Little drops of water, Little grains of sand Make the mighty Ocean, and the pleasant land. Little deeds of kindness, Little words of love Help to make Earth Happy, Like the Heven above.
Group Blog
 
All Blogs
 
10-13 มกราคม ทริปดอยผ้าห่มปก-อ่างขาง (วันที่ 1)

หลังจากแพลนกันมาหลายเดือน ในที่สุดทริปขึ้นดอยผ้าห่มปก-อ่างขาง ก็ลงตัว มีสมาชิกไปกันทั้งหมด 7 คน ชาย 2 หญิง 5 ได้แก่ ลิฟ นุช โชค กุง เก๋ วิ และ ข้าพเจ้าเอง แม้ว่าก่อนไปจะมีอุปสรรคไม่ลงตัวบ้างเล็กน้อย เนื่องจากสมาชิกในทริปหลายคนไม่เคยนอนเต้นท์ หรือไปเที่ยวเดินป่ามาก่อน ทำให้ต้องมีการอบรมกันอยู่หลายรอบ ตั้งแต่เรื่องการจัดกระเป๋าเสื้อผ้า ไปจนถึงการเลือกกระเป๋า (ใครจะไปคิดว่า คุยกันดีๆว่าไปนอนเต้นท์นะ แต่คุณหญิงคุณชายเธอ บอกจะเอากระเป๋าลากแบบไปเมืองนอกไปเที่ยวป่า นี่ยังไม่นับกระเป๋าเครื่องสำอางค์ใบโต ที่ไม่รู้จะเอาไปทำไมมากมายหน้าก็มีติ๊ดเดียว)

ในทริปนี้ พวกเราแบ่งการเดินทางไป 2 กลุ่ม โดย โชค กุง และ เก๋ ขึ้นเหนือไปก่อน ส่วนข้าพเจ้าและคนอื่นๆค่อยบินตามไปเจอะกันที่ท่ารถ

ด้วยความที่ปกติเป็นคนขี้ตื่นเต้น ยิ่งเวลาจะไปเที่ยวไหน ก็จะดีใจจนนอนไม่หลับ แล้วยิ่งในทริปนี้ ต้องไปขึ้นเครื่องบินที่ดอนเมือง ไฟล์ออกแต่เช้าตั้งแต่ 6 โมงอีก ยิ่งทำให้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่
วันนี้ข้าพเจ้าจึงตื่นมาแต่ตี 4 รีบอาบน้ำแต่งตัวและเช็คข้าวของ และรีบไปสนามบิน ทั้งๆที่บ้านตัวเองห่างสนามบินดอนเมืองแค่ 10 นาที ไม่รู้จะบ้ารีบไปทำไมแต่เช้าเหมือนกัน

หลังจากไปยืนรอเพื่อนๆด้วยความกระวนกระวายจนตี 5 ครึ่งแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาซักคน แต่แล้วในที่สุด ตี 5.45 ก็มากัน เช็คของ โหลดทุกอย่างครบถ้วน ทันขึ้นเครื่องพอดี แถมยังมีเวลานั่งเล่นถ่ายรูปที่หน้า gate อีกด้วย




6.00 น ได้นั่งบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว พอนั่งปุ๊บก็หลับเลย 555 ตื่นมาอีกที อ้าวถึงเชียงใหม่แล้ว ลงจากเครื่อง พร้อมทำใจเตรียมตัวรับมือกับความหนาวเต็มที่ แต่ปรากฏว่าอากาศที่เชียงใหม่ดันหนาวน้อยกว่าที่ดอนเมืองตอนขามาซะอีก แป๋ว......

แล้วการผจญภัยของเราก็เริ่มต้นตั้งแต่สนามบินเชียงใหม่ พอพวกเราก้าวขาออกจากประตู แอร์พอร์ตปุ๊บ บรรดาแท็กซี่ก็เข้ามารุมมากมาย โหย.....อะไรจะขนาดนั้น ยังเช้าอยู่เลยนะเนี่ย ปกติก็ขี้ตกใจอยู่แล้ว เจอะรุมแบบนี้เดินหนีแทบไม่ทัน ยังดีที่มีลิฟ แฟนของนุช เป็นผู้ชายร่วมเดินทางมาด้วยอีกคน ไม่งั้นคงจะกลัวมากกว่านี้
(จริงๆเค้าไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ แค่เข้ามารุมมากเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง)

ตามข้อมูลที่เพื่อนกุงโทรมาสั่งไว้เมื่อวาน ให้ข้าพเจ้านำเพื่อนๆไปเจอะกันที่ท่ารถช้างเผือก(แต่ที่จดในสมุดว่า ท่ารถทางช้างเผือก หยิบมาอ่านแล้วยังขำไม่หาย ท่ารถอวกาศหรือไงเนี่ย ) กุงบอกว่าให้นั่ง 2 แถวหน้าสนามบินไป แต่ไม่ได้บอกว่าค่ารถ 2 แถวคนละเท่าไหร่ และไปไกลแค่ไหน ข้าพเจ้าก็จำราคาไม่ได้ แต่จากการประมาณการณ์สัมภาระของคุณชายและคุณหญิงแต่ละท่านแล้ว เลยตัดสินใจว่าเหมารถไปดีกว่าแฮะ ของมันเยอะเหลือเกิ๊น



กระเป๋าเป้ใบหน้าสุดของข้าพเจ้าเอง ส่วนที่เหลือนั่นของท่านๆ เจ๊แกเล่นแบก LeSport big size มาเลย 2 ใบ เหอๆ

ในระหว่างที่กำลังเดินไปถนนใหญ่หน้าสนามบิน และกำลังคิดในใจว่าจะเหมารถยังไงดี ก็เจอะคุณลุงคนนึงท่าทางใจดี อยู่ตรงบูทลีมูซีน เค้าเข้ามาถามแบบสุภาพมากๆว่าจะไปไหนกันหนู พอเราบอกว่าไปท่ารถช้างเผือก ลุงแกบอกว่าแกคิด 150 บาท ข้าพเจ้าจึงรีบตกลงทันที เพราะคำนวนแล้วว่าไปกัน 5 คนหารกันไม่เท่าไหร่เอง นอกจากนี้พอได้มาเจอะกุง ซึ่งเป็นเซียนเชียงใหม่ มันก็บอกว่าไม่แพงหรอก ถ้านั่ง 2 แถวทั่วไปก็คนละ 20 แล้ว นี่ 150 ได้นั่งแท็กซี่สบายๆแถมมีคนช่วยยกของอีก คุ้มๆ

(ตอนนี้มาคิดอีกที เราที่มันใจง่ายจริงๆ เห็นคนพูดดีหน่อยไม่ได้เชื่อเค้าซะหมด ดีว่าไปกันหลายคนไม่ค่อยน่ากลัว ถ้าไปคนเดียวคงโดนหลอกไปขายแล้วมั้งเนี่ย เอิ้กๆ)


8.00 น. ทุกคนพร้อมกันที่ขนส่งช้างเผือก ขึ้นรถประจำทางสายเชียงใหม่-ท่าตอน เพื่อไ ป อ.ฝาง ไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่แม่ริม ตลอด 2 ข้างทางระหว่างทางไปมีบรรยากาศของวันเด็กที่เราไม่เคยสัมผัส เริ่มต้นตั้งแต่สนามบิน จนถึงสถานที่ราชการต่างๆ รวมไปถึง อบต. แต่เช้าอากาศหนาวๆอย่างนี้ เด็กๆกลับมาเข้าคิวรอเข้างานวันเด็ก ยาวออกมาตามริมถนนเลย
ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าตัวเองพลาดวันเด็กอยู่คนเดียว แต่พอคุยกับเพื่อนๆว่าตอนเด็กๆวันเด็กทำอะไรกันมั่ง ก็ปรากฏว่าทุกคนชะตากรรมเดียวกันแฮะ คำตอบเหมือนกันเกือบหมด นั่นคือ ไปกวดวิชาเรียนพิเศษแถวสยาม นี่หล่ะน๊า ชะตากรรมของเด็กกรุงเทพ

รถประจำทางพาพวกเราออกนอกตัวเมือง ไปทางอ.แม่แตง เมื่อห่างเมืองออกไปเรื่อยๆ ตึกปูนก็เริ่มลดน้อยลง และเริ่มมีแปลงผักให้เห็นบ้าง มองดูอยู่หลายแปลง คิดว่าน่าจะเป็นผักที่กินได้ แต่เวลามันอยู่บนดินนึกไม่ออกซักทีว่ามันคือผักอะไร จนกว่ามันจะมาอยู่บนจ้านสลัดนั่นหล่ะแล้วถึงจะบางอ้อ

เมื่อออกจากแม่แตงไปไม่เท่าไร่ ก็เจอะทำถนนบ้างเป็นช่วงๆ และมีโค้งมากขึ้น จนถึงช่วงขึ้นเขาที่ต้องลุ้น เพราะรถเราที่ขับมาเร็วๆ กลับค่อยๆอืดขึ้นไปแบบเต่าคลาน ระหว่างนั้นก็เลยได้มีเวลาพิจารณาความไม่น่าดูของริมถนนข้างๆ ซึ่งสิ่งที่พบนั่นไม่ใช่อะไรเลย มีแต่ขยะมูลฝอยเยอะมากๆ ทั้งถุงพลาดสติก ถุงขนมขบเคียว บลาๆๆๆ เยอะจนน่าตกใจ ทั้งๆที่ 2 ฝั่งนี้ไม่ได้มีบ้านเรือนหรือสถานที่อะไรเลยซักอย่าง ฝั่งซ้ายเป็นป่าล้วนๆ ส่วนฝั่งขวาเป็นริมเขาลงไปเป็นเหว ข้าพเจ้าเลยตั้งสมมุติฐานขึ้นมาเองว่า สงสัยที่เนินนี้มีขยะเยอะผิดปกติเพราะคงจะมีรถชะลอความเร็ว ไม่ก็รถจอดเสียเพราะขึ้นเขาไม่ไหวบ่อยๆ ทำให้มีผู้โดยสารมานั่งรอเปลี่ยนรถแถวนี้เลยมีขยะเกิดขึ้น

ราว 10.00 ตอนนี้เราเข้าสู่เขต อ.เชียงดาวแล้ว 2 ทิวทัศน์ 2 ข้างทางมีแต่ป่าและภูเขา และพึ่งเริ่มจะมีแสงแดดออกมาให้เห็นหลังบ้าง แสงแดดยามสายๆนี้ตัดส่องกับแนวต้นไม้ 2 ข้างทางสวยมากๆ น่าถ่ายรูปเป็นที่สุด แต่น่าเสียดายที่รถกระเทือนมากๆ แถมตอนนี้ข้าพเจ้าได้แปรสภาพกลายเป็นทั้งหมอนหนุนและหมอนข้างของวิ เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆไปซะแล้ว ครั้นจะขยับตัวก็เกรงใจ จึงได้แต่นั่งดูวิวไปเรื่อยๆ (จริงๆไม่ใช่กลัวว่าเพื่อนจะตื่นหรอกค่ะ
แต่ว่าวิตัวหนักมาก โดนทับจนแขนขาไปหมด ทำให้ขยับตัวไม่ได้ต่างหาก )

ผ่านเข้า อ.เชียงดาวไปซักพัก ก็มีด่านตรวจ มีคุณทหารขึ้นมาขอตรวจบัตรประชาชนทุกคนคนในรถ ซึ่งแน่นอนเป็นของสำคัญที่ห้ามลืมเด็ดขาดเวลามาเที่ยวดอยทางเหนือ เพราะต่อให้คุณหน้าตาเกาหลีขนาดไหน พี่ทหารก็ไม่มีทางให้ผ่านเด็ดขาด แถมอาจจะโดนข้อหาว่าเป็นชาวจีนอพยพอีกต่างหาก

เลย อ.เชียงดาวไปหน่อย ก็เจอะทางก่อสร้างอีกแล้ว โชคดีที่ช่วงนี้อากาศเย็นมาก หน้าต่างแทบทุกบานบนรถ ถูกลดมาเกือบสุด ส่วนของบรรดาพวกเราชาวกรุงนี่ปิดสนิทเลย อาศัยอากาศจากหน้าต่างคนอื่นเอา ซึ่งรับว่าโชคดีเ พราะถ้าเป็นเวลาปกติที่ต้องเปิดหน้าต่าง พวกเราคงหัวฟูหัวแดงไปกันหมดแล้ว พ้นจากบริเวณก่อสร้าง รถของเราก็แวะพักที่ท่ารถประมาณ 10 นาที


คันนี้หล่ะ ที่พาเราจากเชียงใหม่ไปฝาง

ระหว่างแวะพักพวกเราก็ลงมาเข้าห้องน้ำกัน บริเวณที่พักรถ เป็นที่โล่ง และเห็นดอยหลวงเชียงดาวอยู่ใกล้ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาศพิจารณาดอยหลวงเชียงดาวชัดๆ เพราะคราวก่อนที่มาเดินป่า ขามานั่งรถมาเชียงดาวตั้งแต่ยังไม่สว่าง ส่วนขากลับก็กลับตอนมืด พึ่งจะมีคราวนี้ที่ได้เห็นว่ามันสูงจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวเองเคยขึ้นไปมาแล้ว


ดอยหลวงเชียงดาวสูงปริ๊ด ที่พวกเราไปพิชิตมาเมื่อปีก่อน


หลังจากที่เข้าห้องน้ำ ล้างมือกับน้ำเย็นเจี๊ยบออกมาก็เจอะ โชค ลิฟ และเก๋ ยืนตากแดดกินไอติมอยู่ (มันบ้าไปแล้ว)
ส่วน วิ กุงและข้าพเจ้า ก็ได้แต่ยืนประนาม ว่าโรคจิต หนาวๆแบบนี้ยังกินเข้าไปได้ ส่วนนุชนั้น สภาพร่อแร่ เพราะยังมึนกับยาแก้เมารถ ขอนอนมึนอยู่บนรถไม่ยอมลงมา


เจ๊นุชอาการร่อแร่ เมายาอยู่บนรถไม่ยอมลงมา



กินไม่หมด รถออกซะก่อน เลยเอามากินต่อบนรถ



หลังจากออกจากเชียงดาว คราวนี้หล่ะทางของจริง ถนนทั้งคดเคี้ยว และขรุขระ อีกทั้งยังมีทำถนนเป็นระยะๆ คนที่นอนหลับอยู่ ก็ตื่นขึ้นมาทันทีเพราะหัวโขกกระจก ส่วนคนที่ตื่นอยู่แล้วก็รีบควานหาถุง พร้อมเสียง “แหวะ” ตามมาด้วยกลิ่นอาเจียนโชยมา ในระหว่างนั้น พวกเราซึ่งกำลังเม้าท์เฮฮากันอยู่ ก็รีบหยุดทุกกิจกรรมในทันใด
วิรีบหลับตา และนอนหนุนข้าพเจ้าต่อ เก๋ กับโชค ก็หยุดเม้าท์ทันทีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ยังกะกดปุ่ม shutdown ข้าพเจ้าเลยสวมหูฟังและหันหน้ากลับไปชมธรรมชาติตามเดิม เสียงเพลง symphony no.1 และ 2 ของ mahler แม้จะพยายามเปิดดังแล้ว แต่ก็แทบจะสู้กับเสียงรถไม่ไหว ในระหว่างนี้ตัวเองรู้สึกมึนหัวนิดๆ แต่ไม่ใช่เพราะเมารถหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะว่าหิวข้าวมากกว่า เมื่อเช้าได้ทานแค่ขนมปังก้อนเล็กๆก้อนเดียวกับของว่างอีกหน่อยบนเครื่องบิน ดังนั้นตอนนี้ก็เลยได้แต่อมลูกอมประทังชีวิตไปก่อน
หลังจากดูวิวไปได้แปบนึง จู่ๆทุกอย่างก็ดับวูบลง หลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกที อ้าว.....เจอะโรงงานแว๊กซ์ส้ม กับร้านแผงลอยขายส้มริมถนน แสดงว่าเราเข้าสู่เขต อ.ฝางแล้วสิ เย้ๆ

10.30 น. ดูเวลาแล้วน่าตกใจ ทำไมยังเช้าอยู่เลย ทั้งๆที่รู้สึกว่าตอนอยู่บนรถนี่มันนานแสนนาน (สงสัยเราจะทรมาณ เอิ้กๆ) รถประจำทางไปส่งพวกเราที่ตลาดในอ.ฝาง ซึ่งเป็นจุดนัดหมายกับคนขับรถกระบะซึ่งติดต่อเอาไว้ล่วงหน้า
คนขับรถในทริปนี้ของเราชื่อว่าพี่วัฒน์ เป็นชาวไทยใหญ่ ได้ยินว่าเป็นชาวจีนอพยพมาจากยูนาน สำเนียงการพูดไม่ค่อยชัด และภาษาที่พูดฟังแล้วก็ไม่ใช่ทั้งคำเมือง หรือภาษากลาง แถมการเรียงประโยคก็แปลกประหลาด
ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไง ฟังแล้วเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมา ซึ่งฟังเผินๆเหมือนจะรู้เรื่อง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ต้องมีการประมวลผลอีกรอบในสมองรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง ดังนั้นเวลาพี่วัฒน์อธิบายอะไร จะต้องมีคนถามซ้ำทุกทีว่าเค้าว่าอะไรอ่ะ

เมื่อพบคนขับรถเรียบร้อยแล้ว เป้าหมายแรกของพวกเราเมื่อมาถึงฝางคือ หาอะไรกินก่อน ซึ่งลิฟเสนอว่าเราไปหาอาหารพื้นเมืองกินกันเถอะ และทุกคนก็ลงความเห็นว่าไปหาข้าวซอยกินกัน
ร้านที่เราไปกินอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตลาดฝาง ชื่อว่าร้านข้าวซอยปาริชาติ เป็นร้านอาหารอิสลาม
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้กินข้าวซอย โดยเริ่มต้นจากแย่งเก๋กับโชคกินคนละนิดคนละหน่อย เพราะไม่กล้าสั่งกินเอง ถึงแม้จะรู้สึกว่าอร่อยมาก แต่ก็กินไม่ค่อยเป็น หลังจากแย่งของชาวบ้าวเค้ากินไปเกือบครึ่งชาม ก็หันมาจัดการกับข้าวราดไก่กระเทียมของตนเอง


ข้าวซอยอร่อยมาก present by มือเก๋


ข้าวหมกไก่ก็สุดยอด ห๊อม...หอม



ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น หนักเครื่องเทศ หนาวๆแบบนี้กินแล้วอุ่นสบาย

สุดท้ายไก่กระเทียมของข้าพเจ้าเอง แต่รสชาติธรรมดาอ่ะ สงสัยเพราะเราไปแย่งคนอื่นกินจนอิ่มแล้ว



สรุปว่ามื้อนี้พวกเรา 7 คนกินข้าวซอยไป 10 ชาม ข้าว 5 จาน แถมด้วยซาลาเปาอีก 19 ลูก ซึ่งซื้อไปตุนเป็นเสบียงบนยอดดอย เช็คบิลมา 550 บาท ทำเอาพวกเราอึ้งไปตามๆกันเพราะ มันถูกมากกก


หลังจากอิ่มหนำกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินทางไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกที่โป่งน้ำร้อนก่อน เพื่อเสียค่าเข้าชมอุทยานและลงทะเบียนขึ้นดอย ซึ่งอันที่จริงแล้ว จะไม่ลงทะเบียนก็ได้ แต่เพื่อนกุงบอกว่า ควรจะไปลงบันทึกเอาไว้ ทางอุทยานจะได้ทราบว่าวันๆนึงมีคนขึ้นดอยกี่คน และจะได้มีข้อมูลของพวกเราไว้เผื่อติดต่อในยามฉุกเฉิน

หลังจากติดต่ออุทยานเสร็จแล้ว พี่วัฒน์เล่าว่า เมื่อก่อนบ้านพี่วัฒน์อยู่ที่ ต.ม่อนปิ่น ซึ่งในอดีตเคยรวมกับ ต.บ้านป่าฮิ้น ของ อ.โป่งน้ำร้อน แต่ต่อมาเนื่องจากคนในหมู่บ้านเยอะขึ้น จึงต้องทำให้แยกตำบลออกไป ดังนั้นเลยต้องเสียค่าผ่านทางเวลาเข้าอุทยาน

หลังจากออกจากอุทยาน พี่วัฒน์ขอแวะบ้านเพื่อเอาของส่วนตัวนิดนึง บ้านของพี่วัฒน์อยู่ปากทางเข้าอุทยานฝางหน่อยนึง ระหว่างทางเป็นไร่หัวหอม ถนนเข้าหมู่บ้านไม่ได้ราดยางแต่เป็นดินแดงตลอดทาง และแคบมากๆ เมื่อเข้าไปถึงหมู่บ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากำลังหลงอยู่ที่หมู่บ้านชนบทของเมืองจีนที่ไหนซักแห่ง เพราะบ้านแถวนี้ ปลูกด้วยอิฐก้อนก่อๆขึ้นมา และไม่ได้ทาสีหรือปูพื้น บางหลังก็เป็นบ้านดิน แล้วไหนจะยังมีบรรดาป้ายคำอวยพรภาษาจีนอีก เพราะคนที่หมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนอพยพจากยูนาน มาอยู่ได้ราว 2 ชั่วอายุคน แต่ยังคงความเป็นจีนอยู่มาก นอกจากนี้คนที่นี่ยังใช้ภาษาจีนกลางเป็นหลักอีกด้วย ดังนั้นบางทีหมู่บ้านเหล่านี้จึงมักจะถูกเรียกว่าหมู่บ้านจีนมากกว่า พี่วัฒน์เล่าว่าช่วงตรุษจีนที่นี่ก็คึกคักมากๆเลย


หลังนี้ไม่ใช่บ้านพี่วัฒน์ แต่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ตรงข้ามกัน ดูแล้วจีนกว่าบ้านเราอีก


จากนี้ก็ถึงช่วงเวลาขึ้นยอดดอยผ้าห่มไปลานกางเต้นท์กันเสียที ตามเส้นทางมีป้ายบอก และถนนดีพอสมควร แต่หลังจากพ้นเขตชุมชน เมื่อขึ้นเขาไปแล้วจากถนนหลวงก็เปลี่ยนเป็นถนนของป่าไม้ ซึ่งสภาพห่วยมาก เป็นดินแดงสลับกับเทปูนเป็นระยะ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะขาดเป็นช่วงๆทำไม จะงบหมด ก็หมดไปแต่ต้นทางเสะ ทำไมเดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย แต่พี่วัฒน์บอกว่า ทางนี้เป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว สมัยก่อนมีทางขึ้นอีกทาง แย่กว่านี้เยอะ แต่ถึงอย่างนั้นถนนที่เค้าว่าดีแล้ว ในช่วงหน้าฝนถ้าฝนตกก็ขึ้นไมได้เพราะอันตรายทางชันและลื่นมาก


ถนนดีมีเส้นกั้นบอกระยะด้วย


ถนนห่วยแตก ฝุ่นตลบเลย


ระหว่างทางขึ้นยอดดอย จู่ๆก็เจอะวัวฝูงเบ่อเริ่ม แถมไม่ใช่วัวที่เดินกลางถนนธรรมดา แต่พวกมันดัน อยู่ข้างทางตามเนิน เป็นฝูงใหญ่ เลยรีบถามพี่วัฒน์ว่านี่เป็นวัวป่าหรือยังไง ก็ได้ความมาว่าไม่ใช่ วัวเหล่านี้เป็นวัวเลี้ยงของชาวเขามูเซอ ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะผ่านหมู่บ้านของเค้า
ชาวมูเซอจะวัวเอามาปล่อยไว้ให้หากิน และเมื่อหญ้าในบริเวณนั้นหมด วัวมันก็จะเดินกลับไปที่หมู่บ้านเอง จากนั้นเจ้าของก็จะพาไปปล่อยที่อื่นให้หากินต่อไป ฟังแล้วก็แปลกดี น่าสงสัยจริงๆว่าทำไมวัวถึงหากินเองไม่ได้ และทำไมมันเดินกลับหมู่บ้านเองได้ถูก และที่สำคัญ เค้าจำได้ยังไงเนี่ยว่าวัวฝูงไหนเป็นของใคร หน้าตามันก็เหมือนๆกันหมด

ผ่านฝูงวัวไปซักพักก็เจอะหมู่บ้านชาวเขาเผ่ามูเซอ ตามที่บอกจริงๆ



พี่วัฒน์เล่าว่า ชาวมูเซอ จะมี 2 กลุ่มคือมูเซอดำและมูเซอแดง มีวัฒนธรรมแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ที่ต่างกันชัดเจนคือ พวกมูเซอดำ จะถือศาสนาคริสต์และพุทธ ส่วนมูเซอแดง จะถือพุทธเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะว่าเผ่ามูเซอดำหมู่บ้านอยู่ในเขาลึกกว่า ความเจริญไปไม่ถึง ทางการก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่พวกชาวต่างชาติ พวกฝรั่งและญี่ปุ่น มักจะเข้าไปถึงและให้ความช่วยเหลือมากมาย จึงทำให้ศาสนาแพร่ออกไป ผิดกับชาวมูเซอแดงซึ่งอยู่ใกล้ชาวไทยมากกว่า จึงถือศาสนาพุทธเป็นหลัก

ส่วนหมู่บ้านที่เราเห็นนี้อยู่ติดริมถนนเลย เป็นของเผ่ามูเซอแดง ขนาดหมู่บ้านไม่ใหญ่มาก น่าจะไม่เกิน 20 หลังคาเรือน มีสนามเด็กเล่น และโรงเรียนก่อสร้างไว้ เห็นแปะป้ายทาสีสวยงามดูแล้วน่าชื่นใจว่าเป็นห้างโรบินสันมาสร้างไว้ให้ (แต่ไม่รู้ว่ามีครูอยู่ไหมนะ) บ้านทุกหลังมีแผง Solar cell แผงเล็กๆตั้งรับแดดอยู่หน้าบ้าน ซึ่งพี่วัฒน์เล่าว่าถ้าเป็นชาวมูเซอจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ทางการจะช่วยเหลือติดให้ฟรี แต่ถ้าเป็นคนไทยมาสร้างบ้านบนดอยนี้และต้องการติด จะต้องเสียค่าดูแลเดือนละ 50 บาท (ว่าแต่ใครมันจะมาอยู่หล่ะเนี่ย)


ทุกบ้านมีแผง solar cell ติดอยู่ทุกหลังเลยค่ะ สงสัยจังว่าแผงเล็กแค่นี้จะผลิตไฟได้มากน้อยขนาดไหนกันนะ


เมื่อได้ความรู้เรื่องไฟฟ้าแล้ว เลยอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องน้ำประปา เลยได้ทราบว่า ที่นี่เค้าใช้ประปาภูเขากัน ไม่ต้องเสียน้ำ แต่ต้องไปต่อท่อเอาเอง โดยใช้ท่อ PVC สีฟ้าธรรมดาๆเนี่ยหล่ะค่ะ แต่ในการต่อจะต้องมีเทคนิคนิดนึง เช่น เวลาต่อในทางลาดลง ต้องใช้ท่อขนาดใหญ่ แต่ถ้าต่อไปในทางชันขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นใช้ท่อเล็ก อาศัยหลักฟิสิกซ์เรื่องแรงดันง่ายๆ ที่เคยเรียนมาแล้ว แต่จากที่ฟังๆดู ข้าพเจ้ารู้แต่ทฤษฏี ให้ไปทำจริงๆก็คงไม่สำเร็จ ถ้าเกิดได้มาอยู่ที่นี่จริงๆ คงต้องวานพี่วัฒน์มาต่อให้หล่ะค่ะ

วิ่งไปได้หน่อย พี่วัฒน์ก็แวะที่จุดชมวิวให้เราได้ถ่ายรูปกัน อากาศตอนนี้เย็นลงนิดนึง วิวสวยมองไปมีแต่ภูเขา เดาว่าคงเป็นพม่า

ทุกคนดื่มด่ำกับธรรมชาติ ยกเว้นอยู่คนเดียวคือคุณชายลิฟ เพราะเป็นคนกลัวความสูง ยิ่งมาเจอะทางขึ้นเขา 2 ข้างเป็นเหวแบบนี้ พี่ท่านนั่งไม่มองวิวรอบข้างเลย ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงจุดชมวิวตรงนี้ กว่าจะถ่ายรูปคู่เจ๊นุชได้ทีโวยแล้วโวยอีก เอิ้กๆ


ราวบ่าย 2 พวกเราก็มาถึงลานกางเต้นท์ แต่ไม่มีแดดเลย มองไปรอบตัวมีแต่หมอกและหมอก
นอกจากนี้ยังตกใจมากเพราะมีเต้นท์ของป่าไม้กางอยู่เป็นสิบๆเต้นท์เลย แต่พอไปถามดูปรากฏว่า ทางอุทยานกางไว้งั้นหล่ะ เผื่อมีคนมาพัก ทั้งหมดที่กางไว้เนี่ยเป็นเต้นท์เปล่าเกือบทั้งหมด เหอๆ


ถึงแล้ว....หน๊าว....หนาวหล่ะ


แต่เพราะพวกเราเอาเต้นท์ไปเอง ก็เลยว่ากางของตัวเองดีกว่า เต้นท์เราใหญ่นอนได้หลายคน แต่กางแค่เต้นท์เดียว อีกเต้นท์ใช้ของอุทยาน


เต้นท์เราสีสดใส แปลกแยกอยู่เต้นท์เดียว อิอิ


หลังจากกางเต้นท์และขนของเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายกันเดินเล่นชมวิวรอบๆวิวที่นี่สวยจริงๆและหนาวด้วย เดินสำรวจไปรอบๆ และเข้าไปอ่านนิทรรศการเกี่ยวกับนกและแมลง รวมถึงสภาพป่าบนดอยผ้าห่มปก อ่านไปเพลินๆ ไปสะดุดกับป้ายเรื่องของไลเคน ในบอร์ดเขียนว่าไลเคนเป็น รา แต่ข้าพเจ้ารู้สึกตะหงิดๆ มันใช่เหรอว้า ไม่ใช่ม้าง.....คิดตั้งนานคิดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจ เฮ้อ....นี่แค่เรียนจบมาไม่กี่ปี เพียงแต่ไม่ได้ใช้วิชาที่เรียนมา กะแค่เรื่องง่ายๆแบบนี้กลับจำไม่ได้ ความรู้ขึ้นสนิทจนเคาะไม่ออกซะแล้วเหรอเนี่ย(แต่พอกลับมาเปิดหนังสือดูก็พบว่าเค้าเขียนถูกแล้วจริงๆ)


ป้าย ป้าย ป้าย


หลังจากอ่านนิทรรศการในที่ทำการเสร็จ ก็เตรียมตัวมาเล่นงานเพื่อนกุงเต็มที่ หนอยบังอาจมาอำเราว่า ดอยผ้าห่มปก ที่ได้ชื่อนี้เพราะว่าดอยนี้มันหนาวมากจนต้องเอาผ้ามาห่ม ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่ ดอยนี้แต่เดิมจริงๆชื่อว่าดอยฟ้าห่มปกมากกว่า เพราะสูงมากไปถึงท้องฟ้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกะความหนาว หรือผ้าห่มอะไรเลย

แต่ในระหว่างที่เดินกลับมากลับเจอะคุณชายลิฟเดินไปดู อุณหภูมิ ก็แปลกใจมาก เพราะตะกี้พึ่งเดินสวนกันไปนินา มาถามเพื่อนๆในเต้นท์เลยทราบความว่า ตั้งแต่ขึ้นมาเนี่ย คุณลิฟเค้าเดินไปดูไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว

อันนี้ต้องขอท้าวความหน่อยนึงถึงตอนที่พวกเราจัดทริปกัน ลิฟยืนยันหนักแน่นว่า "ลิฟชอบหนาวๆ ลิฟไปเมืองนอกคนอืนใส่เสื้อหนาวตัวสั่นลิฟยังเฉยๆ ดอยทางเหนือแค่นี้ ลิฟไม่กลัวหนาวหรอก กลัวไม่หนาวมากกว่า"

แต่ปรากกฏว่า เมื่อถึงลานกางเต๊นท์ และได้สัมผัสกับอากาศหนาวเย็นเจี๊ยบ คุณลิฟเล่นเกาะนุชไม่ปล่อยเลย แถมเดินไปดูปรอททุกชม. ชม.ละหลายหนอีกต่างหากจนเพื่อนๆตั้งฉายาให้ว่า Mr.Thermoman


ปรอทอันนี้หล่ะค่ะ ที่นายลิฟและพวกเราเดินมากัน ระยะทางห่างจากเต้นท์เราประมาณ 50 ก้าวได้ (ก้าวขาสั้นๆของข้าพเจ้านะ)



อุณหภูมิราว 13 องศา เวลาบ่าย 3 บนลานางเต้นท์ดอยผ้าห่มปก



จากลานกางเต้นท์สามารถมองเห็นลำห้วยขนาดใหญ่ พอถามเพื่อนกุงว่ารู้ไหมว่าชื่ออะไร


"แกเดาสิ ดูหน้าตามันเหมือนอะไร"
"อ่อ...ไม่รู้ดิ มันก็ทะเละสาปอ่ะ"
"โห จิตนาการหน่อยดิ เนี่ยมันเป็นรูปหัวใจเห็นป่ะ มันเลยชื่อ ห้วยน้ำใจ"
"อ้อ เหรอ...."
แต่จากประสพการณ์ที่โดนมันอำเรื่องชื่อดอยมาแล้ว เลยไม่รู้ว่าที่ชื่อห้วยน้ำใจเพราะว่ามันหน้าตาเป็นรูปหัวใจอย่างที่กุงบอกหรือเปล่า
(โดนหลอกแล้วแค้นฝังใจนะเพื่อน)

หลังจากเดินเล่นพักผ่อนกันสบายใจแล้ว ก็ได้เวลากินกันดีกว่า ซาลาเปา 19 ลูก เสบียงที่ซื้อตุนไว้ก่อนขึ้นมา หลังจากหม่ำเสร็จ เราก็เล่นถ่ายรูปกันในเต้นท์ สนุกสนาน ฉากหลังยังกะไปถ่ายใน studio


หนุกหนาน

ด้วยอนุภาพของเลนส์วาย แต่ละคนผิดส่วนกันไปหมดยกเว้นคนถ่าย


หลังจากตกลงเรื่องที่นอน ว่าใครจะนอนกอดใคร เอ๊ย...ใครนอนเต้นท์ไหนกะใครเรียบร้อยแล้ว เจ้าแม่กุงก็บอกว่าให้รีบทำมื้อเย็นกันเถอะ เพราะที่นี่มีไฟฟ้าให้ใช้ตอนกลางคืนถึง 2 ทุ่มเท่านั้น ดังนั้นพวกเราควรจะกินข้าวและไปแปรงฟันล้างหน้าให้เสร็จก่อนเค้าหยุดปั่นไฟ ไม่งั้นจะเข้าห้องน้ำลำบาก
(เรื่องอาบน้ำไม่ต้องพูดถึง แค่ล้างมือยังชาหมดความรู้สึกไปเลย)

ทุกคนก็เห็นด้วยตามนั้น เรื่องชวนกันกินไม่มีขัด เราจึงเริ่มต้นด้วยการลุ้นแกะไข่ที่ข้าพเจ้าแพ็กมาดูทันทีว่าแตกไหม


ไชโย ไข่ทั้ง 3 ฟองที่เอาไปไม่แตกเลยซักใบ เย้ๆ ว่าแต่ที่สวัสดิการป่าไม้บนดอยนี่ก็มีขาย แล้วตรูแบกมาทำไมเนี่ย

หุงข้าว
ขอขอบคุณหม้อสนามอภินันทนาการจากพี่อ้วน พี่ชายที่แสนดี ถ้าพี่เกิดช้ากว่านี้ซัก 10 ปี หนูจะยุให้เพื่อนในกลุ่มจีบพี่มาเป็นคนเคียงข้างเลยหล่ะ

ตีไข่ๆๆๆ

ทำไข่เจียวหอมฉุยไปทั้งดอย

อุ่นกับข้าว ได้แก่ หมูผัดหนำเลี๊ยบ กับ เห็ดหอมผัดซีอิ้ว ฝีมือข้าพเจ้าเอง ขออภัยนะเพื่อนๆที่ทำเค็มไปหน่อย แบบว่ากลัวมันเสียหง่ะ แหะๆ


ระหว่างเค้าทำกับข้าวกันไป ข้าพเจ้าซึ่งมิได้มีส่วนร่วมอะไร นอกจากทำหน้าที่ถือกล้องและเก็บภาพบรรยากาศกับสูดกลิ่นหอมๆของไข่เจียว เอิ้กๆ เอารูปพระอาทิตย์ตกดินมาให้ดูกันดีกว่า


พระอาทิตย์ตกที่หลังเต้นท์



หน้าเต้นท์ก็มีพระจันทร์ขึ้น โรแมนติกมาก.....


สำหรับเมนูที่กินบนดอยทุกมื้อ ก็คือ ไข่เจียว หมูผัดหนำเลี๊ยบ และ เห็ดผัดซีอิ๊ว กับข้าวพร้อมแล้ว ลุย!!!


แต่เพราะอากาศหนาวมาก แค่กินข้าวมันไม่อิ่ม แถมไม่อุ่นด้วย ดังนั้น จึงได้เริ่มประเพณีมาม่าร่วมสาบาน ซึ่งเป็นเมนูประจำทุกทริปไม่ว่าจะไปทะเลหรือภูเขา


หนาวๆแบบนี้ ใช้เวลาต้มน้ำนานเหลือเกิน หน๊าว...หนาว ขอเอามืออังหน่อย


มาม่าที่พวกเราติดมางวดนี้เป็น บิ๊กแพ็ก ซองใหญ่พิเศษ มี 2 ซอง
แต่........
มันคนละรส ซองนึงรสหมูสับ ซองนึงรสต้มยำกุ้ง(ทำไมมันไม่ซื้อรสเดียวกันฟ่ะ)
แถมหม้อก็มีใบเดียว จะต้มยังไงหล่ะเนี่ย
หลังจากที่เถียงกันอยู่นาน ในที่สุดเจ๊นุชก็ตัดบน
"ใส่มันลงไปทั้งหมดในหม้อเดียวกันหน่ะหล่ะ เครื่องด้วย ใส่ไปให้หมด พวกแกเชื่อเราอร่อยแน่ รับประกัน"

แต่ละคนก็อึ้งไปตามๆกัน แต่ก็เห็นด้วย วิเลยลงมือปฏิบัติการทันที




ระหว่างรอมาม่า มีคั่นเวลาด้วยมันเผาจากร้านสวัสดิการของอุทยาน ได้กินมันเผาร้อนๆ ตอนหนาวๆแบบนี้นี่สุดยอดดดดดดดด



นั่งรอมาม่าเดือดอย่างใจจดใจจ่อ
(โปรดสังเกตไฟของเรา ไฮโซม๊ะ อิอิ)


หลังจากชิมแล้ว อืม.....อร่อยจริงๆด้วย คำแรกที่เข้าปาก รสหมูสับจะมาก่อน แต่หลังจากกินไปซักพัก มันจะกลายเป็นรสต้มยำกุ้ง 2 in 1 เลย

หลังจากกินข้าวเสร็จก็รีบเก็บล้าง ทำธุระส่วนตัวและไปล้างหน้าแปรงฟัน
น้ำที่ไหลจากก๊อกเย็นยิ่งกว่าน้ำในตู้เย็นข้าพเจ้าเสียอีก แปรงฟันไปก็เสียวฟันไปแปรงเสร็จ ลิ้นไม่รับรสชาติอะไรอีกแล้ว เพราะมันชาไปหมด ส่วนหน้านั้นก็ไม่ต้องพูดถึง โดนใครตบตอนนี้คงไม่รู้สึกเจ๊บ ล้างมือเสร็จก็ต้องรีบใส่ถุงมือ แล้วมุดเข้าเต๊นท์

หลังจากเข้าเต้นท์ พวกเราก้เปลี่ยนเสื้อผ้า และเริ่มมีการถกเถียงกันเรื่องจะไปเช่าผ้าห่มเพิ่ม
"ไม่ไหวนะ หนาวขนาดนี้ ถุงนอนคงไม่อยู่อ่ะ" เก๋บ่น กุงหันมาค้อนขวับไม่ต้องหรอกแก แค่นี้ก็พอแล้ว
เก๋กับวิ หันมาค้อนทันใด แถมคิดเคืองในใจสุดๆ ก็ถุงนอนแกอุ่นสุดเลยนิ แถมแกไปนอนเต้นท์เจ้าหน้าที่มันมีฟูก แกก็ไม่หนาวอ่ะดิ แต่คนอื่นเค้านอนพื้นมันหนาวนะ ที่สำคัญ คนอื่นเค้าไม่มีใครให้กอดเหมือนแกด้วย ยกเว้นนุชกะลิฟ (อันนี้ออกแนวอิจฉาตาร้อน)

แต่สรุปสุดท้าย พวกเราก็ fight จนได้เช่าผ้าห่มมาเพิ่ม 3 ผืน ซึ่งจริงๆมันคือถุงนอนที่รูดซิปออกมาเป็นผ้าห่มนั่นเอง เย้ๆ

ก่อนเข้าเต้นท์นอน Mr.Thermoman ไปดูปรอท รายงานมาแล้วว่า ตอนนี้ มัน 10 องศาแล้ว เหอๆ พึ่งจะ 2 ทุ่มเอง หัวค่ำยังขนาดนี้ ดึกๆมันจะขนาดไหน
ด้วยความที่รู้ตัวดีว่าเป็นคนขี้หนาว คืนนี้ข้าพเจ้าจึงใส่เสื้อไปถึง 6 ตัว ใส่เต็มที่จนตัวกลมดิก แล้วยังมุดลงไปในถุงนอนอีก แถมด้วยห่มผ้าที่เช่ามาร่วมกะเก๋และวิทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง



ปาร์ตี้ชุดนอน อึ้งไหมหล่ะ เจ๊วิ เอาชุดนอนมาด้วย ใส่อย่างนี้ไม่หนาวหรือไงเนี่ย


ถึงแม้จะหนาว แต่เพราะว่าพระจันทร์มันสวยมาก คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ทรงกลดซะด้วย จะไม่ออกไปชมจันทร์เลยก็กะไรอยู่ เลยกัดฟันถือกล้องไปถ่าย แต่ไม่มีปัญญากางขา ออกนอกเตน้ท์ไปไม่ถึง 5 นาที จะตายให้ได้ หนาวสั่นไปทั้งตัวเลยรีบกดๆๆ แต่คงเพราะมือสั่นไปหมด แถม speed ก็ต่ำ ทำให้รูปที่ถ่ายมาเสียแทบทุกรูป มีรอดมารูปเดียวที่จะพอดูได้


ถ่ายเสร็จรีบมุดเข้าเต้นท์แทบไม่ทัน ตอนนี้เพื่อนๆต่างพร้อมนอนกันครบแล้ว ลิฟนอนริมสุด และแน่นอนต้องตามด้วยนุช ถัดมาเป็นวิ เก๋ และข้าพเจ้านอนริมทางด้านหน้าเต้นท์ ส่วนอีกเต้นท์นึงเป็นกุงกะโชคนอนด้วยกัน

แต่เพราะมันยังหัวค่ำอยู่ ประมาณ 2 ทุ่มนิดๆเอง นี่ถ้าเป็นเวลาปกติ คงยังไม่เลิกงานแน่ๆ ใครจะไปหลับลง เลยหยิบซาวเบาวด์ที่เตรียมไว้มาฟัง ต้องบอกว่าหนาวๆแบบนี้ Nocturn ของ chopin และ Pavane ของ Faure กับ Ravel เป็นอะไรที่เข้ากันสุดๆ ทั้งหนาว ทั้งล่องลอย โรแมนติกมาก

นอนฟังเพลงไปซักพัก เพลงก็วนมาถึง Clare de lune ซึ่งช่วงนี้ข้าพเจ้ากำลัง in love กะเพลงนี้อยู่ เพราะพึ่งไปดูพระเอกหนังแวมไพร์ twilight มาก
ทำให้อดไม่ได้ที่จะแงมเต้นท์ แอบชมจันทร์หน่อยเถอะ



ต้องบอกจากใจจริงว่า ไม่เคยฟังเพลง Clare de lune ครั้งไหน ที่ไพเราะเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย ทั้งอ่อนหวานละมุนละไม บอกได้คำเดียวว่ามีความสุขที่สุดเลยค่ะ

จากนั้นข้าพเจ้าก็หลับผลอยไป .....
ไม่รู้ว่าเพราะเสียง symphony ของ Mahler มันเสียงดังมาก จนข้าพเจ้าตื่นหรือว่ายังไง รู้แต่ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นมากลางดึก ราวๆ 4 ทุ่ม ตื่นมาพร้อมกับความหนาวจนปวดไปหมด พยายามข่มตาก็แล้ว นอนเบียดเก๋ก็แล้ว(โทษทีนะเพื่อน ปกติไม่อยากจะเบียดเบียน แต่งวดนี้ไม่ไหวจริงๆ)
ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่หลับ มันหนาวเกินไป
สุดท้ายเลยไปรื้อเอาเสื้อไหมพรมที่เอามาหนุนนอนและผ้าเช็ดตัว มาปูในถุงนอน รองกั้นความเย็นจากพื้นดินอีกชั้น แล้วจากนี้หล่ะค่ะ ทีเดียวหลับสบายเลย รวดเดียวถึงเช้า.......

จบวันแรกแล้วจ้า........


Create Date : 17 มกราคม 2552
Last Update : 19 มกราคม 2552 8:16:03 น. 7 comments
Counter : 2637 Pageviews.

 
น่าไปน่ะครับ

แต่มาช่วยคอนเฟิร์มครับ
มันเผาที่ผ้าห่มปกอร่อยดีจริงๆครับ.


โดย: lets_kick_off IP: 125.25.238.15 วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:0:24:18 น.  

 
มารอติดตามค่ะ เพราะอยากไปที่นี่เหมือนกัน แต่ล่มไปซะก่อนเพราะฝนตก


โดย: อยากเป็นไกด์ ใครช่วยที วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:11:59:10 น.  

 
เฮ้ย หนาวได้อีก 5555++


โดย: เก๋ + IP: 58.8.189.246 วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:13:25:05 น.  

 
บรรยากาศน่าเที่ยวมากครับ


โดย: BlueWhiteRed วันที่: 18 มกราคม 2552 เวลา:14:26:31 น.  

 
ที่เห็นใส่ชุดนอนอ่ะ

ข้างในมีอีก2ชุด 555++

3ชุดยังหนาววววววว*


โดย: คุณเพื่อน :) IP: 58.8.185.119 วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:22:15:31 น.  

 
กรี๊ดดดด.... อยากไปด้วย
เสียดายง่ะ ไม่ได้ไป


โดย: ดัช IP: 58.64.74.26 วันที่: 29 มกราคม 2552 เวลา:10:16:51 น.  

 
สุดยอดเลยหนาวๆ น่าเที่ยวๆ


โดย: เจ IP: 124.120.23.211 วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:15:35:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vitamin_C
Location :
Pasadena United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ อากาศดี ก็อารมณ์ดีเนอะ .......^-^

คิดถึงบ้านที่เมืองไทยเป็นที่สุด
ถ้าไม่นับห้องสมุดๆเจ๋งๆกับพิพิธภัณฑ์ดีๆ กับอาหารหลากหลายเชื้อชาติให้กินได้ไม่ซ้ำทุกวันแล้วหล่ะก็ เมืองไทยชนะขาดในทุกกรณี ว่าแต่เมื่อไหร่ ห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราจะพัฒนาซักทีน้อ....


ถึงแม้ว่าบล๊อกนี้จะไม่ค่อยมีสาระ แต่เนื้อหาและข้อความทั้งหมด
รวมไปถึงรูปภาพที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ ของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น จำกัด
ห้ามผู้ใดนำไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของบล๊อก หรือ จากกองบรรณาธิการ

หากมีข้อสงสัยใดๆ กรุณาติดต่อหลังไมค์
หรือ
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น 966/10 ซ.พระราม6 19 ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม 10400
โทร 02-6137140
Email vitavitac@gmail.com
Friends' blogs
[Add Vitamin_C's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.