|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
31 พฤษภาคม 2555
|
|
|
|
ปราสาทหินพิมาย (3)
สวัสดีค่ะ
ตามมาเที่ยว ปราสาทหินพิมาย กันต่อนะคะ
จากครั้งที่แล้วได้ผ่าน ชาลาทางเดิน เพื่อเข้ามาถึง ซุ้มประตูและระเบียงคด
ข้างชาลาทางเดินมีสระน้ำอยู่ทั้งสองข้าง สนามหญ้าสีเขียวเรียบสวยงาม
คูน้ำเหล่านี้ หมายถึงมหาสมุทรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ และเป็นแนวบอกขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ของศาสนสถานด้วย
เพื่อนบอกว่า ลานกว้างนี้เคยใช้แสดงงานแสงสีเสียงของพิมายมาแล้ว
มองเห็น ซุ้มประตูทางเข้า (โคปุระ) อยู่ตรงกลาง มีปราสาทประธานอยู่ถัดซุ้มประตู ลึกเข้าไปอีกมาก
ซุ้มประตูและระเบียงคด
เป็นอาคารก่อด้วยหินทรายยกพื้นสูง อยู่ล้อมรอบปราสาทประธาน ระเบียงคดมีลักษณะคล้ายกำแพงแก้วทั้ง 4 ด้าน โดยมีตำแหน่งที่ตั้งตรงกับแนวของประตูเมือง และประตูทางเข้าปราสาทประธาน ปรากฏหลักฐานสำคัญที่ซุ้มประตูด้านทิศใต้ บริเวณกรอบประตูพบจารึกภาษาเขมร อักษรขอมโบราณ ระบุศักราชตรงกับ พ.ศ. 1651-1655 กล่าวถึงการสร้างรูปเคารพ การสร้างเมือง ตลอดจนปรากฏพระนามของขุนนางชั้นสูง และพระนางมหากษัตริย์คือ พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1
ภาพทับหลังซุ้มประตูภาพบนนี้ ให้แสงเพิ่มขึ้น เพิ่มความชัด เห็นลวดลายได้ชัดเจน
ลาย "หน้ากาล" มักพบสลักบนทับหลัง ประกอบอยู่ใต้ภาพเทพเทวดาต่างๆ เชื่อว่า "กาล" เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่พระอิศวรทรงสร้างขึ้น เพื่อให้ทำหน้าที่เฝ้าเทวาลัย ป้องกันมิให้สิ่งชั่วร้ายผ่านเข้ามา คำว่า "กาล" หมายถึง "เวลา" ซึ่งจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งตัวของมันเองยังถูกกลืนเข้าไปเหลือแต่หัว พระศิวะทรงตั้งชื่อให้อีกชื่อหนึ่งว่า "เกียรติมุข" หมายถึงหน้าที่มีเกียรติ ทรงกล่าวว่าผู้ใดไม่ให้ "เกียรติ" แก่เกียรติมุข ผู้นั้นจะไม่ได้รับพรจากพระองค์
อาคารด้านซ้ายมือ พอจะมีหลังคาให้เห็น เป็นส่วนหนึ่งของระเบียงคดรอบปราสาทประธาน
ระเบียงคด คือ อาคารหลังคาคลุมชนิดหนึ่งที่ใช้ล้อมรอบปราสาทประธานและบริเวณโดยรอบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ภายในระเบียงคดเป็นพื้นที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์
ด้านหลังกำแพงแก้วขวามือ มียอดปรางค์พรหมทัตโผล่ขึ้นมาให้เห็น(ดูตามผังในเอนทรี่ที่ผ่านมานะคะ)
ปรางค์พรหมทัต
ลักษณะของปรางค์องค์นี้ สร้างด้วยศิลาแลงตั้งอยู่ด้านหน้าของปราสาทประธานทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ประตูทำเป็นมุขยื่นออกไปทั้ง 4 ทิศ ภายในองค์ปรางค์พบประติมากรรมสำคัญ 2 ชิ้น คือ ประติมากรรมรูปบุคคลขนาดใหญ่อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ สลักด้วยหินทราย สันนิษฐานว่าเป็นรูปจำลองของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ชาวบ้านเรียกว่า ท้าวพรหมทัต ส่วนอีกรูปเป็นรูปสตรีนั่งคุกเข่าสลักด้วยหินทราย ส่วนศีรษะและแขนหักหายไป เชื่อกันว่าเป็นรูปของพระนางชัยราขเทวีมเหสี ชาวบ้านเรียกตามนิยายพื้นบ้านว่า นางอรพิม ปัจจุบันประติมากรรมทั้ง 2 ชิ้นนี้จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมาย
เราลงไปดูไม่ได้เพราะทางเฉอะแฉะ เดินลำบากมาก บางแห่งน้ำยังขังที่สนามหญ้าอยู่เลย
กำแพงแก้วด้านขวามือของซุ้มประตูแห่งนี้ ขวามือสุดจะมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นกำแพงสี่เหลี่ยมล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง
กำแพงแก้ว หมายถึงกำแพงที่ล้อมล้อมรอบปราสาทประธานและบริเวณโดยรอบ ที่กึ่งกลางมีโคปุระเข้า-ออก
ลวดลายอย่างนี้ยังคงมีอยู่ภายในซุ้มประตูแห่งนี้ ทำให้คิดว่า เป็นของใหม่หรือของเก่า..?
ผ่านซุ้มประตูเข้าไปมองไปทางซ้ายมือ เห็นว่าเจ้าหน้าที่กำลังสูบน้ำออกจากสนามหญ้าด้านล่าง
เดินผ่านซุ้มประตูออกมาแล้ว หันกลับไปมองกำแพงแก้วด้านขวามืออีกครั้ง
พบแต่สิ่งปรักหักพังเป็นจำนวนมาก หน้าฝนอย่างนี้ ตะไคร่ขึ้นจนเขียวไปหมด
ตรงกันข้ามกับปรางค์พรหมทัต คือ ปรางค์หินแดง
ปรางค์หินแดง
สร้างขึ้นราวปลายพุทธศรรตวรรษที่ 17 ตั้งอยู่ทางด้านขวาของปรางค์ประธาน มีมุขยื่นออกไปทั้ง 4 ทิศ เหนือกรอบประตูทางเข้าด้านทิศเหนือ มีทับหลังหินทรายจำหลักภาพเล่าเรื่องมหากาพย์มหาภารตะ ตอนกรรณะล่าหมูป่า ส่วนกรอบประตูด้านอื่นคงเหลือร่องรอยเฉพาะเสาประดับกรอบประตูศิลปะแบบเขมรประดับอยู่
หอพราหมณ์
เป็นอาคารก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันกับบปรางค์หินแดง ในปี พ.ศ. 2493 ได้ค้นพบศิวลึงค์ สลักด้วยหินทรายจำนวน 7 ชิ้นอยู่ภายในหอพราหมณ์ เชื่อกันว่าอาคารหลังนี้คงเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์ แต่จากรูปแบบและตำแหน่งที่ตั้งเดิมคงเป็นที่ตั้งของบรรณาลัยมากกว่า
(จะเห็นน้ำขังอยู่บนพื้นหญ้าจนเดินลงไปดูรายละเอียดภายในไม่ได้)
แล้วเราก็มาถึงปราสาทประธาน
ปราสาทประธาน
เป็นส่วนสำคัญที่สุดของปราสาทหินพิมาย เป็นปราสาทองค์ใหญ่ สร้างขึ้นราวพุทธศรรตวรรษที่ 16-17 ก่อสร้างด้วยศิลาทรายสีขาวหันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งแตกต่างจากศาสนสถานแบบขอมในที่อื่นๆ ซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ปราสาทประธานประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ มณฑป และ เรือนธาตุ มีการจำหลักลวดลายประดับตามส่วนต่างๆ เช่น หน้าบัน ทับหลัง มักจำหลักเป็นภาพเล่าเรื่องรามเกียรติ์และเรื่องราวทางพุทธศาสนา ยกเว้นทางด้านทิศใต้ จำหลักเป็นภาพศิวนาฏราช
ภายในเรือนธาตุเป็นส่วนสำคัญที่สุดเรียกว่า ห้องครรภคฤหะ เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพสำคัญ พื้นห้องตรงมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีร่องน้ำมนต์ต่อลอดผ่านพื้นห้องออกไปทางด้านนอก เรียกว่า ท่อโสมสูตร
หน้าบันของปราสาทประธานด้านหน้า ต้องแหงนหน้ามอง
หน้าบัน คือ แผงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว มักอยู่เหนือขึ้นไปจากทับหลัง พื้นที่ภายในของหน้าบันมีลวดลายแตกต่างไปตามยุคสมัย
ภาพแกะสลักหน้าบัน เป็นภาพพระศิวนาฏราช พระองค์ทรงร่ายรำอยู่บนแท่น มีหลายพระกร แวดล้อมด้วยเทพเจ้าและบริวาร
ยอดปราสาทประธาน ประกอบด้วยส่วนยอดที่เป็นชั้นวิมาน ซุ้มบัญชร นาคปักและบรรพ์แถลง
เสาประดับกรอบประตู คือเสาที่วางขนาบอยู่สองข้างประตู ทำจากหินทราย มีทั้งเสาทรงกลมและทรงแปดเหลี่ยม นิยมประดับด้วยลายที่เรียกกันว่าวงแหวน และลายใบไม้สามเหลี่ยม
รายละเอียดของเสาประตูเข้าไปในปราสาทประธานด้านขวามือ สมบูรณ์กว่าด้านซ้ายมือเล็กน้อย
ทับหลังชิ้นนี้ เป็นภาพการสู้รบระหว่างกองทัพของพระรามและทศกัณฐ์ สื่อถึงการสู้รบของฝ่ายธรรมะและอธรรม
ทับหลังสลักภาพมารผจญ สื่อเรื่องธรรมชนะอธรรม ตามแนวทางพุทธศาสนา
จะเห็นว่าปราสาทประธานจะมีเพดานกรุไว้ เพื่อป้องกันสิ่งที่จะร่วงหล่นลงมาโดนศีรษะท่านผู้ชม
เสาประดับกรอบประตูต้นนี้มีการแกะสลักอย่างปราณีตบรรจง ถูกลูบคลำจนเป็นมันเลยละ
มีหลุมอย่างนี้เป็นระยะๆ ในปราสาท ไม่ทราบว่ามีไว้ทำอะไร
จากห้องนี้มองออกไปจะเห็นพระพุทธรูปนาคปรกกลางปราสาท
กลางปราสาทประธานด้านในสุด มีรูปปั้น(เทียม) วางไว้ ของจริงเก็บไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์พิมาย แต่พระพุทธรูปองค์นี้ ก็โดนลูบคลำจนส่วนต่างๆ เป็นมันเหมือนกันนะ
ด้านหลังของพระพุทธรูป เป็นประตูทางออกไปสู่ซุ้มประตูอีกแห่งหนึ่ง ลงไปแล้วมองขึ้นมา เป็นภาพด้านหลังของปรางค์ประธาน
ตรงกันข้ามประตูทางออกไปสู่ซุ้มประตูอีกแห่งหนึ่ง แต่เราไม่ลงไปเดินดูแล้ว เพราะเมื่อยเหลือเกิน
ถัดจากซุ้มประตูไปทางด้านขวามือ เป็นกำแพงแก้วยาวไปบรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม
บรรจบกับกำแพงแก้วด้านทิศตะวันออก
กำแพงด้านตะวันออกของปราสาทประธานที่ต่อมาจากภาพที่แล้ว
นี่ก็กำแพงแก้วด้านตะวันออกของตัวปราสาทประธานต่อมาจากภาพข้างบน
หลังคาปราสาทถัดมา อีกด้านหนึ่ง
นี่เป็นเสาหินอะไรก็ไม่ทราบ จะว่าเป็นหลักวางใบเสมาก็ไม่ใช่ จะใช่เสาที่เรียกว่า เสานางเรียงไหมหนอ
เราอำลา ปราสาทหินพิมายด้วยท้องฟ้าที่แจ่มใส
แต่เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อล้อเราเริ่มหมุนกลับเข้าสู่ตัวเมืองนครราชสีมาอีกครั้งฝนก็ลงเม็ดอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลย เราอดแวะชมพิพิธภัณฑ์พิมาย และไทรงามอย่างที่ตั้งใจไว้
เมื่อถึงนครราชสีมา ไม่มีฝนเลยค่ะ เพื่อนพาไปซื้อของฝากจากร้านดังของโคราชมากมาย หอบหิ้วกันพะรุงพะรัง
และกลับมาถึงจุดนัดพบที่จอดรถไว้ เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ เมื่อเวลาประมาณ 16.25 น.
เย็นวันนั้นป้าแอ๊ดแวะรับประทานสเต็กแสนอร่อยกันที่ฟาร์มโชคชัย แล้วเดินทางกลับกรุงเทพฯ อย่างอิ่มเอม ถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่ม
มาเจอฝนตอนจะลงจากทางวงแหวน เข้าบ้าน จนได้ค่ะ เฮ้อ....
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามทริปนี้ด้วยกันนะคะ แล้วพบกันใหม่ ทริปหน้าไปเชียงใหม่ค่ะ (29 ต.ค. -2 พ.ย. 53)
Create Date : 31 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 9 มิถุนายน 2555 12:11:18 น. |
|
0 comments
|
Counter : 10363 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
addsiripun |
|
|
|
|