัดพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ(明媒正娶)ด้วย” “แล้วลูกของอาท่านล่ะ” “นางนะหรือ ข้าก็ไม่แต่งกับนางสิ ยังไงก็ตามมันเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่เค้าตัดสินใจกันเอง ไม่ใช่ข้าเป็นคนตัดสินใจสักหน่อย” “ท่านอยากจะแต่งงานกับใครก็แต่ง อยากจะสลัดใครทิ้งก็ทิ้งแบบนี้ ดูจะโหดร้ายไปหน่อยนะ แค่เจอคนลักษณะอย่างท่านนี่ ใครยังอยากจะญาติดีด้วยเนี่ย” ไท่จื่อหัวเราะ “ชิวฉาน เจ้าล่ะ แต่งงาน(婆家)แล้วหรือยัง” “ใครอยากจะแต่งล่ะ ทุกข์ใจตายเลย” “เป็นลูกผู้หญิงก็ควรจะแต่งงานนะ” “ข้าไม่เอาหรอก ข้ายังไม่อยากจะแยกจากพี่ของข้า” ไท่จื่อลองหยั่งเชิงถาม “ถ้าหากว่าข้าจะให้เจ้าอยู่กับพี่เจ้าด้วยกันตลอดไปล่ะ พี่เจ้าแต่งกับข้า เจ้าก็แต่งกับข้าด้วยไงล่ะ” “ท่านพูดล้อข้าเล่นหรือพูดจริงกันแน่เนี่ย” “ข้าพูดจริงๆนะ จะให้ข้าสาบานก็ได้” “งั้นลองทายดูสิ ว่าข้าจะตอบอย่างไร” “เจ้าต้องตกลงแน่” “ข้าขอบอกท่านตามตรงนะว่า ชั่วชีวิตนี้หากข้าจะแต่งงาน ยังไงก็จะไม่แต่งกับหวงตี้อย่างเด็ดขาด” “หวงตี้มีตรงไหนที่ไม่ดีเหรอ” “คนที่ข้าจะแต่งงานด้วย จะต้องมีข้าคนเดียว และข้าก็จะมีเค้าคนเดียวเหมือนกัน ไท่จื่อแค่ข้อนี้ข้อเดียว ท่านก็ขาดคุณสมบัติแล้วล่ะ” “ข้า...” เหตุผลของชิวฉานทำให้ไท่จื่อได้แต่อึ้งคิดหนักเลยทีเดียว
27-6
“แผลใหม่บวกกับแผลเก่าของเจ้า คงจะต้องพักรักษาตัวสักระยะหนึ่ง” ตงฟางซั่วเอ่ยพร้อมกับพยุงเนี่ยนหนูเจียวให้นั่งลงพักสักครู่ “แล้วสักกี่วันจึงจะหายเป็นปกติ” ตงฟางซั่วยื่นถ้วยยาให้ “การเจ็บป่วยนั้นมักจะมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว แต่การจะหายขาดจากการเจ็บป่วยนั้นคงต้องค่อยเป็นค่อยไป ใจร้อนไม่ได้” “แล้วจะหลงเหลือรอยบาดแผลไหม” “คงจะไม่หรอก” “ท่านซินแส ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมท่านถึงทำนายตัวอักษรได้แม่นยำนัก” “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรยาก ทุกสิ่งล้วนมาจากที่พวกเจ้าเป็นผู้บอกให้ข้าทราบเองทั้งสิ้น” “ยกตัวอย่างเช่นข้า..” “ไม่ว่าพวกเจ้าจะให้ทำนายอักษรตัวไหน ผลลัพธ์ก็จะออกมาเหมือนกัน” “แล้วท่านเดาถูกได้อย่างไรว่า ข้าจะต้องไปแก้แค้นคนตระกูลหลิว” “สายตาของเจ้า สายตาของเจ้าเป็นผู้บอกข้า นางคณิกาล้วนรักในทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เจ้าไม่ใช่ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เจ้าปิดประตู(拒之门外)ปฏิเสธพวกเศรษฐีมีเงินผู้ลากมากดีขุนนางผู้สูงศักดิ์(王孙公子)อย่างไม่สนใจใยดี แต่กับหลิวอี้ลูกชายของเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ เจ้ากลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดีต้อนรับอย่างเต็มที่ ในเรื่องนี้จะมีคำอธิบายอย่างไรดีล่ะ ก็คงมีอยู่เพียงประเด็นเดียวคือ เจ้าต้องการปิดบังอำพรางแผนบางอย่างไว้โดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ จริงไหม” เนี่ยนหนูเจียวเปรียบเปรยตนเองขึ้นว่า “ก็เหมือนกับตั๊กแตนที่กำลังจ้องจับแมลง แต่หารู้ไม่ว่ามีนกขมิ้นกำลังคอยจ้องอยู่ด้านหลัง(螳螂捕蝉,黄雀在后)” “โชคยังดีที่ข้าไม่ใช่นกขมิ้นตัวนั้น ข้ามีเพียงสายตาอันเฉียบแหลมอยู่คู่หนึ่ง ที่เมื่อเห็นอะไรแล้ว ไม่ลืมที่จะปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆก็แค่นั้นเอง กินยาเถอะ” เนี่ยนหนูเจียวยกยาขึ้นมาดื่มแล้วทำหน้าแหยๆ จนตงฟางซั่วต้องเอ่ยถามว่า “ขมเหรอ”
|