โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 
น มั ส เ ต เ น ป า ล วันที่ 2 ชิวๆที่โพครา

เนปาลวันที่สอง
บันทึก 5 มกราคม 2557

ตื่นเช้ามาด้วยตาโหลๆโทรมๆ ไม่รู้โทรมรึปล่าว เพราะห้องไม่มีกระจก แต่คงโทรมแหละ ทั้งแมวทะเลาะกัน ทั้งฝันร้ายและอากาศหนาว พยายามแพคของให้เร็วที่สุด เพราะรู้สึกว่าออกจากโรงแรมช้ามากแล้ว เพราะดันเข้าใจผิดว่าเวลาบินเป็นแปดโมงครึ่ง มาเปิดดูอีกที อ้าว! แปดโมงสิบห้านี่หว่า เอาอีกแล้วฉัน จะฉิวเฉียดกันตลอดเลยใช่มั๊ยทริปนี้!! จะต้องตกเครื่องให้ได้แบบที่ฝันเลยใช่มั๊ยเนี่ย!!!

ออกมาหน้าโรงแรม แท๊กซี่บอกว่ายังมีเวลา สบายใจได้ นี่ฉันควรจะเชื่อไหมเนี่ย! เชื่อแขกจะกลายเป็นหมารึปล่าวหว่า! พอไปถึงหน้าสนามบินที่หน้าตาดูเหมือนโรงนายังไงไม่รู้ ยังไม่ทันได้จ่ายเงินก็มีแขกกรูเข้ามาหาที่รถ เปิดประตูให้เสร็จสรรพ ถามจะไปโพคราใช่มั๊ย ไอ้เราก็งง ควักกระเป๋าเงินอยู่หันไปตอบว่า ใช่ แขกท่าทางใจดีหลายๆ รีบถามมา "ช่วยยกกระเป๋ามั๊ย?" ฉันรีบหันไปบอกว่าไม่เป็นไร ยกเองได้ เท่านั้นเอง แขกใจดีหายไป ปิดประตูซะงั้น ดีนะที่ไม่โดนขา กำลังยื่นขาออกไปเชียว! หันไปบ่นกับคนขับรถ ทำไมชอบยุ่งกับกระเป๋ากันนักวะ คนขับรถหันมายิ้มพร้อมกับรับเงินจากมือ "ก็เขาอยากได้ทิปนี่จ๊ะนายจ๋า" นึกในใจ...นี่กำลังบอกฉันเป็นนัยๆด้วยใช่มั๊ยเนี่ย!

แม้ว่าสนามบินจะเล็กแต่ก็ต้องมีผ่านเครื่องสแกน ตอนไปถึงมีกองถุงใหญ่มากวางเรียงบนแท่น และยังมีนอกแท่นอีกเพียบ! ต้องหันไปถาม...ขอก่อนได้มั๊ย? แขกอนุญาตแบบงงๆ แล้วก็ขยับให้นิดนึง พอดีกับแท่นเริ่มเดินอีกครั้ง วางกระเป๋าแทบไม่ทัน แล้วเดินผ่านมายังมาโดนเจ้าหน้าที่ลูบไล้ทั้งตัว ไม่ทันได้ตั้งตัว มันแตะหน้าอกด้วย ดีนะใส่ไว้สี่ชั้น! แล้วก็ไม่มีอะไรให้สะใจหรอกพ่อคุณ! (นี่ฉันดีใจอะไรวะเนี่ย!)

เดินเข้ามาด้วยหน้าตาตื่นๆ รีบเร่งเล็กน้อย กลัวไม่ทันเช็คอิน แต่ดูแขกเย็นใจเหลือเกิน หรือจะมีสโลแกนว่า...เย็นใจ..ต้องเยติแอร์ ปรากฏว่าพอผ่านเครื่องตรวจอีกก็มีเจ้าหน้าที่ลูบไล้อีกแล้ว ดีที่หนนี้เป็นผู้หญิง จะพิสูจน์อะไรกันนักกันหนาเนี่ย คราวหน้าจะใส่ซีทรูมาเลยนะ เห็นกันจะจะ!

พอมาถึงด้านใน รีบไปถามเจ้าหน้าที่ด้านหน้า...เจ้าหน้าที่ชูมือ รอก่อนนะโยม!แล้วชี้มือไปที่ทีวี โห! ไฟล์ทฉัน...แปดโมงสิบห้าเลื่อนไปเก้าโมง! เหลือบไปด้านบนเห็นข้อความ...Fly on Time ออนไทม์จริงๆ

เลยเดินไปหาที่วางกระเป๋าแล้วก็ซื้อชานมมาดื่มซะหน่อย อะไรในสนามบินก็ดูจะหลายตังค์ไปหมด ไม่ว่าจะสนามบินใหญ่ๆ หรือสนามบินโรงนาเช่นนี้ แต่ดีว่าในโรงนานี้มีสัญญาณไวไฟด้วย ฮิ้ววววว ได้นั่งเม้าท์พอประมาณ แชทบ้าง อ่านสถานะเพื่อนๆบ้าง กดไลท์บ้าง เงยหน้ามาอีกที เวร!บอร์ดทีวีเปลี่ยนเวลาจากดีเลย์ไปเก้าโมงเป็นสิบโมง ระหว่างนั้นก็มีเสียงขานขึ้นเครื่องไปเมืองอื่นๆ สำเนียงฟังเข้าใจยากหลาย ขนาดเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจยังงงๆ ฟังไปได้ห้าหกเที่ยวถึงเก็ทว่าขานสายการบินอะไร โธ่เอ๋ย ว่าจะหลับซะหน่อย พาลเอาหลับไม่ค่อยลง กลัวฟังผิดแล้วตกเครื่อง ซึ่งก็พบว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่ฟังไม่รู้เรื่อง มีฝรั่งที่นั่งด้านหลังบ่นเหมือนกัน....กำลังขานสายการบินอะไรวะ 555 อันนี้คงไม่ใช่ความอ่อนด้อยของภาษาของฉันซะแล้ว ท่าทางคงเป็นเพราะสำเนียงแขกเป็นแม่นมั่น

ว่าแล้ว ไม่นานฉันก็เริ่มคอตกเหมือนหลายๆคนที่เริ่มเข้าญาณ สะดุ้งเป็นพักเมื่อได้ยินเสียงขานขึ้นเครื่อง เงยหน้ามามอง อ้าว!เปลี่ยนอีกแล้ว! กลายเป็นสิบเอ็ดโมงยี่สิบ เอ...นี่ท่าทางจะไปถึงเวลาเดียวกับรถบัสเลยฉัน! แต่เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...ทำใจได้เช่นนี้ก็เลยหลับต่อ =_=

สะดุ้งตื่นเพื่อเตรียมเข้าห้องน้ำ ก่อนจะขานเรียกไม่นาน พอขานเรียกก็เรียกทีสองไฟลท์เลย เขาเรียกขึ้นรถแล้วเช็คจำนวนก่อน ของฉันไฟล์ท 671 มีคนเกินหนึ่งคน ปรากฎว่าเขาต้องไปอีกไฟลท์นึง เจ้าหน้าทีรีบให้ไปขึ้นรถคันข้างๆ ปรากฎว่า...ไฟลท์ 673 ซึ่งเป็นไฟลท์หลังดันได้ไปก่อน เพราะพร้อมก่อน @-@

รถบัสคันเล็กหมุนวนเพียงสองรอบก็มาจอดอยู่ข้างเครื่องบิน เออ...เดินก็ได้นะคะคุณขา ... ไอ้เราขาสั้นมู่ทู่ เดินไม่ทันเขา ได้ที่นั่งด้านซ้าย ที่จะไม่ได้เห็นเทือกเขา ต้องอาศัยพลังแอบ...แอบเบี่ยงตัวถ่าย ซูมจากซ้ายของตัวเครื่องไปทะลุกระจกอีกด้านเพื่อพยายามถ่ายรูปสวยๆ ชายเกาหลีฝั่งขวาติดกระจก เห็นฉันเงื้อง้างหลายที คงกลัวฉันจะลุกขึ้นมาแล้วเครื่องเอียงมั๊ง เลยอาสาถ่ายให้ น่ารักเสียนี่กะไร พอเขาส่งกล้องกลับมา ก็ลองถ่ายกล้องตัวเองอีก เห็นเขาทำหน้างงๆ ทำไมไม่เหมือนกล้องของฉันหนอ แหม!ก็ออฟติคอลซูมนี่คะ เลือกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ!!


ก่อนเครื่องออกเหลือบเข้าไปเห็นนักบิน เฮ้ย! นักบินเป็นผู้หญิงทั้งคู่เลย! เจ๋งอ่ะ สวยด้วย! แต่ไม่รู้มีปัญหาอะไรนักหนา กว่าจะออกบินได้ก็ทำเอาเกือบปวดฉี่อีกรอบ เฮ้อ!ไอ้บินน่ะแค่ยี่สิบห้านาทีก็ถึง แต่นั่งรอบนเครื่องมาเกือบชั่วโมงแล้ว ผู้สาวที่ดูแลผู้โดยสารหันมายิ้ม เครื่องยังไม่ออกดีก็เริ่มหยิบตะกร้าลูกอมมาบริการ คงเห็นหน้าผู้โดยสารเริ่มหงิกละมั๊ง

ชั่วเวลาไม่นาน ทั้งกินถั่วเพลินๆ มีน้ำชากาแฟให้ ที่ไม่ทานไม่ใช่อะไร เริ่มปวดฉี่แล้ว!!

เหมือเครื่องจะล่อนลงบนเขาเลย เพราะสนามบินโพคราอยู่ถัดจากเทือกเขาเล็กน้อย ลงมาแล้วก็เดินเข้าอาคารผู้โดยสารหลังเล็กๆ คงเหมือนผู้โดยสารท่านอื่น มาถึงก็ตรงหาห้องน้ำ เราคงอัดอั้นกันมานาน! ดีว่าฉันมาถึงก่อน เลยได้เข้าเร็ว

ออกมาแบบไม่มีข้อมูลใดๆ ได้แผนที่มาจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ถามเขาว่าจะทำTim card and trek permit ที่ไหน เจ้าหน้าที่ยื่นแผ่นที่ให้ บอกด้วยความใจดี...แถวนี้ค่ะ แต่ไม่รู้ตรงไหน รู้แต่ว่าไม่ไกลเท่าไหร่ น่ารักจริงอะไรจริง เลยตกลงไปตายดาบหน้า เดินออกมาข้างนอก ต่อรองกับแท๊กซี่ว่าจะไปที่นี่แล้วไปโรงแรมต่อด้วย ต่อไปต่อมาแขกงง ได้มาที่ 300รูปี เอาละกัน หยวนๆ

ไปถึงก็ทำใบอนุญาต เจ้าหน้าที่ถามว่าไปเดินคนเดียวเหรอ มีพอตเตอร์(คนแบกของ)หรือไกด์มั๊ย สาวหมวยจากไทยปฏิเสธอย่างเดียว ไม่มีอะไรสักอย่างตั้งใจเดินคนเดียว แบกเอง (เพราะไม่ตังค์จ้างเหมือนกัน) ดีว่าศึกษาเส้นทางมาดีว่าจะไปไหนบ้าง เจ้าหน้าที่จึงให้ใบอนุญาตมา

แท๊กซี่คนเดิมเดินตามตลอด หวงผู้โดยสารราวกับไข่ในหิน จะพาไปโรงแรมใหม่ท่าเดียว ไอ้เราโดนแขกที่กาฐมัณฑุขู่ไว้ กลัวไม่มีโรงแรม เลยหาไว้แล้วจากอินเตอร์เน็ต ห้องแพงหน่อย แต่เพื่อความชัวร์ แต่ก็ใช้เวลาสำรวจที่อื่นๆด้วย


มาถึงโรงแรมเช็คอินเสร็จก็ไปกินข้าวกลางวัน สั่ง Chicken tikka masala กับนานมาทาน เดี๋ยวนี้ที่ไหนๆก็มีไวไฟให้ใช้ นั่งมองแสงสะท้อนของน้ำในทะเลสาบเฟวา ไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก แน่นอนว่ามาเที่ยวก็อยากไปดูอะไรต่ออะไรให้มากที่สุด แต่ถ้าทำให้หมดความสุขเพราะมัวแต่คิดว่า...นั่นก็ไม่ได้ดู นี่ก็พลาด ชีวิตมันคงแย่ ในเมื่อมันมาถึงสายแล้วก็คงต้องปล่อยมันบ้าง

ทานข้าวแล้วก็ไปหาเช่าไม้เท้าสำหรับเดินเขา คู่นึงสามร้อยห้าสิบรูปีสำหรับห้าวัน มัดจำเก้าร้อยบาท ก็พอได้อยู่ แล้วเลยตัดสินใจว่าจะเช่าจักรยาน ต่อรองอยู่นานเพราะใช้แค่สี่ชั่วโมง ได้มาที่ 200 รูปี แล้วก็รีบปั่นไปทันทีไม่ให้เสียเวลา

การเช่าจักรยานนับว่าเป็นความคิดที่ผิดถนัด เจ็บก้นมากมาย แต่งบน้อยต้องทนเอา ถนนมันขรุขระและขึ้นๆลงๆ ถีบไปช้าๆเรื่อยๆเพราะเจ็บก้น เอ...หรือก้นเราไม่เหมาะกับจักรยานกันหนอ ใครๆก็ถามว่า...มาเที่ยวพักผ่อนเป็นไงบ้าง ทำให้นึกถึงคำของพระอาจารย์ประสงค์ ท่านชอบคำว่าพักผ่อน พัก...ร่างกาย ผ่อน...จิตใจ แต่นี่ฉันทำอะไรหว่า ไม่ได้พักร่างกายแถมออกแนวเครียดเล็กน้อยเพราะหาสถานที่ที่จะไปไม่เจอ คำว่าพักผ่อนสำหรับฉันเหมาะกับการอยู่ที่บ้านโดยแท้ การมาเที่ยวน่าจะเรียกว่ามาทรมานสังขารมากกว่า -_-

ถีบจักรยานไปอากาศก็เย็น แต่ด้วยเสื้อกันหนาวทำให้ข้างในเริ่มร้อนๆแฮะ จะถอดก็ไม่ได้เพราะลมเย็น ถีบเพลินเลยจุดหมายไปไกลโข ต้องย้อนกลับมา ตัดสินใจไปเข้าถ้ำซะก่อน เพราะไม่รู้มีเวลาปิดรึปล่าว ขำป้ายที่ติดไว้ "ทางนี้เดินไปถ้ำสั้นกว่า" แท้จริงก็เพื่อให้คนเดินผ่านไปทางนั้นเผื่อจะได้ซื้อของนั่นเอง ทางสั้นๆไปถ้ำมีร้านขายของหลายร้าน แต่ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเลยเพราะไม่ชอบเครื่องประดับ นาฬิกาหนึ่งเรือนและสร้อยไหมญี่ปุ่นหนึ่งเส้นไว้ห้อยจี้หินพระจันทร์ก็เพียงพอแล้ว อาจจะซื้อไปบ้างแต่ก็คงไม่ใช่ตอนนี้ เพราะว่ามีเวลาอีกนาน ซื้อในอินเดียก็ได้

จากด้านบนต้องจ่ายค่าเข้าคนละ100 รูปี แล้วลงไปเช็คตั๋วด้านล่างอีกที ขึ้นชื่อว่าถ้ำย่อมมีความชื้น แต่นี่ไม่ชื้นธรรมดา เพราะมีต่อท่อน้ำลงไปด้วยแฮะ มีน้ำหยดแหมะๆตลอดทาง ฉันเดินอยู่ท่ามกลางแขกเนปาล ส่งเสียงดังล้งเล้งยิ่งกว่าอาม่าเมืองจีนอีก


เดินลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้อ่านรายละเอียดมาว่าในถ้ำมีอะไร ลงไปเรียงแถวเดี่ยวจนเจอชายคนนึงนั่งอยู่ เห็นคนข้างหน้ายื่นเงินให้แล้วเขาได้ลูกเหล็กมาหนึ่งลูกแล้วก็หยอดลงไปที่รูด้านหน้า ฉันก็งง แต่ก้หยิบออกมาห้ารูปี แขกบอกว่า...นายต้องสิบรูปี ทำฉันงงอีกแล้ว ตกลงนี่เรียกบริจาคหรือบังคับบริจาคหว่า แต่ก็ยินยอมหยิบออกมาอีกห้ารูปี พอได้ลูกเหล็กขนาดหัวแม่โป้งมาก็หยอดไป ปรากฎว่าด้านหน้าเป็นรูปปั้นวัวศักดิ์สิทธิ์ หยอดลูกเหล็กไปน้ำนมก็จะไหลลงมายังศิวลึงค์ขนาดที่อยู่ใต้เต้านมด้านล่าง ฉันชักรูปไปหนึ่งรูปแล้วเดินผ่านไป นึกว่ามีแค่นี้แต่เห็นคนยังเดินลงไปก็เดินไปด้วย ลงไปลึกเรื่อยๆจนในที่สุดไปเจอช่องแสงด้านล่าง ได้ยินเสียงดังมาก็รู้ว่าข้างล่างเป็นน้ำตก ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วมันก็คือน้ำตกเดวีนั่นเอง เพราะน้ำตกเดวีอยู่อีกฟากถนนหนึ่งของถ้ำ

ฉันถ่ายรูปไม่นานก็เดินขึ้นมา ตรงกลางของถ้ำก็มีรูปปั้นเทพเจ้าซึ่งห้ามถ่ายรูป แต่ขนาดว่ามีป้ายอยู่ก็ยังมีคนถ่ายอยู่ดี มุมหนึ่งของถ้ำมีหญิงเนปาลนั่งทำสมาธิอยู่ มีวัยรุ่นเห็นเป็นของแปลกเลยถ่ายรูปทำให้แสงแฟลชเข้าตา รบกวนหญิงผู้นั้นไม่น้อย

ฉันเดินข้ามไปอีกฟากถนนสู่น้ำตกเดวี น้ำตกก็ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ เพียงแต่เป็นน้ำตกที่ค่อนข้างแรงทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่และไม่อาจคาดได้ว่าเท่าไหร่ เคยมีคนตกไปเสียชีวิตที่นี่ ไปโผล่ที่ในถ้ำฝั่งตรงข้าม นอกจากนี้ที่นี่ยังมีป้ายเขียนด้วยว่า...พระพุทธเจ้าเกิดในเนปาล ทั้งที่จริงแล้วคือ พระพุทธเจ้าเกิดในอินเดีย(สมัยก่อน) แต่ในช่วงล่าอณานิคม เนปาลรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้น ด้วยการให้ความช่วยเหลือกับอังกฤษ ทำให้อังกฤษยกพื้นที่บริเวณลุมพินีให้กับเนปาล(น่าจะประมาณนี้นะ) งานนี้น่าจะทีใครทีมันเหมือนกันที่ไทยต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนตอนช่วงล่าอณานิคมเช่นกัน

หลังจากน้ำตกยังมีเวลาเหลืออยู่มาก แต่จะให้ถีบจักรยานไปหาศูนย์อพยพชาวธิเบตอีกก็ไม่ใช่ที่ ไม่ไหวแล้ว เจ็บดาก(ตูด) เลยตัดสินใจหันหลังกลับไปที่ทะเลสาบ บางช่วงต้องปั่นขึ้นก็ชักจะไม่ไหวจริงๆ กระแทกกระทั้นดากฉันเหลือเกิน ก็ต้องจูงเดินบ้าง พอกลับไปถึงทะเลสาบเห็นเขาพายเรือกันก็อยากจะนั่งกินลมชมวิวกับเขาบ้าง แต่มาคนเดียวก็อย่างเนี๊ยะ ไม่มีตัวช่วยหาร และอากาศก็ค่อนข้างเย็นมากทีเดียว จึงตัดสินใจนั่งกรำจาย(ดื่มชา)อยู่ที่ทะเลสาบ ทำเท่ห์ให้ลุงคนหนึ่งช่วยถ่ายให้ เป็นคนที่ไม่ค่อยมีโชคเลยแฮะ เวลาถ่ายรูปให้คนอื่น สวยหล่อเนียนตลอด พอกับตัวเอง คนอื่นถ่ายให้เป็นเบลอตลอด

ระหว่างกินลมชมวิวก็มีแม่บ้านชาวธิเบตมาขายของบ้าง ได้แต่บอกปฏิเสธ เพราะไม่ชอบเครื่องประดับจริงๆ พอได้อิ่มเอมกับทะเลสาบเป็นที่พึงพอใจแล้วก็กลับจะเอาจักรยานไปส่ง เอาละวุ้ย! หาร้านไม่เจอ หน้าตาเหมือนกันไปหมด ถีบวนไปวนมา ดากก็เจ็บ หนาวก็หนาว จนในที่สุดก็จำได้ เอาจักรยานไปคืนได้ในที่สุด ทำเป็นเดินไปหาเจ้าของร้านแบบหน้าชื่นตาบาน แท้จริงในใจ...เจ็บก้นเมื่อยน่องเหลือเกิน พยายามเดินออกจากร้านอย่างมีมาด ไม่บิดก้นบิดขา เดี๋ยวจะโดนแซวเอาได้

กลับไปถึงโรงแรมเริ่มรู้สึกว่าไก่เมื่อตอนบ่ายจะทำพิษ ไม่ได้ท้องเสียแต่รู้สึกปั่นป่วนและแสบไส้เล็กน้อย ได้นั่งคุยกับเจ้าของโรงแรมและนัดแท๊กซี่เรียบร้อยในราคา 1500 รูปี จริงๆนั่งรถเมล์ไปก็ได้ แต่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ไอ้เราคนไม่เคยเดินป่าจริงจังเลยต้องเผื่อไว้ก่อน ให้ไปถึงเร็วหน่อยก็ดี บอกกับเจ้าของโรงแรมว่า...คนขับคนไหนก็ได้ให้เขาจัดมา เพราะขี้เกียจเถียงกับแขกอีกแล้ว จะไปนอน พอได้บอกไปให้ได้ยินกันถ้วนหน้าแล้วก็ยักย้ายดากช้ำๆขึ้นไปชั้นสาม ซึ่งก็คือชั้นสี่ของคนไทย พยายามข่มตัวนอนให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้จะได้มีแรง

วันนี้เอาถุงนอนกางออกมา ไม่ไหวแล้ว อย่าขี้เกียจเดี๋ยวจะแข็งตายซะก่อน จัดแจงที่นอนด้วยผ้าห่มของโรงแรมชั้นล่างสุด จากนั้นก็ปูถุงนอนแล้วเอาผ้าห่มของที่เอามาเองปูด้านในอีกที รูดซิบเสร็จสรรพ ตลบด้วยผ้าห่มที่ปูรองชั้นล่างขึ้นมาห่อตัวกลมๆไว้ ข้างในเสื้อผ้าสี่ชั้นและยังมีเทอร์มาพลาส อุ่นกันให้สะใจไป หลับสบายละทีนี้


Create Date : 18 มกราคม 2557
Last Update : 18 มกราคม 2557 22:21:35 น. 2 comments
Counter : 514 Pageviews.

 
อ่านอย่างเมามัน


โดย: มิลเม วันที่: 25 มกราคม 2557 เวลา:4:39:45 น.  

 
ตามติดๆๆๆ


โดย: goodideass วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:20:16:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.