The Hurt Locker ฮีโร่นอกคอกรีเทิร์น
The Hurt Locker ฮีโร่นอกคอกรีเทิร์นพล พะยาบ คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 24 มกราคม 2553 สงครามปลดปล่อยอิรักผ่านมาหลายปี ฮอลลีวู้ดยังคงเลียบๆ เคียงๆ อยู่แค่วงนอก โดยพูดถึงผลกระทบด้านลบต่อชาวอเมริกันในหลายรูปแบบ หรือไม่อย่างนั้นก็นำเสนอเหตุการณ์คู่ขนานอย่างการก่อการร้ายและภารกิจของหน่วยงานอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทหาร รวมทั้งเหตุการณ์ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของสงคราม เปิดโอกาสให้แสดงท่าทีทั้งเชิดชูและวิพากษ์บทบาทของสหรัฐอเมริกา ภาพสงครามที่ผูกติดกับการรบในสมรภูมิ เด็กหนุ่มอเมริกันในเครื่องแบบทหาร ภาพความรุนแรง ความตาย ยังคงเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยงบนจอใหญ่ อาจจะมีเล็ดรอดแค่หนึ่งหรือสองเรื่อง เช่น Home of the Brave เมื่อปี 2006 แต่ผลลัพธ์คือถูกลืมไปแบบเงียบๆ The Hurt Locker จึงถือเป็นหนังสงครามอิรักเรื่องแรกที่สร้างความแตกต่างได้สำเร็จแม้จะขายภาพทหารในสมรภูมิโดยตรง ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ คว้ารางวัลมากมาย กระแสดีจนค่อยๆ ทำรายได้เกินทุนสร้าง ถึงกระนั้น หนังสงครามอิรักเรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่ผลผลิตของสตูดิโอใหญ่ แต่สร้างโดยบริษัทสร้างหนังอิสระ น่าคิดว่าท่ามกลางความเบื่อหน่ายสงครามและข่าวความตายรายวันจากตะวันออกกลาง ปัจจัยใดบ้างที่ส่งให้ The Hurt Locker มาถึงจุดนี้ The Hurt Locker (2008) กำกับโดย แคธริน บิเกโลว์ หญิงเก่งแห่งวงการหนังแอ็คชั่นจากผลงานอย่าง Point Break (1991) และ Strange Days (1995) ก่อนจะล้มเหลวไม่เป็นท่ากับหนังสงครามเย็นเรื่อง K-19: The Widowmaker (2002) ความสำเร็จของ The Hurt Locker จึงถือเป็นกลับมาอย่างเหนือความคาดหมายหลังจากห่างหายไปนาน บทหนังโดย มาร์ค โบล นักข่าวอิสระ ดัดแปลงเป็นเรื่องราวจากประสบการณ์ตรงเมื่อครั้งติดสอยห้อยตามหน่วยเก็บกู้ระเบิดในสงครามอิรัก ถ่ายทำในประเทศจอร์แดนและคูเวต กลุ่มตัวละครหลักรับบทโดยนักแสดงโนเนม 3 คน ได้แก่ เจเรมี เรนเนอร์ แอนโธนี แมคกี และไบรอัน เจราห์ตี แต่บทสมทบเล็กๆ ได้นักแสดงระดับ กาย เพียร์ซ เรล์ฟ ไฟนส์ เดวิด มอร์ส และเอวานจิลีน ลิลี มาปรากฏตัวคนละฉากสองฉาก องค์ประกอบที่เด่นมากคืองานกำกับภาพของ แบร์รี แอคครอยด์ ฉากหลังในกรุงแบกแดดหลังจากสหรัฐยึดครองอิรักได้ไม่นาน เริ่มต้นด้วยการเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำหน่วยเก็บกู้ระเบิดประจำกองร้อยบราโวแห่งกองทัพบกสหรัฐ สิบโทวิลเลียม เจมส์ (เรนเนอร์) จึงย้ายมาเป็นผู้นำหน่วยแทน ร่วมกับลูกทีมเดิมคือแซนบอร์น (แมคกี) และโอเวน (เจราห์ตี) การออกเก็บกู้ระเบิดแต่ละครั้งต้องทำงานกันเป็นทีมโดยผู้นำหน่วยจะสวมชุดป้องกันเดินไปหาเป้าหมาย อีกสองคนคอยฟังสถานการณ์ผ่านวิทยุสื่อสารและเฝ้าระวังทั่วบริเวณ แม้ภารกิจแรกของวิลเลียมจะประสบความสำเร็จและไม่มีใครได้รับอันตราย แต่แซนบอร์นออกอาการไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อวิลเลียมตัดการสื่อสารและลงมือทำทุกขั้นตอนด้วยตนเองโดยที่ลูกทีมไม่สามารถรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภารกิจต่อๆ มามีอีกหลายครั้งที่วิลเลี่ยมยังคงลุยเดี่ยวหรือตัดสินใจโดยลูกทีมไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ด้วยความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นและการปรับตัวเข้าหากันทำให้ภารกิจหลากหลายรูปแบบซึ่งมากมายด้วยอันตรายยังผ่านไปด้วยดี วิลเลียมเชี่ยวชาญในงานของตัวเอง บุคลิกเด็ดเดี่ยวแต่ผ่อนคลาย ไม่ลังเลหวาดหวั่นแม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือระเบิดทำลายล้างสูง ต่างจากเวลาอยู่คนเดียวในห้องพักซึ่งเขาดูนิ่งเงียบครุ่นคิดและดื่มหนักราวกับมีบางสิ่งติดค้างในใจ เขามีภรรยาและลูกน้อยอยู่ที่บ้าน แต่เมื่อโทรศัพท์ไปกลับไม่ยอมพูดจาความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นเมื่อวิลเลียมรับรู้เรื่องเลวร้ายที่เกิดกับเด็กอิรักคนหนึ่ง เขาโกรธแค้นจนออกสืบหาคนที่ต้องรับผิดชอบตามลำพัง จากนั้นเขาพาลูกทีมบุกถิ่นของฝ่ายต่อต้านจนตกอยู่ในอันตรายทั้งที่ไม่จำเป็นและนอกเหนือคำสั่ง จำนวนวันประจำการที่ลดน้อยลงไม่ได้รับประกันว่ามีโอกาสรอดตายเพิ่มมากขึ้น แซนบอร์นและโอเวนเฝ้าหวังถึงการมีชีวิตรอดกลับบ้าน แต่ทหารอย่างวิลเลียมอาจไม่ได้คิดเช่นนั้น มาร์ค โบล เขียนบทโดยต้องการให้ The Hurt Locker เป็นหนังเรื่องแรกที่นำเสนอความเป็นไปของทหารอเมริกันในอิรักอย่างใกล้ชิดชนิดที่ข่าวไม่อาจนำเสนอได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ารวมถึงหนังโทรทัศน์มีหนังชุดขนาดสั้นของช่องเอชบีโอเรื่อง Generation Kill (2008) ทำออกมาก่อนด้วยลักษณะใกล้เคียงกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่สร้างจากบันทึกประสบการณ์ของนักข่าวคนหนึ่งเมื่อคราวติดตามหน่วยทหารในอิรัก และเนื้อหาว่าด้วยภารกิจแต่ละวัน ส่วนที่ The Hurt Locker ต่างไปจาก Generation Kill และหนังสงครามส่วนใหญ่คือ หนังไม่มีพล็อตเป็นเรื่องเป็นราวชัดเจน นอกจากเฝ้าดูภารกิจบีบหัวใจแต่ละครั้งอย่างใกล้ชิด ไม่มีฉากรบดุเดือดเลือดสาด ไม่ต้องสับสนกับตัวละครในเครื่องแบบที่ดูคล้ายกันไปหมดเพราะมีหลักๆ แค่ 3 คน นั่นหมายถึงการตัดทิ้งเนื้อหายุ่งเหยิงอย่างสายการบังคับบัญชา แผนการรบ นโยบายจากฝ่ายบริหาร ปัญหามากมายภายในอิรัก และรายละเอียดของตัวละคร เวลาส่วนใหญ่ของหนังผู้ชมจึงได้เห็นแค่ทหาร(โดยเฉพาะวิลเลียม) จดจ่ออยู่กับสถานการณ์เบื้องหน้าโดยไม่มีปัจจัยเชื่อมโยงอื่นๆ มาเกี่ยวข้อง เมื่อปลดเรื่องยุ่งยากให้ตัวละครแล้วก็เหมือนปลดภาระให้หนังด้วย เพราะผู้สร้างไม่ต้องห่วงว่าหนังจะไปแตะต้องเรื่องที่อาจทำให้เกิดท่าทีในทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ตีแผ่เปิดเผย หรือแม้แต่เชิดชูหนุนหลังสหรัฐอเมริกา ผลที่ตามมาคือผู้ชมชาวอเมริกันทั้งกลุ่มที่เบื่อหน่ายสงคราม ต่อต้านนโยบายยึดครองอิรัก รวมไปถึงฝ่ายสนับสนุนบทบาทของสหรัฐน่าจะชมหนังเรื่องนี้ด้วยความสบายใจในระดับหนึ่ง อีกจุดที่น่าสนใจคือตัวละครนำอย่างวิลเลียมซึ่งหนังสร้างบุคลิกให้เป็นทหารผู้ เสพติด สงคราม มุ่งมั่นกับหน้าที่ของตนเอง หรือกระทั่งออกไปลุยชำระล้างความชั่วร้ายตามลำพังโดยไม่สนใจว่าอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ กระทั่งกลายเป็นทหารที่ดูแตกต่างจากทหารทั่วไป ชวนให้นึกถึงแบบฉบับ ฮีโร่นอกคอก อย่างแฮร์รี คัลลาแฮน ตัวละครของ คลินต์ อีสต์วูด ในหนังชุด มือปราบปืนโหด แฮร์รี คัลลาแฮน หรือ เดอร์ตี แฮร์รี คือตัวละครตำรวจผู้ไม่ลังเลที่จะจัดการกับคนร้ายด้วยตนเองโดยไม่หวังพึ่งกฎหมายภายใต้ความเน่าเฟะของระบบตำรวจ การปรากฏตัวครั้งแรกใน Dirty Harry เมื่อปี 1971 ยุคที่สงครามเวียดนามคือความผิดพลาดอันน่าอดสูของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งซึ่งไม่ถึงกับต่อต้านอำนาจรัฐและเป็นกบฏสังคมจนต้องยกย่องคนนอกกฎหมายอย่างตัวละครใน Bonnie and Clyde (1967) มีที่พึ่งเป็น ฮีโร่นอกคอก ที่ยังยึดถือความถูกต้องโดยไม่แคร์ว่าระบบที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้นจะย่ำแย่เพียงใด ในยุคปัจจุบันที่สงครามอิรักคือความผิดพลาดของอำนาจรัฐ ตัวละครสิบโทวิลเลียม เจมส์ จึงถือเป็นการกลับมาของ ฮีโร่นอกคอก ในรูปแบบใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ เขาไม่ใช่ทหารทั่วไปที่ยึดติดกับสายการบังคับบัญชาและนโยบายรัฐ แต่เป็นทหารที่ยึดถือความถูกต้องตามแบบของตนเองจึงไม่น่าแปลกใจถ้าหนังจะยิ่งถูกจริตชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ว่าจะคิดเห็นต่อสงครามอิรักอย่างไร ลึกๆ แล้วก็ชอบบทบาทฮีโร่อยู่ดี
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2553
8 comments
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2553 20:41:20 น.
Counter : 1580 Pageviews.
โดย: อุ้มสี 28 กุมภาพันธ์ 2553 21:43:05 น.
โดย: เริงฤดีนะ 28 กุมภาพันธ์ 2553 22:55:13 น.
โดย: เอกเช้า IP: 203.144.144.164 3 มีนาคม 2553 22:49:36 น.
โดย: beerled IP: 118.172.80.144 3 มีนาคม 2553 23:23:11 น.
โดย: Seam - C IP: 203.144.144.165 4 มีนาคม 2553 16:34:20 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................select movie / blog ....... --international-- ....... The Walking Dead I Wish I Knew 127 Hours The Expendables vs. Salt No puedo vivir sin ti Bright Star The World is Big and Salvation Lurks Around the Corner Sin Nombre Invictus Afghan Star Moon Gigante The Promotion An Education Up in the Air Snow (Snijeg) Liverpool Tahaan Lion's Den Tulpan Everlasting Moments Absurdistan Topsy-Turvy Ramchand Pakistani The Pope's Toilet Antonio's Secret พลเมืองจูหลิง Flashbacks of a Fool And When Did You Last See Your Father? The Boy in the Striped Pyjamas Gran Torino Departures Gomorra Abouna + Daratt Grace Is Gone The Road to San Diego Into the Wild Slumdog Millionaire The Silly Age The Year My Parents Went on Vacation It's Hard to Be Nice Ben X Caramel The Class Kings จาก Kolya ถึง Empties The Unknown Woman Dokuz Heima Cocalero The Blood of My Brother & Iraq in Fragments 12:08 East of Bucharest Rescue Dawn Mongol 6 : 30 Something Like Happiness To Each His Cinema The Counterfeiters ข้างหลังภาพ Lions for Lambs + Michael Clayton Father and Daughter Possible Lives กอด The Buried Forest รัก-ออกแบบไม่ได้ Lights in the Dusk The Piano Teacher Do You Remember Dolly Bell? Sisters in Law Al Otro Lado A Time for Drunken Horses Zelary Bug The Invasion The Science of Sleep Paris, I love you Still Life The Lives of Others Heading South Renaissance ABC Africa The Death of Mr. Lazarescu Maria Full of Grace The Last Communist Eli, Eli, lema sabachthani? 4 : 30 Late August, Early September The Circle The Cave of the Yellow Dog Italian for Beginners Love/Juice Your Name is Justine The Syrian Bride Dragon Head Reconstruction Eros The Scarlet Letter The Night of Truth Familia Rodante Bonjour Monsieur Shlomi Lantana Flanders Tokyo . Sora The World Whisky Buffalo Boy S21 : The Khmer Rouge Killing Machine Fire, Earth, Water C.R.A.Z.Y. All about My Mother Jasmine Women Battle in Heaven The Day I Became a Woman Man on the Train CSI : Grave Danger Innocence Life Is a Miracle Drugstore Girl Der Untergang The Bow Happily Ever After The Wayward Cloud The House of Sand Or, My Treasure Janji Joni Moolaade Vodka Lemon Angel on the Right Twentynine Palms The Taste of Tea ....... --independent-- ....... Goodbye Solo The Hurt Locker (500) Days of Summer Towelhead Kabluey Three Burials of Melquiades Estrada Titus Chuck & Buck The Woodsman Pollock Last Days The Limey Inside Deep Throat Coffee and Cigarettes Garden State My Name is Joe Sexy Beast Real Women Have Curves The Brown Bunny Before Sunset Elephant Bubble You Can Count on Me 9 Songs ....... --classic-- ....... Memories of Underdevelopment (1968) The Last Laugh The Snows of Kilimanjaro The Cabinet of Dr.Caligari Nanook of the North The Apu Trilogy ....... --หนังมีไว้ให้คิด-- ....... The Schoolgirl's Diary Long Road to Heaven The Imam and the Pastor Maquilapolis ....... --what a film!-- ....... Kabuliwala (1956) Macunaima (1969) Kozijat rog (1972) The Girl and the Echo (1964) Fruits of Passion (1981) Happy Gypsies (1967) ....... --introducing-- ....... Death Race 2000 (1975) ซอมบี้ปากีฯ+ผีดิบมาเลย์+ซูเปอร์แมนตุรกี Zinda Muoi Father and Daughter ....... --directed by-- ....... Ouran (1968) Pierwsza milosc (1974) Salome (1978) 4 หนังสั้น เคียรอสตามี recommended ....... - 'รงค์ วงษ์สวรรค์ กับภาพยนตร์ - เทมาเส็ก พิคเจอร์ส - Heading South - Still Life - The Apu Trilogy - The Day I Became a Woman - จาก Fire, Earth สู่ Water พญาอินทรี ศราทร @ wordpress
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28
ขอบคุณที่นำมาฝาก
เพิ่งกลับจากเวียนเทียนค่ะเอาบุญมาฝากจ้า
หลับฝันดีเน้อ