ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
นกพิราบ

ปัญจุโปสถิกชาดก
ว่าด้วยนกพิราบ
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ อุบาสก ๕๐๐ ผู้รักษาอุโบสถ ตรัสเรื่องนี้ดังนี้.
มีเรื่องย่อว่า ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์อันอลงกต ท่ามกลางบริษัทสี่ ในธรรมสภา ทอดพระเนตรดูบริษัทด้วยพระหฤทัยอันอ่อนโยน ทรงทราบว่า วันนี้เทศนาจักมีขึ้น เพราะอาศัยถ้อยคำแห่งพวกอุบาสกเป็นแท้ จึงตรัสเรียกพวกอุบาสกมา ตรัสถามว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย พวกเธอพากันบำเพ็ญวัตรแห่งผู้รักษาอุโบสถหรือ ครั้นอุบาสกเหล่านั้น กราบทูลว่าพระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตรัสว่า พวกเธอกระทำดีแล้ว อันอุโบสถนี้เป็นเชื้อสายแห่งหมู่บัณฑิตแต่ครั้งก่อน ที่จริงบัณฑิตแต่ครั้งก่อนพากันอยู่จำอุโบสถเพื่อข่มกิเลสมีราคะเป็นต้น อุบาสกเหล่านั้นพากันกราบทูลอาราธนา ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล ได้มีประเทศอันเป็นดงน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก อยู่ระหว่างพรมแดนแห่งแคว้นทั้งสาม มีแคว้นมคธเป็นต้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาลในแคว้นมคธ เจริญวัยแล้ว ละกามทั้งหลาย ปลีกตนเข้าไปสู่ดงนั้น บวชเป็นฤๅษี สร้างอาศรมบทพำนักอาศัยอยู่
ก็ในที่ไม่ไกลอาศรมของท่าน นกพิราบสองผัวเมียอาศัยอยู่ที่เชิงแห่งหนึ่ง งูอาศัยที่จอมปลวกจอมหนึ่ง ที่ละเมาะป่าแห่งหนึ่งหมาจิ้งจอกอาศัยอยู่ ที่ละเมาะป่าอีกแห่งหนึ่งเล่าก็มีหมีอาศัยอยู่ สัตว์ทั้งสี่เหล่านั้นต่างก็เข้าไปหาพระฤๅษี ฟังธรรมตามกาลอันเป็นโอกาส
อยู่มาวันหนึ่ง นกพิราบกับภรรยาออกจากรังไปหากิน เหยี่ยวตัวหนึ่งจับนางนกพิราบที่บินไปข้างหลังนกพิราบผู้สามีนั้นแล้ว เหยี่ยวนั้นเมื่อจับนางนกพิราบได้แล้วบินหนีไป นกพิราบผู้สามีเมื่อได้ยินเสียงร้องของนางนกพิราบนั้นก็เหลียวกลับมองดู เห็นนางนกพิราบนั้นกำลังถูกเหยี่ยวนั้นโฉบไป
ฝ่ายเหยี่ยวเล่าก็ฆ่านางนกพิราบนั้นทั้ง ๆ ที่กำลังร้องอยู่นั่นเองจนตายแล้วจิกกินเสีย นกพิราบเสียใจ เพราะพลัดพรากจากนางนกนั้น ดำริว่า ความรักนี้ทำให้เราลำบากเหลือเกิน คราวนี้หากเรายังข่มความรักไม่ได้แล้ว จักไม่ขอออกไปหากิน มันเลยบินออกจากทางโคจรปกติแล้วเลยไปสู่สำนักพระดาบส สมาทานอุโบสถเพื่อข่มราคะนอนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
กล่าวถึงงู คิดจักแสวงหาเหยื่อจึงออกจากที่อยู่ เที่ยวแสวงหาเหยื่อในสถานอันเป็นที่เที่ยวไปของแม่โคในบ้านชายแดน ครั้งนั้นโคผู้อันเป็นมงคลสีขาวปลอดของนายอำเภอ กินหญ้าแล้วก็คุกเข่าที่เชิงจอมปลวกแห่งหนึ่ง เอาเขาขวิดดินเล่นอยู่ ฝ่ายงูเล่าก็กลัวเสียงฝีเท้าของแม่โคทั้งหลายก็เลื้อยไปเพื่อจะกลับเข้าจอมปลวกนั้น ทีนั้นโคผู้ก็เหยียบมันด้วยเท้า มันโกรธโคนั้นจึงกัดโคผู้ถึงสิ้นชีวิตตรงนั้นเอง
พวกชาวบ้านได้ยินข่าวว่า โคตัวผู้ตายแล้ว ทุกคนก็พากันมารวมกัน ร้องไห้ แล้วบูชาโคผู้ตัวนั้นด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น พากันขุดหลุมฝังแล้วหลีกไป เวลาพวกนั้นพากันกลับแล้ว งูก็เลื้อยออกมา คิดว่าเราอาศัยความโกรธฆ่าโคผู้ตัวนี้เสีย ทำให้มหาชนพากันเศร้าโศก ที่นี้ หากเราข่มความโกรธนี้ไม่ได้แล้ว จักไม่ออกหากินละกลับไปสู่อาศรมนั้น นอนสมาทานอุโบสถเพื่อข่มความโกรธ.
ฝ่ายหมาจิ้งจอกเที่ยวแสวงหาอาหาร เห็นช้างตายตัวหนึ่ง ดีใจว่า เราได้เหยื่อชิ้นใหญ่แล้ววิ่งไปกัดที่งวงได้เป็นเหมือนเวลากัดเสาไม้ ไม่ได้ความพอใจในการกัดที่ตรงงวงนั้น จึงหันไปกัดงาเป็นอันดับต่อไป ก็ได้เป็นอย่างกะกัดแท่นหิน ปรี่เข้ากัดท้อง ได้เป็นอย่างกัดกระด้ง ตรงเข้ากัดหาง ได้เป็นอย่างกัดสาก แต่เมื่อกรากเข้ากัดช่องทวารหนัก ได้เป็นเหมือนกับได้กินขนมหวาน มันตั้งหน้าขย้ำกินอยู่ด้วยอำนาจความโลภ เลยหลุดเข้าไปภายในท้องของช้างที่ตายนั้น เวลาหิวก็กินเนื้อในท้องนั้น เวลากระหายก็ดื่มเลือด เวลานอนก็นอนทับไส้ และปอด มันคิดว่าทั้งข้าวทั้งน้ำมีเสร็จแล้วในที่นี้ทีเดียว กูจักทำอะไรในแห่งอื่นเล่า แสนรื่นรมย์อยู่ในท้องช้างนั้นแห่งเดียวไม่ออกข้างนอกเลย คงอยู่ในท้องช้างเท่านั้น
จำเนียรกาลต่อมา ซากช้างก็แห้งด้วยลมและแดด ช่องทวารหนักก็หดเข้าและปิดลง หมาจิ้งจอกนอนอยู่ภายในท้อง กลับมีเนื้อและเลือดน้อย ร่างกายผ่ายผอมมองไม่เห็นทางออกได้
ครั้นวันหนึ่ง เมฆซึ่งมิใช่เกิดตามฤดูกาลเกิดขึ้น ฝนก็ตกลงมา ช่องทวารหนักเมื่อมีความชุ่มชื้นก็อ่อนตัวลง เกิดปรากฏเป็นช่องให้เห็น หมาจิ้งจอกพอเห็นแสงสว่างจากช่อง ก็ดีใจคิดว่า กูลำบากนานนัก ต้องหนีออกช่องนี้จงได้ แล้วเอาตัวดันออกทางช่องทวารหนักนั้น ความที่ได้อยู่ในที่มืดและชื้นมาเป็นเวลานาน ขนตามตัวมันก็เปื่อยยุ่น เมื่อตัวมันดันออกจากที่แคบโดยเร็ว ขนเลยติดอยู่ที่ช่องทวารหนักหมด มันออกมาจากช่องทวงารหนักของช้างที่ตายนั้นได้ก็มีตัวโล้นเหมือนจาวตาล เมื่อหลุดออกมาได้แล้วมันคิดว่า เพราะอาศัยความโลภ กูต้องเสวยทุกข์นี้ ที่นี้ถ้ากูข่มความโลภไม่ได้ จักไม่ขอหากินละ จึงไปสู่อาศรมนั้น สมาทานอุโบสถ เพื่อข่มความโลภนอนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.
กล่าวถึงหมีออกจากป่าแล้ว ถูกความอยากยิ่งครอบงำ จึงไปสู่บ้านชายแดนในแคว้นมัลละ พวกชาวบ้านได้ยินว่าหมีมาแล้ว ต่างถือธนูและพลองเป็นต้นพากันออกไปล้อมละเมาะที่หมีนั้นเข้าไป มันรู้ว่าถูกมหาชนล้อมไว้ จึงหาทางออกมาเพื่อจะหนี เมื่อมันกำลังหนีอยู่นั้นเอง ฝูงชนพากันยิงด้วยธนู ตีด้วยพลอง มันหัวแตก เลือดไหลอาบไปที่อยู่ของตน ได้คิดว่า ทุกข์นี้เกิดเพราะอำนาจความโลภ คือ ความอยากยิ่งของกู ทีนี้หากกูข่มความโลภคือความอยากยิ่งนี้ไว้มิได้แล้ว จักไม่ หากินละ ไปสู่อาศรมนั้น สมาทานอุโบสถ เพื่อข่มความอยากยิ่ง หมอบอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง
ฝ่ายดาบสเล่า ก็อาศัยชาติวรรณะอันสูงของตนคือวรรณะพราหมณ์ ตกไปในอำนาจ มานะ คือความถือตัว ไม่สามารถจะยังฌานให้บังเกิดได้
ครั้งนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทราบความที่ดาบสนั้นมีมานะความถือตัว จึงทรงดำริว่า สัตว์ผู้นี้มิใช่อื่นเลย ที่แท้เป็นหน่อเนื้อแห่งพระพุทธเจ้า จักบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในกัลป์นี้เองแหละ เราต้องกระทำการข่มมานะของสัตว์นี้เสียแล้ว กระทำให้สมาบัติบังเกิดจงได้ ท่านจึงมาจากป่าหิมพานต์ตอนเหนือ ขณะเมื่อดาบสนั้นกำลังนอนอยู่ในบรรณศาลานั้นเอง เมื่อมาถึงอาศรมของดาบสนั้นแล้วจึงนั่งเหนือแผ่นกระดานหินของดาบสนั้น ดาบสนั้นออกมาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นนั่งเหนืออาสนะของตน ก็ขุ่นใจเพราะความมีมานะ ปรี่เข้าไปหาท่านแล้วตบมือตวาดว่า ฉิบหายเถิด ไอ้ถ่อย ไอ้กาลกรรณี ไอ้สมณะหัวโล้น มึงมานั่งเหนือแผ่นกระดานของกูทำไม.
ครั้งนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นกล่าวกะท่านว่า พ่อคนดี เหตุไรพ่อจึงมีแต่มานะ ข้าพเจ้าบรรลุปัจเจกพุทธญาณแล้วนะในกัลป์นี้เอง พ่อก็จักเป็นพระสัพพัญญูพระพุทธเจ้า พ่อเป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านะ พ่อบำเพ็ญบารมีมาแล้ว รอกาลเพียงเท่านี้ ข้างหน้าผ่านไปจักเป็นพระพุทธเจ้า พ่อดำรงในความเป็นพระพุทธเจ้าจักมีชื่อว่า สิทธัตถะ บอกนามตระกูลโคตร และพระอัครสาวกเป็นต้นแล้วได้ประทานโอวาทว่า พ่อยังจะมัวเอาแต่มานะ เป็นคนหยาบคาย เพื่ออะไรเล่า นี้ไม่สมควรแก่พ่อเลย
ดาบสนั้นแม้เมื่อท่านกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ยังคงไม่ไหว้ท่านอยู่นั่นเอง มิหนำซ้ำไม่ถามเสียด้วยว่า ข้าจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร ครั้นพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า เธอไม่รู้ถึงความใหญ่หลวงแห่งชาติและความใหญ่โตแห่งคุณของเรา หากเธอเก่งกล้าสามารถ ก็จงเที่ยวไปในอากาศเหมือนเรา พูดแล้วก็เหาะไปในอากาศ โปรยฝุ่นที่เท้าของตนลงในมณฑลชฎาของดาบสนั้น เหาะกลับไปสู่หิมพานต์ตอนเหนือดังเดิม
พอท่านพระปัจเจกพุทธเจ้าไปแล้ว ดาบสเกิดความสลดใจคิดว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะเหมือนกัน มีสรีระหนัก แต่สามารถไปในอากาศได้ ดุจปุยนุ่นที่ทิ้งไปในช่องลม ก็เพราะการถือตัวว่ามีวรรณะสูง เราจึงมิได้กราบเท้าทั้งคู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นปานฉะนี้ มิหนำซ้ำไม่ถามเสียด้วยว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าชาติคือเกิดในวรรณะที่สูงนี้จักกระทำอะไรได้ ศีลและจรณะเท่านั้นเป็นใหญ่ในโลกนี้ ก็แต่ว่ามานะของเรานี้แล จำเริญอยู่ จักพาไปหานรกได้ ทีนี้หากเรายังข่มมานะนี้มิได้แล้วจักไม่ไปหาผลาผล คิดแล้วก็เข้าสู่บรรณศาลาสมาทานอุโบสถเพื่อข่มมานะเสีย
เมื่อเข้าอาศรมแล้วก็นั่งเหนือกระดาน เป็นกุลบุตรผู้มีญาณใหญ่ ข่มมานะเสียได้ เจริญกสิณ ยังอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดได้แล้ว จึงออกไปนั่งที่แผ่นกระดานหินท้ายที่จงกรม
ครั้งนั้น สัตว์มีนกพิราบเป็นต้น พากันเข้าไปหาท่าน ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควร ส่วนหนึ่ง พระมหาสัตว์จึงถามนกพิราบว่า ในวันอื่น ๆ เจ้าไม่ได้มาเวลานี้ เจ้าคงไม่ได้หาอาหาร ในวันนี้เจ้าเป็นผู้รักษาอุโบสถหรือไฉนเล่า นกพิราบกราบเรียนว่า ขอรับกระผม ครั้งนั้นเมื่อท่านจะถามมันว่าด้วยเหตุไรเล่า กล่าวคาถาเป็นประถมว่า
[๑๙๕๑] ดูกรนกพิราบ เพราะเหตุไร บัดนี้ เจ้าจึงมีความขวนขวายน้อย ไม่ต้อง
การอาหาร อดกลั้นความหิวกระหายมารักษาอุโบสถ.
นกพิราบได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าว ๒ คาถาว่า
[๑๙๕๒] แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าบินไปกับนางนกพิราบ เราทั้ง ๒ ชื่นชมยินดีกันอยู่ใน
ป่าประเทศนั้น ทันใดนั้น เหยี่ยวได้โฉบเอานางนกพิราบไปเสีย
ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะพลัดพรากจากนางไป แต่จำต้องพลัดพรากจากนาง
เพราะพลัดพรากจากนาง ข้าพเจ้าได้เสวยเวทนาทางใจ เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า ความรักอย่าได้กลับมาหาเราอีกเลย.
เมื่อนกพิราบแถลงอุโบสถกรรมของตนแล้ว พระมหาสัตว์จึงถามงู เป็นต้นทีละตัว ๆ แม้สัตว์เหล่านั้นก็พากันแถลงความจริง เมื่อจะถามงูท่าน กล่าวว่า
[๑๙๕๓] ดูกรงูผู้ไปไม่ตรง เลื้อยไปด้วยอก มีลิ้น ๒ ลิ้น เจ้ามีเขี้ยวเป็นอาวุธ
มีพิษร้ายแรง เพราะเหตุไร เจ้าจึงอดกลั้นความหิวกระหายมารักษา
อุโบสถ.
งูกล่าวว่า
[๑๙๕๔] โคของนายอำเภอ กำลังเปลี่ยว มีหนอกกระเพื่อม มีลักษณะงาม มีกำลัง
มันได้เหยียบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าโกรธจึงได้กัดมัน มันก็ถูกทุกขเวทนา
ครอบงำ ถึงความตาย ณ ที่นั้นเอง ลำดับนั้น ชนทั้งหลายก็พากันออก
มาจากบ้าน ร้องไห้คร่ำครวญ หาได้พากันหลบหลีกไปไม่ เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า ความโกรธอย่าได้มาถึงเราอีกเลย.
พระมหาสัตว์เมื่อจะถามสุนัขจิ้งจอก จึงกล่าวคาถาว่า
[๑๙๕๕] ดูกรสุนัขจิ้งจอก เนื้อของคนที่ตายแล้ว มีอยู่ในป่าช้าเป็นอันมาก
อาหารชนิดนี้เป็นที่พอใจของเจ้า เพราะเหตุไร เจ้าจึงอดกลั้นความหิว
กระหายมารักษาอุโบสถ.
สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า
[๑๙๕๖] ข้าพเจ้าได้เข้าไปสู่ท้องช้างตัวใหญ่ ยินดีในซากศพ ติดใจในเนื้อช้าง
ลมร้อนและแสงแดดอันกล้า ได้แผดเผาทวารหนักของช้างนั้นให้แห้ง
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งผอม ทั้งเหลือง ไม่มีทางจะออกได้ ต่อมา
มีฝนห่าใหญ่ตกลงมาโดยพลัน ชะทวารหนักของช้างตัวนั้นให้เปียกชุ่ม
ดูกรท่านผู้เจริญ ทีนั้น ข้าพเจ้าจึงออกมาได้ ดังดวงจันทร์ พ้นจาก
ปากแห่งราหูฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า
ความโลภอย่ามาถึงเราอีกเลย.
เมื่อจะถามหมีจึงกล่าวว่า
[๑๙๕๗] ดูกรหมี แต่ก่อนนี้ เจ้าขย้ำกินตัวปลวกในจอมปลวก เพราะเหตุไร
เจ้าจึงอดกลั้นความหิวกระหายมารักษาอุโบสถเล่า.
หมีกล่าวว่า
[๑๙๕๘] ข้าพเจ้าดูหมิ่นถิ่นที่เคยอยู่ของตน ได้ไปยังปัจจันตคามแคว้นมลรัฐ
เพราะความเป็นผู้อยากมากเกินไป ครั้งนั้น ชนทั้งหลายก็พากันออก
จากบ้าน รุมตีข้าพเจ้าด้วยคันธนู ข้าพเจ้าศีรษะแตกเลือดอาบ ได้กลับ
มาสู่ถิ่นที่เคยอยู่อาศัยของตน เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงรักษาอุโบสถ
ด้วยคิดว่า ความอยากมากเกินไปอย่าได้มาถึงเราอีกเลย.
ครั้นสัตว์ทั้ง ๔ นั้น พรรณนาอุโปสถกรรมของตนอย่างนี้แล้ว ก็ชวนกันลุกขึ้นไหว้พระมหาสัตว์ เมื่อจะถามบ้างว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วันอื่น ๆ ในเวลานี้ พระคุณเจ้าเคยไปหาผลาผล วันนี้ เหตุไรพระคุณเจ้าจึง ไม่ไป แต่มากระทำอุโปสถกรรมอยู่ จึงกล่าวคาถาว่า
[๑๙๕๙] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อความอันใด ท่านก็ได้ถามพวกข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้า
ทั้งหมดก็ได้พยากรณ์ข้อความอันนั้นตามที่ได้รู้เห็นมา ข้าแต่ท่านผู้เป็น
วงศ์พรหมผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าจะขอถามท่านบ้างละ เพราะเหตุไร ท่าน
จึงรักษาอุโบสถเล่า.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์นั้น ก็แถลงแก่พวกนั้นว่า
[๑๙๖๐] พระปัจเจกพุทธะรูปหนึ่ง ผู้ไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส นั่งอยู่ในอาศรมของ
ฉันครู่หนึ่ง ท่านได้บอกให้ฉันทราบถึงที่ไปที่มา นามโคตรและจรณะทุก
อย่าง ถึงอย่างนั้น ฉันก็มิได้กราบไหว้เท้าทั้ง ๒ ของท่าน อนึ่ง ฉันก็มิได้
ถามถึงนามและโคตรของท่านเลย เพราะเหตุนั้น ฉันจึงรักษาอุโบสถ
ด้วยคิดว่า มานะอย่าได้มาถึงฉันอีกเลย.
พระมหาสัตว์แถลงการกระทำอุโบสถของตนอย่างนี้แล้ว ตักเตือนสัตว์เหล่านั้น แล้วกลับเข้าบรรณศาลา สัตว์เหล่านั้นเล่าต่างพากันไปที่อยู่ของตน พระมหาสัตว์มีฌานไม่เสื่อม ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า สัตว์พวกนั้นตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน ได้ไปสวรรค์ตาม ๆกัน.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้ ตรัสย้ำว่า อุบาสกทั้งหลาย อันอุโบสถนี้เป็นเชื้อแถวแห่งหมู่บัณฑิตแต่เก่าก่อนด้วยประการฉะนี้ อุโบสถเป็นอันควรจะบำเพ็ญ แล้วทรงประชุมชาดกว่า นกพิราบในครั้งนั้น ได้มาเป็นอนุรุทธะ หมีได้มาเป็นกัสสปะ หมาจิ้งจอกได้มาเป็นโมคคัลลานะ งูได้มาเป็นสารีบุตร ส่วนดาบสได้มาเป็นเราตถาคตแล

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 15:32:44 น. 1 comments
Counter : 494 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:15:45:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.