โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต
Group Blog
 
All blogs
 
เ น ป า ล วันที่ี่ 5-สวรรค์และนรก รู้แจ้งในวันเดียว!

เนปาล วันที่ห้า
บันทึกวันที่ 8 มกราคม 2557

ฉันตื่นขึ้นมาตามเสียงนาฬิกาปลุก พยายามตระเตรียมเก็บของไว้ก่อนแต่มือก็สั่นไปหมดอากาศเย็นมาก พอเช็คไฟฉายเพื่อเตรียมออกเดินในความมืด ฉิบหายแล้ว ไฟฉายพัง!! ทำไงล่ะทีนี้ ต้องรีบลงไปเดินกับทุกคนแล้ว ถ้าพลาดก็เดินไม่ได้แน่เลย เพราะไม่มีแสงไฟ

ฉันรีบวิ่งลงมา เจอชาวเกาหลีคู่เดิม เขาแนะนำให้ฉันเอาไม้เท้าไปด้วย เพราะเป็นทางไต่ขึ้น ฉันบอกเขาว่าฉันไม่มีไฟฉาย จะขอยืมหนึ่งอัน พวกเขาน่ารักมาก ให้ฉันยืมไฟฉายแบบคาดหัวของเพรทซ์มา เพราะจากการคาดเดา เขาคงเดินส่องไฟให้ฉันไม่ได้เพราะฉันเหมือนเต่าเหลือเกิน ดังนั้นสิ่งที่ปราณีที่สุดคือ เอาไฟฉายไปซะ

พอทุกคนเดินออกมาจากที่พักก็เงยหน้าดูท้องฟ้า เราเห็นดาวเต็มท้องฟ้าอย่างชัดเจน ทุกคนร้อง ว๊าวววววว ด้วยความยินดี เพราะนั่นหมายความว่าท้องฟ้ากระจ่างไม่มีเมฆปกคลุม และเป็นเครื่องการันตีว่าเราจะไม่ผิดหวังแน่นอน เดินไปได้สักพักก็มีเคาท์เตอร์เก็บเงินห้าสิบรูปี ฉันล้วงกระเป๋าไปทำหน้าจืดๆ....ซวยแล้วกู! ลืมกระเป๋าตังค์! อย่าบอกว่าต้องเดินไปเอาใหม่นะ ไม่ทันแน่!! พี่สาวชาวเกาหลีเหลือบมาเห็นพอดี เลยใจดีจ่ายให้ฉันก่อน ฉันทำหน้าแห้งๆ...เออ กูนี่หนอ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับใครเขาเลยแล้วยังแหยมมาคนเดียวอีก!

แม้ว่าจะเป็นพวกแรกๆที่ออกเดินแต่ฉันก็เริ่มเห็นแววรั้งท้ายอีกแล้ว สาวเกาหลีผู้เป็นเหมือนพี่สาวฉันบอกให้ฉันเอาหน้ากากออกจะได้หายใจได้ดีขึ้นและเคยชินกันสภาพอากาศ อากาศที่สูดเข้าไปเย็นเยือกเสียดแทงจมูกและคอ แต่ฉันยังคงพยายามหายใจต่อไป ทุกคนค่อยๆแซงหน้าฉันไปหมด แม้แต่เด็กเล็กๆก็เดินแซงไปซะงั้น ทำเอาจืดๆไปเลย แพ้เด็กซะได้ จะมีอยู่คนเดียวที่ฉันแซงได้ เป็นผู้หญิงต่างชาติตัวเล็กๆคนหนึ่ง ฉันเห็นเธอหยุดพักและดื่มน้ำโดยมีไกด์อยู่ข้างๆ เธอจ้างทั้งไกด์และพอตเตอร์ บางทีก็ให้สงสัยจ้างทีทั้งสองอย่าง ส่วนใหญ่ในเส้นทางที่ไม่ซับซ้อนเช่นพูนฮิลล์นี้คนจะจ้างเฉพาะพอตเตอร์ พอตเตอร์ดีๆที่มีประสบการณ์จะช่วยวางแผนการเดินเป็นกึ่งๆไกด์ได้ด้วย ค่าจ้างพอตเตอร์ดีๆประมาณ10-15$ แล้วแต่จะต่อรองกันได้ แต่ค่าจ้างไกด์จะต้องจ่ายถึง30$ และไกด์จะไม่แบกของให้เรา

วันนี้คาดเวลาพระอาทิตย์ขึ้นประมาณหกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงเช้า น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เส้นทางที่ว่างเปล่ามองไม่เห็นใครเลยทั้งหน้าและหลังทำให้รู้สึกท้อแท้เหลือประมาณ หันไปมองข้างหลังเห็นขอบฟ้าเริ่มมีแสงสว่างแสดงให้เห็นสีสันชัดขึ้นเรื่อยๆ ฉันมองไปอีกด้านเริ่มเห็นรูปร่างยอดเขาออันนาปูรนาลางๆ พยายามเร่งฝีเท้าแต่ก็อ่อนล้าเต็มที ทำให้ฉันนึกถึงซีรีย์ฝรั่งเรื่อง Merlin ตอนสุดท้ายขึ้นมา เป็นตอนที่เมอร์ลินพยายามรักษาชีวิตของกษัตริย์อาร์เธอร์ โดยต้องนำอาร์เธอร์ไปที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งให้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้นของวันที่สาม เมอร์ลินพยายามทั้งลากทั้งอุ้มอาร์เธอร์ไปที่ทะเลสาบให้ทันแต่สุดท้ายกษัตริย์อาร์เธอร์ก็สิ้นลมไปก่อนจะถึงทะเลสาบเพียงนิดเดียว ฉันรู้สึกเหมือนเรื่องนี้เลย รู้สึกว่าจะไม่ทันยังไงก็ไม่รู้สิ >_<

เดินไปเห็นช่องแสงทีไรก็นึกว่าคงถึงยอดแล้ว แต่กลับกลายเป็นทางหักเลี้ยวอยู่ร่ำไป... ท้องฟ้าเริ่มกระจ่าง เห็นท้องฟ้าสีฟ้ามากขึ้น ฉันมองเห็นทางโดยไม่ต้องใช้ไฟฉายอีกต่อไป รู้สึกอยากจะร้องไห้ นี่ฉันจะไม่ทันจริงๆหรือนี่
ในที่สุดฉันก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังอยู่ไม่ไกล ทำให้มีกระจิตกระใจเร่งฝีเท้ามากขึ้น หลุดพ้นทางช่วงสุดท้ายเห็นทางทอดยาวขึ้นไปถึงด้านบน เห็นกลุ่มคนเดินกระจายตัวอยู่ทั้งบนหอคอยและด้านล่าง เพื่อนชาวฮ่องกงสองคนเห็นฉันก็ตะโกนบอกกัน...มาแล้วๆ คนไทยมาแล้ว! ถึงจนได้! ทันเวลา พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดี

ฉันดีใจจนบอกไม่ถูก ตรงเข้าไปกอดเพื่อนแน่นจนเพื่อนงง คงนึกอยู่...อะไรจะดีใจขนาดนั้นเลยเหรอวะเนี่ย! เสร็จแล้วรีบถ่ายรูปกับป้ายทันทีโดยไม่รู้ว่าเขามีคิวรอถ่ายรูปป้ายพูนฮิลล์อยู่ แซงเขาซะงั้น!

ด้านบนลมค่อนข้างแรง ทุกคนเดินไปเดินมาตลอดเวลาเพราะถ้าหยุดอยู่กับที่จะเย็นมาก แต่แม้ว่าอากาศจะเย็นมากมายขนาดไหนทุกคนก็จำต้องถอดถุงมือออกมาเป็นระยะๆเพื่อถ่ายรูป บางคนขึ้นมาตั้งกล้องไว้ก่อนเลย บางคนเตรียมถุงนอนมาด้วยเพราะตอนพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นคงหนาวมาก

แสงอาทิตย์ค่อยๆแตะยอดเขาทีละยอดอย่างช้าๆ ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ไม่ขาดสาย ทุกวินาทีความสวยงามก็ต่างกัน จากแสงที่ค่อยๆสัมผัสยอดเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้นและมากขึ้นตามลำดับ สีสันของแสงก็ต่างไปเรื่อยๆจากสีส้มๆก็เป็นแสงขาวขึ้น กระทบยอดเขาให้แสงเงางดงามความร้อนของแสงอาทิตย์ทำให้หิมะบนยอดเขาเกิดการระเหยบ้างแต่ยังไม่มากอะไร ทั้งภูเขาและท้องฟ้ายังคงกระจ่างและงดงาม ฉันให้เพื่อนบ้าง ไกด์ที่ยืนอยู่แถวนั้นถ่ายรูปให้บ้าง ได้ดังใจบ้างไม่ได้บ้าง ก็อย่างนี้แหละหนา บางรูปคนถ่ายก็สั่นซะจนรูปเบลอ 555 สั่นทั้งคนถ่ายและคนถูกถ่าย ฝืนยิ้มให้เห็นฟันทั้งที่กระทบกันอยู่กึกๆ หลังจากแสงเริ่มแตะยอดเขาเต็มที่ คนก็ค่อยๆทยอยเดินลง ฉันเลยใช้เวลาเดินขึ้นไปดูบนหอคอยอีกนิด ไหนๆก็มาแล้วนี่นา แต่ข้างบนลมแรงกว่าด้านล่างอยู่ได้ไม่นานก็ต้องลง ลงมาพร้อมกับเพื่อนชาวฮ่องกงซึ่งก็อยู่รั้งท้ายเช่นกัน

ตลอดทางลงก็ยังมีภาพภูเขาให้ถ่ายรูปได้สวยงามเช่นกัน แม้ว่าจะไม่เป็นมุมกว้างก็ตาม แสงอาทิตย์ที่สาดส่องก็ให้ความอบอุ่นได้ดีทีเดียว แต่ฉันก็ไม่สามารถอ้อยอิ่งได้แล้ว พวกช้าๆอย่างฉันต้องรีบออกเดินทาง

หลังอาหารเช้าฉันก็รีบเก็บของ แม้ว่าจะรีบแค่ไหนแต่คนอื่นก็ไปก่อนอีกแล้ว ฉันไม่ลืมคืนเงินให้กับเพื่อนชาวเกาหลี เพราะหลังจากนี้เราจะไม่เจอกันแล้ว คนส่วนใหญ่จะไปต่อยัง ABC หรือAnnapurna Base Camp ซึ่งยังจะไปเจอกันอีกที่ทาดาปานี แต่เพื่อนเกาหลีท่านนี้เคยมาแล้ว หนนี้จึงจะเดินไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ฉันทราบเพียงคร่าวๆว่าทางไปทาดาปานีส่วนใหญ่เป็นทางลงเขา

แค่เริ่มเดินก็หลงแล้วสิ ทางเดินส่วนใหญ่จะผ่านบ้านคนหรือร้านอาหาร เพราะเขาก็หวังว่าเราจะซื้อหรือพักกับเขาเช่นกัน เริ่มแรกต้องเดินผ่านโรงเรียนแล้วผ่านโรงแรม แต่ฉันไม่ทราบ ถามครูชาวเนปาลีก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปก็เดินไปปรากฎว่ามันเป็นทางเล็กๆซึ่งสัณชาตญาณดูแล้วเริ่มไม่น่าจะใช่ ไม่เหมือนทางเดินที่มีก้อนหินให้เดินตลอดทาง ฉันจึงเดินย้อนกลับ ก็เกิดปวดท้องขึ้นมา ดีนะเนี่ยไม่ไปเกิดกลางทาง ได้ปล่อยซะก่อนแต่เช้า ดีจัง ^^

พอตเตอร์คุ้นหน้าหัวเราะเมื่อเห็นฉันเดินหลงทางแล้วชี้ทางที่ถูกให้ฉัน ฉันเดินไปพบทางเดินขึ้นเขา แงๆๆๆ ขึ้นเขาอีกแล้ว!!

ไต่ขึ้นไป ไต่ขึ้นไป ฉันทำได้ ฉันทำได้

มันเงียบและเย็น โดดเดี่ยวที่เดียว ฉันยังคงถูกแซงไปเรื่อยๆ และโดยกลุ่มเกาหลี แม่ว่าเธอจะท้องเสียเธอยังดูแข็งแรงกว่าฉันอีกวุ้ย!

พอไปถึงที่พักจุดที่หนึ่งบนยอดเขาก็เริ่มได้ความอบอุ่นจากแสงแดด ภาพยอดเขางดงามตระการตา ฉันมองไปเห็นยอดเขาอันนาปูรนาที่หิมะด้านบนกำลังระเหยกลายเป็นไอ มองแล้วเหมือนภาพเขียวที่ศิลปินกำลังลากปลายพู่กันออกไป งดงามเกินคำบรรยาย

มานบอกว่าจะเป็นการเดินกลางแสงแดดประมาณสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วก็เป็นเดินในร่มซะเป็นส่วนใหญ่ ฉันจัดการสัมภาระของตัวเอง ในขณะนั้นฉันได้เจอกับนายสโลว์หมายเลยสอง(ฉันเป็นหมายเลยหนึ่ง) นายสโลว์ 2 แบ่งส้มให้ฉันทานขณะพัก ส้มที่ได้ทานทำให้ร่างกายสดชื่นมาก ได้ทั้งน้ำและวิตามิน เรายังเจอกันในการหยุดพักอีกสองสามครั้ง นายสโลว์2 ยังแบ่งน้ำชาและลูกอมให้ด้วย แต่แม้กระนั้นนายสโลว์2 ก็ยังพยายามเร่งฝีเท้าให้ทันกันเพื่อนๆ พวกเขาแบกสัมภาระเองซึ่งฉันคาดว่าน่าจะสักสิบโลนิดๆ เออ...ดูท่าสโลว์2 จะชนะเลิศเพราะถ้าฉันแบกแบบนั้นบ้างคงไม่ทันใครแน่นอน

ระหว่าทางไปทาดาปานีนั้นมีขึ้นลงตลอด ทางจะว่าเดินง่ายก็ง่าย แต่ง่ายเฉพาะในฤดูนี้เท่านั้น เพราะเป็นทางเรียบ นักเดินเขาส่วนใหญ่ชอบทางเรียบๆมากกว่าเป็นขั้นบันไดให้เดิน เพราะสามารถกำหนดได้ว่าจะยกเท้าสูงเท่าไหร่ มันก็จะไม่เมื่อยมาก แต่ถ้าเป็นขั้นบันไดมันถูกกำหนดตายตัวว่าต้องยกขาเท่านั้นเท่านี้ตามแต่ขนาดของก้อนหินที่นำมาทำขั้นบันได แต่กระนั้นบางทีก็จะมีก้อนเล็กๆไว้ด้วย นักเดินเขาก็จะชอบก้อนเล็กๆมากกว่า การมีไม้เท้าก็ช่วยได้เยอะทีเดียวเพราะไม้เท้าจะทำให้แขนได้ออกแรงช่วยยกตัวขึ้นหรือว่าลดแรงกระแทกเวลาลงโดยการเอาไม้เท้าค้ำลงไปก่อน

พอพ้นจากช่วงแดดส่องก็เดินในร่ม อากาศค่อนข้างเย็นพอสมควร แต่ช่วงของการเดินลงทำให้ฉันพบว่าฉันกำลังเดินอยู่ระหว่างซอกเขาซึ่งพบว่ามันรกไปด้วยต้นไม้ที่ถูกทำลายในช่วงหน้าน้ำ ช่วงซอกเขานี้มักจะไม่โดนแดดเท่าไหร่ทำให้เห็นน้ำแข็งเกาะตามน้ำตกและหน้าผาตลอดทาง จะว่าสวยงามก็ใช่ จะว่าน่ากลัวก็ไม่เชิง เพราะว่าถ้าอยู่ตรงนี้ถึงค่ำก็หมายความว่าต้องแข็งตายแน่เลย ฉันค่อนข้างจะเดินทอดน่องพอสมควรเพราะชะล่าใจว่าเป็นทางลงอย่างเดียว

ฉันเห็นท่อน้ำขนาดใหญ่มีคนทำไว้เพื่อดึงน้ำจากน้ำตกไปใช้ เขาเอาก้อนหินมาทำเป็บชั้นๆเพื่อปกปิดท่อให้ดูเป็นทางธรรมชาติมากขึ้น ฉันคาดว่าท่อน้ำนี้จะต้องไปยังหมู่บ้านถัดไปแน่นอน

ผ่านไปถึงอีกหมู่บ้านหนึ่งระหว่าทาง มีครอบครัวชาวต่างชาติพักอยู่บ้าง มีเด็กๆมาเดินเขาด้วย ฉันแวะทานข้าวก่อนหน้านี้แล้ว เห็นนายสโลว์แวบๆ น่าจะพักทานข้าวตรงนี้ เขาเพิ่งจะออกเดินกับเพื่อนไปฉันดีใจที่ไม่ถึงกับช้ามาก แต่พอเดินพ้นหลืบไป อ้าวววว!! หายไปไหนกันหมดอีกแล้ว เดินเร็วจริงวุ้ย พอพ้นจากBanthanti ได้ไม่เท่าไหร่ก็หลงทางอีกแล้ว เผลอไปคิดว่าเป็นทางลงอย่างเดียวก็ไปเลือกทางเล็ก เฉลียวใจนึกขึ้นได้ มันควรเป็นทางที่ลาหรือม้าสามารถเดินได้ด้วยนี่นา แต่ว่าจะไปตรงไหนล่ะ!!

ฉันภาวนาอยู่ในใจให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ...ไม่เอาน้าาาา ไม่อยากหลงป่าตายยยยย

ในขณะที่ภาวนาอยู่ก็ได้ยินเสียงกระดิ่ง ฉันมองตามขึ้นไปด้านบน ขึ้นไปประมาณ20 เมตร เห็นฝูงลา เย้ๆๆๆๆๆ รอดแล้ว!!!

ฉันเดินกลับขึ้นไปด้านบนห่างไปประมาณ20 เมตร กลับเข้าเส้นทางจนได้ ทางเดินจากนี้ค่อนข้างเป็นทางเลียบเขา ฉันเห็นภาพที่งดงามมาก มันเป็นเทือกเขาซ้อนๆ แล้วมีหมอกค่อยๆไหลเข้ามาในเทือกเขา ทำให้เห็นแสงเงาที่แต่ต่างกัน แต่นั่นก็สามโมงกว่าแล้ว ฉันไม่คิดจะดึงกล้องออกมาถ่ายแล้ว ตอนนี้รีบเดินอย่างเดียว ผ่านบ้านพักที่หนึ่งถัดมาไม่ไกล สวยงามน่ารักมาก แต่พอหันหลังไปเห็นหมอกค่อยๆแผ่เข้ามาในเทือกเขา ทำให้รู้สึกสะท้าน คุณอาจจะรู้สึกว่ามันสวยตอนนี้ แต่การเห็นหมอกตอนที่กำลังเดินป่านี่เท่ากับมัจจุราชแท้ๆ เพราะหมอกคือความชื้นที่สามารถแทรกเข้าเสื้อผ้าบวกกับช่วงเวลาที่อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ มันจะเย็นยะเยือกและไม่ต้องถามถึงผลที่ตามมาถ้าฉันเดินไปถึงหมู่บ้านถัดไปไม่ทัน ตายอย่างเดียว!

ฉันเดินไปตามทางช่วงที่คิดว่าน่าจะเป็นช่วงสุดท้ายเพราะเป็นทางลงอย่างเดียว ทางค่อนข้างใหม่ ทำให้ฉันกลัว เพราะนั่นหมายความว่าก่อนหน้านี้ไม่นานมันมีการถล่ม ฉันเดินตามทางเห็นท่อนำไปด้านล่างให้ชื้นใจเล็กน้อย มีเขียนไว้ด้วยว่าทาดาปานีไปทางนี้ ฉันรีบเร่งเดินต่อไป

พอไปถึงด้านล่างก็ประมาณสี่โมงครึ่งแล้ว ฉันตกใจมากเพราะมันมีสะพานข้ามลำธารเล็กๆแล้วเป็นทางขึ้นอีก เฮ้ยยยยย ไหนบอกว่าเป็นทางลงอย่างเดียวไง!!

ตรงลำธารมีฝูงควายกลุ่มหนึ่งกำลังดื่มน้ำและทำท่าจะเดินมาทางฉัน และอีกครั้งหนึ่งที่ฉันขอให้สิ่งสักดิ์สิทธิ์ช่วย ฝูงควายหยุดยืนนิ่งและมองตรงมาทางฉัน ฉันหันทางหัวหน้าฝูง หรือนี่จะเป็นสัณญาณจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกมากันหนอ ฉันยืนมองหน้าควายหัวหน้าฝูง ฉันพยายามตีความจากสายตาของมัน ดูเหมือนว่าฉันกำลังขวางทางมัน ตอนนี้เกือบห้าโมงแล้ว ความฝูงนี้น่าจะกลับบ้านซึ่งบ้านมันน่าจะอยู่ไม่ไกล ถ้าให้คาดเดาแล้วก็ไม่น่าจะไปทางที่ฉันเพิ่งเดินมาเพราะว่าบ้านที่ใกล้ที่สุดที่เดินผ่านมาไม่มีคอกสัตว์ มันเป็นเกสท์เฮ้าส์ ฉันจึงเดาว่าฉันจะต้องเดินขึ้นก่อนเพราะมันไม่ยอมเดินนำหน้าฉันแน่นอน มันคงไม่ไว้ใจให้เดินตามหลังแหง๋มๆ ฉันเดินนำหน้าไปก็เหนื่อยขาก็สั่น ฝูงควายเดินตามหลังฉันมา พอฉันหยุดมันก็หยุด ฉันจำต้องเดินขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ แม้ว่าจะมองเห็นสายไฟว่ามันขึ้นไปด้านบน แต่ฉันไม่รู้ว่าหมู่บ้านจะต้องเดินจากยอดเขาไปสักเท่าไหร่

ฉันหยุดตรงช่วงใดช่วงหนึ่งของเขา ด้วยความหมดหวังฉันตะโกนหาใครสักคน "สวัสดี! มีใครได้ยินฉันมั๊ย?" ฉันเดินไปสิบขั้นแล้วก็หยุดตะโกนไปเรื่อยๆ ฉันเห็นหมอกเริ่มเขามาในซอกเขาที่ฉันยืนอยุ่ทำให้เกิดความกลัวมาก เพราะไม่มีไฟฉาย ถ้าหมอกปกคลุมทั่วเขาคงจะทำให้ฉันหนาวตายแน่

ฉันยืนขาสั่น แทบไม่มีแรงแล้ว ฉันอธิษฐานอีกครั้งขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ....ขอเถอะ...ไม่อยากตายอยู่ตรงนี้ นอกจากฝูงความแล้ว ขออะไรที่ชัดเจนกว่านี้ได้มั๊ยว่ามีหมู่บ้านอยู่แถวนี้!

ฉับพลันนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงกระดิ่งอีกครั้ง เหมือนได้ยินเสียงสวรรค์! แล้วก็มีเสียงคนพูดดุสัตว์เลี้ยงให้เดินด้วย ฉันแทบน้ำตาไหล ตะโกนเรียกเขา เขาคงไม่ได้ยิน ฉันตัดสินใจรอ ฝูงมาเดินผ่านหน้ามา เด็กชายอยู่บนหลังม้า ฉันถามเขาว่า ทาดาปานีอยู่อีกไกลมั๊ย เขาบอกว่าอีกแค่ห้านาทีเท่านั้น ฉันแทบจะตะโกนเลยทีเดียว ฉันขอเขานั่งม้าไปด้วย เพราะเดินไม่ไหวแล้ว แต่พอขึ้นม้าได้ มันคงตกใจคนแปลกหนุาเลยรีบเดินทำให้ฉันร่วงตกม้าลงม้า ดีว่าเด็กชายยืนรับฉันไว้อยู่ข้างหลัง ฉันเลยขอให้เขาช่วยแบกกระเป๋าให้และเดินเคียงข้างฉัน ฉันพร่ำขอบคุณเขาไม่ขาดปากพร้อมทั้งขอโทษที่ทำให้เขาต้องเหนื่อยเพราะมาเดินกับฉัน ฉันถามชื่อเขาทีหลังเขาชื่อซังดีฟ

ฉันเดินผ่านเสาหลัก แทนที่จะบอกระยะทางหรือชื่อหมู่บ้าน แต่เป็นคำว่า "โอม มณีปัทเมโอม"

แล้วฉันก็เดินมาถึงกลางหมู่บ้านซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก เรียกว่ามีที่พักไม่ถึงสิบ ซังดีฟวางกระเป๋าฉันที่ลานกลางหมู่บ้าน ฉันก้มหัวขอบคุณเขามากมายจนเขางง ฉันเห็นนายสโลว์2กำลังหาที่พักอยู่ก็รีบวิ่งไปเล่าให้ฟัง นายสโลว์2หัวเราะใหญ่ ฉันปล่อยกระเป๋าไว้ตรงนั้นแล้วรีบเดินไปที่พักที่ชื่อ Super view ที่ได้ถามกับคุณมานไว้ เจ้าของที่พักรีบออกมาต้อนรับ ขณะที่ฉันถามราคาห้องพักชาวเกาหลีกรุ๊ปนั้นก็ยื่นหน้าโผล่มาจากชั้นสองพอดี ฉันตะโกนเล่าให้ฟัง ไม่รู้เพราะเหนื่อยมากหรือหนาว มันทำให้ฉันเริ่มน้ำตาไหล เจ้าของที่พักยืนงงๆ พอรู้เรื่องธอก็รีบพาฉันไปที่ห้อง พร้อมทั้งบอกว่า ไม่ต้องกังวลแล้ว ถึงแล้ว ขึ้นไปพักก่อนนะ เดี๋ยวกระเป๋าจะให้ลูกชายไปเอามาให้

ฉันเดินขึ้นชั้นสองไปเจอกันเพื่อนๆ เพื่อนๆเข้ามากอดฉันใหญ่ ชาวเกาหลีคนที่ท้องเสียก่อนหน้านี้ได้เอาวิตามินซีและแคลเซียมแบบเม็ดละลายน้ำมาให้ฉัน ให้เอาไปละลายน้ำและดื่มบำรุงซะ พวกเขาพาฉันมาที่ปล่องที่ยื่นทะลุมาจากชั้นล่าง มันเป็นปล่องควันจากเตาไฟ จึงมีความอุ่นมาก ส่วนใหญ่จะเอาผ้ามาตากกันบริเวณนี้จะได้แห้งเร็ว เขาบอกว่าฉันยังโชคดี เขาได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้สักห้าเดือนมีชาวเกาหลีมาเสียชีวิตที่นี่ด้วย >_< ฉันนั่งรับความอบอุ่นได้ไม่นาน มานก็เดินขึ้นมาพบฉัน ฉันเล่าให้มานฟัง มานดูตกใจเล็กน้อยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาเลยบอกให้ฉันพักผ่อนก่อนแล้วค่อยลงไปคุยเรื่องการเดินทางพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ฉันจะไปพักคนละที่กับพวกเขา มานก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ฉันลงไปสั่งอาหารและนั่งรอ ขณะรอมานก็ให้กางแผนที่ออกมาดูแล้วอธิบายให้ฟัง การเดินจากทาดาปานีไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากแต่จากจินูกลับไปนายาพูล มานบอกให้ฉันเดินด้านขวาของแม่น้ำ ซึ่งจะง่ายกว่า จากนั้นจะมีรถบัสที่ Siwai หรือรถจี๊ปแต่มันจะแพงกว่ามาก

ฉันนั่งคุยกับมานเรื่องของการเดินป่า หมอกและชีวิต ฉันนึกว่าเกือบจะตายในป่าซะแล้ว ฉันยังยืนโวยวายอยู่กลางป่าขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง นี่ฉันไม่ได้เตรียมตัวไม่ได้มีสติเอาซะเลย

ฉันสั่งหมี่น้ำซึ่งก็เหมือนเส้นมาม่าบ้านเรานะแหละ ใส่ผัก และสั่งไข่ต้ม หนึ่งฟองทาน อีกหนึ่งฟองเก็บไว้ทานกลางวันพรุ่งนี้ เพราะการทานไข่วันละสี่ฟองน่าจะเยอะไปนะ

ฉันขึ้นไปนอนด้วยความอ่อนเพลีย ไม่แปรงฟันมันละ ไว้รวบเอาพรุ่งนี้ เหนื่อยเหลือเกิน

ด้านล่างยังคงคุยกันเสียงดังจนคุณมานต้องไล่ให้ไปนอน สักพักฉันได้ยินเสียงเพลงดังมาและเสียงเด็กและแม่ตะโกนโหวกเหวก มีงานอะไรกันเนี่ย อยากรู้แต่เปลือกตามันไม่ยอมลืมแล้ว เสียงเพลงยังคงดังอยู่แน่ข้างนอกแต่เสียงที่ผ่านมาในประสาทหูของฉันค่อยๆเบาลงทุกทีๆจนไม่ได้ยินมันอีกเลย

………..


Create Date : 19 มกราคม 2557
Last Update : 19 มกราคม 2557 17:25:30 น. 0 comments
Counter : 634 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมวยเกี๊ยะA2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




สาวน้อย(อิอิ)ธรรมดา ที่มีพี่ๅน้องแสนฉลาด พี่สาวคนโตจบดอกเตอร์ทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร พี่ชายคนโตจบศิลปะแต่ได้ผันตัวเองมาทำงานภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับ พี่ชายคนเล็กก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารที่คนเขาแย่งตัวกัน ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นหมอฟันประจำตัวให้เราน่ะเอง

ส่วนตัวเองเรียนจบมาทางด้านภาพยนตร์ ที่ล้วนแล้วแต่มายา แต่ดันผ่าอยากศึกษาด้านธรรมะและโยคะ เพราะความล้มเหลวด้านชีวิตครอบครัวเป็นเหตุ

วันดีคืนดีจึงนั่งเครื่องบิน บินไปอินเดียที่เป็นแหล่งกำเนิดโยคะและศึกษาอย่างจริงจัง (เที่ยวอย่างจริงจังด้วย)
ที่ Yoga Vidya Gurukul
ณ เมืองนาสิก ประเทศอินเดีย
เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.2549

ตอนนี้ก็รับสอนโยคะอย่างจริงจังมาก็เริ่มปีที่ห้าแล้ว

ในปี 2553 ได้จบหลักสูตรต่างๆทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในสถาบันแล้ว รวมทั้งศึกษาศาสตร์อื่นๆมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น โยคะบำบัด อายุรเวท เรกิ ธรรมชาติบำบัด :-D

ตอนนี้เริ่มสอนอีกครั้งแล้วค่ะ ถ้าสนใจเรียนเป็นกลุ่มหรือเรียนตัวต่อตัวหรือเป็นวิทยากร
ก็ติดต่อมาได้นะคะ
Tel.+66 (0)85 1420201
[Add หมวยเกี๊ยะA2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.