ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
พระเจ้าสุรุจิ

สุรุจิชาดก

ว่าด้วยพระเจ้าสุรุจิ
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่ ณ ปุพพารามปราสาทของมิคารมารดา ทรงพระปรารภพร ๘ ประการที่นางวิสาขามหาอุบาสิกาได้รับ ตรัสเรื่องนี้ดังนี้.
เรื่องพิสดารมีว่า วันหนึ่งนางวิสาขาฟังธรรมกถาในพระเชตวันวิหาร แล้วกราบทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์ฉันเช้า แล้วกลับเรือน พอล่วงราตรีนั้นมหาเมฆอันเป็นไปในทวีปทั้งสี่เกิดขึ้นและทำฝนให้ตก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพวกภิกษุมา ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝนตกในเชตวันอย่างใด ตกในทวีปทั้งสี่อย่างนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาเมฆกลุ่มสุดท้าย พึงเปียกกายเราได้ ขณะที่ฝนกำลังตกก็เสด็จหายไปจากพระเชตวันกับพวกภิกษุด้วยกำลังฤทธิ์ ปรากฏที่ซุ้มประตูของนางวิสาขา
อุบาสิกายินดีร่าเริงบันเทิงใจว่า อัศจรรย์นัก พ่อเจ้าพระคุณเอ๋ย พิศวงนัก พ่อมหาจำเริญเอ๋ย เพราะความที่พระตถาคตทรงมีฤทธิ์มาก ทรงอานุภาพมาก ในเมื่อห้วงน้ำเพียงเข่าก็มี เพียงเอวก็มีกำลังไหลไป เท้าหรือจีวรของภิกษุแม้รูปหนึ่งที่ชื่อว่าเปียกไม่มีเลยแหละ แล้วอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุข แล้วได้กราบทูลข้อนี้ กะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเสร็จภัตกิจ แล้วว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพร ๘ ประการ กะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระเจ้าข้า
ตรัสว่า วิสาขา พระตถาคตทั้งหลายผ่านพ้นพรไปแล้วละ
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรใด ๆ ควรแก่ข้าพระองค์ และพรใด ๆ ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ทูลขอพรนั้น ๆ พระเจ้าข้า
ตรัสว่า กล่าวเถิดวิสาขา
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอ ปรารถนา
เพื่อจะถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุสงฆ์ตลอดชีพ ฯลฯ
เพื่อจะถวายภัต แก่ภิกษุผู้มา ฯลฯ
ภัตแก่ภิกษุผู้จะไป ฯลฯ
ภัตรแก่ภิกษุไข้ ฯลฯ
ภัตแก่ภิกษุ ผู้พยาบาลไข้ ฯลฯ
ยาแก่ภิกษุผู้ไข้ ฯลฯ
ข้าวยาคูประจำ เพื่อจะถวายผ้าอาบ แด่ภิกษุณีสงฆ์
พระศาสดาตรัสถามว่า วิสาขา เธอเห็นอำนาจประโยชน์ อะไรถึงขอพร ๘ ประการกะพระตถาคต
เมื่อนางกราบทูลอานิสงส์ของพร ๘ ประการแล้ว ตรัสว่า ดีละ ดีละ วิสาขา เธอเห็นอานิสงส์เหล่านี้แล้วขอพร ๘ ประการ แล้วประทานพร ๘ ประการ ด้วยพระดำรัสว่า วิสาขา เราอนุญาต พร ๘ ประการแก่เธอ แล้วทรงอนุโมทนาเสร็จเสด็จหลีกไป
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ ปุพพาราม พวกภิกษุพากันยกเรื่องขึ้นสนทนาในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย มหาอุบาสิกาวิสาขา แม้ดำรงในอัตภาพมาตุคาม ก็ยังได้พร ๘ ประการจากสำนักทศพล โอ ! นางมีคุณมาก
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่วิสาขาได้รับพรในสำนักของเรา แม้ในครั้งก่อนก็เคยได้รับแล้วเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามสุรุจิ เสวยราชสมบัติในพระนครมิถิลา ทรงได้พระราชโอรส ก็ได้ทรงขนานพระนามพระราชโอรสนั้นว่า สุรุจิกุมาร เมื่อพระกุมารทรงเจริญวัยแล้วก็ทรงดำริว่า เราจักเรียนศิลปะในเมืองตักกสิลา ก็ได้เสด็จไปประทับนั่งพักที่ศาลาใกล้ประตูพระนคร
ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ทรงพระนามพรหมทัตกุมาร ก็เสด็จไปในที่นั้นเหมือนกัน ประทับนั่งพักเหนือแผ่นกระดานที่พระสุรุจิกุมารประทับนั่งนั้นแล พระกุมารทั้งสองทรงไต่ถามกันแล้ว มีความสนิทสนมกัน ไปสู่สำนักอาจารย์ร่วมกันทีเดียว ทรงให้ค่าคำนับอาจารย์แล้วตั้งต้นเรียนศิลปะ ในไม่ช้านานนัก ต่างก็สำเร็จศิลปะ จึงพากันอำลาอาจารย์ ในตอนเสด็จกลับก็ได้เสด็จร่วมทางกันมาหน่อยหนึ่ง จนมาถึงทางแยกที่จะต้องไปคนละทาง ทรงสวมกอดกันไว้ ต่างทรงกระทำกติกากันเพื่อจะทรง รักษามิตรธรรมให้ยั่งยืนไปว่า ถ้าข้าพเจ้ามีโอรส ท่านมีพระธิดา หรือท่านมีพระโอรส ข้าพเจ้ามีธิดา เราจักกระทำอาวาหมงคล และวิวาหมงคล แก่โอรส และธิดาของเรานั้น
ครั้นกุมารทั้งสองเสวยราชสมบัติ พระสุรุจิมหาราชมีพระโอรส พระประยูรญาติขนานพระนามพระโอรสนั้นว่า สุรุจิกุมาร พระพรหมทัตมีพระธิดา พระประยูรญาติขนานนามพระธิดานั้นว่า สุเมธา พระกุมารสุรุจิทรงจำเริญวัยเสด็จไปเมืองตักกสิลา ทรงเรียนศิลปะเสร็จเสด็จกลับมา.
พระราชบิดามีพระประสงค์จะอภิเษกพระกุมารในราชสมบัติ ทรงพระดำริว่าข่าวว่า พระเจ้าพาราณสีพระสหายของเรามีพระธิดา เราจักสถาปนานางนั้นแลให้เป็นอัครมเหสีของลูกเรา ทรงประทานบรรณาการเป็นอันมาก ทรงส่งพวกอำมาตย์ไปเพื่อต้องการพระนางนั้น
แต่ในขณะที่พวกอำมาตย์เหล่านั้นยังมาไม่ถึง พระเจ้าพาราณสีตรัสถามพระเทวีว่า นางผู้เจริญ อะไรเป็นทุกข์อย่างยิ่งของมาตุคาม
พระเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ความหึงของหญิงที่ร่วมผัวกัน เป็นความทุกข์ของมาตุคามเจ้าค่ะ
ตรัสว่า นางผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น เราต้องช่วยกันเปลื้องสุเมธาเทวีลูกหญิงของเราจากทุกข์นั้น เราจักให้แก่ผู้ที่จักครองเธอแต่นางเดียวเท่านั้น
เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นพากันมาถึงทูลรับพระนามของพระนางแล้ว ท้าวเธอจึงตรัสว่า ดูราพ่อทั้งหลาย อันที่จริง เมื่อก่อนข้าพเจ้ากระทำปฏิญาณไว้กับพระสหายของข้าพเจ้า ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็มิได้ประสงค์เลย ที่ส่งนางเข้าไปภายในกลุ่มสตรี เราประสงค์ที่ให้นางแก่ผู้ที่จะครองนางผู้เดียวเท่านั้น
อำมาตย์เหล่านั้นพากันส่งข่าวสู่สำนักพระราชา พระราชาตรัสว่า ราชสมบัติของเราใหญ่หลวง มิถิลานครมีอาณาเขตถึง ๗ โยชน์ กำหนดแห่งราชัยถึง ๓๐๐ โยชน์ อย่างต่ำสุดควรจะได้สตรี ๑๖,๐๐๐ นาง แล้วมิได้ทรงบอกไป แต่พระกุมารสุรุจิทรงสดับรูปสมบัติของพระนางสุเมธาแล้ว ก็ติดพระหทัยด้วยการเกี่ยวข้องโดยสดับ จึงส่งกระแสพระดำรัสถึงพระราชบิดามารดาว่า หม่อมฉันจักครองนางผู้เดียวเท่านั้น หม่อมฉันไม่ต้องการกลุ่มสตรี โปรดเชิญนางมาเถิด
พระราชบิดามารดาไม่ทรงขัดพระหทัยของพระกุมาร ทรงส่งทรัพย์เป็นอันมาก เชิญพระนางมาด้วยบริวารขบวนใหญ่แล้วทรงอภิเษกร่วมกัน กระทำพระนางให้เป็นพระมเหสีของพระกุมาร พระกุมารนั้นทรงพระนามว่า สุรุจิมหาราช ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงอยู่ร่วมกับพระนางด้วยความรัก ก็พระนางประทับอยู่ในพระราชวังของท้าวเธอตลอด ๑๐,๐๐๐ ปี ไม่ ทรงได้พระโอรสหรือพระธิดาเลย.
ครั้งนั้นชาวเมืองประชุมกันชวนกันร้องขานขึ้นในท้องพระลานหลวง เมื่อท้าวเธอดำรัสว่า นี่อะไรกัน ก็กราบทูลว่า โทษของพระราชาไม่มี พระเจ้าข้า แต่พระโอรสผู้จะสืบวงศ์ของพระองค์ยังไม่มีเลย พระองค์ทรงมีพระเทวีพระนางเดียว ธรรมดาราชสกุลต้องมีหญิง ๑๖,๐๐๐ นาง เป็นอย่างต่ำที่สุด พระองค์โปรดรับกลุ่มสตรีเถิดพระเจ้าข้า เผื่อบรรดาหญิงเหล่านั้นจักมีสักคนหนึ่งที่มีบุญ จักได้พระโอรส
ครั้งนั้นท้าวเธอตรัสห้ามเสียว่า พ่อคุณเอ๋ย พากันพูดอะไร เราได้ปฏิญาณไว้แล้วว่า จักไม่ครองหญิง อื่นเลย จึงได้เชิญหญิงนี้มาได้ เราไม่มุสาวาทได้ เราไม่ต้องการกลุ่มแห่งสตรีเลย จงพากันหลีกไป
พระนางสุเมธาทรงสดับพระดำรัสนั้น ดำริว่า พระราชามิได้ทรงนำสตรีอื่น ๆ มาเลย เพราะทรงพระดำรัสตรัสจริงแน่นอน แต่เรานี่แหละจักหามาถวายแก่พระองค์ ทรงดำรงในตำแหน่งพระมเหสีเช่นพระมารดาของพระราชา จึงทรงนำมาซึ่งสตรี ๔,๐๐๐ นาง คือสาวน้อยเชื้อกษัตริย์ ๑,๐๐๐ เชื้อขุนนาง ๑,๐๐๐ เชื้อเศรษฐี ๑,๐๐๐ นางระบำผู้ชำนาญในกระบวน ฟ้อนรำทุกอย่าง ๑,๐๐๐ คัดที่พอพระหฤทัยของพระนาง แม้พวกนั้นพากันอยู่ในราชสกุลตั้ง ๑๐,๐๐๐ ปี ก็ไม่ได้พระโอรสหรือธิดาดุจกัน
พระนางคัดพวกอื่น ๆ มาถวายคราวละ ๔,๐๐๐ ถึงสามคราว แม้พวกนั้นก็ไม่ได้พระโอรสพระธิดา รวมเป็นหญิงที่พระนางนำมาถวาย ๑๖,๐๐๐ นาง
เวลาล่วงไป ๔๐,๐๐๐ ปี รวมกับเวลาที่ทรงอยู่กับพระนางองค์เดียว ๑๐,๐๐๐ ปี เป็น ๕๐,๐๐๐ ปี ครั้งนั้นชาวเมืองประชุมชวนกันร้องขานขึ้นอีก เมื่อท้าวเธอตรัสว่า เรื่องอะไรกันเล่า พากันกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์โปรดบังคับพระเทวีทั้งหลาย เพื่อปรารถนาพระโอรสเถิดพระเจ้าข้า
พระราชาทรงรับว่า ดีแล้ว ตรัสกะพระเทวีว่าพวกเธอจงกระทำพิธีเพื่อปรารถนาบุตรเถิด ตั้งแต่นั้นพระเทวีเหล่านั้น เมื่อปรารถนาพระโอรส พากันนอบน้อมเทวดาต่าง ๆ พากันบำเพ็ญวัตรต่าง ๆ แต่พระโอรสก็ไม่อุบัติอยู่นั่นเอง.
ครั้งนั้นพระราชาตรัสกะพระนางสุเมธาว่า นางผู้เจริญ เชิญเธอจงกระทำพิธีเพื่อปรารถนาพระโอรสเถิด พระนางรับพระดำรัสว่า สาธุแล้ว ครั้นถึงดิถีที่ ๑๕ ทรงสมาทานอุโบสถ ประทับนั่งเหนือพระแท่นอันสมควร ทรงระลึก ถึงศีลทั้งหลายอยู่ในพระตำหนักอันทรงสิริ พระเทวีที่เหลือพากันประพฤติวัตรอย่างแพะอย่างโคต่างไปสู่พระอุทยาน
ด้วยเดชแห่งศีลของพระนางสุเมธา พิภพของท้าวสักกะหวั่นไหว ท้าวสักกะทรงเห็นว่า นางสุเมธาปรารถนาพระโอรส เราต้องให้โอรสแก่เธอ แต่ว่าเราไม่อาจที่จะให้ตามมีตามได้ ต้องเลือกเฟ้นโอรสที่สมควรแก่เธอ เมื่อทรงเลือกเฟ้นก็ทรงเห็นเทพบุตรนฬการ
แท้จริงแล้วเทพบุตรนฬการนั้นเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยบุญ เมื่ออยู่ในนครพาราณสี ในอัตภาพอดีตชาติครั้งก่อน ถึงเวลาหว่านข้าว เมื่อไปไร่ก็เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จึงได้ส่งพวกทาสและกรรมกรไปหว่านกัน ส่วนตนเองกลับพาพระปัจเจกพุทธเจ้าไปสู่เรือน ให้ฉันแล้วนิมนต์มาที่ฝั่งคงคา ร่วมมือกันกับลูกชายสร้างบรรณศาลา เอาไม้มะเดื่อมาทำเป็นเชิงฝา เอาไม้อ้อมาทำเป็นฝา ผูกประตู ทำที่จงกรม นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ ณ บรรณศาลานั้นแหละตลอดไตรมาส เมื่อท่านจำพรรษาครบแล้ว พ่อลูกทั้งคู่ก็นิมนต์ให้ครองไตรจีวร แล้วส่งท่านไป ด้วยทำนองนี้เอง ได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าถึง ๗ องค์ ให้อยู่ ณ บรรณศาลานั้น แล้วให้ครอง ไตรจีวร
บางอาจารย์กล่าวว่า พ่อลูกทั้งคู่เป็นช่างจักสานกำลังขนเอาไม้ไผ่ที่ฝั่งคงคา เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงพากันกระทำเช่นนั้น ดังนี้ก็มี
พ่อลูก ทั้งคู่นั้น ครั้นทำกาลกิริยาบังเกิดในภพดาวดึงส์ เสวยอิสริยะแห่งเทวดาอันใหญ่ กลับไปกลับมา อยู่ในกามภพทั้ง ๖ ชั้น เทพบุตรทั้งคู่นั้นปรารถนาจะจุติจากชั้นนั้นไปบังเกิดในเทวโลกชั้นสูง.
ท้าวสักกะทรงทราบความเป็นอย่างนั้น เสด็จไปถึงประตูวิมานของเทพบุตรองค์หนึ่งในสององค์นั้น ตรัสกับเทพบุตรนั้นผู้มาบังคมแล้วยืนอยู่ว่า ดูราท่านผู้นิรทุกข์ ควรที่ท่านจะไปสู่มนุษยโลก
เธอทูลว่า ข้าแต่มหาราช โลกมนุษย์น่ารังเกียจสกปรก ฝูงชนที่ตั้งอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ต่างทำบุญมี ให้ทานเป็นต้น ปรารถนาเทวโลก ข้าพระองค์จักไปในโลกมนุษย์นั้นทำอะไร
ตรัสว่า ผู้นิรทุกข์ ในโลกมนุษย์ ท่านจักได้บริโภคทิพสมบัติที่เคยบริโภคในเทวโลก จักได้อยู่ในปราสาทแก้วสูง ๒๕ โยชน์ ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์ เชิญท่านรับคำเถิด เธอจึงรับคำ ท้าวสักกะทรงรับคำสัญญาของเธอแล้ว เสด็จไปสู่อุทยานด้วยแปลงเพศเป็นฤๅษี จงกรมในอากาศ เบื้องบนสตรีเหล่านั้น ทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏ ตรัสว่า อาตมภาพจะให้โอรสผู้ประเสริฐแก่นางคนไหนเล่า นางคนไหนจักรับโอรสผู้ประเสริฐ
สตรี ๑,๐๐๐ นางต่างยอหัตถ์วิงวอนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โปรดให้แก่ดิฉัน ๆ
ทีนั้นท้าวสักกะก็ตรัสว่า อาตมภาพจะให้โอรสแก่หมู่สตรีที่มีศีล พวกเธอมีศีลอย่างไร มีอาจาระอย่างไรเล่า สตรีเหล่านั้นพากันลดมือที่ยกขึ้นลงหมดกล่าวว่า ถ้าพระคุณเจ้าปรารถนาจะให้แก่สตรีผู้มีศีล เชิญไปสู่สำนักของพระนางสุเมธาเถิด
ท้าวเธอก็เหาะไปทางอากาศนั้นเอง ประทับยืนตรงช่องพระแกลใกล้พระทวารปราสาทของพระนาง ครั้งนั้นสตรีเหล่านั้นพากันกราบทูลแด่พระนางว่า ทูลกระหม่อมแม่เจ้าขา เชิญพระแม่เจ้าเสด็จมาเถิด เทวราชพระองค์หนึ่งประสงค์จะถวายพระโอรสผู้ประเสริฐแด่พระแม่เจ้า เหาะมาทางอากาศกำลังสถิตที่ช่องพระแกลเจ้าข้า
พระนางเสด็จไปด้วยท่าทางอันตระหนัก ทรงเปิดพระแกลตรัส ว่าข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ได้ยินว่า พระคุณเจ้าจะให้โอรสผู้ประเสริฐ แก่สตรีผู้มีศีล เป็นความจริงหรือพระเจ้าข้า
ท้าวเธอตรัสว่า ดูก่อนพระเทวี ขอถวายพระพรเป็นความจริง
พระนางตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้าโปรดให้แก่ดิฉัน
ตรัสถามว่า ก็ศีลของบพิตรเป็นอย่างไร เชิญตรัส ถ้าชอบใจอาตมภาพ อาตมภาพจักถวายพระโอรสผู้ประเสริฐ
พระนางทรงสดับพระดำรัสของท้าวเธอแล้วตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เชิญพระคุณเจ้าค่อยสดับเถิด เมื่อจะทรงแถลงศีลคุณของตน ได้ทรงภาษิตพระคาถา ๑๕ คาถาว่า
[๑๙๔๒] ดิฉันถูกเชิญมาเป็นพระอัครมเหสีคนแรกของพระเจ้าสุรุจิตลอดเวลาหมื่น
ปี พระเจ้าสุรุจินำดิฉันมาผู้เดียว ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ดิฉันนั้นมิได้
รู้สึกเลยว่า ได้ล่วงเกินพระเจ้าสุรุจิผู้เป็นจอมประชาชนชาววิเทหรัฐ
ครองพระนครมิถิลา ด้วยกาย วาจา หรือใจ ทั้งในที่แจ้งหรือในที่ลับ
เลย ข้าแต่พระฤๅษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด
เมื่อดิฉัน กล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง.
[๑๙๔๓] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ดิฉันเป็นที่พอใจของพระภัสดา พระชนนี และ
พระชนกของพระภัสดาก็เป็นที่รักของดิฉัน พระองค์ท่านเหล่านั้นทรง
แนะนำดิฉัน ตลอดเวลาที่พระองค์ท่านยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ดิฉันนั้น
ยินดีในความไม่เบียดเบียน มีปกติประพฤติธรรมโดยส่วนเดียว มุ่ง
บำเรอพระองค์ท่านเหล่านั้นโดยเคารพ ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน
ข้าแต่พระฤๅษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉัน
กล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง.
[๑๙๔๔] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ความริษยาหรือความโกรธ ในสตรีผู้เป็นพระราช
เทวีร่วมกัน ๑๖,๐๐๐ คน มิได้มีแก่ดิฉันในกาลไหนๆ เลย ดิฉันชื่นชม
ด้วยความเกื้อกูลแก่พระราชเทวีเหล่านั้น และคนไหนที่จะไม่เป็นที่รัก
ของดิฉันไม่มีเลย ดิฉันอนุเคราะห์หญิงผู้ร่วมพระสามีทั่วกันทุกคน ใน
กาลทุกเมื่อ เหมือนอนุเคราะห์ตน ฉะนั้น ข้าแต่พระฤๅษี ด้วยการกล่าว
คำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของ
ดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง.
[๑๙๔๕] ดิฉันเลี้ยงดูทาสกรรมกร ซึ่งจะต้องเลี้ยงดูและชนเหล่าอื่นผู้อาศัยเลี้ยง
ชีวิต โดยเหมาะสมกับหน้าที่ ดิฉันมีอินทรีย์อันเบิกบานในกาลทุกเมื่อ
ข้าแต่พระฤๅษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉัน
กล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง.
[๑๙๔๖] ดิฉันมีฝ่ามืออันชุ่ม เลี้ยงดูสมณพราหมณ์ และแม้วณิพกเหล่าอื่น ให้อิ่ม
หนำสำราญด้วยข้าวและน้ำทุกเมื่อ ข้าแต่พระฤๅษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์
จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจง
แตก ๗ เสี่ยง.
[๑๙๔๗] ดิฉันเข้าอยู่ประจำอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ตลอดดิถี
ที่ ๑๔,๑๕ และดิถีที่ ๘ แห่งปักษ์ และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ ดิฉัน
สำรวมแล้วในศีลทุกเมื่อ ข้าแต่พระฤๅษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้
ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก ๗
เสี่ยง.
ธรรมดาว่าการประมาณของพระนาง ซึ่งแม้จะพรรณนา ๑๐๐ คาถา ๑,๐๐๐ คาถา ก็หาเพียงพอไม่ ด้วยประการฉะนี้ ในเวลาที่พระนางพรรณนาคุณ ของตนได้ด้วยพระคาถา ๑๕ เท่านั้น ท้าวสักกะก็ตัดพระดำรัสของพระนางเสีย เพราะท้าวเธอมีกิจที่ต้องกระทำมาก เมื่อจะทรงสรรเสริญพระนางว่า คุณของพระนางจริงทั้งนั้น จึงตรัส ๒ คาถาว่า
[๑๙๔๘] ดูกรพระราชบุตรีผู้เรืองยศงดงาม คุณอันเป็นธรรมเหล่าใด ในพระองค์
ที่พระองค์แสดงแล้ว คุณอันเป็นธรรมเหล่านั้นมีทุกอย่าง พระราชโอรส
ผู้เป็นกษัตริย์ สมบูรณ์ด้วยพระชาติ เป็นอภิชาตบุตร เรืองพระยศ เป็น
พระธรรมราชาแห่งชนชาววิเทหะ จงอุบัติแก่พระนาง.
พระนางทรงสดับพระดำรัสของท้าวเธอแล้วทรงโสมนัส เมื่อจะตรัสถามท้าวเธอได้ทรงภาษิต ๒ พระคาถาว่า
[๑๙๔๙] ท่านผู้มีดวงตาน่ายินดี ทรงผ้าคลุกธุลี สถิตอยู่บนเวหาอันไม่มีสิ่งใดกั้น
ได้กล่าววาจาเป็นที่พอใจจับใจของดิฉัน ท่านเป็นเทวดามาจากสวรรค์
เป็นฤๅษีผู้มีฤทธิ์มาก หรือว่าเป็นใครมาถึงที่นี้ ขอท่านจงกล่าวความจริง
ให้ดิฉันทราบด้วย.
ท้าวสักกะ เมื่อจะตรัสบอกแก่พระนาง จึงได้ตรัส ๖ พระคาถาว่า
[๑๙๕๐] หมู่เทวดามาประชุมกันที่สุธรรมาสภา ย่อมกราบไหว้ท้าวสักกะองค์ใด
ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกะองค์นั้น มีดวงตาพันหนึ่ง มายังสำนักของท่าน
หญิงเหล่าใดในเทวโลก เป็นผู้มีปกติประพฤติสม่ำเสมอ มีปัญญา มีศีล มี
พ่อผัวแม่ผัวเป็นเทวดา ยำเกรงสามี เทวดาทั้งหลายผู้มิใช่มนุษย์ มาเยี่ยม
หญิงเช่นนั้น ผู้มีปัญญา มีกรรมอันสะอาด เป็นหญิงมนุษย์ ดูกรนางผู้
เจริญ ท่านเกิดในราชสกุลนี้ พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งที่น่าปรารถนาทุกอย่าง
ด้วยสุจริตธรรมที่ท่านประพฤติดีแล้วในปางก่อน ดูกรพระราชบุตรี ก็
แหละ ข้อนี้เป็นชัยชนะในโลกทั้งสองของท่าน คือ การอุบัติในเทวโลก
และเกียรติในชีวิตนี้ ดูกรพระนางสุเมธา ขอให้พระนางจงมีสุข ยั่งยืน
นาน จงรักษาธรรมไว้ในตนให้ยั่งยืนเถิด ข้าพเจ้านี้ ขอลาไปสู่ไตรทิพย์
การพบเห็นท่าน เป็นการพบเห็นที่ดูดดื่มใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก.
ท้าวสักกะประทานโอวาทแก่พระนางว่า ก็กิจที่ต้องกระทำของข้าพเจ้านั้นมีอยู่ในเทวโลก เหตุนั้น ข้าพเจ้าต้องไป ท่านจงไม่ประมาทเถิดนะ แล้วเสด็จหลีกไป
ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่ง นฬการเทพบุตรก็จุติถือปฏิสนธิในพระครรโภทรของพระนาง พระนางทรงทราบความที่พระองค์ทรงครรภ์จึงกราบทูลแก่พระราชา พระราชาก็ประทานเครื่องผดุงครรภ์ เมื่อครบถ้วนกำหนดทศมาส พระนางก็ประสูติพระโอรส พระประยูรญาติทรงขนานพระนามพระโอรสว่า มหาปนาท
ชาวแคว้นทั้งสอง (อังคะและมคธ) พากันทิ้งเหรียญกระษาปณ์ลงที่ท้องพระลานหลวงคนละ ๑ กระษาปณ์ เพื่อให้พระราชาทรงทราบว่า เป็นค่าน้ำนมของพระลูกเจ้าแห่งชาวเรา เหรียญกระษาปณ์ได้เป็นกองใหญ่โต แม้พระราชาจะตรัสห้าม ก็พากันกราบทูลว่า จักได้เป็นทุนรอนในเวลาที่พระลูกเจ้าของพวกข้าพระองค์ทรงพระเจริญ ต่างไม่รับคืนพากันหลีกไป
พระกุมารทรงพระเจริญด้วยบริวารมากมาย ครั้นทรงถึงวัยมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา ก็ทรงลุความสำเร็จในศิลปะทุกประการ พระราชาทรงตรวจดูพระชนม์ของพระโอรส แล้วตรัสกับพระเทวีว่า นางผู้เจริญในเวลาอภิเษกลูกของเราในราชสมบัติ จักสร้างปราสาทอันน่ารื่นรมย์ให้เธอแล้วถึงทำการอภิเษก พระนางรับพระ โองการว่า ดีแล้วพระเจ้าคะ
พระราชารับสั่งให้หาอาจารย์ในวิชาพื้นที่มา ตรัสว่า พ่อทั้งหลาย จงคุมช่างให้สร้างปราสาทเพื่อลูกของเรา ณ ที่ไม่ห่างวังของเรา เราจักอภิเษกลูกของเรานั้นในราชสมบัติ พวกอาจารย์ในวิชาพื้นที่เหล่านั้น รับพระโองการว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอรับใส่เกล้าฯ แล้วพากันตรวจภูมิประเทศ.
ขณะนั้นพิภพของท้าวสักกะสำแดงอาการร้อน ท้าวเธอทรงทราบเหตุนั้น ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา ตรัสสั่งว่า ไปเถิดพ่อเอ๋ย จงสร้างปราสาทแก้วยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์ สูง ๒๕ โยชน์ ให้แก่มหาปนาทราชกุมารเถิด
วิสสุกรรมเทพบุตรแปลงเพศเป็นช่าง ไปสู่สำนักของพวกช่าง แล้วส่งพวกช่างนั้นไปเสียด้วยคำว่า พวกคุณกินข้าวเช้าแล้วค่อยมาเกิด แล้วทุบแผ่นดินด้วยท่อนไม้ ทันใดนั้นเอง ปราสาท ๗ ชั้น มีขนาดดังกล่าวแล้ว ก็ผุดขึ้น
งานมงคล ๓ ประการ คือ งานมงคลฉลองปราสาท งานมงคลอภิเษกและสมโภชเศวตฉัตร และงานอาวาหมงคล ของพระกุมารมหาปนาทได้มีในคราวเดียวกันนั้นแล ชาวแคว้นทั้งสองพากันประชุมในสถานมงคล ให้กาลเวลาล่วงไปถึง ๗ ปี ด้วยการมหรสพฉลองมงคล พระราชามิได้ทรงบอกให้พวกนั้นเลิกงานเลย สิ่งของทั้งหมดเป็นต้นว่า ผ้าเครื่องประดับของเคี้ยวของกิน ของชนเหล่านั้น ได้เป็นสิ่งของของราชสกุลทั้งนั้นเลย
ครั้นล่วง ๗ ปี ฝูงชนเหล่านั้น พากันร้องทุกข์ พระสุรุจิมหาราชตรัสถามว่า นี่อะไรกันเล่า ก็พากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เมื่อพวกข้าพระองค์พากันสมโภชการมงคล ๗ ปีผ่านไปแล้ว ที่สุดของงานมงคลจะมีเมื่อไรเล่า พระเจ้าข้า
ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ลูกเราไม่เคยหัวเราะเลย เมื่อใดเธอหัวเราะ เมื่อนั้นเราจึงจะเลิกงาน
ครั้งนั้นมหาชนเที่ยวตีกลองป่าวร้อง เชิญนักฟ้อนของพระเจ้ามหาปนาทนั้นประชุม นักฟ้อน ๖,๐๐๐ พากันมาประชุม แบ่งกันเป็น ๗ ส่วน พากันรำฟ้อน ก็มิอาจที่จะให้พระราชาทรงพระสรวลได้ ทั้งนี้เพราะความที่ท้าวเธอเคยทอดพระเนตรกระบวนฟ้อนรำอันเป็นทิพย์มาช้านาน การฟ้อนของนักฟ้อนเหล่านั้น จึงมิได้เป็นที่ต้องพระหทัย.
ครั้งนั้นจอมนักฟ้อน ๒ นาย คือ กัณฑกรรณ และปัณฑุกรรณ คิดว่า พวกเราจะให้พระราชาทรงพระสรวลให้ได้ พากันเข้าไปในท้องพระลาน บรรดาจอมนักฟ้อนทั้งสองคนนั้น กัณฑกรรณให้ปลูกต้นมะม่วงใหญ่ชื่ออตุละ ที่พระราชทวาร แล้วขว้างกลุ่มด้ายขึ้นไปให้คล้องที่กิ่งของต้นมะม่วงนั้น แล้วไต่ขึ้นไปตามเส้นด้าย
ได้ยินว่า ไม้มะม่วงชื่ออตุละ เป็นต้นมะม่วงของท้าวเวสวัณ ครั้งนั้นพวกทาสของท้าวเวสวัณก็พากันตัดกิ่งน้อยใหญ่ของต้นมะม่วงนั้นโค่นลงมา นักฟ้อนที่เหลือเก็บกิ่งเหล่านั้นกองไว้แล้วรดด้วยน้ำ กัณฑกรรณนั้นนุ่งห่มผ้ากรองดอกไม้ลุกขึ้นฟ้อนรำไป
พระเจ้ามหาปนาททอดพระเนตรเห็นเขาแล้ว ก็มิได้ทรงพระสรวลเลย
ปัณฑุกรรณได้ทำเชิงตะกอนไม้ในท้องพระลานหลวง แล้วเดินเข้าสู่กองไฟกับบริษัทของตน ครั้นไฟดับ แล้ว นักฟ้อนทั้งหลายเอาน้ำรดเชิงตะกอน ปัณฑุกรรณนั้นกับบริษัท นุ่งห่มผ้ากรองดอกไม้ลุกขึ้นฟ้อนรำ พระราชาทรงทอดพระเนตรการนั้นแล้ว ก็คงมิได้ทรงพระสรวลอยู่นั่นเอง
เมื่อสุดฝีมือที่จะให้พระราชาพระองค์นั้นทรงพระสรวล ฝูงคนก็พากันระส่ำระสายด้วยประการฉะนี้
ท้าวสักกะทรงทราบเหตุนั้น จึงทรงส่งนักฟ้อนเทวดาไปด้วยพระเทวบัญชาว่า ไปเถิดพ่อเอ๋ย จงทำให้พระมหาปนาทะทรงพระสรวลเสด็จอุฎฐาการจงได้เถิด เทพนักฟ้อนนั้น มายืนอยู่บนอากาศในท้องพระลานหลวง แสดงขบวนฟ้อนที่เรียกว่า อุปัฑฒังคะ มือข้างเดียวเท่านั้น เท้าก็ข้างเดียว ตาก็ข้างเดียว แม้คิ้วก็ข้างเดียว ฟ้อนไป ร่ายรำไป เคลื่อนไหวไป ที่เหลือคงนิ่งไม่หวั่นไหวเลย
พระเจ้ามหาปนาทะ ทอดพระเนตรเห็นการนั้นแล้ว ทรงพระสรวลหน่อยหนึ่ง แต่มหาชนเมื่อหัวเราะ ก็สุดที่จะกลั้นความขบขันไว้ สุดที่จะดำรงสติไว้ได้ ปล่อยอวัยวะหมดเลย ล้มกลิ้งไปในท้องพระลานหลวง มงคลเป็นอันเลิกได้ตอนนั้น ข้อความที่เหลือในเรื่องนี้ พรรณนาไว้ในมหาปนาทชาดก
พระราชามหาปนาททรงกระทำบุญถวายทานเป็นต้น เมื่อสิ้นพระชนม์ ก็เสด็จไปสู่เทวโลกนั่นเอง.
พระศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า มหาปนาท ในครั้งนั้นได้มาเป็นภัททชิ สุเมธาเทวีได้มาเป็นวิสาขา วิสสุกรรมได้มาเป็นอานนท์ ส่วนท้าวสักกะได้มาเป็นเราตถาคตแล

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 14:00:05 น. 1 comments
Counter : 815 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:15:46:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.