โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 
เ น ป า ล วันที่ 9-เยี่ยมชมวัดวา สถูป ทำใจปลง...ลืม หลง หลอก ยันอินเดีย

เนปาล วันที่เก้า
บันทึกวันที่ 12 มกราคม 2557

ฉันตื่นเช้ามาและลงไปหาชาดื่มเพื่อรอเจ้าของโรงแรมพร้อม เขานอนที่ห้องโถง ฉันลงไปก็ปลุกเขาพอดี

ฉันคาดไว้ก่อนแล้วว่าการนั่งมอเตอร์ไซด์จะต้องหนาวเย็นมาก เตรียมไว้เต็มที่ทั้งถุงมือและเสื้อ รู้สึกสงสารคนขับเหมือนกัน เขาคงหนาวกว่าฉันเป็นแน่

เราไปถึงสวยัมภูแต่เช้า ยังไม่มีคนเก็บค่าเข้า ตอนแรกนึกว่าท้องฟ้าจะไม่เป็นใจแล้วสิแต่พอรอสักพักก็เห็นแสงแดดสาดส่องมาทำให้ได้ภาพที่งดงามทีเดียว

แม้ว่ารอบๆจะมีของฝากน่าซื้อมากมายแต่ฉันไม่มีเงินมากนัก เห็นของฝากรอบๆแล้วนึกขึ้นได้ นี่ฉันไม่ได้ซื้อที่ติดตู้เย็นนี่หว่า ปกติไปประเทศไหนจะซื้อเสมอ

ฉันเดินรอบๆสถูปมีอยู่ช่องหนึ่งที่มีคนอยู่เขาจะเทน้ำในกาให้ทุกคนที่ยื่นมือขอเพื่อดื่มและพรมคล้ายน้ำมนต์บ้านเรา ฉันก็ยื่นมือไปขอด้วย แต่ไม่กล้าดื่มหรอกนะ แปะหน้าและพรมศีรษะเฉยๆ

ฉันใช้เวลาสักพักแล้วเดินลงด้านหน้าแทน ทำเหมือนว่าเดินขึ้นไป ฮาๆๆๆ จะได้ไปดูว่าด้านล่างมีอะไรน่าสนใจบ้าง



ด้านล่างมีพระพุทธรูปปูนใหญ่ห่มผ้าสีแดงสามองค์ มีซุ้มประตู ข้างซุ้มมีห้องบูชาเล็กๆที่มีกงล้อขนาดยักษ์ใหญ่กว่าตัวคนอีก ฉันเห็นคนเดินเข้าไปหมุนกงล้อนั้นตลอดเวลา

ความไม่รอบคอบอย่างนึงของฉันที่ไม่ได้ขอเบอร์โทรพลขับไว้ แต่คิดว่าเขาคงไม่หลงไปทางอื่นแน่ เพราะจุดนัดหมายไม่ใหญ่มากและยังเช้าอยู่คนไม่ค่อยเยอะ ที่นี่เขาบอกว่าเขาเข้ามาด้วยไม่ได้เพราะว่าห้ามคนที่ไม่ได้เป็นไกด์นำเที่ยว เออ...งงนะ ถ้าเป็นเพื่อนกันพาเพื่อนเที่ยวอธิบายเรื่องเล็กๆน้อยๆให้ฟังไม่ได้เหรอ? ฉันยังพาเพื่อนต่างชาติเที่ยววัดพระแก้วออกบ่อย

เราไปกันต่อที่กาญมัณฑุจตุรัส ที่มีพระราชวังหนุมานโดก้า เป็นอาคารทรงยุโรปสีขาว ปรากฎว่าพอไปถึงฉันลืมไปว่าต้องจ่ายค่าเข้า750 รูปี ค้นในกระเป๋ามีแค่ 720 รูปีเท่านั้นเอง หันไปหันมาเจอคุณลามะ(พลขับส่วนตัว) เขามองดูฉันด้วยความสงสารเลยให้ยืมมาห้าสิบรูปี เฮ้อ! ขายขี้หน้าเป็นที่สุด กลายเป็นหมวยตกอับ

ที่นี่คุณลามะเดินไปกับฉันด้วย ตอนเดินเข้าไปมีคนกำลังตีระฆังพอดี ประตูเปิดอยู่มีคนขึ้นไปดูเขาตีระฆัง ระฆังใบใหญ่ดูท่าต้องใช้แรงมากทีเดียว เขาคงทำมานานเสียงระฆังกังวาลไปไกล

เราเดินเข้าไปในจตุรัส พูดเหมือนเดินไกล แต่ทั้งหมดเดินกันไม่ถึงชั่วโมงหรอก แวบเดียวก็รอบแล้ว ที่จดไว้เยอะแลยะว่ามีนั่นมีนี่ก็อยู่ใกล้กัน ไม่เกินร้อยเมตรหรอก เช่นหนุมานโดก้าหรือพระราชวังสีขาวกับบ้านกุมารีก็อยู่ห่างกันแค่ยี่สิบเมตร รูปปั้นหนุมานกับพระอิศวรปางดุร้ายก็ห่างกันประมาณสามสิบ-สี่สิบเมตร เดินไม่กี่นาทีก็รอบแล้ว ตอนค้นในเน็ตนึกว่าอยู่ไกลกัน ยังนึกอยู่ว่าจะไปครบได้ไง แต่ไอ้ที่คิดว่าใกล้กับไกล เช่น สวยัมภู เห็นบอกว่าห่างไปแค่สองสามกิโลเมตร ยังนึกว่าเดินไปก็ได้นะเนี่ยแต่เอาเข้าจริงทางคดเคี้ยวไปมา ใช้เวลาเหมือนกัน

ในจตุรัสมีนกพิราบเต็มไปหมด เต็มไปหมดจริงๆ บนลาน(เล็กๆ)มีคนเดินฝ่าฝูงนกเข้าไปยืนถ่ายรูปเป็นระยะ ฉันถามคุณลามะว่าตอนที่ไข้หวัดนกระบาดผู้คนที่นี่ทำอย่างไร เขาให้คำตอบว่า... ผู้คนที่นี่...ยังกินไก่เหมือนเดิม 555

พอคนเดินเข้าไปที่ลาน นกพิราบก็กระจายที เขามีขายอาหารไว้เลี้ยงนกด้วย เห็นมีคนเดินมาเทอาหารไว้ในกะละมังเรื่อยๆ มันไม่อ้วนตายกันบ้างหรือไงหนอ กินกันทั้งวัน-_-

อีกด้านหนึ่งของลาน(เล็กๆ)เป็นพระอิศวรปางดุร้าย มีผู้คนซื้อของสักการะกราบไหว้อย่างต่อเนื่อง คุณลามะพาฉันเดินไปดูรอบๆ มีรูปปั้นหนุมานซึ่งไม่เข้าใจว่าเป็นหนุมานตรงไหนไม่เห็นเลย พันผ้าไว้ตลอด รู้ได้ไงว่าเป็นหนุมานหว่า?

ตอนเดินเลียบมาด้านหนึ่งมีนกตัวหนึ่งถูกรุมทำร้าย เหมือนตัวผู้พยายามผสมพันธุ์แต่ตัวเมียนั้นดูอ่อนแรงมาก คุณลามะพยายามไล่ตัวผู้นั้นไป เขาบอกว่าตัวเมียนั่นใกล้ตายแล้ว เหมือนตัวเมียนั้นจะรู้ว่าเขาปกป้องมัน มันเดินเข้ามาอยู่ใกล้เขา ฉันรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยเช่นเดียวกับคุณลามะ เพราะเรารู้ว่าไม่สามารถอยู่ช่วยมันได้ตลอด มันไม่สามารถไปสู่ความตายด้วยความสงบได้ คงต้องทรมานและเจ็บปวดจากการจิกตีจากนกตัวผู้นั้น มันเป็นวิถีธรรมชาติ ต้องเป็นไปเช่นนั้น

เราเดินต่อไปที่บ้านกุมารี เขาบอกว่านานๆทีกุมารีก็จะออกมา แต่ด้านในมีป้ายห้ามถ่ายรูป มีไกด์บางคน(มารวมกันเป็นหลายคน) พยายามมาอธิบายว่าถ้ามีหลายๆคนเรียกหา กุมารีจะออกมาทัก แล้วก็เหมือนจะบอกกลายๆว่าถ้าต้องการความช่วยเหลือในการเชิญกุมารีออกมาก็ให้เขาเป็นไกด์สิ ฉันผินหน้าไปหาคุณลามะ เขาบอกว่าไม่มีทางหรอก กุมารีไม่ใช่ของเล่น มีคนเรียกแล้วก็ออกมานะ

กุมารีจะถูกเลือกจากเด็กหลายๆคน(ไม่แน่ใจว่ายังไง แต่จะดำรงตำแหน่งกุมารีไปจนมีประจำเดือน เขาบอกว่าเด็กที่เป็นกุมารีก็จะไม่แต่งงาน แม้ว่ามันเป็นประเพณีแต่ก็น่าสงสารเด็กคนนั้น ไม่มีวันที่จะได้เติบโตในสิ่งแวดล้อมเหมือนเด็กคนอื่น แต่ถ้ามองในวัฒนธรรมของเอเชียที่เด็กผู้หญิงไม่ค่อยได้รับความสำคัญมากนัก การได้รับเลือกเป็นกุมารีก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเด็กและครอบครัว

เราเดินไปดูลานขายของ ฉันไม่ค่อยสนใจสิ่งเหล่านี้เท่าไหร่ ฉันรู้ว่าใครๆคงชอบ มันดูเป็น...จิตวิญญาณ แต่สำหรับฉัน...หลังจากได้ศึกษาโยคะ...จักรวาลอยู่ในตัวฉัน ตัวฉันอยู่ในจักรวาล ฉันจึงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นอกจากมองว่ามันเป็นศิลปะการออกแบบจากหัวใจของศิลปินมากกว่า

ฉันมองหาวัดตะเลชู ปรากฎว่ามันต้องเดินไปอีกด้านนึง เดินออกไปข้างนอก วัดตะเลชูเชื่อว่าสร้างมาจากต้นไม้ต้นเดียว ซึ่งมันเกินกว่าจะเชื่อไหว วัดหลังใหญ่มากเลยนะนั่น

จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ Boudha ทั้งสามที่ที่ไปวันนี้เหมือนเป็นรูปสามเหลี่ยม ระยะทางไม่ถึงกับมาก

ฉันไปถึงสถูปพุทธะ(ไม่รู้ว่าคนไทยจะเรียกอย่างนี้รึปล่าว) คุณลามะไปจอดรถ ปล่อยฉันลงข้างหน้า บอกว่าจะไปเจอข้างใน ฉันยืนๆมองอยู่ข้างนอก ซวยละหว่า เสียเงินอีก150 รูปี ทำไงเนี่ย เห็นข้างๆมีเอทีเอ็มเลยต้องเข้าไปกดเงินออกมาซะแล้ว

ฉันเดินเข้าไปข้างในเห็นมีพิธีสวดมนต์กันอยู่ มีพระและเณรรวมถึงลูกศิษย์เต็มเลย รุ้สึกจะครบรอบ15 ปีของชาวเนปาลอะไรสักอย่าง

ฉันนัดกับคุณลามะว่าอีกสิบห้านาทีเจอกันเพราะคุณลามะห่วงรถ เนื่องจากมันไม่ได้มีที่จอดรถเฉพาะ ฉันคิดว่าสิบห้านาทีก็โอเค เพราะคงไม่มีอะไรมากเนื่องจากขึ้นไปด้านบนไม่ได้รอบ เขามีพิธีอยู่

ฉันคิดผิดเพราะด้านหลังเป็นทางขึ้นมีจุดไหว้สักการะ มีคนพยายามขายธงขายธูปต่างๆ ฉันไม่ได้ใส่ใจมาก เพียวแค่ยืนนิ่งๆพนมมือก็สงบแล้ว(ไม่ค่อยมีตังค์อ่ะ)

ฉันพยายามเดินเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเพื่อจะได้ภาพสวยๆ แต่ก็เกรงใจเนื่องจากเดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่รู้ประเพณีเหรอ เขาเขียนป้ายอยู่ว่าห้ามเข้า แต่พอเห็นชาวต่างชาติบางคนเดินเข้าไปเลยอดไม่ได้ที่จะเข้าไปมั่ง แต่ก็เดินไปอย่างสงบและเคารพ และหามุมที่จะให้ได้ภาพสวยๆมากที่สุด แต่ก็ไม่อยากเดินไปจนรอบสถูปเลยเดินย้อนกลับ เพราะได้เวลานัดกับคุณลามะแล้ว และเดี๋ยวจะไปไม่ทันขึ้นเครื่อง

เรากลับไปถึงที่พักประมาณสิบเอ็ดนาฬิกา ฉันเก็บของให้เสร็จอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งไปหาพี่หนึ่งเพื่อจะบอกลาและถ่ายรูปกับพี่ๆเขา วันนี้อยู่กันครบเลย ฉันเล่าเรื่องราวในทริปให้ฟังสั้นๆและบอกว่าเดี่ยวไว้ค่อยอ่านจากในบล็อกละกัน เพราะเดี๋ยวตกเครื่อง พี่หนึ่งออกมาพร้อมฉันและบอกว่าจะพาไปเลี้ยงข้าว เออนี่ฉันไม่ได้เอารายได้มาให้เท่าไหร่ยังอุตส่าห์ให้พี่เขาเลี้ยงข้าวอีก อนาถแท้-_-

ฉันออกไปหาที่ติดแม่เหล็กอย่างรวดเร็วในร้านโปสการ์ด จากนั้นก็พาพี่หนึ่งไปดูห้อง เพราะบางทีคนไทยต้องการความสบายทุกที่ที่ไปเที่ยว แม้ว่าจะดีมากแล้วแต่บางทีคนไทยคาดว่าห้องดีๆจะเหมือนโรงแรมหรูแต่สามารถจ่ายในราคาถูก แต่สำหรับฉันอะไรก็ได้ ไม่เรื่องเยอะ แค่อยู่รอดก็พอแล้ว ไม่ได้อยู่ตลอด

พี่หนึ่งพาทานข้าวฝั่งตรงข้าม เรานั่งคุยไปด้วยขณะรออาหาร พี่เขาอยู่ที่นี่มาเกือบเก้าปี-สิบปีแล้วเพราะสามีและลูกก็ทำงานที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นเหมือนเจ้าแม่อยู่ที่เนปาล ใครมีอะไรก็ให้ความช่วยเหลือตลอด นับว่าโชคดีที่ได้มาเจอพี่เขา ไม่มีใครจะเข้าใจเท่ากับคนที่พูดภาษาเดียวกันหรอก คิดถึงเมืองไทยจัง

ฉันรีบขึ้นรถแท๊กซี่หลังจากลาพี่หนึ่งด้วยความเร่งรีบ เพราะกลัวจะไปไม่ทัน วันนั้นฉันคงมีโชคร้ายมากมายเพราะเจอรถติด นั่งไม่ติดที่เลย เพราะเหลืออีกแค่หนึ่งชั่วโมงถึงไปถึงสนามบิน ไปถึงเจ้าหน้าที่บอกว่าเคาท์เตอร์ปิดไปสิบห้านาทีแล้วนะ แต่ก็มีชาวต่างชาติอีกสองสามคนเข้ามาเช็คอินเช่นกัน ปรากฎว่าเขาขอเช็คน้ำหนัก น้ำหนักกระเป๋าขึ้นเครื่องเกินไปหลายกิโล เจ้าหน้าที่แอบขอเงินเล็กน้อย ด้วยความรีบ ฉันไม่รู้ว่าควรให้มั๊ยแต่ด้วยความเร่งรีบเขาเรียกมาสามร้อย ฉันบอกว่าไม่ถนัดหยิบ มีอยู่แค่ 90 รูปีเอาปะปรากฎว่าแขกรีบคว้าแล้วรีบไล่ฉันไปจากเคาท์เตอร์ เออหนอ...ใต้โต๊ะมีทุกที่เลย อยากทำให้ถูกขบวนการเหมือนกัน แต่เราก็รีบ เขาก็รีบ ไม่มีเวลาแล้ว

หลังจากนั้นฉันนึกว่ายังมีเวลาอีกสี่สิบห้านาที ปรากฎว่าเขาให้รีบๆขึ้นเครื่อง วิ่งแทบไม่ทัน ปวดฉี่ด้วย สงสัยต้องไปขึ้นบนเครื่องละหว่า

ปรากฎว่า...ที่ต้องรีบไปขึ้นเครื่องเพราะว่ามีการตรวจกระเป๋าตรวจตัวกันอีกรอบ อะไรวะเนี่ย...สแกนแล้ว ลูบไล้ก็แล้ว ยังไม่พอเหรอเนี่ย!!! จากจุดนี้เองเมื่อหมวยได้ย้อนกลับไปคิด พบว่าหมวยสูญภาพทังก้าที่ซื้อมาเกือบหกพันบาทไปตรงไหนไม่รู้ เศร้าใจโคตร ตั้งใจเอามาฝากเพื่อนที่ช่วยดูแลบ้านให้ด้วย เอาที่ติดตู้เย็นไปละกันเพื่อนเอ๋ย T^T

ฉันได้ที่นั่งตรงกลางของฝั่งขวา ระหว่างสาวชาวเนปาลริมหน้าต่างและหนุ่มอินเดียฝั่งริมทางเดิน นั่งไปก็บิดไป เมื่อไหร่เครื่องจะออก อยากเข้าห้องน้ำเหลือเกิน

พนักงานบริการบนเครื่องให้กรอกแบบฟอร์มคนเข้าเมือง ฉันจะหยิบปากกาออกมาก็จะได้เวลาเครื่องออกพอดี สาวเนปาลข้างๆให้ฉันช่วยกรอกแบบฟอร์มให้ ฉันพยักหน้าตอบรับไป พอเครื่องขึ้นได้สักพักฉันก็กรอกแบบฟอร์มเสร็จ ปรากฎว่าหนุ่มญี่ปุ่นเยื้องไปข้างหน้าขอยืมปากกา หนุ่มอินเดียก็หันมาขอยืมด้วย ฉันโวยวายเล็กน้อย "เฮ้ย พวกยูไม่เตรียมปากาไว้กับตัวบ้างเหรอ?" ฉันบอกว่าจะให้แต่ขอให้เสร็จจากสาวเนปาลก่อน เพราะรับปากไว้ แต่ฉันไม่อยากให้เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เลยบอกเธอว่าต้องกรอกอะไรบ้างและให้เธอเขียนเอง มีความเป็นไปได้ว่าเธอจะอ่านไม่ค่อยออก กว่าจะเสร็จก็นานเชียว เพราะเธอเขียนโย้ไปมา จากนั้นจึงส่งต่อปากกาไปให้หนุ่มญี่ปุ่นและหนุ่มอินเดีย

ฉันเล็งๆดูห้องน้ำว่าเมื่อไหร่จะว่าง เห็นขึ้นสัญลักษณ์แดงตลอด พอจะไปเข้าอีกทีก็เสริฟ์อาหารอีก โดนบล็อกไปเข้าไม่ได้สักที กว่าจะได้เข้าก็ปาไปนานโข ฉันไม่ได้สั่งอะไร เพราะอันนี้สายการบินราคาถูก ไม่มีอาหารให้ จากนั้นได้นั่งมองเทือกเขาครั้งสุดท้าย ลาก่อนเนปาลและหิมาลายา ฉันจะกลับมาหาเธอแน่นอน

ฉันไปถึงประเทศอินเดียในเวลาไม่ช้าไม่นาน ช่างต่างจากสนามบินเนปาลยังกับหน้ามือหลังมือ มาเจอส่วนของตม. ด้านบนกำแพงเป็นรูปมุทราต่างๆ มีทั้งหมด 12 แบบ สวยงามมาก ผ่านตม.มาอย่างง่ายดายเพราะยังมีวีซ่าที่มาครั้งก่อนในเล่ม มีส่วนขายของดิวตี้ฟรีมากมาย

ฉันนึกว่าจะหาเวลานั่งพักอยู่ที่นี่สักหน่อย ปรากฎว่าไวไฟในสนามบินเดลีนั้นจะได้ฟรีก็ต่อเมื่อคุณมีซิมการ์ดอยู่กับตัวและใช้อยู่ กูละมึนแขก สนามบินสวยงาม ไม่เอื้อชาวต่างชาติเลย

ฉันลืมถามว่าแท๊กซี่สนามบินเท่าไหร่ แต่ตัดสินใจลองของใหม่ ไปรถไฟใต้ดินดีกว่า

ส่วนหนึ่งฉันพบว่าคิดผิด เพราะของฉันเยอะ ต้องปลดเพื่อผ่านเครื่องสแกนตลอด ไม่สะดวกเลย ถ้ามากระเป๋าเลื่อนก็โอเคอยู่ แต่ค่ารถไฟไปนิวเดลีถูก แค่150 รูปี(ประมาณ80 บาทไทย-เฮ้ย แพงกว่าของไทยนะเนี่ย!) ตอนไปต่อจากนิวเดลีไปสถานนีแคชเมียร์ห่างไปประมาณสี่สถานีแค่สิบรูปี (เฮ้ยยยยย อันนี้ถูกโคตร!!) แต่ว่าคนเต็มขบวนเลยอ่ะ แบกกระเป๋าใหญ่ๆนี่ไม่สะดวกเลย อยากออกไปนั่งแท๊กซี่จริงๆ

ฉันไปถึงสถานที่เพื่อหาบริษัทที่ฉันจองรถไว้ ทางออกตรงกับอู่รถเมล์พอดี ฉันสับสนมาก หาคนช่วยโทรไปหาเบอร์ติดต่อ ก็ไม่ติด ฉันสับสน มันเขียนว่า เกท-1 ห้องที่ยี่สิบ มีคนชี้ให้เดินลงไปตามช็อปที่อยู่ด้านล่างก็เห็นมีแค่ 8 ห้องแล้วก็เป็นทางเดินขึ้น งงโคตร ต้องไปอีกทางก้เขียนว่าเกท-2 แต่ห้องยี่สิบอยู่ฝั่งนี้ เลยไม่แน่ใจว่าควรไปทางไหนดี

ฉันแบกกระเป๋ารวมแล้วสามสิบกว่ากิโลเดินขึ้นลง เหนื่อยกว่าเดินบนเขาห้าวันอีก เซ็งเป็ด กว่าจะหาคนช่วยได้ เขาบอกว่าบริษัทที่ฉันหานั้นมีตัวตนเฉพาะบนเน็ตไม่มีที่อยู่จริงหรือออฟฟิชที่นี่ งงเลย แต่ชายคนหนึ่งของอีกบริษัทยืนยันว่ารถจะมาที่นี่ ฉันจะไม่ตกรถแน่นอน

ฉันเลยไปหาแฮมเบอร์เกอร์กินแถวนั้นชุดละ60 รูปี นั่งเขียนบล็อกเพลินๆแล้วก็กลับมาเพราะยังอีกหลายชั่วโมง

ท่าทางโทรศัพท์ฉันจะชอบอินเดีย เพราะไปฮ่องกง ไปบาหลี ไปเนปาล ไม่สามารถจับสัญญาณชาติเขาได้ พอมาอินเดีย มีสัญญาณซะงั้น -_- ท่าทางชอบถูกแขกหลอกจริงๆ

และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นรถ มีแขกคนหนึ่งวิ่งมาพาฉันไปที่รถบัส ฉันเดินข้ามฝั่งถนนไป เออ เดินเข้าซอยไปตั้งเยอะ แล้วกูจะรู้มั๊ยว่ามาจอดตรงนี้น่ะ!

ฉันโดนหลอกอีกแล้ว ไม่น่าจองบนเน็ตเลย น่ามาซื้อตั๋วที่นี่โดยตรงมากกว่า เพราะรถที่จะเป็นบัสใหญ่กลับไม่ใช่ ที่ควรเป็นA/C ก็ไม่ใช่ กลายเป็นรถเล็กๆ นั่งอยู่สักพักก็มีชาวต่างชาติอีกสี่คนเดินมาขึ้นรถเหมือนกัน เห็นเขาคุยกันว่าไปฤาษีเกศเลยวางใจว่าไม่ผิดคัน

รถคันเล็กคับแคบ ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ปกติฉันไม่เดินทางด้วยบัส จะชอบรถไฟมากกว่า หนนี้คงเป็นกรรมของฉัน ดันเลือกรถบัส นี่ถ้าเลือกรถไฟจะได้นอนสบายแน่นอน

รถบัสหนาวเย็น นั่งไม่สบายขดไปมา ปวดสะโพกและขามาก มีหยุดพักให้เข้าห้องน้ำแต่ฉันไม่ลง เพราะไม่ปวด และถ้าจะเข้าก็ลมแรงและเย็น ไม่อยากเปิดก้นให้ลมหนาวสัมผัสเลย!

รถบัสเขย่าไปเขย่ามา มีจอดให้คนลงบ้างเป็นจุดๆ แล้วอยู่ดีรถก็จอดสนิท ชาวอินเดียต่างเดินลงจนหมดเหลือชาวต่างชาติสี่คน อาหมวยอีกหนึ่งนั่งงงเป็นไก่ตื่น มองนาฬิกาเพิ่งตีห้าสิบห้า นี่ถึงฤาษีเกศแล้วเหรอ ไหนตารางบอกว่าถึงตีห้าสี่สิบห้า ปรากฎว่าเป็นปรากฎการหลอกหมู่ รถคันนี้มาแค่หริทวาร!

ฉันกับหนุ่มต่างชาติสองคนลงมายืนงง ไม่รู้ทำอย่างไรดี ดีว่ามีหนุ่มต่างชาติอีกคนมากับคนรัก โวยวายใส่คนขับ บอกว่าจะฟ้องตำรวจ เพราะซื้อตั๋วไปฤาษีเกศ มาปล่อยทิ้งที่นี่ได้ยังไง คนขับกับลูกน้องเห็นท่าจะไม่ดี พอดีมีคนอินเดียอีกคนเป็นนักท่องเที่ยวด้วยช่วยเจรจา เขาเลยให้เราขึ้นรถใหญ่อีกคันไปลงที่ใกล้ที่สุด ใกล้ยังไงก็ยังห่างตั้งสิบกิโลเมตร แต่เอาวะ ดีกว่ายี่สิบห้ากิโลเมตรละกัน

พอไปถึงจุดลงจอด ทุกคนรวมทั้งชาวอินเดียผู้น่ารักคนนั้นก็ลงด้วย ทราบชื่อทีหลังว่าชื่อปัญกาต เขาคุยกับคนขับริกชอว์แถวนั้นที่เดินปรี่เขามาเมื่อเห็นชาวต่างชาติหน้าตาซื่อบื้อ หวังว่าจะได้เชือดไก่สบายๆ แต่ไม่รู้ใครทำใครงงกันแน่ ตอนแรกบอกว่าคิดคนละ สองร้อยห้าสิบรูปีเพื่อไปสงที่ตัวเมือง ทำไปทำมาถึงตัวเมืองฤาษีเกศแขกคนขับขอเป็นสามร้อยแล้วจะไปส่งทุกคนตามสถานที่ที่ต้องการ ทำเอางง หนุ่มต่างชาติกระซิบ นี่จะขึ้นราคาไปอีกเท่าไหร่นะกว่าจะถึงที่น่ะ

ปรากฎว่าฉันจ่ายแค่ 60 รูปี จากไอ้ที่เข้าใจว่าคนละสามร้อยรูปี กลายเป็นทั้งหมดสามร้อยรูปี เฉลี่ยห้าคนๆละหกสิบรูปี อาหมวยรีบควักจ่ายเลย เอาไปๆ

ฉันมาลงที่สะพานเดินข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง เพราะถ้าให้เข้าถึงที่จริงๆต้องอ้อมไปอีกทาง ไม่เป็นไร เขาบอกว่าใกล้สุดแล้ว หนุ่มๆช่วยฉันขนของลงมาทำหน้าเหยเกร้องออกมา นี่ยูขนมาได้ไง หนักมาก!! เออ ถามมากูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันถึงคราวจำเป็นต้องแบกไง!

ฉันแบกของทั้งหมดสามสิบสามกิโลกรัมเดินข้ามแม่น้ำคงคา ระยะทางสักร้อยเมตร ใจจะขาดให้ได้ พอข้ามไปถึงถามหาอาศรม ดีว่ามีชายคนหนึ่งออกมาเดินเล่นตอนเช้าและกำลังกลับพอดี บ้านเขาอยู่ใกล้ๆ เขาเห็นฉันท่าทางกำลังจะตายในไม่ช้าเลยช่วยฉันถือกระเป๋า ฉันขอบคุณเขามากมายและเล่าเรื่องถูกหลอกให้นั่งรถมาลงไม่ถึงที่หมาย เหนื่อยและหนาวมากตอนนี้

แม้ว่าอาจจะไม่หนาวเหมือนในเนปาลแต่ร่างกายที่อ่อนล้า กล้ามเนื้อสั่นกราวทำให้ไม่สามารถทนต่อความหนาวได้จึงทำให้อากาศธรรมดาก็หนาวมากได้

เขานำฉันมาส่งยังที่หมาย Rishikesh Yoga Peeth (Krishna Resort) มาทราบว่าที่นี่มีหลายรีสอร์ต มี Shiva , Krishna, Sarika , PTP(อันนี้ไม่รู้ย่อมาจากอะไร)และยังมีอีกที่ที่จะเป็นอาศรมใหม่สร้างอยู่บนเขาด้วย

เจ้าหน้าที่พาฉันไปที่ Shiva Resort และเข้าห้องพัก เขาบอกว่าคงฝึกเช้าไม่ทัน ให้รอลงทะเบียนตอนสิบเอ็ดโมง ฉันเดินเข้าเดินออกมาถามวิธีการใช้เครื่องทำน้ำร้อนบ้าง เห็นมีไวไฟก็ออกมาถามอีก เจ้าหน้าที่คงรำคาญพิลึก

ฉันรีบเข้ามาจัดการจะอาบน้ำ แต่น้ำร้อนที่นี่เป็นหม้อต้มน้ำ ไม่ใช่เครื่องทำน้ำอุ่นแบบที่บ้านที่จะร้อนทันควัน แต่ต้องต้มน้ำในหม้อสักพักถึงจะร้อนและใช้ได้

ฉันอาบน้ำอุ่นด้วยความสดชื่น เช็คและส่งข้อความหาบุคคลในครอบครัว บอกว่าปลอดภัยดี ถึงที่หมายแล้ว นั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ

....ฉันยังมีชีวิตอยู่!....

หมายเหตุ...จบภาคการเดินทางท่องเที่ยวเนปาล ต่อไปเป็นบันทึกการเรียน หรือเรียกว่า การเดินทางทางจิตวิญญาณ อาจไม่ใช่เรื่องราวการใช้ชีวิตในอินเดียที่ละเอียดอะไรมากนะ เนื่องจากไม่ได้เดินทางไปไหนอยู่แต่ในอาศรม และการอธิบายปรัชญาอาจต้องใช้เวลา แต่ถ้าสนใจก็คอยติดตามได้นะคะ จะไม่อยู่ในกรุ๊ปท่องเที่ยวค่ะ

นมัสเต


Create Date : 24 มกราคม 2557
Last Update : 24 มกราคม 2557 7:38:57 น. 0 comments
Counter : 1438 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.