●....ไม่ใช่ไม่ชอบของใหม่หรือเป็นพวกอนุรักษนิยม เพียงแต่เสน่ห์ของหนังในรูปแบบเก่าๆ ยังมีอยู่เสมอ พอได้ดูหนังอย่าง The Lives of Others, Curse of the Golden Flower, Black Book จนมาถึง Lust, Caution เลยเกิดอาการอิ่มเป็นพิเศษ ประกอบกับบางทีก็เบื่อๆ กับความพยายามนำเสนอของสื่อ ว่านั่นเจ๋ง นี่เท่ โน่นไม่เชย...ชี้นำกันไม่หยุดหย่อน อยู่ภายใต้ วัฒนธรรมไอที กันไปหมด ด้วยค่านิยมที่ต้อง อัพเดท+อัพเกรด ตลอดเวลา
●....ตัวละครของ หลี่ อัน ยังคงเป็นคนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองฝั่งฟาก มีความแปลกแยกสับสนในตัวตน และไม่มั่นคงในพื้นที่ของตน เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ The Wedding Banquet (1993) ที่เห็นชัดก็ Ride with the Devil (1999) หรือแม้แต่เรื่อง Hulk (2003) ซึ่งลักษณะของตัวละครดังกล่าวอาจจะสะท้อนความเป็นคนไต้หวันของเขาได้เช่นกัน
●....I Am Legend .... หนังที่คิดว่าจะมีอะไร แต่กลับไม่มีอะไรเลย การให้ความหมายของ "ตำนาน" ในหนังหลังโลกล่มสลาย ว่าเป็นคนกู้โลก เป็นผู้ปลดปล่อย ช่างซ้ำซาก เห็นกันมาไม่รู้กี่เรื่องแล้ว ยิ่งได้รู้ว่าในนิยายต้นฉบับให้ความหมายของ "ตำนาน" ว่าอย่างไร หนัง I Am Legend ยิ่งไม่ต่างจาก ตำนานดาดๆ เท่านั้นเอง
●....ถ้าพอหยิบส่วนที่ใส่ให้ตีความ (โดยที่หนังชี้นำว่าให้ไปทางไหนอยู่แล้ว) ก็พอมี เช่น พระเอกรออยู่ที่ท่าเรือตอน "The sun (son) is highest...." ใช่หรือไม่ว่าการเป็นผู้ปลดปล่อยของพระเอกในหนังทำนองนี้หลายเรื่อง (เช่น The Matrix) เชื่อมโยงถึงพระเยซู (พระบุตร)
●....หรือดีวีดีในร้านที่พระเอกบอกว่าดูถึงแถว G นับจากนั้นก็มีเหตุให้เขาไม่ได้ดูหนังอีก ตัว G ที่พระเอกคั่งค้างก็คือตัวอักษรขึ้นต้นของ God ที่เขาไม่ศรัทธา ขณะที่ บ๊อบ มาร์เลย์ ที่อ้างถึง คือผู้ที่เข้ารีตในช่วงท้ายของชีวิต
●....หนังมีรายละเอียดที่ใส่แทรกไว้ แต่ไม่ได้มีนัยยะสำคัญ เช่น โลโก้แบทแมนกับซูเปอร์แมนบนบิลบอร์ด เป็นแค่ลูกเล่นว่าในอนาคตฮีโร่สองคนนี้จะอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน แถมยังเป็นโฆษณาแฝงด้วย เพราะทั้ง I Am Legend และแบทแมนกับซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นหนังล่าสุดเป็นผลผลิตของ สตูดิโอวอร์เนอร์ เหมือนกัน ส่วนภาพเขียนของ แวน โกะห์ ในบ้านพระเอก ภาพที่เด่นที่สุดคือ The Starry Night ทดแทนภาวะไม่เคยเห็นเดือนเห็นดาวของเขาเพราะต้องซ่อนตัวอยู่ในบ้านตอนกลางคืน
●....บังเอิญว่าช่วงเวลาใกล้กันได้ดู Children of Men (2006) ของ อัลฟองโซ คัวรอง ซึ่งว่าด้วยโลกหลังกาลล่มสลายเหมือนกับ I Am Legend ที่น่าสนใจคือใช้คติทางคริสต์ขับเคลื่อนเรื่องราวเหมือนกัน แต่ความเนียนของการนำเสนอใน หนังเด็กๆ เรื่องนี้แสดงให้เห็นเลยว่าเหนือชั้นกว่า ตำนานดาดๆ มากมายนัก
●....ได้ดูหนังสารคดีว่าด้วยอิรักหลังสงคราม 2 เรื่อง กับ 1 หนังสั้น ไล่จาก The Blood of My Brother: A Story of Death in Iraq (2005) Iraq in Fragments (2006) และ Sari's Mother หนังสารคดีสั้นซึ่งไม่ได้รวมอยู่ใน Iraq in Fragments เขียนรวมไว้ในบทความ 3 ตอนจบ ในข้อหัว หนังในโลกมุสลิม และ อิรัก เรียลิตี้ ในมติชน ติดตามอ่านได้ครับ... ●●
●....ไดอาน่า ครอลล์ (Diana Krall) อัลบั้ม The Very Best of Diana Krall ออกมาตั้งแต่เดือนกันยายน พอดีตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงกลับมาบ้าเมทัลยุค 80 อีกครั้ง จึงเพิ่งได้โอกาสหยิบมาฟัง
●....สาวนักร้อง-นักเปียโนแจ๊ซชาวแคนาเดี้ยนผู้มีเนื้อเสียงใหญ่ แต่นุ่มหวาน ออกอัลบั้มรวม 15 เพลง จากหลายอัลบั้มในรอบ 10 ปี ตั้งแต่ 1996-2006 แถมด้วยเพลง Fly Me to the Moon เวอร์ชั่นแสดงสด ทุกเพลงเป็นเพลงเก่า ส่วนใหญ่เป็นเพลงยุค 20-30 ทั้งที่เป็นแจ๊ซและป๊อป สแตนดาร์ด ฟังกันเพลินๆ กว่า 70 นาที
●....อันที่จริง เธอมีฝีมือในการแต่งเพลงด้วย อัลบั้ม The Girl in the Other Room (2004) ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ผมชอบที่สุด ครอลล์แต่งทำนองและเรียบเรียงดนตรีเองหลายเพลง ได้ เอลวิส คอสเตลโล่ สามีมาช่วยเขียนคำร้อง
●....ส่วนชุดนี้ Iron Horse - Fade to Bluegrass : The Bluegrass Tribute to Metallica (2003) บอกตามตรงว่าโหลดมาฟัง เห็นว่าน่าสนใจดี ใช้ดนตรีบลูกราสส์เล่นเพลงของ Metallica ปกออกแบบอิงกับ black album แต่มีเพลงจากอัลบั้มอื่นด้วย ค้นข้อมูลในเว็บ amazon บอกว่ามี vol. 2 ปกสีขาว แต่ยังหาโหลดไม่เจอ
"INLAND EMPIRE is totally 3 hours of nightmare, the last 30-minute of this film is scary as hell. Anyway, still a perfect filn without understanding 555"
จนวันนี้แล้วก็ยังไม่ได้ดู I Am Legend เลยค่ะ
The Good Shepherd ก็หนักแน่นดี แต่ที่หนักแน่นกว่าต้องยกให้ Children of Men แถมถ่ายภาพได้สวยอีกต่างหาก