ขณะที่ฮั่นอู่ตี้ เว่ยชิง จี้อันซื่อ และต้าซือหนงกำลังปรึกษาราชกิจกันอยู่นั้น ที่ด้านนอกกระโจมที่พักของฮั่นอู่ตี้ หลี่ฮั่นกับจี้ฉินหู่จะขอเข้าเฝ้าแต่ถูกไท่จื่อหลิวจี้ว์ห้ามเอาไว้จึงเกิดการถกเถียงกันเล็กน้อย “ เสด็จพ่อกับเหล่าทหารชั้นผู้ใหญ่กำลังปรึกษาราชกิจกันอยู่ แม้แต่เรายังโดนไล่ออกมา พวกเจ้าเข้าไปข้างในไม่ได้หรอก ” “ ขืนรอให้พวกเค้าปรึกษาราชกิจกันเสร็จก็คงจะสายไปเสียแล้ว ” หลี่ฮั่นเอ่ย “ ใครมาส่งเสียงเอะอะอยู่ที่ด้านนอก ” พระสุรเสียงของฮั่นอู่ตี้ตรัสถามออกมา “ ข้าพระองค์ หลี่ฮั่น ” “ ข้าพระองค์ จี้ฉินหู่ ” “ ขอเข้าเฝ้าฝ่าพระบาท พะย่ะค่ะ ” ทูลเสร็จทั้งสองก็เดินเข้าไปข้างในแล้วคุกเข่าลงต่อเบื้องพระพักตร์ฮั่นอู่ตี้ จี้อันซื่อเดินมายืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้น “ จี้ฉินหู่ เจ้าเข้ามาทำอะไร ” “ ท่านพ่อ ท่านอย่าดุว่าข้าสิ ไม่ได้มีแต่ข้าคนเดียวสักหน่อย ” “ จี้อันซื่อ ปล่อยให้พวกเค้าพูด ” ฮั่นอู่ตี้ตรัส “ พะย่ะค่ะ ” พูดจบจี้อันซื่อก็เดินถอยฉากออกไป หลี่ฮั่นทูลขึ้นว่า “ ข้าพระองค์มาทูลขอพระราชานุญาต ข้าพระองค์เกิดความรู้สึกฮึกเหิมอยากจะติดตามนำชัยชนะกลับมา โดยที่ข้าพระองค์ขออาสานำกำลังทหารบุกเข้าไปยังดินแดนทะเลทรายทางตอนเหนือ ข้าพระองค์จะจับอีจื้อเสียมาตัดคอให้สิ้นซาก ” จี้ฉินหู่ทูลขึ้นบ้างว่า “ ข้าพระองค์ก็พร้อมขอเป็นกองระวังหน้า เดินทางไปขับไล่อีจื้อเสีย จะปฏิบัติหน้าที่ให้เหมือนกับท่านนายพลฮั่วชี่ว์ปิ้ง พะย่ะค่ะ ” ได้ยินวาจาที่ทั้งสองเอ่ยออกมาทำให้เว่ยชิงเกิดความวิกตกกังวลใจขึ้นในทันที ฮั่นอู่ตี้ตรัสขึ้นว่า “ พวกเจ้าอายุแค่นี้ ก็คิดอยากจะเป็นเหมือนฮั่วชี่ว์ปิ้งแล้วหรือนี่ ” หลี่ฮั่นทูลขึ้นว่า “ สมัยที่ท่านนายพลฮั่วชี่ว์ปิ้งรับใช้ชาติอายุก็ไล่เลี่ยกันกับข้าพระองค์ พะย่ะค่ะ ” จี้ฉินหู่ทูลขึ้นบ้างว่า “ ตอนที่เค้าตายอายุก็ไม่ได้มากไปกว่าข้าพระองค์ในตอนนี้เลยด้วยซ้ำไป พะย่ะค่ะ ” “ จี้ฉินหู่ เจ้าพูดจาเหลวไหล ” จี้อันซื่อรีบเอ่ยปรามด้วยเกรงว่าจะทำให้ไม่เป็นที่พอพระทัย จี้ฉินหู่จึงต้องสงบปากสงบคำลง “ ไท่จื่อ เจ้าจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือ ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสถาม ไท่จื่อหลิวจี้ว์ที่ยืนอยู่ที่ด้านหลังของคนทั้งสองเดินเข้ามาคุกเข่าแล้วกราบทูลขึ้นว่า “ หากเสด็จพ่อจะทรงพระกรุณา หม่อมฉันก็ขอออกตามไปร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเค้าทั้งสอง ขอให้เสด็จพ่อทรงวางพระทัยคอยฟังข่าวดีจากพวกหม่อมฉันดีกว่า พะย่ะค่ะ ” “ ฮ่ะฮ่ะฮ่า ท่านพี่เขย ท่านนายพลใหญ่ พวกท่านได้ยินหรือเปล่า เด็กหนุ่มๆพวกนี้ดูช่างอาจหาญดูน่าเกรงขามเสียจริงๆ ในโลกนี้หากมีเสือน้อยอย่างพวกเค้าแล้วล่ะก็ พวกท่านกับข้าก็คงไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้วิตกกังวลอีกแล้ว ” เว่ยชิงกลัวว่าฮั่นอู่ตี้จะเห็นด้วยกับคำที่ทูลขอ จึงรีบกราบทูล “ ฝ่าพระบาท หากคิดจะทำสงครามกับทางตอนเหนือต่อไป ซูอู่ก็ไม่ต้องเป็นราชฑูตเดินทางไปเจรจาแล้วใช่หรือไม่ พะย่ะค่ะ ถ้างั้นบทบัญญัติที่ท่านเจ้ากรมประวัติศาสตร์ซือหม่าเชียนได้ร่างไว้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับการมีพระเมตตาธรรมของพระองค์ในการที่จะผูกมิตรกับชาวซุงหนูมากกว่าการเป็นศัตรูก็เท่ากับสูญเปล่า ดูแล้วช่างน่าเสียดายนัก ” ได้ยินที่เว่ยชิงเอ่ยมา ทำให้หลี่ฮั่นต้องทูลขึ้นว่า “ ข้าพระองค์ยินดีที่จะนำบทบัญญัติของท่านเจ้ากรมประวัติศาสตร์ติดตัวไปยังดินแดนทะเลทรายทางตอนเหนือด้วย ข้าพระองค์จะนำไปป่าวประกาศให้คนของอีจื้อเสียได้ยินกันทั่ว ใครที่ขัดขืนไม่เชื่อฟังก็จะไม่ได้รับการอภัยโทษ พะย่ะค่ะ ” จี้ฉินหู่ทูลขึ้นบ้างว่า “ แม้จะต้องลำบาก ข้าพระองค์ก็จะทำให้พวกเค้ายอมรับบทบัญญัติที่ดีที่สุดบทนี้ให้ได้ พะย่ะค่ะ ” เว่ยชิงเอ่ย “ การเอาชนะศัตรูโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อถือเป็นยุทธวิธีที่ดีสุด พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ ” ไท่จื่อได้ยินแล้วไม่ค่อยพอใจตรัสขึ้นว่า “ ท่านอา ทำไมยิ่งท่านทำการรบชนะศึกมากเท่าใด ความกล้าหาญของท่านถึงได้ยิ่งลดน้อยลงล่ะ ” “ หลิวจี้ว์ เจ้าช่างไร้มารยาทยิ่งนัก ” ฮั่นอู่ตี้เอ่ยปรามจนไท่จื่อต้องสงบปากสงบคำ จากนั้นก็ทรงหันไปถามหลี่ฮั่น “ หลี่ฮั่น เจ้ายังมีอะไรในใจที่ยังเก็บไว้ไม่ได้พูดออกมาหรือไม่ ” “ ไม่มี พะย่ะค่ะ ” “ ไม่มีแน่นะ ” เมื่อไท่จื่อเห็นหลี่ฮั่นนิ่งเงียบไม่พูด จึงตรัสขึ้นแทนเสียเองว่า “ หลี่ฮั่น เค้าอยากจะเก็บกวาดดินแดนทะเลทรายทางตอนเหนือให้เรียบร้อย เพื่อที่จะนำพ่อและแม่ของเค้ากลับมาสู่แผ่นดินฮั่น พะย่ะค่ะ ” “ เจ้ายังคิดว่าพ่อแม่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสถาม “ ยังอยู่ พวกเค้าต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน พะย่ะค่ะ ” หลี่ฮั่นตอบอย่างหนักแน่น จี้อันซื่อเอ่ยถามขึ้นว่า “ ห่านป่ามาส่งข่าวให้กับเจ้า(鸿雁传书) หรือว่าเจ้าได้เบาะแสอะไรของพวกเค้า ” “ พวกเค้ามาเข้าฝันข้าพระองค์ ทุกๆคืนที่ข้าพระองค์หลับตาลง พวกเค้าก็มา พะย่ะค่ะ ” หลี่ฮั่นทูลบอกแก่ฮั่นอู่ตี้ “ ที่ฝันเป็นเพราะใจสั่งให้ฝัน ” “ แต่ว่า ข้าพระองค์ฝันเหมือนกันทุกคืน ดังนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง พวกเค้ายังบอกอีกว่า ตั้งตารอคอยข้าพระองค์ รอมาจนสิบแปดปีแล้ว คอยจนผมเปลี่ยนเป็นสีขาว คอยจนตาเริ่มจะพร่ามัว ยังบอกกับข้าพระองค์อีกว่า หากมาก่อนสามวันก็จะได้พบ หากช้าไปสามวันก็ยากที่จะได้พบ ฝ่าพระบาท ขอให้พระองค์เห็นใจในความรักต่อบุพการีของข้าพระองค์ด้วยเถิด พะย่ะค่ะ ” หลังจากที่ได้ยิน ฮั่นอู่ตี้ทรงนิ่งสักครู่แล้วตรัสขึ้นว่า “ พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ” “ ฝ่าพระบาท ” จี้ฉินหู่ร้องเรียก แต่จี้อันซื่อบอกให้ทั้งสามรีบออกไป ทั้งสามจึงต้องลุกขึ้นหันหลังเดินจากไป “ ไท่จื่อ เจ้าอยู่ก่อน ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสเรียก “ พะย่ะค่ะ ” “ เจ้าไม่ต้องเอ่ยอะไรทั้งนั้นจงใช้หูอย่างเดียว พ่อจะให้เจ้าอยู่ฟังดูว่า ภาระกิจทางด้านการทหารนั้นเค้าวางนโยบายกันอย่างไร ” “ พะย่ะค่ะ ” “ พวกท่านทั้งหลาย นายพลน้อยทั้งสองมีความกระตือรือร้นอยากจะออกรบ พวกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสถามขอความคิดเห็น แต่ไม่มีผู้ใดทูลตอบ จึงทรงตรัสต่อไปว่า “ เด็กน้อยเพิ่งจะเกิดก็ร่วมหัวกันซะแล้ว ทำให้ความทะเยอทะยานอยากของเรากลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง แต่หากย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้วล่ะก็ เราคงจะตกลง ” ได้ยินดังนั้นไท่จื่อส่งเสียงแสดงอาการออกมาด้วยความดีพระทัย “ เยี่ยมไปเลย พะย่ะค่ะ ” “ หุบปาก ” ฮั่นอู่ตี้ตรัสปรามทำให้ไท่จื่อต้องสงบอาการลง จากนั้นก็ตรัสต่อว่า “ ที่นี่คือที่ประชุมต่อหน้าพระพักตร์หวงตี้ ใครอนุญาตให้เจ้าพูด ต้าซือหม่า เราให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจก็แล้วกัน ” “ ฝ่าพระบาท ข้าพระองค์อยากให้ฝ่าพระบาทลองฟังความเห็นของท่านต้าซือหนงดูก่อน พะย่ะค่ะ ” เว่ยชิงทูลบอก “ ข้าพระองค์จะเป็นขุนนางชั้นปลายแถว ขอถวายคำแนะนำเท่าที่จะถวายได้ พะย่ะค่ะ ” ต้าซือหนงทูลออกตัวกับฮั่นอู่ตี้ เว่ยชิงหันมาถามต้าซือหนง “ ท่านต้าซือหนง ท่านร่วมติดตามกองทัพ มิทราบว่าท่านรับผิดชอบหน้าที่อะไร ” “ ข้าพระองค์ อยู่หน่วยตระเตรียมเสบียงอาหารสำหรับกองทัพ ” “ เสบียงอาหารในตอนนี้ยังมีเหลือเพียงพอเป็นเสบียงสำหรับกองทัพได้ถึงกี่วัน ” “ หากคิดตามจำนวนคนหนึ่งแสนแปดหมื่นนาย ก็คิดว่าพออยู่ได้ถึงครึ่งเดือน ” ฮั่นอู่ตี้ได้ยินปุ๊บตรัสถามขึ้นทันทีว่า “ กองทัพของเราบุกทำลายพื้นที่ของข้าศึก จนไม่เหลืออะไรให้กักเก็บไว้ได้อย่างนั้นหรือ ” “ ทูลฝ่าพระบาท แต่เดิมที่คิดไว้ ฉานอี๋ว์อาศัยอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้มาก็หลายปี ย่อมต้องมีการกักตุนเสบียงอาหารเก็บไว้มากมาย แต่คิดไม่ถึงว่าคลังเสบียงของอีจื้อเสียจะมีแต่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้เลย พะย่ะค่ะ ” ต้าซือหนงกราบทูลรายละเอียดให้ทรงทราบ จี้อันซื่อเสนอความคิดเห็นของตนบ้างว่า “ ทูลฝ่าพระบาท อีจื้อเสียถอยกำลังไปง่ายๆอย่างนี้ คงจะรอคอยให้เสบียงของพวกเราหมด พะย่ะค่ะ ” ฮั่นอู่ตี้ทรงลุกจากที่ประทับยืนครุ่นคิดว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป เว่ยชิงก็ได้กราบทูลขึ้นว่า “ ฝ่าพระบาท ก่อนที่กองกำลังของเราจะเคลื่อนทัพ ก็ไม่ได้มีแผนว่าจะเข้าไปกวาดล้างดินแดนทะเลทรายทางตอนเหนือให้สิ้นซาก ข้าพระองค์เห็นสอดคล้องต้องกันกับความคิดของท่านนายพลใหญ่จี้อันซื่อ พะย่ะค่ะ ” ได้สดับคำกราบทูลของเว่ยชิงแล้ว ฮั่นอู่ตี้ก็ทรงตรัสออกมาว่า “ งั้นก็คงต้องให้ซูอู่ออกเดินทางไกลแล้วล่ะสิ ” “ เป็นพระปรีชาชาญของฝ่าพระบาท ตัดสินพระทัยได้ถูกแล้ว พะย่ะค่ะ ” ทั้งสามคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน แต่ฮั่นอู่ตี้ก็ยังอดเสียดายไม่ได้ถึงกับตรัสออกมาว่า “ ตัดหญ้าไม่ถอนโคน นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าเสียดายสำหรับเรา ” |