Little drops of water, Little grains of sand Make the mighty Ocean, and the pleasant land. Little deeds of kindness, Little words of love Help to make Earth Happy, Like the Heven above.
Group Blog
 
All Blogs
 

10 july, Victoria Island, Canada

วันแรกของการมาเที่ยวแวนคูเวอร์ เพื่อนเป้ก็จัดตารางเล่นของหนักก่อนเลย โดยการพาไปเที่ยวเกาะวิกตอเรีย ทั้งๆที่พึ่งบินมาถึงเมื่อคืนตอน 2 ทุ่ม ใช้เวลาเดินทางมาถึงบ้าน บวกกับเข้าไปทักทายและถูกสัมภาษณ์แบบละเอียดยิบจากเจ้าของบ้าน กว่าจะเข้านอนก็ปาไปเกือบตี 1 แล้ว โชคดีที่ Jet lag ช่วยเอาไว้ ทำให้วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี 3 เพื่อทำกับข้าวมื้อเช้าและขนมปัง เอาไว้สำหรับกินกลางวันตอนเที่ยง

บ้านที่เราพัก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟไปไม่ไกลนัก เราใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเช้ามาก แต่ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว อากาศตอนเช้าสำหรับฉันแล้ว ก็ถือว่าเย็นจนต้องใส่เสื้อคลุม ในขณะที่เป้ซึ่งมาเรียนที่นี่ได้ปีนึงแล้ว กลับรู้สึกเฉยๆ มองหน้าเราแบบงงๆว่า แกใส่เสื้อหนาๆทำไมเนี่ย

การไปเที่ยวเกาะวิกตอเรีย เป้บอกว่ามันก็เหมือนกับคนกรุงเทพ ขับรถไปเที่ยวพัทยา หรือในความเห็นของฉัน อืม...คล้ายๆกับการไปเที่ยวเกาะสีชังมากกว่า

สาเหตุที่เราต้องตื่นแต่เช้า เพราะเราไปกับแบบเช้าเย็นกลับ ในขณะที่คนอื่นๆนิยมไปค้างกัน 1 คืน ดังนั้น เราจึงต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปให้ทันรถไฟใต้ดินรอบตี 5.43 ตามด้วยต่อรถบัส สาย 620 รอบ ตี 5.50


รถไฟตอนเช้าตรู่ ก็ไม่เงียบเหงาเท่าไหร่


บนรถไฟ รวมทั้งที่ป้ายรถเมล์ เป้ชี้ๆให้สังเกตดูแต่ละคน แล้วบอกว่าเนี่ยทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันทั้งนั้นคือไปเกาะวิกตอเรีย ส่วนใหญ่ก็มีกระเป๋าสัมภาระกันใบเล็กๆเพราะไปค้างคืน ในขณะที่พวกเราก็มีเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนอื่นๆ เพราะข้างในเป็นเสบียงอาหารแทน


บัตรข้ามเรือ
6.00 น รถเมล์ของเราเริ่มออกเดินทาง แต่ยังนั่งชมวิวบ้านระหว่างทางไปไม่เท่าไหร่ แปบๆ 7 โมง ก็ถึงท่าเรือแล้ว ท่าที่เราข้ามมีชื่อว่า Tsawwassen (อ่านว่าไรก็ไม่รู้ 555) ค่าข้ามเรือเฟอรี่ คนละ 28 เหรียญ ได้ลดค่าน้ำมันไป 0.60 เซนต์ จะดีใจดีไหมเนี่ย ไอ้เราเห็นว่าค่าเรือ 2 คนจำนวนเงินก็เยอะอยู่ เลยจ่ายแบงค์ 100 ไป กะจะแตกแบงค์ ปรากฏเจ้าหน้าที่รับแบงค์ไปแบบงงๆ หัวเราะเรา แถมเอาไปส่องดูลายน้ำอีกต่างหาก

ถามเป้ถึงได้รู้ว่าแบงค์ที่เราแลกมานี้ เป็นเงินของแคนาดาฝั่งตะวันออก ตรา Ottawa แถมเก่ามาก ตั้งกะปี 1998 คนรับเค้าเลยงงๆ เพราะแคนาดาเป็นประเทศใหญ่ เงินของฝั่งโน่น ไม่ค่อยมีคนข้ามมาใช้กันในฝั่งนี้ พอเราสำรวจดูแบงค์ในกระเป๋าที่แลกมา ปรากฏว่าเป็นเงินของฝั่งโน้นซะแทบทั้งหมด แถมปีก็เก่ามากๆ นี่หล่ะน๊า....superrich 5 5 5 แต่ก็ใช้ได้หล่ะค่ะ


บรรยากาศยามเช้าที่ท่าเรือ สดชื่นและเย็นสบาย เรือลำใหญ่มากๆ

หลังจากได้ตั๋วมาแล้ว ก็ไปนั่งรอขึ้นเรือรอบ 7 โมง ระหว่างนี้นั่งสำรวจตั๋ว พลิกด้านหลังก็เจอะว่า ตั๋วเรือเฟอรี่นี้ สามารถนำไปใช้ลดค่าเข้า Aquarium ที่เราวางแผนจะไปได้ 2 เหรียญ ดีใจมากๆ แต่ปรากฏว่า.... พอเราขึ้นเรือไป มันดันเก็บตั๋วไปซะนี่ (แล้วมันเขียนบัตรลดมาในตั๋วทำไม)


เรือเฟอรี่ที่นี่ลำใหญ่มากๆ คงเพราะการข้ามเกาะที่นี่เป็นการข้ามมหาสมุทร จึงต้องทำเรือให้ขนาดใหญ่และแข็งแรง สามารถนำรถลงไปในเรือได้ และสามารถจุคนได้หลายร้อนคนเลย ข้างในเป็นห้องกระจก มี food court ขนาดใหญ่ ร้านหนังสือ ร้านค้าขายเสื้อผ้า แม้แต่ห้องละหมาดสำหรับชาวอิสลามก็ยังมี แต่ที่ชอบที่สุด คือมีเกมส์เซนเตอร์ ซึ่งมีเกมส์ตู้หยอดเหรียญให้เล่นเต็มเลย แต่ก็ไม่ได้เล่นหรอกค่ะ ได้แต่ไปยืนดู 5 5 5


วิวระหว่างล่องเรือ สวยมากๆ มองไปทางไหนก็เขียวชะอุ่ม ดูเพลินจนเกือบหลับ


เราใช้เวลาอยู่บนเรือประมาณ 2 ชม ก็มาถึงเกาะวิคตอเรีย ท่าเรือฝั่งนี้มีชื่อว่า Swartz Bay ลงไปถึง ก็มีรถบัสบริการอยู่ 2 สาย สายนึงไป downtown อีกสายไป Butchart garden คนส่วนใหญ่เลือกไป downtown กัน มีแต่สาวหัวดำ 2 คนนี้ที่จะไป butchart garden แต่เช้า งานนี้เลยเรียกว่าได้เหมารถเมล์ แถมได้นั่งเม้าท์กับคนขับข้างหน้าอีกต่างหาก คุณคนขับก็ใจดีมากๆ อุตส่าห์ขับรถวนไปเอาหนังสือตารางเดินรถมาให้ แถมให้คำแนะนำอย่างดีว่า ต้องขึ้นรถยังไง ควรขึ้นสายไหนถึงจะเร็ว แล้วก็พาพวกเราไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ใช้เวลาเดินทางนานประมาณ 40 นาที



ถึงแล้ววววววว



Butchart Garden เป็นสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงของเกาะวิคตอเรีย พอถึงหน้าร้อน ใครต่อใครก็จะแห่กันมาที่นี่เพื่อชมความงามของดอกไม้ ดังนั้นค่าเข้าสวนนี้ในหน้าร้อน ราคาจึงสูงกว่าปกติ กลายเป็น 31.47 เหรียญ (ตกราวๆ 1000 บาทไทย) ทำเอาพวกเราอึ้งไปเหมือนกัน แต่สวนข้างในก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะดอกไม้ที่นี่สวยเหลือเกิน แถมมีเยอะมากๆ เรียกว่าชมดอกไม้กันจนคุ้มค่า มีดอกไม้หลายชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บางดอกก็มีขนาดใหญ่มากๆ โดยเฉพาะดอกกุหลาบ เค้ามีจัดเป็นทุ่งดอกกุหลาบ ซึ่งผ่านการประกวดมาโดยเฉพาะ มีชื่อเพราะๆน่ารักๆ ติดป้ายให้อ่าน แถมบรรดานักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา ต้องแวะดมกุหลาบเหล่านี้ ก็แทบทุกพันธุ์เลย


1000 นึง ได้มาแค่เนี่ย



ประทับใจ ที่ให้น้ำน้องหมามากๆ 555 บ้านเราน่าจะมีแบบนี้มั่ง



เข้าไปปุ๊บ ก็เจอะเครื่องดนตรี ถูกใจมากๆ น่ารักๆ




ชอบดอกไม้ทรงยาวๆสูงๆ แต่ถ่ายรูปยากจัง

ต้นไม่ใบสีแดงทั้งต้นเลย ชอบมากๆๆ

สวนสวยๆกับประชากรล้านแปด


ทุ่งดอกกุหลาบบบบบ


ดอกใหญ่ๆ หอมๆ




สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ดอกกุหลาบหอมๆสวยๆก็ดีอยู่หรอก ดมๆไปซัก 2-3 ดอกก็จะเริ่มมึน ขอแค่ชื่นชมดอกไม้สวยๆก็พอดีกว่า แต่ที่แย่คือ พอไปถึงโซนดอกลิลลี่ที่ตัวเองไม่ชอบ เป็นต้องรีบเผ่น เพราะมันมีดอกเยอะมาก กลิ่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว ทำเอาเราคลื่นไส้ จนต้องรีบเผ่นแทบไม่ทัน แถมยังต้องเจอะเรื่องน่าเศร้าอีก เพราะเจ้าแบตเตอรี่กล้อง ดันมาเสื่อมตอนไปเที่ยวพอดี กำลังกดมันส์ๆ แบตหมด แง๊......ยังดีที่เพื่อนเป้พกกล้องมาด้วย 2 ตัว เลยพอถูไถไปควบคู่กับกล้องจากมือถือ แต่ที่น่าช้ำใจรอบที่ 2 คือ รูปที่ถ่ายจากกล้องมือถือห่วยๆ มันดันสวยกว่ากล้องใหญ่ที่พกไปแล้วนี่สิ ฮ่วย!


ม้าหมุนนนนนนนน.....แต่เด็กเยอะมาก ไอ้เราก็แบบว่าอายหง่ะ... เลยได้แต่ถ่ายรูปมา


สวนญี่ปุ่นสวนๆ เสียแต่คนเยอะมากๆ


ชอบดอกนี้มากๆ หน้าตาแปลกดี



โชคดีที่ปลูกอยู่กลางแดด E72 จึงเก็บภาพมาได้ชัดเจน อิอิ



สวยแต่รูป จูบไม่หอมนะดอกนี้


ใต้ร่มไม้ในสวน Butchart.....แซนวิชทูน่า.....มื้อเที่ยงของเรา


สวนในร่มก็มี แต่ได้แต่ถ่ายรูปข้างนอก หาทางเข้าไม่เจอะหง่ะ


นอกจากกุหลาบและดอกไม้สวยๆแล้ว ที่นี่ยังมีม้าหมุนกับลานเวทีแสดงคอนเสิร์ตซึ่งพวกเราไม่ได้ดูเพราะมันมีตอนเย็น แล้วก็มีจุดพลุตอนค่ำซึ่งไม่ได้อยู่ดูเหมือนกัน นอกนั้นก็มีการจัดสวนตามชาติต่างๆ เช่น สวนญี่ปุ่น สวนอิตาลี เดินๆดูไปแล้ว ชักให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินสวนหลวง ร.9 ที่บ้านเราตอนที่เปิดใหม่ๆแฮะ น่าเสียดายที่ของบ้านเราตอนนี้ไม่ดูแลให้ดี โทรมไปเยอะ ดอกไม้ก็ไม่เยอะมากเหมือนเมื่อก่อน นี่ถ้าทำดีๆ แล้วโปรโมทเป็นที่ท่องเที่ยว ก็ว่าไม่แพ้ที่ Butchart นะเนี่ย


ที่ร้านขาบของที่ระลึก มีขายเมล็ดพันธุ์ดอกไม้สวยๆด้วย ซองนึงตก 2 เหรียญ ข้าพเจ้าเล็งอยู่นานมาก.........แล้วก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดแล้วว่าบ้านเราคงปลูกไม่ขึ้นหรอก


ของตกแต่งสวนน่ารักๆ อยากได้มากๆ แต่มันหนักและเกะกะมาก ไม่รู้จะเอากลับมายังไง


พวกเราอยู่ที่สวน Butchart จนถึงราวบ่าย 2 หลังจากชอปปิ้งใรร้านขายของที่ระลึกจนหนำใจ....ไม่ได้อะไรซักอย่างเลย....แล้วพวกเราก็นั่งรถไปยังเขต Downtown เพื่อไปถ่ายรูปในมุมบังคับของเกาะวิคตอเรีย ซึ่งก็คือที่ริมน้ำหน้า Parliament นั่นเอง รถเมล์ที่เรานั่ง ขับไปจอดที่ด้านข้างของโรงแรมสวยๆ ซึ่งอยู่เยื้องๆกับ parliament ดังนั้นเราจึงแวะเดินเล่นแถวนี้ก่อน

“แกชอบกินชาไหม” อยู่ๆเป้ก็ถามขึ้นมา

“อ่อ...กินก็ได้ แต่ปกติก็ไม่ได้ชอบอะไร” ข้าพเจ้าก็ตอบแบบงงๆ

“เออ ดีมาก งั้นไม่ต้องกิน ฉันแค่จะบอกว่า ใครมาเกาะวิคตอเรีย เค้าต้องมาจิบชาที่โรงแรมข้างหน้านี้ แกไม่ชอบกินก็ดีแล้ว มันแพง บอกให้รู้แค่นี้หล่ะ”

“"


โรงแรมนี้หล่ะค่ะ ชื่ออะไรไม่รู้จำไม่ได้ รู้แต่ขายชาแพงๆ


หอนาฬิกา ข้างล่างเป็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว ซึ่งเราไปอาศัยเข้าห้องน้ำกัน แหะๆ ข้างหน้ามีรถม้าบริการให้นั่งชมเมืองด้วย น่านั่งดีแต่แพงไปหน่อย แถมเหม็นตูดม้าอะ สรุปไม่ได้นั่ง


มองจากระเบียงตรงศูนย์ข้อมูลกลับมา ก็จะได้วิวมุมบังคับแบบนี้ ขอบคุณโหมดพาโนราม่าของ E72 ถึงจะต่อไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ แต่ถึงข้าพเจ้าถ่ายเองต่อเอง ก็ไม่มีปัญญาได้แบบนี้หรอก


บริเวณหน้า parliament มีลานขนาดใหญ่ติดริมน้ำ มีคนมาทำงาน art ขายมากมาย ทั้งงาน hand make จำพวกเครื่องประดับ เสื้อผ้า ของตกแต่ง รวมทั้งพวกศิลปิน ก็เอางานเขียนมาวางขายกันมากมาย นอกจากนี้ ยังมีพวกนักแสดงปาหี่ต่างๆ มาเล่นมายากล ไม่ก็แต่งตัวเป็นรูปปั้น หรือแม้แต่นางเงือก มายืนทำท่าทางให้คนถ่ายรูปเล่น และสร้างสีสัน ทำให้บริเวณริมน้ำนี้เป็นตลาดนัดที่เดินมากๆ






มีร้านขายของเยอะแยะ เหมือนตลาดนัด แต่ได้แต่เดินดู ไม่ได้ติดมือมาซักอย่าง เพราะขี้เกียจถือ


มีคนแต่งตัวเป็นนางเงือกมายืนให้ถ่ายรูปด้วย แต่ดูน่ากลัวอะ เลยขอแอบถ่ายข้างๆแล้วกัน


แถวริมน้ำนี้ ก็มีบริการพาออกเรือไปชมปลาวาฬในมหาสมุทร ซึ่งเค้าแค่พาไปยังจุดที่ “อาจจะ” ได้เจอะปลาวาฬ แต่ไม่ได้รับประกันว่าจะได้เห็น ดังนั้น เมื่อเห็นราคา และประเมินความเสี่ยงแล้ว เราขอถ่ายรูปคู่กับปลาวาฬจำลองตัวนี้ดีกว่าเนอะ


โปรดอย่าสนใจยายเจ๊ 2 คนที่ยืนอยู่ข้างหน้า แค่จะบอกว่า ตรงนี้เป็นจุดที่เค้าจะลงเรือไปดูปลาวาฬกัน ทุกคนต้องใส่ชุดหมีสีแดงๆแบบที่ยืนอยู่ข้างหลังเนี่ยหล่ะค่ะ เรือก็เป็นเหมือน speed boat ดูน่ากลัวจะตาย ขับออกไปตั้งไกล


หลังจากเดินเล่นชมตลาดนัดจนหนำใจแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังลานเฟสติเวลที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งมีการจัดแสดงคอนเสิร์ต มีวัยรุ่นไปชุมนุมกันมากมาย ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจดี เป้ชวนกันเดินไป แต่ก็ยั้งๆไว้ว่าวัยรุ่นแคเนเดี้ยน เค้าแค่ได้อาบแดด ดื่มเบียร์ ร้องๆเต้นๆกลางแดดกันหน่อยก็มีความสุขแล้ว อย่าหวังอะไรมากกับงานวัดของฝรั่ง

ซึ่งเมื่อพอไปถึง ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็สนุกดี แม้จะรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกไปนิด เพราะ เรา 2 คน ใส่เสื้อแขนยาว แถมสวมหมวก กะแว่นตากันแดด ประมาณว่ากลัวแดดสุดชีวิต ในขณะที่คนอื่นๆ เค้าถอดเสื้อ หรือใส่แค่บิกีนี่กัน


Festival! แดดเปรี้ยงๆแบบนี้ นั่งกันเข้าไปได้....



หลังจากซึมซับบรรยากาศเฟสติเวลของวัยรุ่นเคเนเดี้ยน พอหอมปากหอมคอแล้ว (จริงๆคือร้อนจนทนไม่ไหว ต้องกลับออกมา) พวกเราก็มุ่งหน้าไปยัง Parliament จุดมุ่งหมายสุท้ายของเรา เพราะตอนนี้ก็ 4 โมงกว่าไปแล้ว ที่หน้า parliament ในฤดูร้อนนี้ กลายเป็นที่อาบแดดของใครต่อใคร มีคนสวมแว่นตาดำมานอนแผ่พุงกลางแดดเยอะแยะ เห็นแล้วก็ขำดี



Parliament แบบชัดๆ กับโหมดพาโรนาม่าของ E72 อันนี้เนียนใช้ได้ แต่โค้งเชียวหุหุ


ใน Parliament มีไกด์นำทัวณืพาเข้าชมข้างในฟรีทุกๆครึ่งชม. แต่ต้องไปเอาบัตรคิวก่อน ไม่งั้นมันจะเต็ม แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่ต้องถึงรอบ เราก็ไปมั่วๆเอาไม่ต้องไปรับบัตรก็ได้


ข้างใน parliament การตกแต่งก็ดูคล้ายๆยุโรป แต่ไม่หรูหราเท่า เวลาเดินเข้าไปก็จะมีไกด์ กับผู้ติดตาม ที่คอยไล่ต้อนนักท่องเที่ยว ไม่ให้หลง หรือแอบเล็ดลอดอยู่ข้างใน เคยเดินตามล็อคประตูตลอดเวลา



ข้างใน Parliament ไม่ใหญ่มาก เปิดให้เราชมแค่ไม่กี่ห้อง ข้างในก็มีภาพวาดฝาผนัง กับกระจกสีลายสวยๆ แต่ก็ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจมากนัก เราใช้เวลาชมข้างในประมาณ 30 นาที ก็เดินหมดแล้ว ส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับเรื่องเล่าที่คุณไกด์อธิบาย ว่าสัญลักษณ์โน้นนี่ แปลว่าอะไร ห้องนี้เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งแรกๆข้าพเจ้าก็ตั้งใจฟังดีอยู่หรอก แต่เค้าพูดเร็วมากๆ ฟังไปๆมาชักหลุด เลยเลิกฟังไปโดยปริยาย ถ่ายรูปเล่นดีกว่า (จริงๆหลุดไปตั้งแต่ห้องแรกเลยหล่ะค่ะ )

ออกจาก parliament มา 6 โมงกว่า เลยตกลงใจว่ากลับบ้านกันดีกว่าวันนี้เหนื่อยแล้ว เลยรีบขึ้นรถบัส กะจะให้ทันเรือรอบ 2 ทุ่ม แต่ปรากฏว่าเรือรอบ 2 ทุ่มดันยกเลิก! ต้องนั่งรอขึ้นรอบสุดท้าย คือรอบ 3 ทุ่มแทน แล้วในระหว่างที่นั่งแกร๋วอยู่ที่ท่าเรือ 1 ชม นี้ ข้าพเจ้าก็ได้ลิ้มลอง energy bar เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งเพื่อนเป้สั่งย้ำนักหนาว่าเป็นของสำคัญต้องเตรียมไป เอาไว้กินยามหิว ใช้กินแทนกินข้าวได้ ทำให้มีแรง ที่สำคัญคือประหยัด แต่หลังจากได้ลิ้มลอง energy bar รส cinnamon ที่เป้โฆษณาว่าอร่อย ก็พบว่า ชาตินี้หรือชาติไหนๆ ไม่ขอแตะต้องมันอีกแน่นอน กลิ่นหืนๆแถมรสชาติก็หวานจัดและแหวะทีสุด


แหวะๆๆๆๆๆๆๆ


และแล้วหลังจากใช้เวลาเดินทางกลับบ้านเกือบ 3 ชม พวกเราก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ราวๆเที่ยงคืนพอดี แต่ถึงเหนื่อยยังไงก็ยังพอมีแรงเล่น FB แถมด้วยมื้อเย็นอร่อยๆ อันได้แก่ แกงส้มยี่ห้อ roithai ที่อุตส่าห์ขนไปจากเมืองไทยนี่เอง ฮี่ๆ


แกงส้มกับผัดผัก นี่หล่ะที่เราต้องการ อาหารไทยอร่อยที่ซู๊ดดดดด




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2553    
Last Update : 2 สิงหาคม 2553 11:29:19 น.
Counter : 6462 Pageviews.  

เชียงราย(วันที่ 2)

เช้านี้ตื่นขึ้นมา พร้อมกับอากาศหนาวๆชื้นๆ ผลจากฤทธิ์ยาทำให้นอนหลับสบายยยย ตื่นมามีแรงขึ้นเยอะ หลังจากอาบน้ำอุ่นจนตัวแดง และทำใจได้ ก็เปิดประตูบ้านออกไปชมวิว นอกห้องก็พบว่า โอ้โห้....มีแต่หมอกทั้งภูเขาเลยค่ะ ขนาดนี่ 8 โมงกว่าแล้วนะเนี่ย หมอกยังลงจัดแถมอากาศก็เย็นมากด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าในฤดูนี้ วิวยังสวยแบบนี้ ถ้าหน้าหนาวจะขนาดไหนนะเนี่ย ประทับใจสุดๆ



เช้าวันนี้เราทานข้าวต้มเครื่องที่รีสอร์ท รสชาติอร่อยมากๆ เป็นข้าวต้มเห็ดใส่ขิงร้อนๆ นอกจากนี้ยังดื่มโอวันตินเพิ่มเข้าไป ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาก แถมวันนี้เราเตรียมพร้อมร่างกายสุดๆ (รวมทั้งกระดาษทิชชู่ไว้ซับน้ำมูกด้วย) รับรองว่าวันนี้จะได้เที่ยวอย่างเต็มที่แน่ๆ


หลังจากทานข้าวเสร็จก็ขึ้นรถย้อนขึ้นไปดูสุสานนายพลต้วน ซึ่งอยู่ทางขึ้นเดียวกับคุ้มนายพลรีสอร์ทนั่นหล่ะค่ะ ค่อยๆขับรถฝ่าหมอกขึ้นไป ถนนลื่นมากๆ ทางก็มองไม่ค่อยเห็น ไปขึ้นไปถึงก็จอดรถชมวิว แต่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะมีแต่หมอก...หมอก...หมอก ไม่งั้นจากตรงนี้คงจะได้เห็นวิวหมู่บ้านบนดอยแม่สลองสวยๆแน่ๆเพราะอยู่สูงมาก



หมอกลงหนาจนน่ากลัว นี่ขนาด 8 โมงกว่าแล้วนะเนี่ย


ไปชมสุสานของนายพลต้วน ก็ไม่มีอะไร สวยดี ข้างๆมีร้านน้ำชานายพลต้วนด้วย แต่ว่าวันนี้ไม่เปิดค่ะ



หลังจากตื่นเต้นกับหมอกได้พักนึง ก็ขับรถวนรอบดอยแม่สลองเล่นๆ
จริงๆมันสายแล้ว เด็กๆก็ไปโรงเรียนกันหมดแล้ว เราจึงได้เจอะแต่แม่บ้านชาวเขาแต่งตัวแบบพื้นบ้าน แบกกระเป๋าสานไว้ข้างหลัง ยืนจับกลุ่มคุยกันตามถนน เหมือนกำลังตกลงอะไรบางอย่าง
บางทีเขาคงกำลังจะเริ่มออกเดินทางไปทำไร่ทำสวน หรือไม่ก็หาของป่า เห็นแล้วก็อยากถ่ายรูปเอาไว้ แต่พอหยิบกล้องขึ้นมา กลับมาความรู้สึกว่ามันจะทำให้เขารู้สึกว่าเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า ที่นี่ไม่ใช่สวนสัตว์ซักหน่อย เห็นเขาเป็นของแปลกหรือไง มาถ่ายรูปทำไม
(ความคิดนี้มักจะแวปเข้ามาในสมองเป็นประจำ เวลาที่เราอยากจะถ่ายวิถีชีวิตชาวบ้านแปลกๆที่เราไม่เคยเห็น ทั้งๆที่ปกติชอบดูรูปแนวๆนี้ในนิตยสารมากๆ เพราะดูแล้วเหมือนเราได้สัมผัสกับบรรยากาศของชาวบ้านจริงๆ ไม่ใช่ดูแค่สิ่งก่อสร้าง)

สรุปแล้วก็ไม่ได้ถ่ายอะไรเลย ได้แต่ถ่ายหมอกบนถนน


สายแล้วหมอกก็ยังเต็มถนน ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเป็นหน้าหนาวจะเป็นยังไงนะเนี่ย


ที่เห็นบ้านเป็นหลังๆ คือคุ้มนายพลรีสอร์ท ที่พักของเราเมื่อคืนค่ะ มองจากข้างล่างนี่ สวยน่าดู แต่จริงๆแล้ว ระเบียบบ้านมันถูกหลังคาบทบังวิวไปซะหมด ออกมานั่งเล่นหน้าบ้าน ก็มองวิวแล้วเจอะหลังคาขัดๆตา แถมเจอะยุงตัวเท่าแมลงวันอีกด้วย


หลังจากขับวนรอบดอย 2 รอบแล้ว ก็ตัดสินใจกลับลงพื้นดีกว่า ตอนแรกว่าจะขับไปเที่ยวพระธาตุเสียหน่อย แต่เพราะหมอกลงหนา และถนนลื่นมาก ก็เลยเปลี่ยนใจ ลงไปชอปปิ้งที่แม่สายเลยดีกว่าดีกว่า

ดังนั้น เช้านี้ เราจึงอำลาดอยแม่สลองไปพร้อมๆกับบรรยากาศมัวๆ


ขากลับนี่ เราได้สอบถามเส้นทางกับทางรีสอร์ทเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราจะกลับทางที่ขับง่ายๆกัน นั่นคือทาง 1089

น้างชาวเขา เขาบอกว่า ทางนี้จะวิ่งไกลหน่อย แต่ถนนไม่ชัน ขับง่าย แต่ช่วงนี้ถนนไม่ค่อยดี มีหลุมบ่อเป็นระยะ แล้วก็มีบางช่วงทำถนนอยู่บ้าง แต่เมื่อเราขับไปจริงๆ ก็พบว่าไม่สาหัสเท่าไหร่ แค่ถนนไม่ดีเท่าทางหลัก แต่โดยรวมๆถือว่าขับสบายมาก ไมชันเลยซักนิด มีแต่เนินเขาเตี้ยๆ แถมยังมีหมู่บ้านตลอดทาง ให้เรารู้สึกอุ่นใจ เรียกว่าแทบไม่มีช่วงเปลี่ยวๆเลย ขับแป๊บเดียวก็ลงมาถึงพื้น รวมใช้เวลาพอๆกับตอนขาขึ้นมา เพราะเส้นทางนี้แม้จะไกลกว่า แต่ทำความเร็วได้มากกว่า

หลังจากลงมาถึงพื้น เราก็พบกับอากาศที่ร้อนสุดๆๆๆ แดดจ้าต้อนรับมาเลยเชียว ร้อนแบบนี้จะเดินตลาดท่าขี้เหล็กไหวเหรอเนี่ย เหอๆ

แต่ก็ไป....

ไปถึงก็ไปทำเอกสารผ่านด่านชั่วคราวก่อน เดี๋ยวนี้ไปทำที่หน้าด่านไม่ได้แล้ว ต้องไปทำที่เทศบาลที่เดียวเท่านั้น วันธรรมดาแบบนี้แทบไม่มีคนเลย โล่งสบายไม่ถึง 5 นาทีก็เรียบร้อย แล้วก็ไปชอปปิ้งกัน


ไปเมืองนอก...ใกล้นิดเดียว แค่เดินข้ามสะพานนี้ไป ข้างหน้าก้เมืองนอก(พม่า)แร้ว


ใครๆก็บอกว่าแม่สายมีทุกสิ่งให้เลือกสรร ทั้งเสื้อผ้า ของก๊อป แบรนด์เนม มือถือ cd ของเล่น บลาๆๆๆๆ ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
แต่พอไปถึงจริงๆ มันก็มีอย่างที่เขาว่ากันหล่ะค่ะ แต่บังเอิญว่าสินค้าต่างๆที่นี่ไม่ค่อยอยู่ใน target ของเราซักเท่าไหร่ เพราะใจจริงแล้ว อยากได้สิ้นค้าพื้นเมือง พวกกำไลเงิน กระเป๋าสาน หรือ ผ้าทอมากกว่า แต่หาไม่มีเลยซักร้านเดียว กลายเป็นมีแต่ขายสินค้าจากจีนไปซะหมด

ตลาดท่าขี้เหล็กของฝั่งพม่า เดินๆไปรู้สึกเหมือนกับกำลังเดินอยู่แถวคลองถม หรือสะพานเหล็ก แถมออกจะดูน่ากลัวกว่าเสียด้วย เพราะคนฝั่งนี้ผิวคล้ำหน้าเข้มๆ แถมแต่งกายปอนๆ ท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจ

ยิ่งในวันธรรมดาที่นักท่องเที่ยวน้อยๆแบบนี้ พอมีนักท่องเที่ยวหลงไปหน่อย ก็เข้ามารุมกันใหญ่ บุหรี่ไหมๆๆ มือถือๆๆ cd ไหมๆๆ สารพัดสารแพ กว่าจะฝ่าวงล้อมมาได้แทบแย่เลยค่ะ คิดแล้วโชคดีที่พ่อมาด้วย ไม่งั้นคงจะร้อนๆหนาวๆเหมือนกัน เพราะมีแต่ผู้ชายดำๆตัวโตๆรุมเข้ามาเต็มไปหมด


หลังจากเดินรอบตลาดไป 1 รอบ ก็เริ่มเจาะลึก หาเป้าหมายที่ต้องการ นั่นก็คือมาดู cd และ dvd ซึ่งใครๆก็บอกว่าราคาถูกและมีให้เลือกเยอะมาก เห็นว่าใครมาที่นี่ต่างแบก cd กลับกันไปเป็นกระสอบเลยเชียว เราก็อยากได้มั่ง แต่หลังจากเดินสำรวจอยู่หลายรอบ ก็พบว่าแผ่นแนวคลาสสิกที่เราต้องการ มีให้เลือกจริงๆแค่ 2 ร้านใหญ่ๆ ส่วนร้านอื่นก็มีบ้างประปราย เท่านั้น

เนื่องจากแผ่นแนวเพลงคลาสสิกที่เราสนใจ ออกจะเป็นงานเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ตลาดใหญ่ ไม่เหมือน dvd หนังเกาหลี หรือ หนังประเภท 18+ ซึ่งมีวางกันอย่างโอ่โถง ในที่หยิบฉวยง่าย

ในขณะที่งานเพลงคลาสสิกอันทรงคุณค่า ซึ่งจริงๆก็มีให้เลือกเยอะมากๆๆๆ แต่เนื่องจากการเก็บรักษาและการจัดร้าน ทำให้ไม่น่าเลือกซื้อเลย ส่วนใหญ่จะถูกโยนใส่เป็นกล่องๆ ทิ้งๆขว้างๆต้องไปคุ้ยๆพร้อมกับคลุกฝุ่นไปด้วย แถมเวลาจะเลือกซื้อที ต้องเดินเข้าไปลึกถึงบริเวณในสุดของร้าน บางร้านก็ต้องแหงนหน้าดูหิ้งชั้นสูงๆ ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจ ทำให้เวลาหยิบเลือกแผ่นมาที ก็รู้สึกกังวลว่า แผ่นที่เราหยิบมานี่มันจะดูได้แน่เร้อ....

ดังนั้น ด้วยอุปสรรดังกล่าว จึงทำให้เลือกแผ่นได้แปบเดียว ก็ต้องขอลาเพราะน้ำมูกเริ่มไหล จากการสูดเอาขี้ฝุ่นเข้าไปเยอะแยะ แล้วพอหยิบมาเยอะเข้า ก้รู้สึกว่ามันหนัก ต้องถือพะรุงพะรัง เลยแบบว่าขี้เกียจ สรุปก็เลยได้กลับมา 20 กว่าแผ่น ทั้งของตัวเองและฝากชาวบ้าน มาตอนนี้คิดย้อนกลับไปแล้ว แหม...น่าจะซื้อมาเยอะกว่านี้อีกซักหน่อย เพราะคิดๆดูแล้วมันถูกมากๆๆๆ cd เพลงตกแผ่นละ 25 บาทส่วน dvd ก็แค่ 45 บาทเอง แถมตอนไปคิดตังค์ ขอเขาลดเพิ่มอีก ก็ปัดเศษให้อีกด้วย

และในระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังเมามันส์อยู่ที่ร้าน cd พ่อก็แอบไปซื้อกล้องส่องทางไกลมา 1 ตัว ราคาตั้ง 1200 พ่อต่อได้ 600 บาท
(แต่ใจจริงข้าพเจ้าคิดว่า กล้องแบบนี้ ต่อซัก 3-4 ร้อยได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะดูพ่อจะภูมิใจมากเลยที่ต่อได้ถึงครึ่งราคา....เอาเห๊อะ...)

นอกจาก cd และกล้องส่องทางไกลแล้ว ก่อนเราจะกลับฝั่งไทย ก็ไม่ลืมที่จะซื้อของที่ใครๆบอกว่ามาแม่สายห้ามลืมซื้อเด็ดขาด นั่นคือ “กางเกงใน”

จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเลยนะเนี่ย.... แต่ใครๆต่างกำชับกันจริงว่า มาตลาดท่าขี้เหล็กอย่าลืมซื้อกางเกงในนะ ราคาถูกมากๆ
ซึ่งก็ถูกจริงๆค่ะ ตกตัวละ 10 กว่าบาทนิดๆเท่านั้นเอง แต่เป็นแบบธรรมดาเรียบๆ ไม่ได้มีลวดลายวิจิตรพิสดารอะไรมากนัก แต่เนื้อผ้าและคุณภาพ ก็ถือว่าใช้ได้ ดังนั้น เพื่อมิให้เสียความตั้งใจของคนแนะนำ ข้าพเจ้าเลยหยิบติดมือมา 1 โหล เอิ้กๆ

สุดท้าย แผนการชอปปิ้งที่แม่สาย ที่ข้าพเจ้าวางไว้ว่าน่าจะยาวนานถึง 2-3 ชม กลับจบลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ ชม เศษๆเท่านั้น และสิ่งที่ประทับใจที่สุดสำหรับตลาดท่าขี้เหล็ก กลับไม่ใช่บรรดาสินค้าราคาถูกต่างๆ แต่กลับเป็น โรตี ของพี่พม่า ซึ่งเข็นรถมาขายอยู่ในตลาด รสชาติดีมากๆ คงเพราะเขาใช้แป้งไม่เหมือนกับบ้านเรา และทอดจนกรอบ

แต่สิ่งที่ควรปรับปรุง คือ กะอีแค่โรตี 2 ชิ้น พี่พม่าใช้เวลาทำไปตั้งเกือบ 20 นาที ค่อยๆนวดค่อยๆทอด ค่อยๆราดนม และค่อยๆโรยน้ำตาล เห็นแล้ว แบบว่า.....โอ๊ย...ทำงานช้าแบบนี้ ชาติไหนจะรวยหล่ะเนี่ย


ราว 11 โมงกว่าๆ พวกเราก็กลับมาฝั่งไทยโดยสวัสดิภาพ อยากจะบอกว่าเพียงแค่ข้ามสะพานความยาวประมาณ 100 เมตร ก็ทำให้คุณรู้สึกสบายใจได้อย่างบอกไม่ถูก คำว่า “ปลอดภัยแล้ว” ผุดขึ้นมาในสมองทันใด


ข้ามมาถึงฝั่งไทยก็เจอะร้านผลไม้ คราวนี้หล่ะชอปปิ้งของจริง ผลไม้จากจีนสวยๆ ราคาถูก แถมน่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ
แต่เพราะว่าเรายังอยู่ที่นี่อีกตั้ง 2 วัน เลยแค่เดินดูสำรวจราคา และนัดกันว่า เดี๋ยวก่อนกลับจะหาเวลาแวะมาซื้อกลับกรุงเทพ แต่กระนั้น ก็ยังได้บัวหิมะ 3 โล และลูกพีช อีก 2 โล แถมด้วยขนมมาชเมโล กับ ป๊อกกี้ ราคา 4 แพ็ก 100 บาท ซื้อกักตุนเป็นเสบียงเอาไว้เผื่อกินเล่นระหว่างทาง
(ซึ่งมาอ่านเจอะใต้กล่องข้างล่างว่า ผลิตที่โรงงานในไทย ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ !!!)

มื้อเที่ยงวันนี้ เราตกลงทานกันที่แม่สาย จากที่ทำการบ้านไปว่าให้ไปทานแถวไปรษณีย์ แต่เราหาไปรษณีย์ไม่เจอะ ก็เลยตัดสินใจทานร้านอาหารจีนยูนานซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเทศบาลเมือง (ที่เลือกร้านนี้เพราะตะกี้ตอนขามา เหลือบเห็นว่ามีรถตู้นำทัวร์จอดอยู่เยอะๆมากๆ เดาว่าน่าจะอร่อย)


ร้านนี้ๆ


มื้อนี้ พ่อมีความสุขอีกแล้วที่ได้ทานอาหารจีน เมนูที่สั่งมาแล้วถูกใจที่สุดคือ หมูสามชั้นยูนาน มัน 3 ชั้นก็จริง แต่ไม่เลี่ยนมากเท่าไหร่ แถมรสชาติเผ็ดมากๆ กินกับหมั่นโถวร้อนๆ แล้วยังมีเห็ดอบซีอิ้ว และผัดกาดขาวผัดกุ้งแห้งด้วย รสชาติดีอร่อยมากๆ มื้อนี้เลยได้อิ่มตื้ออีกแล้ว แถมราคาไม่แพงด้วย


หมู 3 ชั้น อร่อยสุดยอดดด


ออกจากแม่สาย จุดมุ่งหมายต่อไปของเราคือไปสามเหลี่ยมทองคำ และไปนอนพักที่เชียงแสน ในแผนที่ดูแล้วเหมือนจะไกลกันมาก แต่แท้จริงแล้วใกล้นิดเดียว ขับรถแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว

แต่เนื่องจากอากาศร้อนจัดมาก แดดแรงสุดๆ แถมร้านค้าก็ไม่มีเปิดกันเลยซักร้าน เลยกะว่าเดี๋ยวเข้า โรงแรมพักหลบร้อนกันก่อนดีกว่า แดดร่มแล้วค่อยออกมาร่อนใหม่

ครั้งนี้เราพักที่โรงแรม de river เป็นบูติกรีสอร์ทเล็กๆซึ่งพึ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน อยู่ริมแม่น้ำโขง วิวสวยเชียวค่ะ



ห้องนอนเขากว้างกว่าห้องนอนที่บ้านเราอีก

เตียงเสริมของพ่อ ถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เพราะเราพักแบบห้องsuite เป็นเพียงแค่ฟูกบางๆปูกับพื้นเท่านั้นเอง แต่มีดีที่มี TV ให้ทั้ง 2 ห้องเลยไม่ต้องแย่งกันดู


ห้องพักของเราอยู่ชั้น 2 เป็นห้องหัวมุมอยู่สุดริมทางเดิน ที่ชอบมากๆคือมีระเบียงรอบห้องเลย แถมมีเก้าอี้นั่งเล่นให้ชมวิวแม่น้ำสบายๆ มองไปฝั่งตรงข้ามเจอะ คาสิโนของฝั่งลาวกำลังก่อสร้างอยู่ด้วย

แต่ถึงกระนั้นก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่แทบไม่ได้ใช้งานระเบียงน่านอนนี้เลย เพราะอากาศร้อนมากๆ ถ้าเป็นหน้าหนาวบรรยากาศริมน้ำเย็นๆแบบนี้ คงดีเชียวค่ะ

หลังจากพักผ่อนจนสบายแล้ว แดดก็ไม่ร่มซักที บ่ายๆอากาศร้อนๆแบบนี้ จะไปเที่ยวตะลอนๆตามวัดก็คงจะเหนื่อย แถมพึ่งอาบน้ำมาเย็นๆแล้วด้วย ไม่อยากจะเหงื่อซกอีก ก็เลยตกลงว่าขับย้อนไปเที่ยวหอฝิ่น รอแดดร่มกันดีกว่า



หอฝิ่น วันนี้ช่างเงียบเหงา มีรถนักท่องเที่ยวรวมทั้งพวกเราแค่ 2 คัน เท่านั้นเอง


ที่หอฝิ่นนี้ มีขนาดใหญ่มาก ตอนแรกเห็นราคาเข้าชมแล้วก็รู้สึกว่าคนละ 200 ก็แพงมาก กลัวๆอยู่ว่ามันจะเหมือนๆกับพิพิธภัณฑ์อื่นๆของบ้านเรา แต่เมื่อได้เข้าชมแล้ว ปรากฏว่าดีเกินคาด ไม่เสียดายตังค์เลยซักนิดเดียว

ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของฝิ่นและยาเสพย์ติดต่างๆ การจัดแสดงน่าสนใจ และดูตระการตามากๆ เดินๆดูแล้วคล้ายๆกับแนวพิพิธภัณฑ์ของสิงคโปร์ ซึ่งไม่ได้มีแต่จัดแสดงของมาวางๆแต่เพียบอย่างเดียว แต่มีหุ่นขยับได้ มีการฉายภาพ และ activity อื่นๆที่น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อเลยค่ะ

พ่อกับแม่ชอบที่หอฝิ่นนี้มากๆ โดยเฉพาะ เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีน และสงครามฝิ่น รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการสูบฝิ่น

ทั้ง 2 คน ต่างผลัดกันเล่าเรื่องประสพการณ์เกี่ยวกับคนสูบฝิ่น ที่เคยพบเจอะมาในสมัยวัยเด็ก แม่บอกว่าในสมัยก่อน ถ้ามีลูกเจ้าสัว หรือคนมีเงินมาขอแต่งงาน ต้องดูให้ดีเลย ส่วนใหญ่ก็สูบฝิ่นกันทั้งนั้น เพราะคนจีนรวยๆสมัยก่อน ชอบให้ลูกสูบฝิ่น เพราะสูบแล้วทำให้มีความสุข แล้วก็จะอยู่ติดบ้าน ไม่ออกไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ที่สำคัญคือ จะไม่ป่วยเป็นโรคอย่างอื่นด้วย เพราะติดแต่ฝิ่นอย่างเดียว(ตกลงมันดีหรือไม่ดี)

แถมยังเล่าอีกว่า แถวเยาวราชบ้านเก่าเรา ในซอยร้านแกงกระหรี่เจ้าโปรดของข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ข้างๆวัดมังกร ซอยนั้นทั้งซอย เคยเป็นโรงฝิ่นมาก่อน เปิดกันแบบถูกกฏหมายมีใบอนุญาติด้วยนะ ทั้งพ่อและแม่ ต่างรำลึกความหลังกันสนุกสนาน ส่วนข้าพเจ้าได้แต่ฟังด้วยความประหลาดใจ ปนหงุดหงิดนิดๆ เพราะเกิดไม่ทันยุคนั้น เลยไม่มีส่วนร่วมในประสพการณ์ดังเกล่า (รู้สึกเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้ แง่งๆ)

ครอบครัวของเราใช้เวลาอยู่ที่หอฝิ่นนานมากๆ เดินดูอย่างละเอียดทุกจุด ยังกับว่าพรุ่งนี้เราจะมีสอบไล่เรื่องฝิ่นและยาเสพย์ติดกันกัน หลังจากเดินชมจนครบ ก็ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีลูกมีหลาน เด็กเล็กๆ สมควรพามาเที่ยวที่นี่อย่างยิ่ง เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้ดีมากๆ

หลังจากออกจากหอฝิ่น แดดก็เริ่มร่มลงนิดนึงแล้ว พวกเราจึงไปเที่ยวที่สามเลี่ยมทองคำกัน


นี่หล่ะสามเหลี่ยมทองคำ มีแต่แม่น้ำโขง ร้อนๆโล่งๆ ไม่มีอะไรเลย นอกจากโดมตรงโน้นนนนน คือคาสิโนฝั่งลาว


มีพระตั้งอยู่ที่ทำบุญด้วย แต่จัดพื้นที่ไม่ค่อยดี ถ่ายรูปไม่สวยเลย เพราะมีแต่เต้นท์กันแดด กับสายอะไรไม่รู้ระโยงระยางเละเทะรกไปหมด


มา 3 เหลี่ยมทองคำ ไม่ถ่ายมุมนี้คงไม่ได้เนอะ ไม่ทราบเหมือนกันว่าสร้างไปเพื่ออะไร แต่ก็ดูอลังการดีค่ะ

หลังจากเดินเล่น กินน้ำมะพร้าวเย็นๆ และแวะเดินดูร้านขายของที่ระลึกหน่อยนึงแล้ว ก็ขึ้นไปเที่ยววัดพระธาตุภูเข่า ซึ่งอยู่ตรง 3 เหลี่ยมทองคำพอดี

ซึ่งวัดนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากโบสถ์เก่าๆ ซึ่งกำลังบูรณะอยู่ 1 หลัง แต่ที่ใครๆมักจะขึ้นมาเพราะเป็นจุดชมวิวสามเหลี่ยมทองคำจากมุมสูง ซึ่งจริงๆแล้ว ข้าพเจ้าว่า มองจากข้างล่างมันก็เหมือนๆกัน


ป้ายใหญ่ชัดเจนอยู่ริมถนนเลย


ทางขึ้นเป็นบรรไดพญานาค ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ เทียบดูกับคุณพ่อของข้าพเจ้าแล้ว เราเป็นคนแคระไปเลยแฮะ
(แต่เราไม่ได้เดินขึ้นไปหรอกค่ะ มันสูง ใช้ขับรถขึ้นไปแทน อิอิ)


ขออีกซักรูป


ข้างบนไม่มีอะไรเลยนอกจาก โบสถ์ 1 หลัง ซึ่งทรุดโทรมมากๆ แต่กำลังบูรณะอยู่ ขึ้นมาช่วยๆกันบริจาคนะคะ



บรรไดขาลงจากข้างบน สวยเหมือนกันเลยค่ะ



ชอบจริงๆเลยค่ะ บรรไดของทางเหนือเนี่ย


ลงมาจากวัดก็เริ่มเย็น และหิวพอดี ไปทานข้าวดีกว่า
จากที่ขับรถจากสามเหลี่ยมทองคำไปจนถึงที่พัก ก็เห็นแล้วว่า แทบจะไม่มีร้านอาหารน่าสนใจเลย ก็เลยเป็นอันว่าร้านศิริวรรณเนี่ยหล่ะ ดูโอเคที่สุด มีรถมาจอดทานกันหลายคัน เลยตกลงใจทานกันที่ร้านนี้

มาเที่ยวที่เชียงแสนนี่ ใครๆก็บอกว่าต้องทานปลาแม่น้ำโขง อันได้แก่ ปลาคัง ปลาบึก ปลาเค้า แล้วก็ปลาอะไรอีกก็ไม่รู้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้จักซักอย่าง ก็เลยสั่งเป็นลวกจิ้มรวมมิตรปลาแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเนื้อปลาลวกรวมทุกชนิด แต่หลังจากทานแล้ว ก็ปรากฏว่า ไม่ชอบเลยซักชนิดเดียว กลิ่นออกคาวๆ เนื้อแข็งๆไปซะหมด ที่สำคัญคือ อาหารของร้านนี้จานใหญ่มากๆๆ ตอนสั่งก็ไม่ทันดู แต่ตอนยกมานี่อึ้งไปเลย สรุปว่ากับข้าวเหลือบาน ส่วนเนื้อปลาลวกที่สั่งมานั้น กว่าครึ่งจาน ยกให้เป็นอาหารของเจ้าเหมียวที่ร้านอาหาร ซื้อมาร้องเมี๊ยวๆ ขอกินตั้งแต่เริ่มไปนั่ง



รวมมิตรลวกจิ้มปลาน้ำโขง ส่วนตัวข้าพเจ้าชอบกินปลาทะเลมากกว่า ส่วนปลาแม่น้ำโขงนี่มันออกคาวๆ แถมหนังหนาสุดๆอีกต่างหาก รสชาติไม่ถูกลิ้นเอาเสียเลย


สั่งกับข้าวมาเต็มโต๊ะ ถูกใจแกงส้มชะอมไข่ที่สุด อ๊ะ...แต่เมนูนี้จริงๆไม่ต้องถ่อไปกินถึงเชียงแสนก็ได้เนอะที่กรุงเทพก็อร่อย เอิ้กๆ


คืนนี้กลับถึงโรงแรมแต่หัวค่ำ นอนดูทีวี พร้อมกับทานผลไม้และขนมที่ซื้อจากแม่สายอย่างสบายใจ ที่ห้องของเรามีทีวีถึง 2 เครื่อง พ่อชอบใจเป็นที่สุด เพราะจะได้ดูข่าวได้เต็มที่ ไม่ต้องมาแย่งกับข้าพเจ้าซึ่งชอบดูแต่หนัง

คืนนี้พวกเราเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อเก็บแรงไว้เที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้

เตียงที่โรงแรมนี้นอนสบายมาก แข็งกำลังดี

“กลับบ้านเราไปซื้อที่นอนใหม่กัน”

คือ คำพูดติดปากของแม่ทุกครั้งที่ไปนอนโรงแรมที่มีเตียงถูกใจเสมอๆ ซึ่งดูเหมือนว่า แม่จะพูดทุกครั้งที่เราไปนอนบนเตียงที่ไม่ใช่ของเรา




 

Create Date : 25 กันยายน 2552    
Last Update : 25 กันยายน 2552 17:46:11 น.
Counter : 1452 Pageviews.  

เชียงราย(วันที่ 1)

1 กันยายน 2552

คืนนี้ตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวจนนอนไม่ค่อยหลับ เลยตาสว่างตื่นมาตั้งแต่ตอนตี 3 ซึ่งก็นับว่าโชคดีมาก เพราะนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ตอนตี 4 ดันเกิดไม่ทำงานซะนี่ เพราะดันตั้งผิดให้มันปลุกตอน 4 โมงเย็นซะงั้น

4.00 ออกจากบ้านเดินทางไปสุวรรณภูมิ เพื่อขึ้นเครื่องบิน วันนี้ครอบครัวของเรา จะไปเที่ยวเชียงรายกัน 4 วัน เย้ๆๆ


ไปถึงสุวรรณภูมิราวตี 5 แล้วก็เจอะกับแถว check in ยาวยืด ดังนั้นแผนเดิมที่ว่าจะไปเดินเล่นและหาอะไรทานที่สุวรรณภูมิ เป็นอันพับไป โชคดีที่แม่เตรียมขนมปังมาเผื่อเอาไว้ทานรองท้องกันก่อน ทานเสร็จก็เข้าไปข้างในนั่งรอขึ้นเครื่องเลย ระหว่างรอก็นั่งดูทีวีในห้องพักผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง ซึ่งเปิดช่อง discovery เป็นรายการสารคดีก็ดีอยู่หรอก แต่ทำไมเช้านี้มันต้องเป็นสารคดีเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางเครื่องบินด้วยหล่ะเนี่ย ดูไปก็สยองไป เป็นการ built อารมณ์ก่อนขึ้นเครื่องที่ดีจริงๆ

6.30 น.ได้นั่งบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว พอนักบินเอาเครื่องขึ้นได้แปบนึงก็ประกาศว่าวันนี้จะบินเร็วเป็นพิเศษ และจะถึงเชียงรายก่อนกำหนดตั้ง 20 นาทีแหน่ะ (พึ่งรู้ว่าเครื่องบินก็ซิ่งได้แฮะ)

แล้วก็ถึงสนามบินเชียงรายก่อนเวลาจริงๆ พร้อมกับอากาศร้อนๆ โชคดีมากๆที่ไม่เจอะฝน ดังนั้น แผนการในเช้านี้จึงผ่านไปได้อย่างราบรื่น รับกระเป๋าและติดต่อรถเช่าเรียบร้อย 8 โมง พอดีเป๊ะ ก็ออกเที่ยวได้เลย และเป้าหมายแรกของเช้านี้ คือไปที่ตลาดเทศบาลก่อนเลย เราจะไปหามื้อเช้ารอบ 2 กินกัน


ที่ตลาดเทศบาล 1 ในตอนเช้านี้ คึกคักมากๆ มีพ่อค้าแม่ค้าเอาของมาวางขายทั้งในตลาดและปูเสื่อริมถนนเต็มไปหมด ผักที่นี่ทั้งสดและมีขนาดใหญ่มาก ดอกไม้ก็สวยแถมราคาถูกกว่า กทม หลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังมีของหลายอย่างที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็น เช่นหนอนแมลงหลายชนิด ถั่ว ของป่า หน่อไม้ แล้วก็ได้เห็นอ้อยแบบยังไม่ปอกเปลือกเป็นท่อนๆ ใหญ่เบ่อเริ่มเลยค่ะ


นอกจากนี้ก็ยังมีพวกอาหารทะเล ปู กุ้งและปลาหมึก ตัวโตๆ ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่พอๆกับที่ กทม และเมื่อแม่เห็นแผงขายอาหารทะเลปุ๊บ ก็รีบบอกว่า

“อืม...เรามาอยู่ที่เชียงรายได้นะลูก มีปูให้กินด้วย ไม่อดตายแล้ว”

แต่น่าแปลกที่เป้าหมายหลักของเราอีกอย่างคือจะไปหาลำไยมาทานกัน กลับไม่มีขายเลย สงสัยจะส่งไป กทม ซะหมด

เดินเข้าไปในตลาดไม่ทันไร ข้าพเจ้าก็ได้ไส้อั่วมากินเล่น ซื้อมา 2 ขีด ขีดละ 25 บาท เดินจิ้มกินไปเรื่อยๆระหว่างเดินตลาด
(ทีนี้รู้แล้วหรือยังว่าทำไมไม่มีรูปตลาดให้ชมกัน ก็เพราะว่ามือไม่ว่างนั่นเอง แหะๆ)

เช้านี้ใจจริงแล้วว่าจะหาข้าวซอยทานกันเสียหน่อย แต่ปรากฏว่าเดินไปทั่วตลาด เจอะแต่ร้านข้าวมันไก่เยอะมากๆๆๆ แต่ไม่เจอะข้าวซอยเลยซักร้าน แล้วก็เจอะข้าวแกงหม้ออยู่ 2-3 ร้าน ซึ่งดูแล้วแม้แต่พ่อกับแม่ก็ยังส่ายหน้าว่าไม่รู้จักซักอย่าง แถมหน้าตาแปลกๆสีดำๆ ดูแล้วคงไม่ไหว ก็เลยขอบายดีกว่า สรุปว่าเช้านี้พวกเราก็เลยได้กินข้าวเช้าที่เชียงรายเป็นไส้อั่ว 2 ขีดนั่นหล่ะค่ะ

หลังจากเดินตลาดจนทั่วและหยุดดุแผนที่แล้ว เห็นว่าวัดพระแก้วและวัดพระสิงห์อยู่ใกล้ๆกับตลาด น่าจะเดินไปได้ไม่ไกล จึงออกกำลังกายเสียหน่อย เดินไปหาวัดพระสิงห์ แต่ดันเจอะวัดพระแก้วเสียก่อน วัดนี้ร่มรื่นมาก มีพระธาตุ และโบสถ์ไม้สีทองสลักลายแบบทางเหนืออย่างสวยงาม แถมข้างในยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆด้วย วัดนี้มีความสำคัญคือ เป็นวัดที่เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกตมาก่อน ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวและชาวบ้านแวะเวียนมามากมาย ขนาดเราไปวันธรรมดา ยังมีผู้คนแวะเวียนกันมาเรื่อยๆเลยค่ะ




โบสถ์ข้างหน้า


พระพุทธข้างใน


หลังโบสถ์ก็เป้นพระธาตุสีทอง และมีต้นไม้ร่มรื่นเชียวค่ะ


ส่วนโบสถ์ข้างหลังก็เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตจำลอง


ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์เล็กๆให้ชมฟรีด้วย บริจาคแล้วแต่ศรัทธา


ลายที่ประตูสีทองสวยมากๆ เสียดายพื้นที่แคบถ่ายรูปยากมากๆ


ข้างในก้จัดแสดงพระพุทธรูปสวยๆเยอะเลยค่ะ


แสงสวยๆ ชอบๆ


อันนี้คือะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าสวยดี มีแว่นขยายให้ส่องดูความละเอียดของชิ้นงานด้วยค่ะ

ออกจากวัดพระแก้ว ก็จะไปวัดพระสิงห์ แต่ด้วยอากาศที่ร้อน และเมื่อมองดูแผนที่แล้วงงแฮะ แถมถนนยังเป็นเนินๆอีก เดินไม่ไหวแล้วอ่ะ กลับไปเอารถขับไปดีกว่า

แต่เนื่องจากถนนตรงนั้น เดินรถได้ทางเดียว แถมเราก็ไม่ชำนาญทาง ก็หลงสิคะ วนไปวนมา ไปโผล่หน้าหอนาฬิกา หมุนรอบตลาดไป 2 รอบ แต่สุดท้ายก็ถึงวัดพระสิงห์จนได้หล่ะค่ะ และได้รู้ว่า แท้จริงแล้วใกล้นิดเดียวเอง


ป้ายวัดทางเหนือนี่หรูหรา อลังการจริงๆ


ประตูวัดเก่า แต่งานสลักละเอียดและสวยงามมาก

วัดพระสิงห์ มีเนื้อที่เล็กนิดเดียว แถมตอนที่เราไปถึง โบสถ์ก็ไม่เปิดให้เข้าอีก เลยได้แต่เดินดูรอบๆ ประกอบกับฝนตกลงมาโปรย เลยต้องรีบเผ่นขึ้นรถ แต่ปรากฏว่ามันตกมาหลอกๆ แป๊บบบเดียวก็ร้อนอีกแล้ว


โบสถ์ปิดอ่ะ อดเข้า แง๊ๆ



ออกจากวัดพระสิงห์ เราก็ไปต่อกันที่วัดพระธาตุดอยจอมทองกัน ซึ่งตอนที่ดูในแผนที่ นึกว่าจะอยู่ไกล แถมตอนที่เห็นคำว่า “ดอย” ก็เหมือนโดนขู่กลายๆว่า “สูงนะ” ดูแล้วก็กลัวๆว่าจะต้องออกไปขึ้นดอยสูงๆนอกเมือง แต่ที่ไหนได้แท้จริงแล้วปรากฏว่า พระธาตุดอยจอมทองนี้ อยู่ถัดจากใจกลางเมืองไปนิดเดียว แถมยังอยู่ในเขตชุมชนที่หนาแน่นซะด้วย และที่สำคัญคือ วัดไม่ได้อยู่บนดอยหรอกค่ะ แต่เป็นแค่เนินดินเตี้ยๆเท่านั้นเอง


ทางขึ้นดูเหมือนจะสูง...


จริงๆก้สูงหล่ะค่ะ...ถ้าเิดินขึ้นไปนะ คงเหนื่อยเอาการ แต่ขับรถขึ้นไปก็อึดใจเดียว พระธาตุหน้าตาเหมือนๆที่วัดพระแก้วเลย แต่ไม่รู้ว่าสุ่มสีเงินๆข้างบนเป็นร่มสีแดง เขาเอาไว้ทำพิธีอะไรกันนะ


ลงจากพระธาตุ ก็ไม่รู้จะไปไหนกันขับรถวนรอบเมืองก็แล้ว เวลาเหลือมากมาย ก็เลยว่าไปวัดร่องขุนกันดีกว่า เลยขับรถออกไปนอกเมือง ได้เจอะ Big C ที่เขาว่าเป็นห้างที่ดีสุดแล้วในเชียงรายด้วย ใหญ่มากๆ มีโรงหนังด้วยนะ

ขับออกนอกเมืองมาได้แปบนึง ตายแล้ว....เจอะฝนค่ะ ตกอย่างหนัก ไปถึงวัดร่องขุ่นแบบชุ่มฉ่ำ ลงจากรถไม่ได้ เลยนัดกันไว้ก่อน จะมาเก็บวัดนี้วันสุดท้าย แล้วก็วนรถออกมาอย่างน่าเสียดาย แต่พอขับกลับมายังไม่ทันจะถึงเขตเมือง อ้าว....แห้งสนิท ร้อนอีกต่างหาก ท้องฟ้าช่างใจร้ายจริงๆ

ด้วยความที่นัดเพื่อนที่ม.แม่ฟ้าหลวงไว้ ว่าเราจะไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน แต่ตอนนี้มันแค่ 10.30 เอง ไม่รู้จะไปไหนต่อดี เปิดหนังสือท่องเที่ยวดูแล้ว ก็เลยว่าไปเที่ยวชายหาดเชียงรายดีกว่า

ขึ้นชื่อว่า “ชายหาด” แม้จะอยู่ทางเหนือ และรู้ว่าเป็นชายหาดของริมแม่น้ำ ในตอนแรกก็คิดว่าแปลกดี แต่แม่บอกว่าน่าจะเป็นเหมือนชายหาดที่กาญจนบุรี ซึ่งเป็นหาดทอดยาวตลอดริมแม่น้ำ จึงแอบคาดหวังว่าที่เชียงรายนี่ก็คงจะเหมือนกัน แต่ปรากฏว่า เมื่อไปถึงก็พบกับแม่น้ำดังรูปค่ะ






บรรยากาศริมแม่น้ำก็ดูสบายดีอยู่หรอกค่ะ แต่ไม่มีชายหาดเลยซักนิดเดียว (มารู้ตอนหลังจากเพื่อนว่า ถ้าอยากเห็นหาดให้มาตอนหน้าแล้งสิ) เลียบแม่น้ำมีแต่เพิงร้านอาหารที่สร้างเอาไว้ให้ลูกค้านั่งเล่นตลอดแนว แต่เพราะเราไปวันธรรมดาบรรยากาศจึงเงียบมากๆ ปิดกันแทบทุกร้าน

ออกจากชายหาดเชียงราย พึ่งจะ 11 โมง ยังไม่ถึงเวลานัดหมายเสียที มองดูในแผนที่ที่ บ.รถเช่าให้มา อ๊ะ...มีพิพิธภัณฑ์ชาวเขาอยู่ใกล้ๆนินา แวะไปดูเสียหน่อยดีกว่า
(เรื่องของเรื่องคือ ฝนมันทำท่าจะตกด้วย เลยต้องเสาะหาที่เที่ยวที่ไม่เปียก)

พิพิธภัณฑ์นี้ อยู่ในตัวตึก ขึ้นลิฟไปชั้น 3 เข้าไปถึงก็งงๆ ดูแล้วไม่รู้จะบอกว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์, มูลนิธิ หรือ บ.ท่องเที่ยว ดี

พิพิธภัณฑ์ชาวเขานี้ มีเนื้อที่ครึ่งนึงของชั้น จัดแสดงเสื้อผ้าและเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวเขา ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ชิ้น การจัดแสดงและบอร์ดก็ดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ หลายชิ้นก็ดูคุ้นตาดี ดูแล้วเหมือนเอามาวางหลอกนักท่องเที่ยวซะมากกว่า เดินวนไม่ถึง 5 นาทีก็รอบแล้ว

แต่พอเราจะลงลิฟกลับ เจ้าหน้าที่ก็มาเรียกเชิญให้ มาดู vdo เกี่ยวกับชาวเขาเสียหน่อย เลยเป็นอันว่า ครอบครัวของเราทั้ง 3 คน จึงแปลงกายเป็นนักเรียนมานั่งฟัง lecture วิชาชาวเขาในประเทศไทย

จริงๆแล้ว vdo ทำได้น่าสนใจมาก สำเนียงคนภาพย์ภาษาไทยก็ออกไปทางแม้วด้วย มีอธิบายเรื่องที่มา ถิ่นกำเนิด การอพยพ และการจำแนกชาวเขาเผ่าต่างๆโดยละเอียด ซึ่งในประเทศไทยมีอยู่ 7 เผ่าหลักๆ ซึ่งในตอนแรกๆพวกเราก็ตั้งใจฟัง เก็บเกี่ยวความรู้ และสนทนากันอย่างสนุกสนานดีอยู่หรอก แต่ด้วยความที่ นร.แต่ละคนในชั้นนี้ ออกจะอายุมากไปซักหน่อย พอฟังไปได้ 3-4 เผ่า ก็ชักไม่ไหวแล้ว เลยชวนโดดเรียนไปกินข้าวกันดีกว่า

มื้อเที่ยงวันนี้ เราทานกันที่ร้านลีลาวดี ร้านที่ใครๆเขาแนะนำว่าเป็นร้านที่มีชื่อเสียงในเชียงราย เพื่อนของข้าพเจ้าไปนั่งรอและจองโต๊ะริมแม่น้ำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ร้านนี้บรรยากาศดีเชียวค่ะ ที่ฝั่งตรงข้ามมีบ้านสวยๆริมแม่น้ำประกาศขายด้วย ดูแล้วน่าอยู่จริงๆ

มื้อนี้อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารท้องถิ่น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ทานน้ำพริกอ่อง เป็นหมูสับใส่มะเขือเทศเละ ร้านนี้ทำออกรสเค็มๆ ซึ่งแม่บอกว่าแปลก เพราะน้ำพริกอ่องที่กรุงเทพจะทำออกหวานๆ แล้วก็ได้ลองทานน้ำพริกหนุ่ม สีเขียวๆ หน้าตาไม่น่ากินเลยสำหรับข้าพเจ้า แถมรสออกเค็มๆ ซึ่งแม่ก็บอกอีกแล้วเหมือนกันว่า ที่กรุงเทพจะทำออกเปรี้ยวๆ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าตกลงรสแบบไหนที่ถูกต้องนะเนี่ย


ออเดิร์ฟคำเมือง ของทานเล่นก็อร่อยดี แต่มีแหนมดิบด้วย แหวะๆๆ

หลังจากท้องอิ่มแล้ว เราก็เดินทางตามแผนที่วางไว้ คือขึ้นดอยแม่สลอง คืนนี้เราจะนอนเล่นนับดาวบนดอยกัน ออกจากตัวเมืองเชียงรายราวบ่าย 2 ได้แวะซื้อสัปปะรส ภูแลที่ร้านขายไว้ริมข้างทางด้วย สดกรอบ และหวานมากๆ อร่อยสุดๆ ซื้อมา 3 ถุง กินหมดไปอย่างรวดเร็ว และนัดกันไว้ว่าขากลับจะแวะซื้ออีกแน่นอน


จากเดิมที่ทำการบ้านเอาไว้ ว่าทางขึ้นดอยแม่สลองที่ขับง่ายๆ คือไปทาง อ.กิ่วสะได ทางจะอ้อมซักหน่อย แต่ขับสบายไม่ค่อยชัน ซึ่งข้าพเจ้าก็ท่องหมายเลขทางหลวงไว้อย่างแม่นยำว่า 1089 พอเห็นเลขนี้ปุ๊บ ก็เลี้ยวเข้าไปเลย

แต่ปรากฏว่า.....มัน 1089 จริง แต่มันไม่ได้เขียนว่าไปดอยแม่สลอง ขับไปซักพัก มีแต่ป้ายไปเชียงใหม่ ไปท่าตอน จึงทำให้เกิดอาการร้อนๆหนาวๆ กลัวว่าจะหลง เลยแวะข้างทางวิ่งลงไปถามชาวบ้าน เจอะป้าคนนึงที่ปั๊มน้ำมัน ซึ่งแกบอกว่าให้เลี้ยวกลับออกไปถนนใหญ่ ขับเลยไปอีกหน่อยแยกหน้า จะเจอะป้ายขึ้นดอยแม่สลอง เลยเป็นอันต้องกลับรถ

เมื่อขับมาตามที่ป้าบอก ก็ได้เจอะป้ายดอยแม่สลองจริงๆ แล้วก้ได้รู้ว่าทางขึ้นเลขถนนอันนี้ คือทางปกติที่เขาบอกว่ามันโหดๆนินา แสดงว่าทางแรกที่เราเลี้ยวไปหน่ะถูกแล้วหน่ะสิ แง๊.....

แต่ไหนๆก็มาแล้วอ่ะนะ ขับช้าๆค่อยไต่ไปก็แล้วกัน สู้ๆ


ในตอนแรกก่อนจะมา มีแต่ใครๆมาขู่ว่าทางขึ้นดอยแม่สลองหน่ะขับยากนะ ถ้าไม่ชำนาญทางจะอันตรายอย่างนั้นอย่างนี้ ใจจริงก็กลัวๆอยู่ แต่คิดว่าเราขับช้าๆ แล้วยิ่งเป็นวันธรรมดาไม่ค่อยมีรถสัญจรแบบนี้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร และตั้งใจว่าจะให้พ่อมานั่งข้างหน้า ช่วยควบคุมและสอนข้าพเจ้าขับรถ แต่ปรากฏว่า พอเอาเข้าจริงๆ พ่อดันเจอะฤทธิ์มื้อเที่ยงอิ่มตื้อเข้าไป เลยเป็นอันว่าท่านหลับสบายกรนครอกๆอยู่เบาะหลัง ปล่อยให้ผู้หญิง 2 คน คือข้าพเจ้าและแม่ ตื่นเต้นกันอยู่ 2 คน แง้ว......

ระหว่างทางก็ผ่านรีสอร์ทดังๆ ที่ดูในเวปแล้วนัดกันไว้ว่าอยากจะมา คือ ภูใจใส ซึ่งในตอนแรกที่ดูในเวป ก็นึกว่าอยู่บนดอยแม่สลองจริงๆ แต่พอมาเห็นของจริงถึงได้รู้ว่า มันอยู่แค่ตีนเขาเท่านั้นเอง ดอยแม่สลองของจริงหน่ะ ยังอีกห่างไกลมากๆๆๆ

แล้วเป็นที่น่าดีใจที่ทางขึ้นดอยแม่สลองเงียบเชียบอย่างที่คาดไว้ นานๆจะมีรถสวนมาซักคัน ส่วนรถที่ขับขึ้นตามหลังเรามาและแซงเราไป มีไม่เกิน 3 คัน จึงเป็นอันว่าการขับรถกินลมชมภูเขาของเราไม่กีดขวางการจราจรเท่าไหร่ นอกจากนี้ ถนนก็ดีมากด้วย เป็นถนนราดยาง 2 เลน ทางไม่แคบเท่าไหร่ มีช่วงที่ชันและคดเคี้ยว ขับยากๆอยู่บ้าง แต่ก็สนุกดีขับขึ้นลงๆ แต่ก็ผ่านฉลุย เทียบกับตอนขับไปสะเมิงที่เชียงใหม่นี่ ดอยแม่สลองนี่ชิดซ้ายไปเลยค่ะ สะเมิงนี่สยองมาก ไม่ไปอีกแล้ว


ข้าพเจ้าใช้เวลาคลานขึ้นดอยแม่สลองเกือบๆ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางได้แวะชิมชาที่ไร่ชา 101 ที่เขาว่าขึ้นชื่อ และได้ชาอู่หลงกลับบ้าน 1 ถุงด้วย (จริงๆไม่ชอบเท่าไหร่ แต่เกรงใจไปชิมฟรี เลยอุดหนุนหน่อยดีกว่า)





ไร่ชากลางแดด ร้อนสุดๆ ถ่ายรูปมาก็ดูสวยดี แต่ตาหยีกันทุกคนเลย

ออกจากไร่ชามาซักพัก ก็เริ่มเข้าเขตชุมชน บรรยากาศหมู่บ้านบนดอยแม่สลอง เหมือนกับหลงเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านในชนบทที่เมืองจีน 2 ข้างทางมีแต่ร้านขายชา และร้านอาหารจีน ชาวบ้านที่นี่ เห็นว่ามีทั้งชาวเขา และลูกหลานชาวจีน ทั้งจากทหารจีนและชาวยูนานมาตั้งรกรากกันที่นี่มากมาย ดูๆไปแล้ว บ้านเขาจีนกว่าบ้านเราอีกนะเนี่ย

ตอนระหว่างขับรถไปที่พัก ก็ได้เจอะเด็กๆชาวเขาพึ่งเลิกเรียน และอยู่ระหว่างทางกลับบ้านพอดี ข้าพเจ้าเลยได้เห็นเด็กชาวเขาน่ารักๆ เดินเรียงแถวกลับบ้านไปตามทางเดินที่ทำที่กั้นไว้เลียบถนนตามหน้าผา เป็นภาพที่น่ารักมากๆ เด็กๆบางคนไม่ใส่รองเท้า แต่ใส่เสื้อกันหนาวหนา เด็กบางคนใส่เสื้อหนาวหนาสวยๆ แต่กลับไม่สวมรองเท้า แต่ในขณะเดียวกัน เด็กบางคนก็แต่งตัวตามสบาย ใส่เสื้อบางๆ สวมรองเท้าเหมือนเด็กทั่วไป
เออ...แปลกดีแฮะ สรุปว่าข้างนอกมันหนาวไหมเนี่ย

แม้ข้อดีของการเป็นคนขับรถเอง นั่นคือเรามั่นใจ 100% ว่าปลอดภัยชัวร์ และไม่เมารถ แต่ข้อเสียก็คือทำให้ไม่ค่อยได้ชมธรรมชาติ 2 ข้างทางเท่าไหร่ และไม่สามารถหยิบกล้องมาถ่ายรูปวิวรอบๆได้ เลยไม่สามารถบันทึกภาพเด็กๆที่น่ารักเหล่านี้ได้ คงได้แต่เขียนบรรยายเอาไว้ ฮือๆๆๆเสียดายจัง

และแล้วเราก็มาถึงที่พักที่หมายตาและติดต่อเอาไว้ นั่นคือ คุ้มนายพลรีสอร์ท นั่นเอง



หน้ารีสอร์ทมีต้นลำโพงปลูกไว้เต็มเลย ดูไกลๆก็สวยดี แต่พอดูใกล้ๆ รู้สึกว่าดอกลำโพงมันใหญ่จนน่ากลัว ทำให้รู้สึกว่าเป็นดอกไม้ที่ไม่อ่อนหวานเลยซักนิด


และทันทีที่ข้าพเจ้าก้าวขาลงจากรถ และได้สูดกลิ่นธรรมชาติบนดอยแม่สลอง ก็รู้ได้เลยทันทีว่า อากาศหนาวชื้นๆแบบนี้ คงทำให้คืนนี้เป็นคืนที่ทรมาณแน่ๆ เพราะอาการแพ้อากาศซึ่งเริ่มออกอาการมาตลอดทาง นับตั้งแต่ตอนขับรถขึ้นดอยมาจนถึงข้างบน กำลังแสดงอาการหนักขึ้นเรื่อย


บ้านพักที่นี่เป็นบ้านไม้เป็นหลังๆ สร้างอยู่บนเชิงเขา ช่วง low แบบนี้ ราคาเพียงคืนละ 800 บาทเท่านั้นเอง (มีน้ำอุ่น แต่ไม่มีแอร์นะ มีแต่พัดลมให้ 1 ตัว ฮือออออ)



วิวจากหน้าห้องพัก ถ้าเป็นหน้าหนาวคงจะดี


หลังจากเอาข้าวของไปเก็บ เอาเสื้อหนาวและผ้าพันคอมาอบอุ่นร่างกายและพักผ่อนซักพักแล้ว เห็นว่าท้องฟ้ายังไม่มืด เลยออกไปเที่ยวต่อดีกว่า ไปขับรถดูบรรยากาศบนดอยเล่นกัน

ขับไปเรื่อยๆไปถึงลานตลาดนัด(ร้าง) และร้านขายของที่ระลึก(ร้างเช่นกัน) คงเพราะไม่ใช่น่าเทศกาล เลยปรากฏว่าปิดหมดทุกร้าน อดชอปปิ้งเลย ได้แต่ลงไปชมวิวเล่นๆ มองซ้ายมองขวา จากลานขายของที่ระลึก เห็นวัดอยู่ไกลๆ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นพระธาตุสันตคีรี ที่เขาว่าขึ้นยากๆ แต่ดูแผนที่แล้วไม่น่าจะใช่นินา ก็เลยลองขับไปดูเล่นๆ ปรากฏว่าอยู่ทางเข้าเดียวกับพิพิธภัณฑ์ของชาวจีน แต่ต้องขับรถขึ้นเนินไปอีกนิดนึง



เห็นวัดอยู่ไกลๆตรงนู๊นนนนน


ชาวบ้านที่ขึ้นมาไหว้พระธาตุเหมือนกัน บอกว่าวัดนี้ชื่อว่า วัดพระศรีมหาโพธิ์มงคลบุญชุ่ม พระธาตุนี้ก็ส้รางโดยครูบาบุญชุ่ม ซึ่งเป็นเกจิ อ.ชื่อดังของทางเหนือ แถมบอกข่าวดีพวกเราด้วยว่าพึ่งทำถนนขึ้นพระธาตุเสร็จเมื่อวาน ครอบครัวเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่ได้มาประเดิมถนนเลย โชคดีจริงเลยค่ะ


พระธาตุแบบใกล้ๆ


มีโบสถ์แค่ 1 หลังเอง


จากข้างบนวัด มองลงมาเห็นพิพิธภัณฑ์จีนกับอ่างเก้บน้ำด้วยค่ะ สูงดีๆ


ลงจากพระธาตุ ก็แวะถ่ายรูปตรงพิพิธภัณฑ์ซะหน่อย ด้วยความที่ตอนนั้นเงียบมาก แล้วก็เย็นมากแล้ว ร้านค้าที่เปิดตรงพิพิธภัณฑ์ก็กำลังเริ่มเก็บของ เราจึงได้เพียงถ่ายรูปได้นอก ไม่ได้เข้าไปชม ที่สำคัญคือ ตอนนี้เริ่มหิวข้าวแล้ว เราไปหาขาหมูหมั่นโถวกินกันดีกว่า


พิพิธภัณฑ์ที่เราไม่ได้เข้า แหงกๆ


มือนี้มีความหมายว่ายังไงก้ไม่รู้ แต่ป้ายข้างล่างเขาเขียนว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิอ่ะ



ใครๆก็บอกว่าต้องไปทานขาหมูยูนานที่ร้านอิ่มโภชนา แต่เราทานๆแล้วก็ว่ารสชาติธรรมดา พ่อก็ว่ารสชาติเปลี่ยนแปลงไปและไม่อร่อยเท่าสมัยหลายสิบปีก่อนที่พ่อเคยขึ้นมา กินๆแล้วกลับคิดถึงขาหมูบางรักซะงั้น


ขาหมูหมั่นโถว กะ ไข่ห่อยูนาน


ซุปเยื่อไผ่ผักกาดขาวร้อนๆ เป็นเมนูสุดยอดที่ช่วยบรรเทาอาการแพ้อากาศได้เป็นอย่างดี


หลังจากทานข้าวเสร็จก็รีบกลับที่พัก เพราเริ่มจะมืดแล้ว จากการที่ได้มาพักที่นี่ ทำให้ได้บทเรียนมา 2 ข้อคือ 1 ยุงภูเขานี่ตัวใหญ๋เบ่อเริ่ม ตัวโตขนาดว่าไม่กล้าตบเลย ตื่นเช้ามานี่โดนไปหลายตุ่ม คราวหน้าต้องจำเอาไว้ว่าหากมาเที่ยวภูเขาแบบนี้ ต้องไม่ลืมพก กย 15 มาด้วย

ส่วนบทเรียนที่ 2 คือ จากนี้ต่อไปเวลาเลือกที่พัก ต้องดุก่อนว่ามีแอร์ไหม จริงอยู่ว่าที่นี่อากาศเย็นมาก แต่มันเย็นเพราะฝนตกหนักตลอดคืน มันก็เลยหนาวแบบชื้นๆ ประกอบกับบ้านพักเป็นบ้านไม้ผนังเสื่อ ซึ่งมีกลิ่นอับๆ อากาศไม่ค่อยถ่ายเททำให้อึดอัดหายใจไม่ค่อยออก

ถ้าเป็นเวลาปกติอยู่ที่บ้าน อากาศแบบนี้คงจะเปิดแอร์ต่ำๆ เพื่อให้อากาศแห้งๆ แต่ที่รีสอร์ทนี้ไม่มีแอร์ แถมในห้องยังมีกลิ่นอับๆของผนังเสื่อ จึงทำให้อาการแพ้อากาศของข้าพเจ้า สำแดงฤทธิ์อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะกินยาสกัดมันไว้แล้ว แต่ก็ยังนอนหอบพะงาบๆทั้งคืน แล้วดูเหมือนว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนเดียว แต่ทั้งพ่อและแม่ก็นอนฟุตฟิต คัดจมูกเหมือนกัน

และแล้วคืนแรกที่เชียงราย ณ ดอยแม่สลอง ก็จบลงพร้อมกับเสียงจาม ฟิ้วๆๆ ตลอดคืน ของพวกเราทั้ง 3 คน




 

Create Date : 13 กันยายน 2552    
Last Update : 14 กันยายน 2552 22:21:36 น.
Counter : 2185 Pageviews.  

10-13 มกราคม ทริปดอยผ้าห่มปก-อ่างขาง (วันที่ 3) ตอนที่ 1

ก่อนอื่นต้องขออภัยเพื่อนๆที่ข้าพเจ้าดองเรื่องเอาไว้นานไปหน่อย แบบว่าช่วงนี้งานเข้าหง่ะ แต่จะรีบๆๆๆเข็นมาลงให้นะ อย่าพึ่งงอนกันหล่ะ




เช้านี้ ข้าพเจ้าตื่นมาแต่ 6 โมงนิดๆ ด้วยความรู้สึกสดชื่นเต็มที่ หลังจากอาบน้ำและแพ็กกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่รอเพื่อนๆแต่งตัว ก็เลยถือโอกาศออกไปเดินเล่นเก็บบรรยากาศยามเช้ารอบๆบ้านพักอุทยานโป่งน้ำร้อนกัน


เช้าๆแบบนี้ อากาศกำลังเย็นสบาย แต่พอได้มาเดินรอบๆน้ำพุร้อนได้เดินผ่านไอน้ำอุ่นๆ บรรยากาศแอบเซ็งนิดนึง เพราะไม่ว่าจะเดินไปตรงไหน ก็เจอะแต่กลิ่นตุๆของก๊าซไข่เน่า

เดินสำรวจไปเรื่อยๆตามแนวทางเดินที่อุทยานทำเอาไว้ ตามลำธารน้ำพุร้อน เจอะแต่เปลือกไข่เต็มไปหมด



บรรยากาอุ่นๆยามเช้า พร้อมกลิ่นตุๆของก๊าซไข่เน่า


ปกติจะมีเด็กชาวเขา เอากระบอกไม้ไผ่กับไข่มาขายให้ต้ม แต่ว่าข้าพเจ้ามากี่หนๆ ก็ไม่เคยได้ต้มซักกะที


น้ำพุร้อนที่นี่ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ด้วยนะ


ส่วนนี่คือห้องแช่น้ำร้อนแบบส่วนตัว แต่ข้าพเจ้าไม่มีบุญได้มาแช่แบบนี้หรอก คราวก่อนที่มาก็ไปแช่บ่อรวม ไม่ใช่เพราะงกหรอกนะ แต่เพราะเพื่อนมันบอกว่าให้ไปแช่บ่อโน้นดีกว่า อ่างใหญ่ๆน่าสนุกกว่า


หลังจากเดินเล่นไปซักพัก กุงก็โทรมาบอกว่าทุกคนพร้อมกันแล้ว ขนสัมภาระเรียบร้อย ให้ข้าพเจ้าไปยืนรอรถที่ริมถนน เดี๋ยวจะขับไปรับ อิอิ โชคดีเลยเรา ไม่ต้องปีนเนินเขากลับไปที่บ้านพัก

หลังจากขึ้นมาบนรถ พวกเราก็ได้ enjoy eatting ทันที เพราะว่าพี่วัฒน์ เอาส้มมาฝากถุงเบ่อเริ่ม แถมอร่อยอีกต่างหาก แต่ละคนเลยซัดกันเข้าไปแบบลืมตาย ไม่คิดกันเลยนะว่าข้าวเช้าหน่ะยังไม่ได้กิน เอิ้กๆ

พอลงจากอุทยานปุ๊บ พวกเราก็ได้ตื่นตาตื่นใจกับหมอกอีกแล้ว ไร่หัวหอมและไร่ยาสูบ มีหมอกลงหนามาก จนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่ที่น่าแปลกคือ เช้าๆแบบนี้การจราจรกลับคับคั่งยิ่งนัก ชาวไร่ชาวสวนรวมทั้งเครื่องจักรทางการเกษรต่างๆ ออกมาเดินกันให้ขวักไขว่เต็มถนนไปหมด

แต่เมื่อสอบถามจากพี่วัฒน์ จึงได้ทราบว่า ชาวสวนต้องออกมาทำงานกันแต่เช้า ทั้งรดน้ำและพ่นยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรดน้ำ เพราะทางการจะปล่อยน้ำเป็นเวลา ต้องมีการปันน้ำกัน ดังนั้น จึงต้องรีบมาทำแต่เช้า



หมอกๆๆๆๆ



หมอกเยอะขนาดที่ เจ๊นุขบอกว่า dry ice ในคอนเสิร์ตป๋าเบิร์ด ยังไม่เยอะขนาดนี้เลย


และเพราะว่าที่อุทยานฝาง ไม่ค่อยมีอาหารขาย จึงทำให้พวกเราต้องออกมาหากินข้างนอกกัน และแน่นอน จากประสพการณ์ร้านอาหารแสนอร่อยเมื่อคืน ดังนั้นมื้อนี้พวกเราจึงอาศัยให้พี่วัฒน์เลือกร้านให้เช่นเดิม ด้วยคอนเซปต์เดิมๆ คือ เอาร้านอร่อยๆและถูกๆด้วยนะพี่

มื้อเช้าวันนี้พี่วัฒน์พาพวกเราไปยังบริเวณเดิม คือแถวๆที่ว่าการอำเภอฝาง แต่คราวนี้อยู่ฝั่งเดียวกับที่ว่าการ ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีน ซึ่งเปิดมานานกว่า 40 ปี หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปที่ร้าน แต่ปรากฏว่า.....ร้านปิด !!!

ทั้งๆที่นาฬิกาบอกเวลา 9 โมงตรงกับเวลาเปิดร้านแล้ว แต่ประตูเหล็กยังคงปิดอยู่ พวกเราก็ได้แต่ยืนรอไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนพี่วัฒน์ก็กำลังคิดๆว่าจะพาพวกเราไปกินอะไรดี ป้าคนขายล๊อตเตอรี่ที่ตั้งแผงขายอยู่ใกล้ๆกัน ก็ถามพวกเราว่าจะมากินข้าวเหรอ จริงๆร้านเปิดแล้วนะ แต่เค้ายังไม่ได้เปิดประตูหน้า ยังเตรียมอาหารกันอยู่ที่หลังร้าน และให้พวกเรารอแปบนึง ป้าจะไปบอกเจ้าของร้านที่หลังร้านให้ ไชโย


ร้านคูเจริญชัย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เปิดบริการ 9.00-21.00 น.


ซักพักคุณป้าเจ้าของร้านก็มาเปิดประตูต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้ม และเมื่อพวกเราเห็นสภาพร้านอาหารก็ตื่นตาตื่นใจมาก เพราะประตูบ้านด้านหน้าเป็นห้องแถวแคบนิดเดียว แต่ข้างในลึกสุดๆเลย เหมือนเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ๆเลยค่ะ


ร้านใหญ่มากๆ โต๊ะเก้าอี้ก็เยอะมากๆ พี่วัฒน์บอกว่า ร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงของ อ.ฝาง แขกบ้านแขกเมืองมา ก็มักจะมางสรรค์ที่นี่


ในร้านมีบ่อน้ำโบราณด้วยค่ะ และยังใช้งานอยู่ด้วย มีถังให้สาวตักน้ำ เหมือนในหนังจีนเลย ทำเอาพวกเราเด็กกรุงเทพซึ่งไม่เคยเห็น ตื่นตาตื่นใจมารุมดูกันใหญ่


อากาศดีๆแบบนี้ ไปนั่งกลางแจ้งกันดีกว่า


อาหารที่นี่ กินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกินข้าวที่บ้าน รสชาติแบบจีนๆ ส่วนตัวเราว่าจืดไปหน่อย แต่โดยรวมก็ถือว่าผ่าน แต่อาจจะเพราะเราสั่งแต่อาหารทานกับข้าวต้มตอนเช้า ยังไม่ค่อยเลิศหรูอะไรมาก เดี๋ยวนัดกันไว้ก่อน โอกาสหน้าจะมาชิมมื้อหนักๆ อิอิ


หลังจากท้องอิ่ม พวกเราก็เริ่มเดินทางกันต่อ โดยเป้าหมายต่อไปคือการไปชอปปิ้งงงงง ส้มนั่นเอง อิอิ

แต่เพราะว่าไร่ที่พวกเราจะไป เป็นไร่ของชาวบ้าน ดังนั้นพวกเราต้องหากล่องไปใส่ส้มเอง ก่อนไปทุกคนจึงนั่งคำนวนว่าจะชอปส้มคนละกี่โล แล้วจึงแวะซื้อกล่องเปล่าที่ร้านขายอุปกรณ์การเกษตรกันก่อน


ข้อดีอย่างหนึ่งของการซื้อลังส้มคือ คนที่นั่งกระบะหลังเอามาใส่สวมหัวบังแดดได้ เอิ้กๆ


เมื่ออุปกรณ์พร้อม ร่างกายพร้อม พวกเราก็ลุย!




ส้มเต็มเรย กริ๊ดๆๆๆ


ถ่ายรูปกะส้มกันดีกว่า


อันนี้เขาเรียกว่ารางส้ม เพราะมปลูกอยู่บนภูเขา การขนย้ายก้ลำบาก จึงต้องทำรางเอาไว้เข็นลังส้มไหลลงมา แต่เจ้าของไร่บอกว่า น้องๆที่ใส่กางเกงหนาๆ จะนั่งไถลลงมาเล่นก็ได้ แต่ปราฏว่า ไม่มีหน่วยกล้าตายแฮะ เอิ้กๆ


หลังจากถ่ายรูปกันหนำใจแล้ว เจ้าของไร่ก็แจกลังให้พวกเราคนละใบ พร้อมกรรไกร ให้พวกเราไปตัดส้มกัน


สาวน้อยในไร่ส้ม



เก็บส้มไป ก็กินไปด้วย อิอิ


อดัมกับอีฟภาคพิสดาร


ได้ส้มมาแร้ววววว


น่ากินเน้อ..............



แต่จริงๆแล้ว ส้มส่วนใหญ่ที่เก็บมา เป็นฝีมือของคุณพี่เจ้าของสวนกับพี่วัฒน์ซะมากกว่า เพราะพวกเรามัวแต่เล่นกันทำให้ตัดช้า และที่สำคัญคือ เอาแต่ชิมส้มต้นโน้นต้นนี้ไปเรื่อย

สรุปแล้ว พวกเราก็ได้ส้มสดๆ ไม่แว๊ก (แต่ไม่ไร้สารนะ)กลับมาในราคากิโลละ 12 บาท แต่อย่าถามนะว่าซื้อกันไปกี่โล เพราะลังนึงมันใส่ได้ 5 โล แล้วพวกเราก็เฉลี่ยนซื้อกลับมากันคนละ 1 ลัง ไม่นับที่ไปกินในสวนเขาอีก





 

Create Date : 21 มีนาคม 2552    
Last Update : 21 มีนาคม 2552 21:54:23 น.
Counter : 1895 Pageviews.  

10-13 มกราคม ทริปดอยผ้าห่มปก-อ่างขาง (วันที่ 2) ตอน จบ

อย่างที่เล่าไปแล้วว่า วันนี้ทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ค่อยดี เพระาหมอกลงเยอะมาก พี่วัฒน์คนขับรถของเรา จึงค่อยๆคลานลงมา ทำให้ข้าพเจ้ามีเวลาได้สำรวจทิวทัศน์รอบๆ เห็นต้นสนริมทางที่ขึ้นอยู่ ดูเป็นแถวเป็นแนวจนผิดปกติ พอถามพี่วัฒน์เลยได้ทราบว่า ต้นสนระหว่าง 2 ทาง เป็นต้นสนที่ทางป่าไม้ปลูกขึ้นมาเพื่อความเป็นระเบียบ ไม่ได้ขึ้นตามธรรมชาติ

ขับไปซักพักเห็นป้ายชี้ไปทางดอยปู่หมื่น (จริงๆขาไปก็เห็นแต่ไม่ได้ถามรายละเอียด)



พี่วัฒน์บอกว่า ชาวมูเซอที่เราจ้างเค้านำทางเดินป่าไปขึ้นยอดเมื่อเช้านี้ เค้าอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านในดอยปู่หมื่น และชื่อของดอยปู่หมื่นนี้ จริงๆมาจากชื่อของชาวไทยใหญ่คนแรกที่อพยพจากพม่าข้ามมาอยู่บนดอยแห่งนี้ ในปัจจุบันนี้ลูกหลานของปู่หมื่นยังคงอาศัยอยู่บนดอยเรื่อยมาราว 3 ชั่วอายุคนแล้ว แต่ตอนนี้คนในหมู่บ้านก็มีบัตรประชาชน และใช้นามสกุลเป็นคนไทยกันหมดทั้งหมู่บ้านแล้ว
นอกจากนี้ พี่วัฒน์ยังเล่าว่า ดอยผ้าห่มปกที่เราไปมาและดอยปู่หมื่นในอดีต ทั้งดอยเป็นไร่ฝิ่น และหมู่บ้านของคนนำทางเราก็เคยทำไร่เลื่อนลอยและฝิ่นมาก่อน จนกระทั่งทางการเข้ามาปราบปราม และในวังได้มีจัดโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ขึ้นมา ทำให้ปัจจุบันไร่ฝิ่นทั้งหลายจึงกลายเป็นไร่ชาและกาแฟแทน ซึ่งมีความสวยงามมากๆ แต่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยเข้าไปเท่าไหร่ พวกเราจึงนัดกันไว้ว่า จะต้องไปเที่ยวบุกเบิกให้ได้ ก่อนที่ความเจริญจะเข้าไปถึง

แต่เมื่อถามถึงไร่ฝิ่นว่าตอนนี้ยังมีลักลอบปลูกอยู่ไหม พี่วัฒน์ก็เล่าว่า จากเสียงลือที่เคยถามๆชาวมูเซอ บอกว่ายังมีอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ในฝั่งไทย ส่วนใหญ่จะอยู่ตามตะเข็บชายแดนค่อนไปทางพม่ามากกว่า ซึ่งทางการพม่ามีการเก็บภาษีไร่ฝิ่นรวมถึงคนงานที่จะเข้าไปงานด้วย โดยคิดคนงานคนละราว 500,000 บาท/ปี แต่ทั้งนี้กว่าจะเดินทางไปถึงที่ไร่ ต้องผ่านด่านถึง 6-7 ด่าน (แต่ทั้งนี้เรื่องไร่ฝิ่นที่ว่าจะจริงเท็จประการใดก็ไม่ทราบ เพราะพี่วัฒน์ก็ฟังเขาเล่ามาอีกที)

แต่ด้วยความสงสัย ว่าถึงแม้จะห้ามไม่ให้ปลูกฝิ่น แล้วอย่างหมู่บ้านมูซอที่เราผ่านมาหล่ะ เค้าทำมาหากินอะไร ไม่เห็นมีไร่มีสวนอะไรเลย พี่วัฒน์เลยบอกว่า ส่วนใหญ่ก็ทำงานเป็นคนนำทาง เลี้ยงสัตว์ รับจ้างทำไร่ ทำสวนไปเรื่อย ก็พอหาเลี้ยงชีพอยู่ได้ แล้วก็มีหาของป่าไปขายบ้าง

สำหรับการหาของป่าของชาวเขา ทราบมาว่าอนุญาติให้ได้เฉพาะพวกเห็ด,หน่อไม้และไม้ไผ่ แต่จะมาเก็บเยอะๆแบบขนเป็นคันรถไม่ได้ อนุญาติแค่คนละ 1 กระสอบ ปริมาณพอแค่ใช้ในครัวเรือนเท่านั้น ส่วนเรื่องการล่าสัตว์นั้น พี่วัฒนืว่าที่ดอยผ้าห่มปกนี้มีแต่สัตว์ป่าขนาดเล็ก พวกเก้ง กวาง เลียงผา ลิง พวกช้างหรือเสืออะไรแบบนั้นไม่มี แล้วก็ไม่อนุญาติให้ล่าด้วย พี่วัฒน์เล่าว่าชาวมูเซอคนนำทางของเรา เคยเอาปืนแก๊บยิงนก แค่เปรี้ยงเดียว เช้าวันพรุ่งป่าไม้ก็มายึดปืนไปเลย 555

นั่งรถไปซักพักใหญ่ๆ ในที่สุดพวกเราก็มาถึงบ้านพักอุทยานที่โป่งน้ำร้อนแล้ว เย้ๆ


หลังนี้ไม่ใช่หลังที่เราพัก แต่ก็หน้าตาเหมือนกัน มี 2 ห้องนอน นอนได้ 4 คน มีแอร์กะกระติกน้ำร้อนให้ด้วย เสียดายไม่มีทีวี....


และสิ่งแรกที่พวกเราทำหลังจากเข้าที่พักนั่นก็คือ...



คือเอากางเกงยีนส์ไปตาก เพราะมันเละมากจากที่ไปขึ้นยอดเมื่อเช้า คุ้นๆว่าเดจาวู มาพักที่นี่ทีไร ระเบียงห้องไม่เคยสวยซะที เพราะทุกครั้งต้องไปทรมาณกันก่อน ค่อยมาสบายที่นี่

เพื่อนๆต่างผลัดกันอาบน้ำ กินขนมและพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ส่วนข้าพเจ้า เพราะเมื่อเช้าตื่นเร็วกว่าคืนอื่น(แม้จะนอนมากกว่า) แต่ด้วยความเคยชินที่ปกตินอนกลางวันตอนบ่ายทุกวัน ดังนั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็นอนหลับสลบไปแบบไม่รู้เรื่องเลย ตื่นมาอีกที เก๋มาปลุก ไล่ให้ไปล้างหน้าล้างตา บอกว่าเพื่อนๆจะออกไปเดินเล่น แล้วไปกินข้าวกันได้แล้ว


บ้านพักของพวกเราอยู่ค่อนข้างไกล แถมตั้งอยู่บนเชิงเขา เรียกว่าเดินกันเหนื่อยเลยหล่ะค่ะ จำได้ว่าปีก่อนโน้นที่พวกเรามาเที่ยวกัน ขาขึ้นรถที่จ้างมาเค้าขับไปส่ง แต่ขาลงต้องแบกของลงมาเอง จำได้ว่า เก๋กะโชค เดินเตะเต้นท์ลงมาเลยค่ะ เพราะแบกไม่ไหว


ป้ายๆๆๆ


หวานชื่นคู่ที่ 1


หวานชื่นคู่ที่ 2


เห็นแล้วมันอิจฉารู้ไหม
(ดีมากเพื่อนวิ ให้รู้ซะมั่งว่าอิจฉาจนควันขึ้นมันเป็นยังไง)


เอ้า......โดดดดดด


รูปนี้ขอโดแก้ตัว รูปตะกี้โดดไม่ขึ้น


คู่นี้ไม่ยอมโดด สงสัยกลัวลูกในท้องกระทบกระเทือน (ลูกในท้องโชคนะ)


หลังจากเฮฮากันพอเหนื่อย ก็ได้เวลากินข้าว เพราะในอุทยานที่โป่งน้ำร้อน ไม่ค่อยมีอะไรกิน พวกเราจึงต้องออกมาหาของกินข้างนอก แถมไม่รู้ว่าจะกินร้านไหนด้วย เลยขอให้พี่วัฒน์เลือกร้านและช่วยพาพวกเราไปเลยแล้วกัน

ระหว่างทางเข้าไปในเมือง ผ่านไร่ที่ปลูกผักขนาดใหญ่ ด้วยความสงสัยเลยถามพี่วัฒน์ว่านี่มันผักอะไร ดูเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ (ตอนนี้เริ่มซี้กะพี่เค้าแล้ว เพราะเม้าท์แตกมาตลอดทางลงจากเขา อีกอย่างด้วยความที่กลัวว่าพี่วัฒน์แกจะเปิดเพลงลูกทุ่งยอดรัก ข้าพเจ้าเลยถือโอกาศชวนคุยซะเลย)


ต้นอะไรน๊า.....อ๋อ ต้นยาสูบนี่เอง เกิดมาเคยเห็นแต่บุหรี่เป็นม้วนๆ พึ่งจะเคยเห็นตอนมันยังเป็นต้นๆก็วันนี้หล่ะ


ถามได้ใจความาว่าเจ้านี่คือต้นยาสูบ จริงๆต้นยาสูบมีความสูงไม่มากนัก น่าจะประมาณเอว จขบ ได้ มีใบใหญ่ และไม่แผ่กิ่งก้าน ไร่ในรูปนี้เป็นของกรองทิพย์ค่ะ

พี่วัฒน์เล่าว่า ใบยาสูบ จะเก็บวันละ 3-4 ใบ โดยเวลาเก็บเนี่ย จะต้องเก็บจากใบด้านล่างขึ้นไปข้างบน แต่ใบล่างเตี้ยๆกับใบแถวๆยอดจะไม่เก็บ ดังนั้น ต้นยาสูบ 1 ต้น จะเก็บเกี่ยวได้แค่ 2/3 ต้นและเก็บเฉพาะตรงกลางๆต้นเท่านั้นเอง และหลังจากเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ในอดีตจะตัดทิ้งแล้วเอาไปเผาทำลาย แต่ในปัจจุบันนี้ มีการคิดค้นสูตร เอาเศษกิ่งและใบยาสูบที่ใช้ไม่ได้ ไปบด,แช่น้ำแล้วเอาไปใช้ฉีดเป็นยากันแมลงให้ต้นส้มได้ อืม...ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าจริงๆ



ไร่หัวหอม


นอกจากไร่ยาสูบแล้ว ก็ยังมีไร่หัวหอมที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ ปลูกกันเยอะมากๆ พี่วัฒน์เองก็ปลูกเช่นกัน บอกว่าเพราะมันดูแลรักษาง่าย ไม่ยุ่งยากมากเหมือนส้ม ทำให้มีเวลาว่างมารับจ๊อบรับจ้างขับรถเนี่ยหล่ะ

เมื่อถามถึงเจ้าของไร่เหล่านี้ ว่าเป็นคนพื้นที่ หรือนายทุนมาทำ พี่วัฒน์แกก็ร่ายยาวเลยค่ะ ข้าพเจ้างงๆฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่สรุปได้ประมาณว่า ไร่หัวหอมที่นีส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่ทำเอง แต่มักจะไม่มีเงินทุน และต้องไปกู้เงินจากนายทุนมาลงทุน จากนั้นนายทุนก็เป็นคนควบคุมทุกอย่าง ทั้งการเก็บเกี่ยว การให้ปุ๋ย การฉีดยา รวมไปถึงกำหนดราคา และรับซื้อผลผลิตในราคาที่นายทุนตั้งไว้ ซึ่งก็แน่นอนโดนกดราคาน่าดู แต่ถึงอย่างนั้น แม้บางไร่เจ้าของพอมีทุนทำเอง บางครั้งก็เอาไปขายนายทุนเหมือนกัน

ด้วยความสงสัยพวกเราจึงถามไปว่า ทำไมไม่เอาไปขายเอง เค้าไม่ให้หรือว่าอย่างไร พี่วัฒน์บอกว่า จะเอาไปขายเองก็ได้แต่ก็เสี่ยงกลัวจะขายไม่ได้ จริงๆถ้าเอาไปขายที่สหกรณ์การเกษตร ก็จะพอได้ราคาดีอยู่ แต่ว่าสหกรณ์รับซื้อจำนวนไม่มาก แค่ประมาณ 800 กิโลเท่านั้นเอง ในขณะที่ไร่หัวหอม 1 ไร่ มีผลผลิตมากถึง 8000 กิโลแหน่ะ

ในบางปีถ้าผลผลิตออกมาเยอะมาก ราคาตกไปถึงกิโลและ 3-4 บาท ชาวไร่ที่ต้องไปกู้นายทุน พอขายผลผลิตได้ ก็ต้องเอาเงินไปชำระหนี้ให้นายทุน บางครั้งจ่ายเงินจนหมดที่ขายได้ ก็ยังไม่พอชำระหนี้ นานๆเข้าหนี้สะสมเยอะมาก ก็ต้องขายที่ดินแทนเพื่อเอาไปจ่ายหนี้ จากนั้นก็ค่อยไปเช่าที่ดินจากนายทุนมาทำไร่แทน ฟังแล้วน่าสงสารมากๆ ระบบชาวไร่กับนายทุนนี่ จากที่ฟังๆดู ชาวไร่มีแต่จะจนลงๆทุกวัน ยากที่จะมีโอกาศได้ลืมตาอ้าปาก แต่พี่วัฒน์บอกว่า ถ้าปีไหนผลผลิตแย่มากๆจริงๆนายทุนเค้าก็ช่วยเหลือ ผ่อนหนี้ให้ก็มี เพราะต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถ้าบีบชาวไร่มากๆ นายทุนเองก็อยู่ไม่รอดเหมือนกัน

เมื่อเข้าสู่ตัวเมือง หลังจากพี่วัฒน์พาวนรอบๆตลาดไปแล้ว 1 รอบ เพื่อให้พวกเราเลือกร้านอาหารที่จะกินมื้อเย็น แต่ เพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี เลยขอให้พี่วัฒน์ช่วยเลือกให้แล้วกัน แต่ Mr.Thermoman รีเควสอาหารพื้นบ้าน อยากกินไส้อั่ว พี่วัฒน์เลยพาไปที่ตลาดฝางซื้อไส้อั่วกินเล่นกันก่อน ค่อยไปหามื้อเย็นกินกัน



ร้านนี้หล่ะค่ะที่พี่เค้าแนะนำ อยู่หน้าตลาดฝางริมถนนเลย ไส้อั่วหนักเครื่องเทศ รสชาติเผ็ดร้อนดีมากๆ อร่อยสุดๆ


พอได้ขนมแล้ว พวกเราก็ไปหาของกินจริงจังกัน พี่วัฒน์พาพวกเราไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ซึ่งอยู่หน้าที่ว่าการอำเภอฝางพอดี จะว่าเป็นร้านก็ไม่ถูก เพราะเค้าเป็นรถเข็น แล้วเอาโต๊ะมากางๆเอาค่ะ เอิ้กๆ ขายอาหารตามสั่ง ไม่มีชื่อร้านด้วย แต่คนเยอะมากๆ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวไทย หรือแม้แต่ชาวต่างชาติก็มี


ตึกที่ว่าการอำเภอฝาง สีครีมสวยคลาสสิก มิทราบว่าคู่หวาน 2 คู่ที่มาเนี่ย สนใจจะมาจดทะเบียนกันที่นี่หรือเปล่าจ๊ะ อิอิ



ระหว่างรออาหาร นอกจาก จขบ จะเดินไปถ่ายรูปที่ว่าการอำเภอฝางแล้ว ยังเหลือบไปเห็นวัดใกล้ๆ เลยถือโอกาศแวะเข้าไปเที่ยวซักหน่อย ตั้งแต่ปีใหม่มา 10 วันนี้ ยังไม่ได้เข้าวัดเลยซักวัน




วัดเจดีย์งาม



โบสถ์สวยๆ



อะไรๆก็สีทอง แวววับ




เจดีย์สไตล์ทางเหนือ


ถ่ายรูปเสณ้จเดินกลับมา อาหารมาพอดี เสียดายที่ท้องฟ้ามืดเร็วมาก แถมที่นั่งก็คับแคบทำให้ถ่าบรูปลำบาก
(ความจริงคือ แต่ละคนหิวโซ ฟาดเรียบไม่ทันได้ถ่ายรูป เลยได้มารูปเดียวเอิ้กๆ )


confirm by เก๋ อิอิ


พี่วัฒน์บอกว่าร้านนี้อาหารอร่อย ราคาไม่แพง แถมขายเฉพาะกลางคืน ปิดตี 2 แหน่ะ ถ้ามาตอนดึกๆร้านนี่จะเต็มไปด้วยคนงานจากโรงงาน หรือ สวนไร่นา ที่พึ่งเลิกงาน เค้าก็มาฝากท้องกันที่ร้านนี้
อืม....กลุ่มเป้าหมายหลากหลายจริงๆ
ส่วนเมนูแนะนำนี่ก็ หมูนรกค่ะ ลักษณะเป็นหมูผัดเครื่องแกง คอนเฟริม์โดย Mr. Thermoman ว่าอร่อยมากๆ (เจ้าตัวสั่งมาว่าให้เขียนลงบันทึกไว้ด้วย)

สรุปมื้อนี้กินข้าวกันไปเฉลี่ยคนละ จาน 2 จาน รวมอาหาร/น้ำแกงตรงกลางอีก นอกจากอร่อยแล้ว คิดตังค์ออกมา 300 กว่าบาท อิ่มเกือบตาย ถูกสุดๆ จนทุกคนออกปากว่า เราย้ายมาอยู่ที่ฝางกันเถอะ

ระหว่างทางกลับอุทยาน ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ทิวทัศน์ 2 ข้างทางสวยมากๆ ท้องฟ้าเป็นสีแดงหมดเลย แถมอากาศก้เย็นลงด้วย



ราว ทุ่มนึงพวกเราก็ถือบ้าน หารือเรื่องเที่ยวของวันพร่งนี้ว่าจะไปไหนต่อดี พร้อมกับแกะถุงขนมที่ซื้อมา (ได้ข่าวว่ามื้อตะกี้อิ่มแปร้ แต่ขนมที่มันคนละกระเพาะชิมิ) จากนั้นเพื่อนๆก็เริ่มรำพัดกัน ไพ่ดูเหมือนจะเป็นของเล่นที่ขาดไม่ได้ทุกทริป ส่วนข้าพเจ้านั่นขอบาย นอนอ่านหนังสือ+ฟังเพลงดีกว่า ไม่นานนักก็หลับไป มีตื่นเป็นพักๆตามเสียงเฮของเพื่อนๆ





 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2552 9:54:05 น.
Counter : 3082 Pageviews.  

1  2  3  4  

Vitamin_C
Location :
Pasadena United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ อากาศดี ก็อารมณ์ดีเนอะ .......^-^

คิดถึงบ้านที่เมืองไทยเป็นที่สุด
ถ้าไม่นับห้องสมุดๆเจ๋งๆกับพิพิธภัณฑ์ดีๆ กับอาหารหลากหลายเชื้อชาติให้กินได้ไม่ซ้ำทุกวันแล้วหล่ะก็ เมืองไทยชนะขาดในทุกกรณี ว่าแต่เมื่อไหร่ ห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราจะพัฒนาซักทีน้อ....


ถึงแม้ว่าบล๊อกนี้จะไม่ค่อยมีสาระ แต่เนื้อหาและข้อความทั้งหมด
รวมไปถึงรูปภาพที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ ของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น จำกัด
ห้ามผู้ใดนำไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของบล๊อก หรือ จากกองบรรณาธิการ

หากมีข้อสงสัยใดๆ กรุณาติดต่อหลังไมค์
หรือ
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น 966/10 ซ.พระราม6 19 ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม 10400
โทร 02-6137140
Email vitavitac@gmail.com
Friends' blogs
[Add Vitamin_C's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.