ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
การบำเพ็ญประโยชน์แก่ญาติ

ภัททสาลชาดก
ว่าด้วยการบำเพ็ญประโยชน์แก่ญาติ
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ ตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
เรื่องพิสดารมีว่า การฉันเป็นประจำของภิกษุ ๕๐๐ รูป โดยปกติจะมีอยู่เป็นประจำในนิเวศน์ของท่านอนาถปิณฑิกะ ณ พระนครสาวัตถี เช่นเดียวกับในนิเวศน์ของนางวิสาขา และในพระราชวังของพระเจ้าโกศล ก็ในพระราชนิเวศน์นั้น เจ้าหน้าที่ย่อมถวายโภชนะอันมีรสเลิศต่าง ๆ โดยแท้ ถึงอย่างนั้น ในพระราชวังนั้นก็ไม่มีใคร ๆ ที่เป็นผู้คุ้นเคยกันของภิกษุอยู่เลย เหตุนั้น พวกภิกษุจึงไม่ค่อยฉันในพระราชนิเวศน์ ภิกษุเหล่านั้นเมื่อจะรับภัตก็พากันไปสู่เรือนของท่านอนาถปิณฑิกะหรือนางวิสาขา หรือมิฉะนั้นก็เรือนของคนที่คุ้นเคยกันอื่น ๆ แล้วจึงฉัน
วันหนึ่ง พระราชาทรงส่งบรรณาการที่คนนำมาไปสู่โรงฉัน ตรัสว่า พวกเจ้าจงถวายแก่พวกภิกษุ
ครั้นราชบุรุษกราบทูลว่า ในโรงฉันไม่มีภิกษุ
ตรัสสั่งถามว่า ท่านไปที่ไหนเสียเล่า
ทรงสดับว่า พากันไปนั่งฉันที่เรือนของคนที่คุ้นเคยของตน พระเจ้าข้า
พระราชานั้น พอเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จ จึงเสด็จไปสำนักพระศาสดา ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าโภชนะ มีอะไรเป็นยอดเยี่ยม
พระศาสดาถวายพระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร โภชนะมีความคุ้นเคยกันเป็นยอดเยี่ยม เพราะแม้มาตรว่าจะเป็นข้าวตังข้าวปลายเกวียน ที่คนคุ้นเคยกันให้ ก็ย่อมมีรสอร่อย
ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความคุ้นเคยของพระภิกษุ จะมีกับคนพวกใดเล่า พระเจ้าข้า
ถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร มีได้กับหมู่ญาติ หรือกับสกุลแห่งพระเสขะ มหาบพิตร.
ครั้งนั้นพระราชาทรงพระดำริว่า เราต้องเชิญธิดาแห่งศากยะนางหนึ่ง มาแต่งตั้งเป็นอัครมเหสี ด้วยวิธีนี้ ความคุ้นเคยอย่างยอดเยี่ยมฉันญาติของพวกภิกษุกับเราคงมีเป็นแน่ พระองค์เสด็จลุกจากอาสนะไปพระนิเวศน์ของพระองค์ทรงส่งทูตไปสู่นครกบิลพัสดุ์ด้วยพระดำรัสว่า ข้าพเจ้าขอร้อง เจ้าศากยะจงให้ธิดาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการความเป็นญาติกับพวกท่าน
เจ้าศากยะ สดับคำพูดแล้ว ประชุมปรึกษากันว่า พวกเราอยู่ในถิ่นฐานอันเป็นอาณาของพระเจ้าโกศล ถ้าพวกเราไม่ให้ทาริกา จักมีเวรอย่างใหญ่หลวง ถ้าให้เล่า เชื้อสายของพวกเราก็จะสลาย ควรจะทำอย่างไรดีเล่า
ครั้งนั้น ท้าวมหานามตรัสกะพวกศากยะนั้นว่า อย่าร้อนใจกันไปเลย ธิดาของฉันชื่อ วาสภขัตติยา เกิดในท้องทาสีชื่อ นาคบุณฑา อายุได้ ๑๖ ปี มีรูปร่างเฉิดฉาย ถึงความงามเลิศ เท่ากับเป็นเผ่ากษัตริย์ พวกเราจะส่งนางไปให้แก่พระเจ้าโกศลนั้นว่า เป็นขัตติยกัญญา
เจ้าศากยะทั้งหลายต่างรับว่าดีจริง ได้เรียกพวกทูตมากล่าวว่า เป็นการดีละ พวกข้าพเจ้าจักถวาย ทาริกา พวกท่านจงรับนางไปบัดนี้ทีเดียวเถิด
พวกทูตฟังคำนั้นแล้ว คิดกันว่า ธรรมดาว่าศากยราชเหล่านี้ ถือตัวยิ่งนัก อาจกล่าวว่า นางนี้เสมอกับพวกเรา แล้วให้นางที่ไม่เสมอกันก็ได้ พวกเราจักยอมรับแต่นางที่ร่วมบริโภคกับพวกเหล่านี้เท่านั้น
ทูตเหล่านั้นพากันทูลอย่างนี้ว่า เมื่อพวก ข้าพระองค์จะรับไป จักขอรับนางที่เสวยร่วมกับพระองค์ไป
เจ้าศากยะทั้งหลาย จึงให้ที่พักแก่พวกทูต คิดกันว่า จักทำอย่างไรเล่า
ท้าวมหานามตรัสว่า พวกเธออย่าร้อนใจไปเลย ฉันจักทำอุบาย ในเวลาที่ฉันกำลังบริโภค พวกเธอจงตกแต่งนางวาสภขัตติยาพามา พอฉันหยิบคำข้าวเพียงคำเดียวเท่านั้น พวกเธอก็ส่งหนังสือให้ดู บอกว่า พระราชาพระองค์โน้น ทรงส่งหนังสือ เชิญดูสาส์นนี้ เสียก่อน
พวกนั้นพากันรับคำว่าสาธุ
เมื่อท้าวเธอกำลังเสวย ก็ตกแต่งกุมาริกาพามา ท้าวมหานามตรัสว่า พวกเธอจงพาธิดาของฉันมาเถิด นางจงบริโภคร่วมกับฉันเถิด
ครั้งนั้นเจ้าศากยะพากันตกแต่งนางทำเป็นชักช้าอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วพามา นางคิดว่า จักบริโภคร่วมกับพระบิดา จึงหย่อนหัตถ์ลงในถาดเดียวกัน ท้าวมหานามทรงถือปั้นข้าวปั้นหนึ่งร่วมกับนาง แล้วทรงเปิบด้วยพระโอฐ พอทรงเอื้อมพระหัตถ์เพื่อคำที่ ๒ พวกศากยะก็น้อมหนังสือเข้าไปถวายว่า ขอเดชะ พระราชาทรงพระนามโน้น ทรงส่งหนังสือมาเชิญพระองค์ ทรงสดับสาส์นนี้ก่อนเถิด พระเจ้าข้า
ท้าวมหานามตรัสว่า แม่หนู เจ้าจงบริโภคเถิด ทรงวางพระหัตถ์ขวาไว้ในถาดนั้นแล ทรงรับหนังสือด้วยพระหัตถ์ซ้าย ทรงทอดพระเนตรหนังสือ เมื่อท้าวเธอกำลังทรงหนังสืออยู่นั้นเอง นางก็เสวยเสร็จ เวลาที่นางบริโภคเสร็จ ท้าวเธอจึงล้างพระหัตถ์บ้วนพระโอฐ พวกทูตเหล่านั้นเห็นแล้ว พากันปลงใจว่า นางนั้นเป็นพระธิดาแห่งท้าวมหานามนี้ โดยปราศจากข้อคลางแคลงทีเดียว ต่างไม่สามารถจะรู้ความในนั้นได้เลย ท้าวมหานามทรงส่งพระธิดาไปด้วยบริวารขบวนใหญ่ พวกทูตเหล่านั้นก็พานางสู่นครสาวัตถีต่างกราบทูลว่า กุมารีนี้สมบูรณ์ด้วยชาติ เป็นธิดาของท้าวมหานาม.
ครั้งนั้น พระราชาทรงสดับเรื่องนั้น ทรงดีพระหฤทัย ให้ตกแต่งพระนครทั้งสิ้น ให้นางสถิตเหนือกองแก้ว ทรงให้อภิเษกสถาปนาในตำแหน่งอัครมเหสี นางได้เป็นที่รักจำเริญของพระราชา อยู่มาไม่ช้าไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ พระราชาได้ประทานเครื่องบริหารครรภ์ ครบกำหนดทศมาส นางประสูติพระราชบุตร มีผิวพรรณเพียงดังทอง
ครั้นในวันขนานพระนามของพระกุมารนั้น พระราชาทรงส่งข่าวไปสู่สำนักของพระอัยกาของพระองค์ว่า ธิดาของศากยะราชวาสภขัตติยา ประสูติพระราชบุตร จะทรงขนานนามแก่บุตรนั้นอย่างไร ก็อำมาตย์ผู้เชิญพระราชสาส์นนั้นไปค่อนข้างจะหูตึง เข้าไปถึงตำหนักนั้นแล้วกราบทูล แด่พระอัยกาของพระราชา ท้าวเธอทรงสดับพระราชสาส์นนั้นแล้ว ตรัสว่า นางวาสภขัตติยา แม้จะยังไม่คลอดพระโอรส ยังครอบงำคนทั้งหมดได้ คราวนี้ละก็ต้องเป็นตัวโปรดอย่างล้นเหลือของพระราชา อำมาตย์หูตึง ฟังคำว่า วัลลภา ไม่ชัดเจนกำหนดว่า วิฏฏุภะ ครั้นเมื่อกลับมาเข้าเฝ้าพระราชาของตนจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ดังข้าพระพุทธเจ้าได้ยินมา ขอใต้ฝ่าละออง ธุลีพระบาท ทรงขนานนามพระกุมารว่าวิฏฏุภะ เถิดพระเจ้าข้า พระราชาทรง พระดำริว่า คงเป็นชื่อที่ตระกูลให้ไว้เก่าก่อนของพวกเรา ได้ทรงขนานพระนาม พระโอรสนั้นว่าวิฏฏุภะ.
ตั้งแต่นั้นพระกุมารก็จำเริญด้วยกุมารบริหาร ถึงคราวมีอายุได้ ๗ ขวบ เห็นรูปช้าง และรูปม้าเป็นต้น ที่คนนำมาจากตระกูลพระเจ้ายาย ถวายแก่พระกุมารอื่น ๆ ก็ถามมารดาว่า แม่ ของบรรณาการจากตระกูลท่านตา มีคนนำมาให้แก่เด็กอื่น ๆ ทีฉันไม่มีผู้ส่งอะไรมาให้เลย แม่ไม่มีพระมารดา พระบิดาหรือ
ครั้งนั้นนางกล่าวลวงเขาว่า พ่อเอ๋ย บรรดาศากยราชเป็นเจ้าตา เจ้ายายของเธออยู่ไกล เหตุนั้น ท่านเหล่านั้นจึงไม่ส่งอะไร ๆ มา
ต่อมาถึงเวลา มีอายุได้ ๑๖ เขากล่าวว่า แม่ฉันจะไปเยี่ยมตระกูลเจ้าตาเจ้ายาย แม้จะถูกนางห้ามว่า อย่าเลย พ่อเอ๋ย เจ้าจักกระทำอะไรในที่นั้น เขาก็คงอ้อนวอนบ่อย ๆ ครั้งนั้นมารดาของเขาจึงรับคำว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถิด
เขากราบทูลพระบิดา แล้วเดินทางไปด้วยบริวารมาก นางวาสภขัตติยาส่งหนังสือไปก่อนว่า หม่อมฉันอยู่สบายดี ณ ที่นี้เจ้าข้า ข้าแต่เจ้า พระองค์โปรดอย่าทรงแสดงความในอะไร ๆ แก่เขาพระเจ้าข้า
เจ้าศากยะทั้งหลายรู้เรื่องการมาของวิฏฏุภะ คิดกันว่า พวกเราไม่สามารถจะไหว้เขาได้ เหตุนั้นจึงพากันส่งพระกุมารเด็ก ๆ ไปสู่ชนบท เมื่อถึงกบิลพัสดุ์ พวกศากยะพากันประชุม ณ สัณฐาคาร กุมารไปถึงสัณฐาคาร ได้หยุดยืนอยู่
ครั้งนั้น พวกเหล่านั้นพากันกล่าวกะเขาว่า พ่อเอ๋ย ท่านผู้นี้ เป็นเจ้าตาของเธอ ท่านผู้นี้เป็นเจ้าลุงของเธอ เขาต้องเที่ยวไหว้เรื่อยไปทุกคน เขาต้องไหว้เสียจนหลังขดหลังแข็ง ไม่เห็นผู้ไหว้ตนสักคนเดียว จึงถามว่า ผู้ที่ไหว้ฉันทำไมไม่มีเลยเล่า
พวกศากยะพากันบอกว่า พ่อเอ๋ย กุมารที่เป็นน้อง ๆ ของเธอ พากันไปชนบทเสีย พวกศากยะกระทำสักการะแก่เขาอย่างขนานใหญ่ เขาพักอยู่ ๒ - ๓ วันแล้วกลับไปด้วยบริวารมาก
ครั้งนั้นทาสีนางหนึ่ง ด่าว่า แผ่นกระดานนี้เป็นแผ่นกระดานที่ลูกอีทาสีวาสภขัตติยามันนั่งไว้ แล้วล้างแผ่นกระดานที่เขานั่งในสัณฐาคารด้วยน้ำนม บุรุษผู้หนึ่งลืมอาวุธของตน หวนกลับจะหยิบอาวุธ ได้ยินเสียงด่าวิฏฏุภกุมารนั้น จึงถามนางในระหว่างนั้นทราบว่า วาสภขัตติยาเกิดจากนางทาสีแห่งท้าวมหานามศากยราช ก็ไปเล่าแถลงแก่หมู่พล เกิดเกรียวกราวกันขนานใหญ่ว่า ได้ยินว่านางวาสภขัตติยาเป็นลูกทาสี
กุมารฟังคำนั้น ตั้งใจว่าปล่อยให้พวกนี้ล้างแผ่นกระดานที่กูนั่งด้วยน้ำนมไปก่อนเถิด คอยดูนะ พอกูเสวยราชแล้วเถอะ กูจะเอาเลือดที่คอของพวกนี้ล้างแผ่นกระดานที่กูนั่งให้ได้
เมื่อเข้ากรุงสาวัตถี พวกอำมาตย์พากันกราบทูลประพฤติเหตุทั้งปวงแด่พระราชา พระราชาทรงสดับเรื่องนั้น กริ้วเจ้าศากยะทั้งหลายว่าให้ธิดาทาสีแก่เราได้ ก็ทรงตัดสิ่งที่พระราชทานแก่นางวาสภขัตติยาและโอรสหมดเลย พระราชทานเพียงเท่าที่พวกทาสและทาสีจะได้รับกันเท่านั้น
จากนั้นล่วงไปได้ ๒ - ๓ วัน พระศาสดาเสด็จไปสู่พระนิเวศน์ประทับนั่ง พระราชาถวายบังคมพระศาสดากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกญาติของพระองค์พากันให้ธิดานางทาสีแก่หม่อมฉันเสียได้ เหตุนั้น หม่อมฉันจำต้องตัดการบริหารของนางพร้อมทั้งลูก คงได้ให้เพียงการบริหารเท่าที่พวกทาสและทาสีจะพึงได้กันเท่านั้น
พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร พวกศากยะทำไม่สมควรเลยทีเดียว ธรรมดาว่า เมื่อจะให้ก็ต้องให้นางที่มีชาติเสมอกัน ก็แต่ว่ามหาบพิตร อาตมาขอถวายพระพรกะบพิตร นางวาสภขัตติยาเป็นราชธิดาได้อภิเษกในพระราชวังของขัตติยราช ถึงวิฏฏุภะเล่า ก็เกิดเพราะอาศัยขัตติยราชเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าโคตรของมารดา จักกระทำอะไรได้ โคตรของบิดาต่างหากเป็นประมาณ บัณฑิตแต่ครั้งโบราณได้ให้ตำแหน่งอัครมเหสีแก่หญิงเข็ญใจหาฟืน แต่กุมารที่เกิดในท้องของนางครองราชสมบัติ ณ กรุงพาราณสี อันมีบริเวณ ๑๒ โยชน์ ทรงพระนามว่า กัฏฐหาริกราช แล้วตรัสกัฏฐหาริกชาดก พระราชาทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดา ทรงดีพระหฤทัยว่า โคตรของบิดาเท่านั้นเป็นประมาณ โปรดประทานการบริหารเช่นเดิมแก่มารดาและโอรสทันที.
กล่าวถึงท่านเสนาบดีของพระราชานามว่า พันธุละ ส่งภริยาของตนชื่อมัลลิกา ผู้เป็นหมันไปสู่กรุงกุสินาราด้วยคำว่า เธอจงไปสู่เรือนแห่งสกุลของเธอเถิด นางคิดว่า เราจักเฝ้าพระศาสดาแล้วจึงจะไป เมื่อนางเข้าไปสู่พระวิหารเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดา แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระศาสดาได้รับสั่งถามว่า เธอจะไปไหน
นางกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สามีของหม่อมฉันส่งคืนไปสู่เรือนแห่งสกุลเจ้าค่ะ
ตรัสว่า เพราะเหตุไร
กราบทูลว่า หม่อมฉันเป็นหมัน ไม่มีบุตรเจ้าค่ะ
ตรัสว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ต้องไปดอก กลับเถิด นางมีความดีใจ ถวายบังคมพระศาสดา ได้ไปสู่นิเวศน์ทันที ครั้นถูกสามีถามว่า เหตุไรเธอจึงกลับมาเล่า
นางบอกว่า พระทศพลรับสั่งให้ดิฉันกลับนี่เจ้าค่ะ นาย
ท่านเสนาบดีกล่าวว่า พระตถาคตต้องทรงเห็นเหตุการณ์เป็นแน่ ไม่ช้าไม่นานเลย นางก็มีครรภ์เกิดแพ้ท้อง จึงบอกว่า ดิฉันเกิดแพ้ท้องแล้วละ
ถามว่า แพ้ท้อง อย่างไรเล่า
บอกว่า นายเจ้าขา ดิฉันปรารถนาจะลงอาบน้ำ ดื่มน้ำในสระโบกขรณีอันเป็นมงคล ซึ่งเป็นที่อภิเษกสรงแห่งคณะราชสกุลในพระนครเวสาลี เจ้าค่ะ
ท่านเสนาบดีกล่าวว่า ดีละ แล้วจึงถือธนู อุ้มนางขึ้นสู่รถ ออกจากพระนครสาวัตถี ขับรถเข้ากรุงเวสาลี
ก็ในกาลนั้น เจ้ามหาลิพระเนตรบอด เคยเรียนศิลปะร่วมอาจารย์เดียวกันกับพระเจ้าโกศล และพันธุลเสนาบดี สอนอรรถธรรมแก่มวลเจ้าลิจฉวี ประทับอยู่ใกล้ประตูนั้นเอง ท่านทรงฟังเสียงรถกระแทกธรณี กล่าวว่า นั่นเสียงรถอันเป็นพาหนะของเจ้ามัลละนามว่า พันธุละ วันนี้ภัยคงจักเกิดแก่มวลเจ้าลิจฉวี จึงสั่งการระวังรักษาสระโบกขรณีแข็งแรง ทั้งภายในและภายนอก ข้างบนมีตาข่ายขึง ตลอดช่องลอดแม้ของฝูงนกก็ไม่มี.
ก็ท่านเสนาบดีลงจากรถฟาดฟันฝูงคนที่เฝ้าด้วยพระขรรค์ให้หนีไป ตัดตาข่ายโลหะแล้วให้ภรรยาลงในสระโบกขรณีอาบดื่ม แม้ตนเองก็อาบบ้าง แล้วอุ้มนางมัลลิกาขึ้นใส่รถออกจากเมืองไปตามทางที่มานั้นแล
พวกคนเฝ้าพากันไปกราบทูลแด่มวลเจ้าลิจฉวี เจ้าลิจฉวีเหล่านั้นพากันกริ้ว ขึ้นทรงรถ ๕๐๐ คัน ทรงยกออกไป ด้วยทรงดำริว่า พวกเราต้องจับเจ้ามัลละชื่อพันธุละให้ได้ แล้วพากันไปเล่าเรื่องนั้นแด่เจ้ามหาลิ
เจ้ามหาลิกล่าวว่า พวกเธออย่าไปเลย เขาจักฆ่าพวกเธอเสียหมดทีเดียว
ฝ่ายพวกนั้นพากันกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าต้องไปให้ได้
กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเมื่อพวกเธอเห็นล้อรถจมลงไปถึงดุมละก็พากันกลับเสีย ถ้าไม่กลับตอนนั้น จักได้ยินเสียงคล้ายฟ้าผ่าข้างหน้า พึงกลับกันจากที่นั้น ถ้ายังไม่กลับตอนนั้น พวกเธอจักเห็นช่องในแอกรถของพวกเธอ อย่าได้พากันไปต่อไปเป็นอันขาด
พวกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นไม่ยอมกลับตามคำของท้าวเธอ พากันติดตามท่านพันธุละนั้นไปจนได้ นางมัลลิกาเห็นแล้วกล่าวว่า นายเจ้าขา รถปรากฏหลายคัน
ท่านพันธุละกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเธอคอยบอกฉันในเวลาที่รถปรากฏเป็นคันเดียวกัน
เมื่อรถทุก ๆ คันแล่นซ้อนกันเป็นแถวมองแล้วปรากฏเป็นดุจคันเดียว นางมัลลิกา จึงบอกว่า นายเจ้าขา หัวรถปรากฏแล้ว
ท่านพันธุละส่งสายบังเหียนให้นาง ว่าถ้าเช่นนั้นเธอจงถือสายบังเหียนเหล่านี้ไว้ แล้วยืนอยู่บนรถนั้นแลโก่งธนู เสียงได้เป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่า ท่านพวกนั้นไม่ยอมกลับแม้จากที่นั้น พากันกวดตามเรื่อยไป ท่านพันธุละยืนบนรถยิงลูกศรไปลูกหนึ่ง ลูกศรนั้นทำหัวรถทั้ง ๕๐๐ คันให้เป็นช่อง แทงทะลุเกราะที่หุ้มของพระราชาทั้ง ๕๐๐ แล้วลูกศรก็จมดินไป
เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ไม่ทราบความที่ตนถูกยิงแล้ว คงตรัสอยู่ว่า หยุด เจ้าตัวร้าย หยุด เจ้าตัวร้าย ติดตามเรื่อยไป ท่านพันธุละจอดรถกล่าวว่า พวกท่านเป็นคนตายแล้ว ไม่มีธรรมเนียมเลย ที่ข้าพเจ้าจะรบกับคนตาย
เจ้าลิจฉวีพากันตรัสว่า ขึ้นชื่อว่าคนตายแล้วเป็นเช่นอย่างพวกเราไม่มีดอก
ท่านพันธุละกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น จงเปลื้องเกราะของท่านผู้อยู่สุดท้ายเพื่อนซี
เจ้าลิจฉวีเหล่านั้นพากันเปลื้องเกราะของเจ้าลิจฉวีผู้อยู่สุดท้ายเพื่อน เจ้าองค์นั้นพอเปลื้องเกราะเสร็จเท่านั้น ก็ล้มลงสิ้นพระชนม์เลย
ครั้งนั้นท่าน พันธุละกล่าวกะเจ้าเหล่านั้นว่า พวกท่านแม้ทั้งหมดก็เป็นรูปนั้น พวกท่านจงพากันไปสู่เรือนของตน ๆ จัดเตรียมการที่ควรจัดการ สั่งเสียลูกเมีย แล้วค่อยเปลื้องเกราะ เจ้าเหล่านั้นพากันทำตามนั้น ถึงชีพิตักษัยทุกคน.
ฝ่ายท่านพันธุละ ก็พานางมัลลิกามาสู่นครสาวัตถี นางคลอดบุตรชายแฝด ๑๖ ครั้ง บุตรชายแม้ทุกคนล้วนเก่งกล้า สมบูรณ์ด้วยกำลัง ต่างเรียนสำเร็จในศิลปะทุกประการ คนหนึ่ง ๆ ได้มีบริวารพันคน เมื่อตามบิดาไปสู่พระราชนิเวศน์ ท้องพระลานหลวงก็แน่นขนัดไปด้วยพวกนั้นทีเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง พวกมนุษย์ที่ถูกตัดสินให้แพ้คดีอย่างไม่เป็นธรรมที่ศาล เห็นท่านพันธุละกำลังเดินมา ก็ร้องเอะอะบอกการตัดสินคดีโกงของอำมาตย์ผู้ทำการวินิจฉัยแก่ท่าน ท่านไปสู่ที่วินิจฉัย พิจารณาคดีนั้น ได้กระทำเจ้าของให้คงเป็นเจ้าของ ผู้มิใช่เจ้าของ ก็กระทำคงเป็นผู้มิใช่เจ้าของ มหาชนพากันแซ่ซ้องสาธุการด้วยเสียงอันดัง พระราชารับสั่งถามว่านี้เรื่องอะไรกัน ทรงสดับความนั้น ทรงยินดีตรัสให้ถอดอำมาตย์เหล่านั้นเสียทั้งหมด มอบการวินิจฉัยให้แก่ท่านพันธุละผู้เดียว.
นับแต่นั้น ท่านตัดสินความโดยชอบ ครั้งนั้นพวกผู้ตัดสินความเก่า ๆ เมื่อไม่ได้สินบนต่างมีรายได้น้อย พากันยุแหย่ในราชสกุลว่า พันธุละปรารถนาราชสมบัติ พระราชาทรงสดับถ้อยคำของพวกนั้นไม่สามารถจะข่มพระทัยได้ ทรงดำริว่าเมื่อเราจะให้ฆ่าพันธุละนี้ ในพระนครนี้ทีเดียวเล่า ความครหาจักบังเกิด ได้ทรงพระดำริต่อไปว่า ต้องแต่งคนให้ไปปล้นชายแดน แล้วส่งให้ไปปราบพวกนั้น เวลายกกลับก็ให้คนฆ่าเสียทั้งพวกลูกในระหว่างทาง
ครั้นทรงดำริ แล้วรับสั่งให้หาท่านพันธุละมาเฝ้า ตรัสสั่งใช้ว่า ข่าวว่าชายแดนกำเริบ ท่านกับบุตรของท่านจงไปจับพวกโจรทีเถิด แล้วทรงให้มหาโยธาที่แกล้วกล้า ไปกับท่านพันธุละและบุตรเหล่านั้น และมีพระดำรัสว่า พวกเจ้าจงตัดศีรษะของเขากับลูกทั้ง ๓๒ คนเสีย ณ ที่นั้นให้จงได้ แล้วนำมาเถิด
ครั้นท่านไปถึงชายแดนเท่านั้น พวกโจรที่แต่งไป ได้ยินข่าวว่า ท่านเสนาบดีกำลังยกมา พากันหนีไปสิ้น ท่านจัดการให้ประเทศสงบราบคาบ ตั้งชนบทได้แล้วยกกลับ
ครั้งนั้นเหล่าโจรนั้น พากันตัดศีรษะของท่านกับลูก ๆ เสียในที่ไม่ไกลจากเมือง วันนั้น นางมัลลิกานิมนต์พระอัครสาวกกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ตอนเช้ามีคนนำหนังสือมาให้นางว่า สามีกับบุตรถูกโยธาเหล่านั้นตัด ศีรษะเสียแล้ว นางทราบเรื่องนั้นแล้ว ไม่พูดอะไรแก่ใคร ๆ เก็บหนังสือไว้ในชายพก คงอังคาสพระภิกษุอยู่เรื่อยไป ครั้งนั้นพวกคนใช้ของนาง ถวายภัตตาหารแด่ภิกษุแล้ว ยกถาดเนยใสมา ทำถาดแตกต่อหน้าพระเถระทั้งหลาย พระธรรมเสนาบดีกล่าวว่า อุบาสิกา สิ่งที่มีความแตกเป็นธรรมดาแตกไปแล้ว ไม่ต้องเสียใจ นางนำหนังสือออกมาจากชายพก กราบเรียนว่า คนนำหนังสือนี้มาให้ดิฉัน พ่อกับลูก ๓๒ คนถูกตัดศีรษะเสียแล้ว ดิฉันแม้จะได้ฟังเรื่องนี้ ยังไม่เสียใจเลย ก็เมื่อถาดเนยใสนี้แตกไป จะต้องเสียใจทำไมเจ้าคะ.
พระธรรมเสนาบดีกล่าวคำมีอาทิว่า (ชีวิต มรณะ) ไม่มีนิมิต ไม่มีใครรู้ แสดงธรรมแล้วลุกจากอาสนะไปพระวิหาร
ฝ่ายนางให้เรียกลูกสะใภ้ ๓๒ นาง มาสั่งสอนว่า สามีของพวกเธอปราศจากความผิด ต่างได้รับผลแห่งกรรมที่ทำไว้ในปางก่อนของตน พวกเธออย่าเศร้าโศกเลย อย่ากระทำใจประทุษร้ายในพระราชาเลย
จารบุรุษของพระราชาฟังคำนั้น พากันกราบทูลความที่คนเหล่านั้น หาโทษมิได้แก่พระราชา พระราชาทรงสลดพระทัย เสด็จไปสู่ที่อยู่ของนาง ทรงขอขมาโทษกะนางมัลลิกา และสะใภ้ของนาง แล้วประทานพรแก่นางมัลลิกา นางกราบทูลว่า พระพรเป็นอันหม่อมฉันรับพระราชทานใส่เกล้าใส่กระหม่อมเพคะ
เมื่อพระราชาเสด็จไปแล้ว จัดถวายมตกภัตร (ภัตรที่ทำอุทิศผู้ตาย) สนานกายเข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมุติเทพเจ้า พระองค์พระราชทานพรแก่หม่อมฉันไว้ หม่อมฉันมิได้มีความต้องการอย่างอื่น ขอพระองค์ทรงพระกรุณาอนุญาตให้หม่อมฉันและสะใภ้ ๓๒ คนไปสู่ตระกูลเดิมเถิด พระเจ้าข้า
พระราชาทรงรับคำของนาง นางส่งลูกสะใภ้ ๓๒ คน ไปสู่ตระกูลของตน ๆ ตนเองก็ได้ไปสู่เรือนแห่ง ตระกูลของตน ณ กุสินารานคร ฝ่ายพระราชาก็พระราชทานตำแหน่งเสนาบดี แก่หลานของท่านพันธุละเสนาบดี ชื่อ ฑีฆการายนะ
ฑีฆการายนะนั้นดำริว่า พระราชาองค์นี้ฆ่าลุงของเราเสีย จึงคอยหาช่องแก้แค้นแก่พระราชาอยู่เรื่อย พระราชาตั้งแต่รับสั่งให้ฆ่าท่านพันธุละผู้ปราศจากความผิดแล้ว ก็ทรงมีแต่ความเร่าร้อนพระหฤทัย มิทรงได้รับความชื่นใจ ไม่ทรงได้ความสุขในราชสมบัติเลย
ครั้งนั้นพระศาสดาทรงอาศัยนิคมชื่อว่าเวตตนุปปันนกุละ ประทับอยู่ พระราชาเสด็จไป ณ นิคมนั้น ทรงตั้งค่ายพักไม่ไกลพระอาราม เสด็จไปสู่พระวิหารพร้อมด้วยราชบริพารมาก ด้วยทรงพระดำริจะถวายบังคมพระศาสดา เมื่อถึงแล้วประทานเครื่องราชกกุธภัณฑ์แก่ทีฆการายนะ เสด็จไปโดยลำพังพระองค์เดียวเท่านั้น เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี เรื่องทั้งหมดพึงทราบตามแนวธัมมเจติยสูตรนั้นแล.
ครั้นพระองค์เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ทีฆการายนะก็ถือเอาราชกกุธภัณฑ์เหล่านั้น อภิเษกวิฏฏฺภกุมารให้เป็นพระราชา แล้วทิ้งม้าไว้ตัวหนึ่ง หญิงที่จะปรนนิบัติผู้หนึ่ง สำหรับพระเจ้าโกศล แล้วได้กลับไปสู่พระนครสาวัตถี พระเจ้าโกศลทรงตรัสปิยกถากับพระศาสดา แล้วเสด็จออกไม่ทรงเห็นกองทหาร ก็ตรัสถามหญิงนั้น ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงดำริว่า เราต้องไปชวนหลานเรามาจับวิฏฏฺภะให้ได้
พระเจ้าโกศลจึงเสด็จไปสู่พระนครราชคฤห์ ไปถึงเมื่อเวลาค่ำมืด ประตูเมืองปิดหมดแล้ว ไม่ทรง สามารถจะเข้าสู่พระนครได้ ทรงบรรทมในศาลาหลังหนึ่ง เนื่องเพราะทรงกรากกรำด้วยลมและแดด ตอนกลางคืนเลยสวรรคตในศาลานั้นเอง
ครั้นรุ่งสว่างแล้วฝูงคน ได้ยินเสียงคร่ำครวญของหญิงรับใช้นั้นพร่ำรำพันอยู่ว่า โอ้ พระทูลกระหม่อม จอมนรชนโกศลรัฐ บัดนี้พระองค์ไร้ที่พึ่งเสียแล้ว จึงพากันกราบทูลแด่พระราชา พระราชานั้นตรัสสั่งให้กระทำสรีรกิจของพระมาตุลาธิราช ด้วยสักการะอย่างใหญ่หลวง
ฝ่ายเจ้าวิฏฏุภะได้ราชสมบัติ ระลึกถึงเวรนั้น ดำริว่า กูต้องฆ่าเจ้าศากยะให้ตายให้หมดเลย เสด็จออกด้วยแสนยานุภาพอันใหญ่โต
วันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตรเห็นความพินาศของหมู่พระญาติ ทรงพระดำริว่า ควรจะกระทำการสงเคราะห์ญาติไว้ ทรงโปรดสัตว์ในตอนเช้า เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงสำเร็จสีหไสยาในพระคันธกุฎี เวลาเย็นเสด็จไปทางอากาศ ประทับนั่ง ณ โคนไม้อันมีเงาห่างต้นหนึ่ง ใกล้พระนครกบิลพัสดุ์ ณ ที่ไม่ไกลจากตรงนั้น ในรัฐสีมาแห่งเจ้าวิฏฏุภะมีต้นไทรใหญ่เงาร่มชิด เจ้าวิฏฏุภะเห็นพระศาสดาเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเวลาร้อนเห็นปานนี้ เหตุไรพระองค์จึงทรงประทับนั่ง ณ โคนต้นไม้อันมีเงาห่างต้นนี้ เชิญพระองค์ประทับนั่ง ณ โคนต้นไม้มีเงาร่มชิดต้นหนึ่งเถิด พระเจ้าข้า
ครั้นมีพระดำรัสว่า ช่างเถิดมหาบพิตร ธรรมดาว่าร่มเงาของหมู่ญาติเย็นสบาย
เจ้าวิฏฏุภะได้ยินพระดำรัสดังนั้นก็ดำริว่า พระศาสดาคงเสด็จมาเพื่อป้องกันหมู่ญาติไว้ จึงถวายบังคมพระศาสดา เสด็จกลับคืนสู่พระนครสาวัตถีทันที แม้พระศาสดาก็เสด็จเหาะกลับไปสู่พระวิหารเชตวันดุจกัน พระราชาเมื่อทรงหวนระลึกถึงโทษของหมู่ศากยะได้อีก ก็ยกพลออกแม้ครั้งที่ ๒ ก็คงพบพระศาสดาตรงนั้นเหมือนกัน เสด็จกลับเสียอีก ในวาระที่ ๓ ทรงยกพลออก คงพบพระศาสดาตรงนั้น นั่นแหละต้องกลับ.
แต่ในวาระที่ ๔ เมื่อท้าวเธอยกพลออกไป พระศาสดาทรงตรวจดูบุรพกรรมของหมู่ศากยะ ทรงทราบความที่กรรมอันเป็นบาป คือการโปรยยาพิษใส่ในแม่น้ำของศากยะเหล่านั้น นั้นเป็นกรรมที่จะป้องกันมิได้ ไม่ เสด็จไปในวาระที่ ๔ ราชาวิฏฏุภะ ฆ่าเจ้าศากยะเสียทั้งหมด ตั้งแต่เด็กที่กำลังดื่มนมไปทีเดียว เอาเลือดที่คอล้างแผ่นกระดานที่ตนนั่ง แล้วเสด็จกลับมา
ก็แล เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับจากการที่เสด็จในวาระที่ ๓ รุ่งขึ้นเสด็จไปโปรดสัตว์ เสวยเสร็จเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ถึงเวลาเย็นพวกภิกษุประชุมกันนั่งในธรรมสภา พากันกล่าวแถลงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดาทรงแสดงพระองค์ให้พระราชากลับเสีย ทรงเปลื้องหมู่ญาติจากมรณภัย พระ ศาสดาทรงประพฤติประโยชน์แก่หมู่พระญาติอย่างนี้ พระศาสดาเสด็จมาตรัส ถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่หมู่ญาติ แม้ในครั้งก่อนก็ได้ ประพฤติแล้วเหมือนกัน ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา ทรงนำอดีตนิทาน มาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ครั้งพระราชาทรงพระนามว่าพรหมทัต มิได้ทรงละเมิดทศพิธราชธรรม ดำรงราชย์โดยธรรมในพระนครพาราณสี วันหนึ่งทรงพระดำริว่า บรรดาพระราชาในพื้นชมพูทวีป พากันอยู่ในปรางค์ปราสาทมีเสามาก เพราะเหตุนั้นการสร้างพระปราสาทด้วยเสามาก ๆ จึงไม่เป็นข้ออัศจรรย์ ถ้ากระไรเราลองสร้างปราสาทเสาเดียวดูบ้าง อย่างนี้เราคงเป็นราชาผู้เลิศกว่าพระราชาทั้งปวงได้ ท้าวเธอจึงมีรับสั่งเรียกช่างไม้มาเฝ้า ตรัสว่า พวกเจ้าจงสร้างปราสาทเสาเดียว อันถึงความงามเลิศแก่เรา ช่างไม้เหล่านั้นรับพระดำรัสว่าสาธุ พากันเข้าป่า พบต้นไม้ทั้งตรงทั้งใหญ่ เหมาะที่จะสร้างปราสาทเสาเดียวเป็นอันมาก คิดกันว่า ต้นไม้เหล่านี้ใช้ได้อยู่ แต่หนทางไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถจะชักลงได้ พวกเราต้องพากันกราบทูลพระราชา แล้วได้กระทำอย่างนั้น พระราชาตรัสว่า จะค่อย ๆ ชักลงมาตามแต่จะมีอุบายไม่ได้หรือ
ครั้นพวกนั้นพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ พระผู้สมมติเทพเจ้า จะใช้อุบายอะไร ๆ ก็สุดความสามารถที่จะชักลงได้ พระเจ้าข้า
ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น จงสำรวจดูต้นไม้ต้นหนึ่งในอุทยานของเราซิ พวกช่างไม้พากันไปสู่อุทยาน เห็นต้นรังอันเป็นมิ่งมงคลต้นหนึ่ง เปลาตรง ชาวบ้านชาวตำบลพากันบูชา ต้นไม้นั้นได้พลีกรรมแม้จากราชสกุล พวกช่างไม้จึงพากันไปสู่ราชสำนักกราบทูลเนื้อความนั้น
พระราชาตรัสว่า ธรรมดาต้นไม้ในอุทยานของเรา ก็เป็นของเรา ไปเถิดพากันโค่นต้นไม้นั้นเถิด ช่างไม้เหล่านั้นพากันรับพระดำรัสว่าสาธุแล้ว ต่างคนถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่อุทยาน กระทำการเจิม ๕ นิ้ว ด้วยแป้งหอมที่ต้นไม้ วงด้ายห้อยพวงดอกไม้ จุดประทีป ทำพลีกรรม ร้องบอกกล่าวว่า ในวันคำรบ ๗ จากวันนี้ พวกเราจะพากันมาตัดต้นไม้ พระราชาทรงอนุมัติให้ตัดได้ เชิญเทพยดาผู้บังเกิด ณ ต้นไม้นี้ ไป ณ ที่อื่น โทษจะไม่มีแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ครั้งนั้นเทพยดาผู้เกิดที่ต้นไม้นั้น ฟังถ้อยคำนั้นคิดว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่างไม้เหล่านี้คงตัดต้นไม้นี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นวิมานของเราต้องฉิบหาย ชีวิตของเราเล่าก็จะสุดสิ้นกันที่วิมานเท่านั้นเอง อีกทั้งหมู่วิมานเป็นอันมากแห่งฝูงเทวดาผู้เป็นญาติของเรา ที่เกิด ณ ต้นรังหนุ่ม ๆ รอบต้นไม้นี้ ก็จักต้องฉิบหายไปด้วยกัน ก็แลความวินาศของตน จะไม่เบียดเบียนเราได้เลย เหมือนกับที่จะไม่เบียดเบียนฝูงญาติได้ เหตุนั้น ควรที่เราจะให้ทานชีวิตแก่หมู่ญาติเหล่านั้น ครั้นเวลากลางคืน ประดับกายด้วยอลังการอันเป็นทิพย์ เข้าไปสู่ห้องบรรทมของพระราชา กระทำห้องทุกส่วนให้สว่างจ้าเป็นอันเดียวกันด้วยรัศมีของตน ได้ยืนร้องไห้อยู่ ณ เบื้องพระเศียร พระราชาทอดพระเนตรเห็นเทวดานั้น ทรงตระหนกพระหฤทัย เมื่อทรงปราศรัยกับท่าน จึงตรัสคาถาเป็นปฐมว่า
[๑๖๑๓] ท่านเป็นใคร มีผ้าอันสะอาดหมดจด มายืนอยู่บนอากาศ เพราะเหตุไร
น้ำตาของท่านจึงไหล ภัยมาถึงท่านแต่ที่ไหน?
เทวราชฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
[๑๖๑๔] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เมื่อหม่อมฉันได้รับการบูชาอยู่ ๖๐,๐๐๐ ปี ชนทั้งหลาย
รู้จักหม่อมฉันว่า ภัททสาละ ในแว่นแคว้นของพระองค์นี้แล.
[๑๖๑๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในทิศ พระราชาพระองค์ก่อนๆ เมื่อสร้าง
พระนคร อาคาร และปราสาทต่างๆ พระราชาเหล่านั้นมิได้ดูหมิ่น
หม่อมฉันเลย พระราชาเหล่านั้นบูชาหม่อมฉัน ฉันใด แม้พระองค์
ก็จงบูชาหม่อมฉัน ฉันนั้นเถิด.
[๑๖๑๖] ก็ข้าพเจ้ามิได้เห็นต้นไม้อื่นที่จะใหญ่โตเหมือนท่าน โดยประมาณท่าน
เป็นไม้งามแต่กำเนิดด้วยย่านและปริมณฑล.
[๑๖๑๗] ข้าพเจ้าจะให้นายช่างทำปราสาทมีเสาเดียว เป็นที่รื่นรมย์ใจ ข้าพเจ้าจะ
เชื้อเชิญท่านมาอยู่ที่ปราสาทนั้น ดูกรเทวดา ชีวิตของท่านจักยั่งยืน.
เทวราชฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
[๑๖๑๘] ถ้าพระองค์ทรงดำริอย่างนี้ ก็จำต้องพลัดพรากจากต้นรังอันเป็นร่างกาย
ของหม่อมฉัน พระองค์จงตัดหม่อมฉันทำเป็นท่อนๆ ให้มากเถิด.
[๑๖๑๙] พระองค์จงตัดปลายก่อนแล้วจงตัดท่อนกลาง ภายหลังจึงตัดที่โคน
เมื่อหม่อมฉันถูกตัดอย่างนี้ ถึงจะตายลงก็ไม่มีทุกข์.๑
๑ เมื่อหม่อมฉันถูกตัดอย่างนี้ ไม่พึงมีความทุกข์ ถึงตาย ยังจะพอมีความสุขได้เป็นตอน ๆ
ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า
[๑๖๒๐] ราชบุรุษตัดมือและเท้า ตัดหูและจมูก ภายหลังจึงตัดศีรษะของโจรผู้เป็น
อยู่ ความตายนั้นชื่อว่าตายเป็นทุกข์.๒
[๑๖๒๑] ดูกรต้นรังผู้เป็นเจ้าแห่งป่า เขาตัดเป็นท่อนๆ เป็นสุขหรือหนอ ท่าน
มีเหตุอะไร มั่นใจอย่างไร จึงปรารถนาให้ตัดเป็นท่อนๆ ? ๓
๒ เมื่อโจรถูกตัดโดยลำดับอย่างนี้ ก็จะมีความทุกข์แทบประดาตาย
๓ ดูก่อนไม้รังผู้สหาย โจรที่ต้องโทษประหาร ปรารถนาจะตายโดยความสุขย่อมขอร้องให้ตัดศีรษะ ไม่ขอร้องให้ตัดทีละท่อนกันเลย แต่ท่านขอร้องอย่างนี้ เหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า จะมีสุขไฉนที่ถูกตัดทีละท่อน
ลำดับนั้น เทพดาไม้รังงามเมื่อจะบอกแก่พระองค์ จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
[๑๖๒๒] ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันยึดมั่นเหตุอันใด อันเป็นเหตุประกอบด้วยธรรม
ปรารถนาให้ตัดเป็นท่อนๆ ขอพระองค์จงทรงสดับเหตุอันนั้น.
[๑๖๒๓] หมู่ญาติของหม่อมฉัน เจริญอยู่ด้วยความสุข เกิดแล้วใกล้ต้นรังข้าง
หม่อมฉัน หม่อมฉันพึงเข้าไปเบียดเบียนหมู่ญาติเหล่านั้น เมื่อเป็น
เช่นนี้ หม่อมฉันชื่อว่าเข้าไปสั่งสมสิ่งที่มิใช่ความสุขให้แก่คนเหล่าอื่น
เหตุนั้นหม่อมฉันจึงปรารถนาให้ตัดเป็นท่อนๆ .๔
๔ ความว่า หมู่เทพยดาผู้เป็นญาติของหม่อมฉัน พากันเติบโตอย่างเป็นสุขในร่ม เงาแห่งสาลพฤกษ์อันงามของหม่อมฉัน
สาลพฤกษ์หนุ่ม ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ที่อยู่ของหม่อมฉัน ได้ชื่อว่าเกิด ณ ที่อับลม เพราะหม่อมฉันช่วยต้านทานลมไว้ เมื่อหม่อมฉันมีกิ่งและคาคบกว้างขวาง แล้วหม่อมฉันถูกตัดที่โคน ล้มโค่นลงอยู่ ก็จะเหมือนกับรังแกพวกญาติได้ คือทำให้วิมานของญาติหม่อมฉันหักลู่แหลกลาญได้
หม่อมฉันมิได้ปรารถนาไห้เกิดความทุกข์แก่พวกนั้นเลย เหตุนั้น หม่อมฉันจึงขอปรารถนาให้ตัดต้นรังงามทีละท่อน พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับเทวาธิบายนั้นแล้ว ทรงยินดีว่า เทวบุตรนี้เป็น ผู้ดำรงธรรมจริงเทียว มิได้ปรารถนาจะทำลายวิมานของหมู่ญาติ เพราะความพินาศแห่งวิมานของตน ประพฤติประโยชน์แก่หมู่ญาติ เราต้องให้อภัยแก่เธอ ตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
[๑๖๒๔] ดูกรต้นรังผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ท่านย่อมคิดสิ่งที่ควรคิด ท่านเป็นผู้ปรารถนา
ประโยชน์แก่หมู่ญาติ ดูกรสหาย ข้าพเจ้าให้อภัยแก่ท่าน.
เทวราชแสดงธรรมถวายพระราชา แล้วได้กลับไป พระราชาดำรงพระองค์ในโอวาทของท่าน ทรงกระทำบุญมีถวายทานเป็นต้น ทรงทำทางสวรรค์เต็มที่.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็ได้ประพฤติญาตัตถจริยาแล้วดุจกันอย่างนี้ ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ ฝูงเทวดาผู้เกิด ณ ไม้รังหนุ่ม ๆ ได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนภัททสาลเทวราช ได้มาเป็นเราผู้ ตถาคตแล.

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 12:30:01 น. 1 comments
Counter : 582 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:11:28:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.