ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
การผนวชของเจ้าชายยุธัญชัยและยุธิฏฐิละ

ยุธัญชัยชาดก
ว่าด้วยการผนวชของเจ้าชายยุธัญชัยและยุธิฏฐิละ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการออกมหาภิเนษกรมณ์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรมสภา กล่าวถ้อยคำสรรเสริญพระคุณของพระศาสดาว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าว่า พระทศพลจักเสด็จครองเรือนไซร้ ก็จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ใน ห้องสกลจักรวาล มีรัตนะ ๗ ประการอย่างครบครัน ทรงสำเร็จฤทธิ์ทั้ง ๔ มีพระโอรสกว่าพันเป็นบริวาร พระองค์ ทรงสละพระราชสมบัติอันทรงสิริ เห็นปานนี้ ทรงเห็นโทษในกามทั้งหลาย ทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะเป็นสหาย ออกจากพระนครในเวลาเที่ยงคืน ทรงผนวช ณ ฝั่งแม่น้ำนที มีนามว่า อโนมา ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาตลอด ๖ พระพรรษา จึงได้ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ดังพระประสงค์
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ แม้ในกาลก่อน ก็เคยละราชสมบัติในกรุงพาราณสี อันมีประมาณเนื้อที่ ๑๒ โยชน์ ออกบวชแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สัพพทัต ณ พระนครรัมมะ (ที่จริง กรุงพาราณสีนี้ ในอุทยชาดก มีนามว่า สุรุนธนะ ในจุลลสุตตโสมชาดก มีนามว่า สุทัศนะ ในโสณนันทชาดก มีนามว่า พรหมวัฑฒนะ ในกัณฐหาลชาดก มีนามว่า ปุปผวดี แต่ในยุธัญชัยชาดกนี้ ได้มีนามว่า รัมมะ นามของพระนครนี้ ได้เปลี่ยนไปในกาลบางคราว ด้วยประการฉะนี้) ณ พระนครรัมมะนั้น พระเจ้าสัพพทัตได้มีพระราชโอรสพัน พระองค์ ทรงสถาปนาพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ทรงพระนามว่า ยุธัญชยะ เป็นที่พระอุปราช พระอุปราชนั้นได้ทรงบำเพ็ญมหาทาน ทุก ๆ วัน
ครั้นกาลล่วงไปอย่างนี้ วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ทรงรถอันประเสริฐ แต่เช้าตรู่ เสด็จไปสู่กีฬาในพระราชอุทยาน ด้วยพระสิริสมบัติอันใหญ่ยิ่ง ทอดพระเนตรหยาดน้ำค้างอันติดอยู่อย่างกับตาข่าย ที่ทำด้วยเส้นด้าย ณ ที่ต่าง ๆ มียอดไม้ ยอดหญ้า ปลายกิ่งไม้ และใยแมลงมุมเป็นต้น จึงตรัสถามว่า แน่ะสารถีผู้สหายเอ๋ย นี่เขาเรียกว่าอะไรกัน ก็ทรงได้รับคำตอบว่า ขอเดชะ เหล่านี้ เขาเรียกกันว่าหยาดน้ำค้าง อันตกลงในฤดูหิมะ พระเจ้าข้า
เมื่อทรงเล่นในพระราชอุทยานตลอดวัน เสด็จกลับก็ต่อเมื่อเวลาสายัณห์ มิได้ทรงเห็นหยาดน้ำค้าง เหล่านั้นเลย ตรัสถามว่า สารถีผู้สหายเอ๋ย หยาดน้ำค้างเหล่านี้ ไปไหนหมด บัดนี้ฉันไม่เห็นมันเลย ครั้นเมื่อได้ทรงสดับว่า ขอเดชะ หยาดน้ำค้างเหล่านั้น เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นไปอยู่ ก็ละลายตกลงเหนือแผ่นดินหมดเลย พระเจ้าข้า ดังนี้แล้วก็ทรงสลดพระทัยดำริว่า แม้ชีวิตและสังขารแห่งสัตว์เหล่านี้ ก็เป็นเสมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า เรายังไม่ถูกชรา พยาธิ และมรณะเบียดเบียนเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรจะอำลาพระมารดา พระราชบิดาไปบวชดังนี้แล้ว จึงทรงกระทำหยาดน้ำค้างนั่นแล ให้เป็นอารมณ์ ทรงเห็นภพทั้ง ๓ ประดุจมีเพลิงลุกทั่วไป เสด็จมาถึงพระตำหนักของพระองค์แล้ว ก็ทรงดำเนินไปยังพระตำหนักพระราชบิดา ผู้ประทับนั่งอยู่ ณ วินิจฉัยศาลา อันตกแต่งประดับประดาดีแล้ว ถวายบังคมพระราชบิดา ประทับยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อจะทูลขออนุญาต บรรพชา จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ว่า
[๑๕๕๓] หม่อมฉันขอถวายบังคมพระองค์ ผู้เป็นจอมทัพมีมิตรและอำมาตย์แวด
ล้อมแน่นขนัด ข้าแต่พระทูลกระหม่อม หม่อมฉันจักบวช ขอได้โปรด
ทรงพระอนุญาตเถิด.
ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะทรงห้ามท่าน จึงตรัสพระคาถาที่ ๒ ว่า
[๑๕๕๔] ถ้าเธอยังบกพร่องด้วยกามทั้งหลาย ฉันจะเพิ่มเติมให้เต็ม ผู้ใดเบียด
เบียนเธอ ฉันจักห้ามปราม พ่อยุธัญชัยอย่าเพิ่งบวชเลย.
พระราชกุมาร ทรงได้สดับพระราชดำรัสนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถา ที่ ๓ ว่า
[๑๕๕๕] หม่อมฉันมิได้บกพร่องด้วยกามทั้งหลายเลย ไม่มีใครเบียดเบียนหม่อม
ฉัน แต่หม่อมฉันปรารถนาจะทำที่พึ่ง ที่ชราครอบงำไม่ได้ พระเจ้าข้า.
พระกุมารทูลขอบรรพชาเรื่อย ๆ ด้วยประการฉะนี้ พระราชาตรัส ห้ามว่า อย่าบวชเลยพ่อคุณเอ๋ย พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสกึ่งพระคาถาว่า
[๑๕๕๖] พระโอรสกราบทูลวิงวอนพระราชบิดา พระราชบิดาหรือก็ทรงวิงวอน
พระราชโอรส
พระราชาตรัสกึ่งพระคาถาที่เหลือว่า
พ่อเอ๋ย ชาวนิคมพากันวิงวอนว่า ข้าแต่พระยุธัญชัย
อย่าทรงผนวชเลย.
พระกุมารตรัสพระคาถาที่ ๕ ว่า
[๑๕๕๗] ข้าแต่พระราชบิดาผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่าทรงห้ามหม่อมฉันผู้จะ
บวชเลย อย่าให้หม่อมฉันมัวเมาอยู่ด้วยกามทั้งหลาย เป็นไปตามอำนาจ
ชราเลย พระเจ้าข้า.
เมื่อพระโพธิสัตว์ ได้กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาได้ทรงยอมจำนน ฝ่ายพระราชมารดาของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงสดับว่า ข้าแต่พระเทวี พระโอรส องพระนาง กำลังกราบทูลให้พระราชบิดาทรงอนุญาตการบรรพชาอยู่ เพคะ ตรัสว่า พวกเจ้าพากันพูดเรื่องอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่พระพักตร์ก็มิได้ผัด ประทับนั่งเหนือพระวอทอง รีบเสด็จไปสู่สถานที่วินิจฉัย เมื่อจะตรัสวิงวอน จึงตรัสคาถาที่ ๖ ว่า
[๑๕๕๘] ลูกเอ๋ย แม่ขอร้องเธอ แม่ขอห้ามเธอ แม่ปรารถนาจะเห็นเธอนานๆ
อย่าบวชเสียเลยนะพ่อยุธัญชัย.
พระราชกุมาร ได้สดับพระราชเสาวนีย์นั้นแล้ว จึงตรัสคาถาที่ ๗ ว่า
[๑๕๕๙] น้ำค้างบนยอดหญ้า พระอาทิตย์ขึ้นก็ตกไปฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย
ก็ฉันนั้น ขอทูลกระหม่อมแม่อย่าห้ามฉันเลย พระเจ้าข้า.
แม้เมื่อพระโพธิสัตว์ กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระนางก็คงตรัสอ้อนวอน แล้ว ๆ เล่า ๆ อยู่นั่นเอง ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้า เมื่อจะกราบทูลเตือนพระราชบิดา จึงตรัสพระคาถาที่ ๘ ว่า
[๑๕๖๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเสนา ขอได้โปรดรีบตรัสให้พระมารดาเสด็จขึ้น
สู่ยานนี้เสียเถิด พระมารดาอย่าได้ทรงทำอันตรายแก่หม่อมฉันผู้กำลัง
รีบด่วนเสียเลย.
พระราชาทรงได้สดับพระดำรัสของพระโอรสแล้ว ตรัสว่า นางผู้เจริญ ขอได้ไปเสียเถิด จงประทับนั่งเหนือวอของเธอ ขึ้นสู่ปราสาทอันยังความยินดีให้เจริญเลยทีเดียวเถิด พระนางทรงสดับพระราชดำรัสของพระราชานั้น เมื่อมิอาจจะประทับอยู่ได้ ทรงแวดล้อมไปด้วยหมู่นารี เสด็จไปสู่พระปราสาท ได้ประทับยืนทอดพระเนตรสถานวินิจฉัย ด้วยหมายพระทัยว่า ลูกรักจักเป็นไปอย่างไรเล่าหนอ
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เจ้า เมื่อพระมารดาเสด็จไปแล้ว ทรงอ้อนวอนพระราชบิดาอีก พระราชาเมื่อมิทรงอาจจะห้ามได้ ก็ทรงอนุญาตว่า พ่อเอ๋ย ถ้าเช่นนั้น จงทำใจของเธอให้ถึงที่สุดเถิด พ่อจงผนวชเถิด ในเวลาที่พระราชาทรงอนุญาตแล้ว พระขนิษฐาของพระโพธิสัตว์เจ้า พระนามว่ายุธิฏฐิลกุมาร ถวายบังคมพระราชบิดา กราบทูลขออนุญาตว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ขอพระองค์โปรดอนุญาตการบรรพชาของหม่อมฉันด้วยเถิด พระ พี่น้องทั้งสองพระองค์ ถวายบังคมพระราชบิดา ละกามทั้งหลาย มีมหาชนแวดล้อมพากันเสด็จออกจากสถานที่วินิจฉัย ฝ่ายพระเทวีทอดพระเนตรดูพระมหาสัตว์ ทรงพระกันแสงว่า เมื่อลูกฉันผนวชแล้ว รัมมนครก็จักว่างเปล่า จึงตรัสพระคาถาทั้ง ๒ ว่า
[๑๕๖๑] ท่านทั้งหลายจงช่วยวิ่งเต้นด้วยเถิด ขอความเจริญจงมีแก่ท่านเถิด รัมม
นครจักเปล่าเปลี่ยวเสียแล้ว พ่อยุธัญชัยพระเจ้าสัพพทัตทรงอนุญาต
แล้วละ.
[๑๕๖๒] เจ้าชายองค์ใดเป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ยังกำลังหนุ่มแน่น
เปล่งปลั่งดังทองธรรมชาติ เจ้าชายองค์นั้นมีกำลังแข็งแรง มีผ้านุ่งห่ม
ย้อมฝาดบวชแล้ว.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ยังไม่ทรงผนวชในทันที พระองค์ทรงถวายบังคมพระราชมารดา พระราชบิดาแล้ว ทรงชักชวนพระขนิษฐายุธิฏฐิลกุมาร เสด็จออกจากพระนคร ทรงให้มหาชนกลับไปแล้ว พระพี่น้องทั้ง ๒ พระองค์ ก็เสด็จเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ทรงสร้างอาศรม ณ สถานที่อันน่ารื่นรมย์ใจ ทรงผนวชเป็นฤๅษี ทำฌานและอภิญญาให้บังเกิดได้แล้ว เลี้ยงชีพด้วยผลหมากรากไม้ในป่าเป็นต้น จนตลอดพระชามายุ ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้าแล้ว พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
[๑๕๖๓] เจ้าชายทั้งสององค์ คือยุธัญชัยกับยุธิฏฐิละทรงละทิ้งพระราชมารดาและ
พระราชบิดาแล้ว ทางตัดเครื่องข้องแห่งมัจจุราช เสด็จออกผนวชแล้ว.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลายแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ถึงในกาลก่อน ตถาคตก็ได้เคยละราชสมบัติผนวชแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชมารดาพระราชบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นตระกูลมหาราชในบัดนี้ ยุธิฏฐิลกุมาร ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนยุธัญชัย ก็คือเรา ตถาคตนั่นเองแล.
จบยุธัญชัยชาดก

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved. 




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 12:25:21 น. 1 comments
Counter : 397 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:11:25:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.