ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
จรณธรรม

อุททาลกชาดก
ว่าด้วยจรณธรรม
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
เรื่องย่อมีว่า ภิกษุนั้น แม้บวชในพระศาสนาอันมีธรรมเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้แล้ว ก็ยังชอบประพฤติเรื่องหลอกลวง เพื่อต้องการปัจจัยทั้งสี่ ครั้งนั้นพวกภิกษุเมื่อจะประกาศโทษของเธอ จึงตั้งเรื่องสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุที่ที่ชื่อโน้นบวชในพระศาสนา อันประกอบด้วยธรรม เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้แล้ว ยังจะอาศัยการหลอกลวงเลี้ยงชีวิตอยู่เล่า พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อกี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนเธอก็หลอกลวงเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นปุโรหิต เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาด.วันหนึ่งท่านไปเล่นอุทยาน เห็นหญิงแพศยารูปงามนางหนึ่ง ติดใจ และได้อยู่ร่วมกับนาง ต่อมานางจึงได้ตั้งครรภ์ขึ้น ครั้นนางรู้ว่าตนมีครรภ์ ก็บอกท่านว่าเจ้านาย ดิฉันตั้งครรภ์แล้วละ ในเวลาเด็กเกิด ดิฉันจะตั้งชื่อเขาว่าอย่างไรเจ้าคะ ท่านคิดว่า เพราะเด็กเกิดในท้องหญิงในวรรณะทาสีไม่อาจขนานนามตามสกุลได้ จึงกล่าวว่า แม่นางเอ๋ย ต้นไม้ที่ป้องกันลมได้ต้นนี้ชื่อว่าต้นคูณ เพราะเราได้เด็กที่นี้ เธอควรตั้งชื่อเขาว่า อุททาลกะ (คูณ)เถิด แล้วได้ให้แหวนสวมนิ้วชี้ไปสั่งว่า ถ้าเป็นธิดา เธอพึงเลี้ยงดูเด็กนั้นด้วยแหวนนี้ ถ้าเป็นบุตรละก็พึงส่งตัวเขาผู้เติบโตแล้วแก่ฉัน
ต่อมานางคลอดบุตรชาย ได้ขนานนามว่า อุททาลกะ เขาเติบโตแล้ว ถามมารดาว่า แม่จ๋า ใครเป็นพ่อของฉัน นางตอบว่า ปุโรหิต พ่อ เขากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นฉันต้องเรียนพระเวท แล้วรับแหวนและค่าคำนับอาจารย์จากมือมารดา เดินทางไปตักศิลาเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์อยู่ เห็นคณะดาบสคณะหนึ่ง คิดว่าในสำนักของพวกนี้ คงมีศิลปะอันประเสริฐ เราจักเรียนศิลปะนั้น เพราะความโลภในศิลปะจึงบวช พอทำวัตรปฏิบัติแก่ดาบสเหล่านั้นแล้วก็ถามว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ทั้งหลาย โปรดให้ข้าพเจ้าศึกษาในศิลปะที่ท่านรู้เถิด ดาบสเหล่านั้นก็ให้เขาศึกษาตามที่ต้องการ ในบรรดาดาบสทั้ง ๕๐๐ รูปนั้นไม่ได้มีเลยแม้แต่รูปเดียวที่ฉลาดยิ่งกว่าเขา เขาคนเดียวที่เป็นยอดของดาบสเหล่านั้นทางปัญญา
ครั้งนั้นพวกดาบสเหล่านั้นจึงประชุมกันยกตำแหน่งอาจารย์ให้แก่เขา ครั้นแล้วเขากล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า ผู้นิรทุกข์ พวกคุณพากันบริโภคเผือกมันและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่กันในป่า เหตุไรจึงไม่พากันไปสู่ถิ่นแดนมนุษย์เล่า พวกดาบสตอบว่า ผู้นิรทุกข์ ธรรมดาพวกมนุษย์ให้ทานมาก ๆ แล้ว ก็ขอให้ทำอนุโมทนา ขอให้กล่าวธรรมกถา พากันถามปัญหา พวกเราไม่ไปในถิ่นมนุษย์นั้นเพราะเกรงภัยนั้น เขากล่าวว่า แม้ถึงว่าจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ การพูดให้จับใจละก็เป็นภาระของฉัน พวกท่านอย่ากลัวเลย จึงท่องเที่ยวไปกับพวกดาบสนั้น
เมื่อเขาได้พาเหล่าดาบสนั้นท่องเที่ยวไป ลุถึงพระนครพาราณสีโดยลำดับ พักอยู่ในพระราชอุทยาน พอรุ่งขึ้นก็เที่ยวภิกขาไปตามประตูบ้านกับดาบสทั้งปวง.พวกชาวเมืองทั้งหลายพากันให้มหาทาน อุททาลกดาบสกระทำอนุโมทนา กล่าวมงคลวิสัชนาปัญหา พวกมนุษย์พากันเลื่อมใสได้ให้ปัจจัยมากมาย ชาวเมืองทั่วหน้าพากันกราบทูลแด่พระราชาว่า ดาบสผู้ทรงธรรมเป็นบัณฑิต เป็นคณะศาสดามาถึงแล้ว
พระราชาตรัสถามว่า อยู่ที่ไหน ทรงสดับว่า ในอุทยานก็ตรัสว่า ดีละ วันนี้เราจักไปพบดาบสเหล่านั้น
ยังมีบุรุษผู้หนึ่งได้ไปบอกแก่อุททาลกะว่า ข่าวว่าพระราชาจักเสด็จมาเยี่ยมพระคุณเจ้าทั้งหลาย เขาจึงเรียกคณะฤๅษีผู้เป็นบริวารแล้วบอกว่า ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ได้ยินว่าพระราชาจักเสด็จมา ธรรมดาท่านผู้เป็นใหญ่ ถ้าทำให้พอใจได้เสียวันหนึ่งแล้ว ก็พอใจไปตลอดชีพ
พวกดาบสพากันถามว่า ท่านอาจารย์ครับ พวกผมต้องทำอะไรกันบ้างเล่า
เขาบอกว่า ท่านจงแบ่งออกเป็นพวก ๆ บางพวกจงประพฤติวัคคุลิวัตร (ข้อปฏิบัติอย่างค้างคาว) บางพวกจงตั้งหน้านั่งกระโหย่ง บางพวกจงพากันนอนบนหนาม บางพวกจงผิงไฟ ๕ กอง บางพวกจงพากันแช่น้ำ บางพวกจงพากันสังวัธยายมนต์ในที่นั้น ๆ พวกดาบสก็ได้กระทำตามนั้น ฝ่ายตนเองชวนดาบสที่ฉลาด ๆ มีวาทะคมคาย ๘ หรือ ๑๐ รูปไว้ วางคัมภีร์ที่สวยงามไว้บนกากะเยียที่ชวนดู แวดล้อมด้วยอันเตวาสิก นั่งเหนืออาสนะที่จัดไว้เป็นอันดี
ขณะนั้นพระราชาตรัสชวนปุโรหิตเสด็จไปพระอุทยานกับบริวารขบวนใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นดาบสเหล่านั้นพากันประพฤติตบะแบบผิด ๆ นั้นกันอยู่ ทรงเลื่อมใสว่า ท่านพวกนี้พ้นแล้วจากภัยในอบาย เสด็จถึงสำนักอุททาลกดาบส ทรงพระปฏิสันถารประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง มีพระมนัสยินดี เมื่อตรัสสนทนากับท่านปุโรหิต ตรัสคาถา แรกว่า
[๑๙๐๗] ชฎิลเหล่าใดครองหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ ฟันเขลอะ รูปร่างเลอะเทอะ
ร่ายมนต์อยู่ ชฎิลเหล่านั้นเป็นผู้รู้การประพฤติตบะ และการสาธยาย
มนต์นี้ ในความเพียรที่มนุษย์จะพึงทำกัน จะพ้นจากอบายได้ละหรือ?
ท่านปุโรหิต ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ดำริว่า พระราชาพระองค์นี้ทรงเลื่อมใสในฐานะอันไม่ควร เรานั้นจะนิ่งเสียไม่ได้ละ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
[๑๙๐๘] ข้าแต่พระราชา ถ้าบุคคลเป็นพหูสูต ไม่ประพฤติธรรม ก็จะพึงกระทำ
กรรมอันลามกทั้งหลายได้ แม้จะมีเวทตั้งพัน อาศัยแต่ความเป็นพหูสูต
ยังไม่บรรลุจรณธรรม จะพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้เลย.
อุททาลกะ ได้ฟังคำของท่านดังนั้นแล้ว คิดว่า พระราชาทรงเลื่อมใสคณะฤๅษีตามพระอัธยาศัยแล้ว แต่พราหมณ์ผู้นี้มาขัดขวางเราเสียได้ เราต้องพูดกับเขา เมื่อจะพูด จึง กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
[๑๙๐๙] แม้บุคคลผู้มีเวทตั้งพัน อาศัยแต่ความเป็นพหูสูตนั้น ยังไม่บรรลุ
จรณธรรมแล้ว จะพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้ อาตมภาพย่อมสำคัญว่า เวท
ทั้งหลายก็ย่อมไม่มีผล จรณธรรมอันมีความสำรวมเท่านั้นเป็นความจริง.
ลำดับนั้น ปุโรหิตกล่าวคาถาว่า
[๑๙๑๐] เวททั้งหลายจะไม่มีผลก็หามิได้ จรณธรรมอันมีความสำรวมนั่นแลเป็น
ความจริง แต่บุคคลเรียนเวททั้งหลายแล้ว ย่อมได้รับเกียรติคุณ ท่าน
ผู้ฝึกฝนตนด้วยจรณธรรมแล้วย่อมบรรลุถึงสันติ.
อุททาลกะ ได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า เราไม่อาจโต้กับปุโรหิตนี้ เราต้องบอกความเป็นลูกแก่เขา จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า
[๑๙๑๑] บุตรที่เกิดแต่มารดา บิดา และเผ่าพันธุ์ใด อันบุตรจะต้องเลี้ยงดู
อาตมภาพเป็นคนๆ นั้นแหละ มีชื่อว่าอุททาลกะ เป็นเชื้อสายของ
วงศ์ตระกูลโสตถิยะแห่งท่านผู้เจริญ.
เมื่อท่านปุโรหิตถามว่า แน่หรือคุณชื่ออุททาลกะ
ท่านตอบว่า แน่ซิ
ถามต่อไปว่า ข้าพเจ้าให้เครื่องหมายไว้แก่มารดาของท่าน เครื่องหมายนั้นไปไหนเล่า
ตอบว่า นี่พราหมณ์ พลางวางแหวนลงในมือของท่าน
พราหมณ์จำแหวนได้แต่ยังกล่าวว่า คุณเป็นพราหมณ์ตามโอกาสที่เลือกเรียน แต่จะรู้พราหมณธรรมละหรือ เมื่อจะถามพราหมณธรรม จึงกล่าวคาถาที่ ๖ ว่า
[๑๙๑๒] ดูกรท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นพราหมณ์ได้อย่างไร เป็นพราหมณ์เต็มที่
ได้อย่างไร ความดับรอบจะมีได้อย่างไร ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม บัณฑิตเรียก
ว่ากระไร?
อุททาลกะเมื่อบอกแก่ท่านจึงกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า
[๑๙๑๓] บุคคลเป็นพราหมณ์ ต้องบูชาไฟเป็นนิตย์ ต้องรดน้ำ เมื่อบูชายัญต้อง
ยกเสาเจว็ด ผู้กระทำอย่างนี้จึงเป็นพราหมณ์ผู้เกษม ด้วยเหตุนั้น
ชนทั้งหลายจึงได้พากันสรรเสริญว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม.
ปุโรหิตได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะติเตียนพราหมณ์ตามที่เขากล่าวจึงกล่าว คาถาที่ ๘ ว่า
[๑๙๑๔] ความหมดจด ย่อมไม่มีด้วยการรดน้ำ อนึ่ง พราหมณ์จะเป็นพราหมณ์
เต็มที่ด้วยการรดน้ำก็หาไม่ ขันติและโสรัจจะย่อมมีไม่ได้ ทั้งผู้นั้นจะ
เป็นผู้ดับรอบก็หามิได้.
ลำดับนั้น อุททาลกะ ถามว่า ถ้าว่าไม่เป็นพราหมณ์ด้วยอย่างนี้ละก็จะเป็นได้อย่างไรกัน จึงกล่าวคาถาที่ ๙ ว่า
[๑๙๑๕] ดูกรท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นพราหมณ์ได้อย่างไร และเป็นพราหมณ์เต็มที่
ได้อย่างไร ความดับรอบจะมีได้อย่างไร ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม บัณฑิตเรียก
ว่ากระไร?
ฝ่ายปุโรหิต เมื่อจะกล่าวแก่เขาก็กล่าวคาถาต่อไปว่า
[๑๙๑๖] บุคคลผู้ไม่มีไร่นา ไม่มีพวกพ้อง ไม่ถือว่าเป็นของเรา ไม่มีความหวัง
ไม่มีบาปคือความโลภ สิ้นความละโมบในภพแล้ว ผู้กระทำอย่างนี้ ชื่อว่า
เป็นพราหมณ์ผู้เกษม เพราะเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงได้พากันสรรเสริญ
ว่า ผู้ตั้งอยู่ในธรรม.
ลำดับนั้น อุททาลกะกล่าวคาถาว่า
[๑๙๑๗] กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล คนเทหยากเยื่อทั้งปวง
เป็นผู้สงบเสงี่ยม ฝึกฝนตนแล้ว ย่อมดับรอบได้ทั้งหมด เมื่อคนทุกๆ
คนเป็นผู้เย็นแล้ว ยังจะมีคนดี คนเลวอีกหรือไม่?
ลำดับนั้น เพื่อจะชี้แจงว่า จำเดิมแต่บรรลุพระอรหัตไป ขึ้นชื่อว่า ความต่ำความสูงย่อมไม่มีแก่เขา พราหมณ์กล่าวคาถาว่า
[๑๙๑๘] กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล คนเทหยากเยื่อทั้งปวง
เป็นผู้สงบเสงี่ยม ฝึกฝนตนแล้ว ย่อมดับรอบได้ทั้งหมด เมื่อคนทุกๆ
คนเป็นผู้เย็นแล้ว ย่อมไม่มีคนดี คนเลวเลย.
ลำดับนั้น เมื่ออุททาลกะจะติเตียนท่านปุโรหิตนั้น จึงกล่าวสองคาถาว่า
[๑๙๑๙] กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล คนเทหยากเยื่อทั้งปวง
เป็นผู้สงบเสงี่ยม ฝึกฝนตนแล้ว ย่อมดับรอบได้ทั้งหมด เมื่อคนทุกๆ
คนเป็นผู้เย็นแล้ว ย่อมไม่มีคนดี คนเลวเลย เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านชื่อ
ว่า ทำลาย ความเป็นเชื้อสายแห่งตระกูลโสตถิยะ จะประพฤติเพศ
พราหมณ์ที่เขาสรรเสริญกันอยู่ทำไม.
ครั้งนั้นท่านปุโรหิตจะเปรียบเทียบให้เขาเข้าใจ จึงกล่าวสองคาถาว่า
[๑๙๒๐] วิมานที่เขาคลุมด้วยผ้ามีสีต่างๆ กัน เงาแห่งผ้าเหล่านั้นย่อมเป็นสีเดียว
กันหมด สีที่ย้อมนั้นย่อมไม่เกิดเป็นสี ฉันใด ในมนุษย์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น
เมื่อใด มาณพบริสุทธิ์ เมื่อนั้น มาณพเหล่านั้นเป็นผู้มีวัตรดี เพราะรู้
ทั่วถึงธรรม ย่อมละชาติของตนได้.
อุททาลกะไม่สามารถ จะนำปัญหามาถามอีกได้ ก็นั่งจำนน ทีนั้นท่านพราหมณ์จึงกราบทูลถึงเขากะพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช พวกนี้ทั้งหมดเป็นผู้หลอกลวง จักพากันทำลายชมพูทวีปทั้งสิ้นเสียด้วย ความหลอกลวงเป็นแท้ พระองค์โปรดให้อุททาลกะสึกเสีย ตั้งให้เป็นปุโรหิต ที่เหลือเล่าก็โปรดให้สึกเสีย พระราชทานโล่และอาวุธ โปรดให้เป็นเสวกเสียเถิด พระราชาตรัสว่า ดีละ ท่านอาจารย์ ได้ทรงกระทำอย่างนั้นแล้ว อุททาลกะเป็นข้าเฝ้าพระราชาไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนเธอก็เคยหลอกลวงเหมือนกันทรงประชุมชาดกว่า อุททาลกะในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุผู้หลอกลวง พระราชาได้มาเป็นอานนท์ ส่วนปุโรหิตได้มาเป็นเราตถาคตแล.

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 13:57:22 น. 1 comments
Counter : 694 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:15:47:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.