ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
มนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์

อัมพชาดก
มนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระเทวทัตบอกคืนอาจารย์ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้า พระสมณโคดมมิใช่อาจารย์ มิใช่พระอุปัชฌาย์ของเรา เลยเสื่อมจากฌาน ทำลายสงฆ์ กำลังมาสู่กรุงสาวัตถีโดยลำดับ เมื่อแผ่นดินสูบไปยังอเวจีมหานรก ณ ภายนอกพระวิหารพระเชตวัน
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตบอกคืนอาจารย์เสีย ถึงความพินาศใหญ่ บังเกิดในอเวจีมหานรก พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตก็บอกคืนอาจารย์เสีย ถึงความพินาศใหญ่แล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ กรุงพาราณสี ตระกูลแห่งปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตตระกูลหนึ่งถึงพินาศไปทั้งตระกูลด้วยอหิวาตกโรค แต่บุตรชายคนหนึ่งหนีจากโรคระบาดนั้นไปได้ เขาไปกรุงตักกศิลา เรียนไตรเพทและศิลปะต่าง ๆ ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมื่อสำเร็จแล้วจึงได้กราบลาอาจารย์ ในขณะที่จะออกไปนั้นเขาคิดว่า เราควรจะต้องรู้จักขนบธรรมเนียมของเมืองต่าง ๆ จึงเที่ยวไปถึงเมืองชายแดนเมืองหนึ่ง หมู่บ้านจัณฑาลหมู่ใหญ่หมู่หนึ่งได้มีอยู่ในเมืองนั้น
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น ท่านเป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาด รู้มนต์ที่จะทำให้มะม่วงมีผลในเวลามิใช่ฤดูกาลได้ ท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ คว้าหาบออกไปจากบ้านนั้น เข้าไปใกล้ต้นมะม่วงต้นหนึ่งในป่า หยุดยืนอยู่ในระยะ ๗ ก้าวร่ายมนต์นั้น สาดต้นมะม่วงด้วยน้ำซองมือหนึ่ง ในขณะนั้นนั่นเอง ใบแก่ๆ ก็ร่วงหล่นลงจากต้น แตกใบอ่อน ออกดอกแล้วร่วงลง ผลมะม่วงก็มีขึ้น โดยครู่เดียวเท่านั้นก็สุก มีโอชาหวานเช่นเดียวกับมะม่วงทิพย์ แล้วก็หล่นจากต้น พระมหาสัตว์เก็บผลเหล่านั้น เคี้ยวกินจนพอความต้องการ เก็บจนเต็มหาบ ขายมะม่วงเหล่านั้นเลี้ยงลูกเมีย
พราหมณ์กุมารนั้นเห็นพระมหาสัตว์ ผู้นำผลมะม่วงมาในเวลามิใช่ฤดูกาลมาขาย จึงคิดว่า ไม่ต้องสงสัยละ อันผลมะม่วงเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นด้วยเดชของมนต์ อาศัยบุรุษนี้เราจักได้มนต์อันหาค่ามิได้นี้ คิดแล้วจึงคอยกำหนดจับลู่ทางที่พระมหาสัตว์นำผลมะม่วงมา ก็รู้ลู่ทางดังกล่าว วันหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์ยังไม่กลับมาจากป่า ก็ได้ไปสู่เรือนของท่าน ทำเป็นเหมือนไม่รู้ ถามภรรยาของท่านว่า ท่านอาจารย์ไปไหน ครั้นภรรยาท่านตอบว่าไปป่า จึงยืนรอท่านอยู่ พอเห็นท่านมาก็ทำการต้อนรับ รับหาบจากมือท่านนำมาวางไว้ในเรือน.
พระโพธิสัตว์มองดูเขาแล้วกล่าวกะภรรยาว่า นางผู้เจริญ มาณพนี้มา เพื่อต้องการมนต์ แต่มนต์จะไม่ตั้งอยู่ในกำมือเขาได้ เพราะเขาเป็นอสัตบุรุษ
ฝ่ายมาณพคิดว่า เราต้องบำเพ็ญอุปการะแก่อาจารย์จึงจะได้มนต์นี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ได้กระทำกิจทุกอย่างในเรือนของท่าน หาฟืน ซ้อมข้าว หุงข้าว ให้น้ำล้างหน้า ล้างเท้า เป็นต้น วันหนึ่งเมื่อพระมหาสัตว์กล่าวว่า พ่อมาณพ เธอจงหาอะไรมาหนุนเท้าเตียงหน่อยเถิด เขามองไม่เห็นสิ่งอื่น ก็เลยเอาเท้าเตียงวางบนขานั่งอยู่ตลอด ราตรี
ครั้นกาลต่อมา ภรรยาของพระมหาสัตว์คลอดบุตร ได้กระทำพิธีบริกรรมในเวลาคลอดบุตรแก่นาง วันหนึ่งนางจึงกล่าวแก่พระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่นาย มาณพนี้แม้จะสมบูรณ์ด้วยชาติ ก็ยังยอมกระทำการช่วยเหลือเรา ด้วยต้องการมนต์ มนต์นั้นจะตั้งอยู่ในกำมือของเขาหรือไม่ตั้งอยู่ก็ตามเถิด ขอท่านโปรดให้มนต์แก่เขาเถิด
ท่านรับคำว่า ดีละ แล้วให้มนต์แก่เขา พลางกล่าวอย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย มนต์นี้หาค่ามิได้ ลาภสักการะอันใหญ่หลวงจักมีแก่เจ้าเพราะอาศัยมนต์นี้ ในเวลาที่เจ้าถูกพระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชาถามว่า ใครเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าอย่าข่มเราเสียนะ ถ้าหากเจ้าอดสูว่าคนจัณฑาลเป็นอาจารย์ของเรา เราเรียนมนต์จากสำนักของคนจัณฑาลนั้น แล้วกล่าวโกหกว่า พราหมณ์ผู้มหาศาลเป็นอาจารย์ของเราไซร้ มนต์นี้จักไม่มีผลเลย
เขากล่าวว่า เหตุไรผมจักต้องข่มขี่เล่า ในเวลาที่ใคร ๆ ถาม ผมต้องบอกอ้างท่านเท่านั้น แล้วกราบลา ท่านออกไปจากหมู่บ้านคนจัณฑาล เขาได้ทำการทดลองมนต์แล้ว ก็เดินทางไปจนบรรลุถึงกรุงพาราณสี โดยลำดับ ได้ใช้มนต์ดังกล่าว ขายมะม่วงได้ทรัพย์มาก.
ครั้นวันหนึ่งนายอุทยานบาลซื้อมะม่วงจากมือของเขาถวายแด่พระราชา พระราชาเสวยมะม่วงนั้นแล้ว ตรัสถามว่าน่าอัศจรรย์ อร่อยอย่างยิ่ง เจ้าไปได้มะม่วงชนิดนี้มาจากไหนละ
เขากราบทูลว่า ขอเดชะ มาณพผู้หนึ่งนำผลมะม่วงทะวายมาขาย ข้าพระพุทธเจ้าซื้อเอามาจากมาณพนั้น พระเจ้าข้า
ทรงรับสั่งว่า จงบอกเขาว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป จงนำผลมะม่วงมา ณ ที่นี้
นายอุทยานบาลนั้นก็กระทำตามที่รับสั่งนั้น ตั้งแต่นั้นมา มาณพก็นำผลมะม่วงทั้งหลายไปสู่ราชสกุล ได้รับทรัพย์เป็นอันมาก ค่อยคุ้นเคยกับราชสกุลโดยลำดับ ครั้นวันหนึ่ง พระราชาตรัสถามเขาว่า มาณพ เจ้านำ มะม่วงอันสมบูรณ์ด้วยกลิ่นและรสถึงปานนี้ในสมัยมิใช่ฤดูกาลมาจากไหน นาค ครุฑหรือเทพเจ้าองค์ใดให้แก่เจ้า หรือไฉน หรือว่าทั้งนี้เป็นกำลังแห่งมนต์
เขากราบทูลว่า ขอเดชะ พระมหาราชเจ้า ใคร ๆ มิได้ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า แต่มนต์อันหาค่ามิได้ของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่ นี้เป็นกำลังแห่งมนต์นั้นพระเจ้าข้า
ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะขอดูกำลังมนต์ของเจ้าสักวันหนึ่ง
เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าจักแสดง ถวายพระเจ้าข้า.
วันรุ่งขึ้นพระราชาเสด็จไปสู่พระอุทยานกับตรัสว่า เจ้าจงแสดงเถิด เขารับพระดำรัสว่า สาธุ เดินเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง ยืนในระยะ ๗ ก้าว ร่ายมนต์วักน้ำสาดต้น ทันใดนั้นเอง ต้นมะม่วงก็เผล็ดผลโดยนัยที่ได้กล่าว มาแล้วในตอนต้นนั่นแหละ ผลมะม่วงร่วงพรั่งพรูเป็นดังมหาเมฆหลั่งกระแสฝน มหาชนพากันให้สาธุการ กันอื้ออึง พระราชาทรงเสวยผลมะม่วงแล้วประทานทรัพย์เป็นอันมากแก่เขา แล้วตรัสถามว่า มาณพ มนต์อันเป็นอัศจรรย์ของเจ้าเช่นนี้ เจ้าเรียนในสำนักของใคร
มาณพคิดว่า ถ้าเราจักทูลว่าในสำนักคนจัณฑาล จักต้องมีความอดสู และคนทั้งหลายจักติเตียนได้ อย่ากระนั้นเลย มนต์ของเราคล่องแคล่วแม่นยำ คงไม่เสื่อมหายไปในบัดนี้ดอก เราจักอ้างอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แล้วกระทำมุสาวาทกล่าวว่า ข้าพระพุทธเจ้าเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในเมืองตักกศิลา พระเจ้าข้า เมื่อเขาทำเช่นนั้นก็เป็นเสมือนบอกคืนมนต์แก่อาจารย์เสีย ทันใดนั่นเองมนต์ก็เสื่อม
พระราชาได้สดับดังนั้นก็ทรงโสมนัสชวนเขาเข้าสู่พระนคร วันรุ่งขึ้นทรงพระดำริว่า เราจักกินมะม่วง จึงเสด็จสู่อุทยาน ประทับนั่งเหนือแผ่นศิลาอันเป็นมงคล ตรัสว่า มาณพ เจ้าจงนำมะม่วงมาเถิด เขารับพระดำรัสว่าสาธุ แล้วเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง ยืนในระยะ ๗ ก้าว คิดว่า เราจักร่ายมนต์ ครั้นมนต์ไม่ปรากฏเช่นเคย ก็ทราบว่ามนต์เสื่อมเสียแล้ว ยืนอดสูใจอยู่
พระราชาทรงพระดำริว่า วันก่อนมาณพนี้นำผลมะม่วงมาให้เราในท่ามกลางฝูงชนทีเดียว ให้ผลมะม่วงร่วงหล่นพรั่งพรูเหมือนฝนลูกเห็บตก บัดนี้ ยืนเหมือนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น นั่นเพราะเหตุอะไรกันเล่าหนอ เมื่อจะทรงถามเขาจึงตรัสพระคาถาว่า
[๑๗๒๕] ดูกรท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ก่อน ท่านได้นำเอาผลมะม่วงทั้งเล็ก
ทั้งใหญ่มาให้เรา ดูกรพราหมณ์ บัดนี้ ผลไม้ทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ
ด้วยมนต์เหล่านั้นของท่านเลย.
มาณพฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า ถ้าเราจักทูลว่า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้า จักถือเอาผลไม้มาถวายมิได้ พระราชาจักกริ้วเรา เราจักลวงพระองค์ด้วย มุสาวาทจึงทูลคาถาที่ ๒ ว่า
[๑๗๒๖] ข้าพระบาทกำลังคำนวณคลองแห่งนักขัตฤกษ์ จนเห็นขณะและครู่ด้วย
มนต์ก่อน ครั้นได้ฤกษ์และยามดีแล้ว จักนำผลมะม่วงเป็นอันมากมา
ถวายพระองค์เป็นแน่.
พระราชา ทรงพระดำริว่า มาณพนี้ แต่ก่อนก็ไม่เคยพูดถึงคลองแห่งนักขัตฤกษ์เลย นี้มันเรื่องอะไรกันเล่า เมื่อจะตรัสถาม ได้ทรงภาษิตคาถา ๒ คาถาว่า
[๑๗๒๗] แต่ก่อน ท่านไม่ได้พูดถึงคลองแห่งนักขัตฤกษ์ ไม่ได้เอ่ยถึงขณะและ
ครู่ ทันใดนั้น ท่านก็นำเอาผลมะม่วงเป็นอันมาก อันประกอบด้วยสี
กลิ่น และรสมาให้เราได้.
[๑๗๒๘] ดูกรพราหมณ์ แม้เมื่อก่อน ผลไม้ทั้งหลายย่อมปรากฏด้วยการร่ายมนต์
ของท่าน วันนี้ แม้ท่านจะร่ายมนต์ก็ไม่อาจให้สำเร็จได้ วันนี้ สภาพของ
ท่านเป็นอย่างไร?
มาณพฟังพระดำรัสนั้นแล้ว คิดว่า เราไม่อาจจะลวงพระราชาด้วย มุสาวาท แม้ว่าเราสารภาพความจริงแล้ว พระองค์คงไม่ลงพระราชอาญา เราต้องสารภาพความจริงเสียเถอะ ดังนี้แล้ว จึงกราบทูล ๒ คาถาว่า
[๑๗๒๙] บุตรแห่งคนจัณฑาล ได้บอกมนต์ให้แก่ข้าพระบาทโดยธรรม และได้
สั่งกำชับข้าพระบาทว่า ถ้ามีใครมาถามถึงชื่อ และโคตรของเราแล้ว
เจ้าอย่าปกปิด มนต์ทั้งหลายก็จะไม่ละเจ้า.
[๑๗๓๐] ข้าพระบาทนั้น ครั้นพระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชนถามถึงอาจารย์
อันความลบหลู่ครอบงำแล้ว ได้กราบทูลเท็จว่า มนต์เหล่านี้เป็นของ
พราหมณ์ ข้าพระบาทจึงเป็นผู้เสื่อมมนต์ เป็นเหมือนคนกำพร้า ร้องไห้
อยู่.
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงกริ้วว่า เจ้านี่ลามกมองไม่เห็นรัตนะถึงอย่างนี้ เมื่อได้รัตนะอันสูงสุดเช่นนี้แล้ว เรื่องชาติจักกระทำอะไรให้ได้ เมื่อทรงติเตียนเขา จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
[๑๗๓๑] บุรุษต้องการน้ำหวาน จะพึงได้น้ำหวานจากต้นไม้ใด จะเป็นต้นละหุ่ง
ก็ตาม ต้นสะเดาก็ตาม ต้นทองหลางก็ตาม ต้นไม้นั้นแล เป็นต้นไม้
สูงสุดของบุรุษนั้น.
[๑๗๓๒] บุรุษพึงรู้แจ้งธรรมจากผู้ใด เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม เป็น
แพศย์ก็ตาม เป็นศูทรก็ตาม เป็นคนจัณฑาลก็ตาม คนเทหยากเยื่อ
ก็ตาม ผู้นั้นก็จัดเป็นคนสูงสุดของบุรุษนั้น.
[๑๗๓๓] ท่านทั้งหลายจงลงอาชญา และเฆี่ยนตีมาณพผู้นี้ แล้วจับมาณพลามกผู้นี้
ไสคอออกไปเสีย มาณพใด ได้ประโยชน์อย่างสูงสุดด้วยความยากเข็ญ
ท่านทั้งหลายจงยังมาณพนั้นให้พินาศเพราะความเย่อหยิ่งจองหอง.
พวกราชบุรุษพากันทำตามพระราชบัญชาอย่างนั้น พากันกล่าวว่า เจ้าไปเถิด เจ้าไปสู่สำนักอาจารย์ของเจ้า ทำให้อาจารย์ของเจ้าชื่นชมได้แล้ว ถ้าเจ้าจักได้มนต์อีก ค่อยมาในที่นี้ ถ้าไม่ได้ก็อย่ามายังทิศนี้เลย เมื่อเขาหมดที่พึ่งก็ได้คิดว่า ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี มีแต่อาจารย์เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้ เราต้องไปหาท่าน ทำให้ท่านชื่นชมขอเรียนมนต์นั้นอีกจนได้ ร้องไห้พลางเดินไปสู่บ้านนั้น
ครั้งนั้นพระมหาสัตว์เห็นเขาเดินมา ก็เรียกภรรยามา กล่าวว่า นางผู้เจริญ เชิญดูซิ เจ้านี่ ชั่วช้า มนต์เสื่อมหมดแล้วกำลังกลับมา เขาไปหาพระมหาสัตว์ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ถูกท่านถามว่า เหตุไรเล่าเจ้าจึงมา
จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ผมทำมุสาวาท มนต์จึงได้เสื่อมไปเสีย ถึงความฉิบหายใหญ่โต เมื่อจะแสดงโทษที่ล่วงเกินแล้ว ขอเรียนมนต์ใหม่ จึงกล่าวคาถาว่า
[๑๗๓๔] บุคคลผู้สำคัญว่า ที่เสมอ พึงตกบ่อ ถ้ำ เหว หรือหลุมที่มีรากไม้ผุ
ฉันใด อนึ่ง บุคคลตาบอด เมื่อสำคัญว่า เชือก พึงเหยียบงูเห่า พึง
เหยียบไฟ ฉันใด ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญา ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าพลาดไป
แล้ว ก็ฉันนั้น ขอจงให้มนต์แก่ข้าพเจ้าผู้มีมนต์อันเสื่อมแล้วอีกสักครั้ง
หนึ่งเถิด.
ลำดับนั้น อาจารย์กล่าวกะเขาว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าพูดอะไร ธรรมดาว่า คนบอดเมื่อมีผู้ให้สัญญาณแล้ว ย่อมหลบหลีกบ่อเป็นต้นได้ เราเล่าก็บอกเจ้าแล้วแต่แรกทีเดียว คราวนี้เจ้าจะมาหาเราเพื่อประโยชน์อะไรเล่า แล้วกล่าว คาถาเหล่านี้ว่า
[๑๗๓๕] เราได้ให้มนต์แก่ท่านโดยธรรม ฝ่ายท่านก็ได้เรียนมนต์โดยธรรม หากว่า
ท่านมีใจดีรักษาปกติไว้ มนต์ก็จะไม่พึงละทิ้งท่านผู้ตั้งอยู่ในธรรม.
[๑๗๓๖] ดูกรคนพาล มนต์อันใด ที่จะพึงได้ในมนุษยโลก มนต์อันนั้น ท่านก็จะ
ได้ในวันนี้โดยลำบาก ท่านผู้ไม่มีปัญญากล่าวคำเท็จ ทำมนต์อันมีค่าเสมอ
ด้วยชีวิต ที่ได้กันโดยยากให้เสื่อมเสียแล้ว.
[๑๗๓๗] เราจะไม่ให้มนต์เช่นนั้นแก่เจ้าผู้เป็นพาล หลงงมงาย อกตัญญู พูดเท็จ
ไม่มีความสำรวม มนต์ที่ไหน ไปเสียเถิด เราไม่พอใจ.
เขาถูกอาจารย์ตะเพิดอย่างนี้ คิดว่าเราจะอยู่ไปทำไม ดังนี้เข้าไปสู่ป่า ตายอย่างน่าอนาถ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็บอกคืนอาจารย์เสีย ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงแล้ว ดังนี้แล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า มาณพอกตัญญู ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัต พระราชาได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนบุตรคนจัณฑาล คือเราตถาคตแล.

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 29 มีนาคม 2564 12:43:03 น. 1 comments
Counter : 727 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 29 มีนาคม 2564 เวลา:15:58:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.