Little drops of water, Little grains of sand Make the mighty Ocean, and the pleasant land. Little deeds of kindness, Little words of love Help to make Earth Happy, Like the Heven above.
Group Blog
 
All Blogs
 
เชียงราย(วันที่ 2)

เช้านี้ตื่นขึ้นมา พร้อมกับอากาศหนาวๆชื้นๆ ผลจากฤทธิ์ยาทำให้นอนหลับสบายยยย ตื่นมามีแรงขึ้นเยอะ หลังจากอาบน้ำอุ่นจนตัวแดง และทำใจได้ ก็เปิดประตูบ้านออกไปชมวิว นอกห้องก็พบว่า โอ้โห้....มีแต่หมอกทั้งภูเขาเลยค่ะ ขนาดนี่ 8 โมงกว่าแล้วนะเนี่ย หมอกยังลงจัดแถมอากาศก็เย็นมากด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าในฤดูนี้ วิวยังสวยแบบนี้ ถ้าหน้าหนาวจะขนาดไหนนะเนี่ย ประทับใจสุดๆ



เช้าวันนี้เราทานข้าวต้มเครื่องที่รีสอร์ท รสชาติอร่อยมากๆ เป็นข้าวต้มเห็ดใส่ขิงร้อนๆ นอกจากนี้ยังดื่มโอวันตินเพิ่มเข้าไป ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาก แถมวันนี้เราเตรียมพร้อมร่างกายสุดๆ (รวมทั้งกระดาษทิชชู่ไว้ซับน้ำมูกด้วย) รับรองว่าวันนี้จะได้เที่ยวอย่างเต็มที่แน่ๆ


หลังจากทานข้าวเสร็จก็ขึ้นรถย้อนขึ้นไปดูสุสานนายพลต้วน ซึ่งอยู่ทางขึ้นเดียวกับคุ้มนายพลรีสอร์ทนั่นหล่ะค่ะ ค่อยๆขับรถฝ่าหมอกขึ้นไป ถนนลื่นมากๆ ทางก็มองไม่ค่อยเห็น ไปขึ้นไปถึงก็จอดรถชมวิว แต่มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะมีแต่หมอก...หมอก...หมอก ไม่งั้นจากตรงนี้คงจะได้เห็นวิวหมู่บ้านบนดอยแม่สลองสวยๆแน่ๆเพราะอยู่สูงมาก



หมอกลงหนาจนน่ากลัว นี่ขนาด 8 โมงกว่าแล้วนะเนี่ย


ไปชมสุสานของนายพลต้วน ก็ไม่มีอะไร สวยดี ข้างๆมีร้านน้ำชานายพลต้วนด้วย แต่ว่าวันนี้ไม่เปิดค่ะ



หลังจากตื่นเต้นกับหมอกได้พักนึง ก็ขับรถวนรอบดอยแม่สลองเล่นๆ
จริงๆมันสายแล้ว เด็กๆก็ไปโรงเรียนกันหมดแล้ว เราจึงได้เจอะแต่แม่บ้านชาวเขาแต่งตัวแบบพื้นบ้าน แบกกระเป๋าสานไว้ข้างหลัง ยืนจับกลุ่มคุยกันตามถนน เหมือนกำลังตกลงอะไรบางอย่าง
บางทีเขาคงกำลังจะเริ่มออกเดินทางไปทำไร่ทำสวน หรือไม่ก็หาของป่า เห็นแล้วก็อยากถ่ายรูปเอาไว้ แต่พอหยิบกล้องขึ้นมา กลับมาความรู้สึกว่ามันจะทำให้เขารู้สึกว่าเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า ที่นี่ไม่ใช่สวนสัตว์ซักหน่อย เห็นเขาเป็นของแปลกหรือไง มาถ่ายรูปทำไม
(ความคิดนี้มักจะแวปเข้ามาในสมองเป็นประจำ เวลาที่เราอยากจะถ่ายวิถีชีวิตชาวบ้านแปลกๆที่เราไม่เคยเห็น ทั้งๆที่ปกติชอบดูรูปแนวๆนี้ในนิตยสารมากๆ เพราะดูแล้วเหมือนเราได้สัมผัสกับบรรยากาศของชาวบ้านจริงๆ ไม่ใช่ดูแค่สิ่งก่อสร้าง)

สรุปแล้วก็ไม่ได้ถ่ายอะไรเลย ได้แต่ถ่ายหมอกบนถนน


สายแล้วหมอกก็ยังเต็มถนน ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเป็นหน้าหนาวจะเป็นยังไงนะเนี่ย


ที่เห็นบ้านเป็นหลังๆ คือคุ้มนายพลรีสอร์ท ที่พักของเราเมื่อคืนค่ะ มองจากข้างล่างนี่ สวยน่าดู แต่จริงๆแล้ว ระเบียบบ้านมันถูกหลังคาบทบังวิวไปซะหมด ออกมานั่งเล่นหน้าบ้าน ก็มองวิวแล้วเจอะหลังคาขัดๆตา แถมเจอะยุงตัวเท่าแมลงวันอีกด้วย


หลังจากขับวนรอบดอย 2 รอบแล้ว ก็ตัดสินใจกลับลงพื้นดีกว่า ตอนแรกว่าจะขับไปเที่ยวพระธาตุเสียหน่อย แต่เพราะหมอกลงหนา และถนนลื่นมาก ก็เลยเปลี่ยนใจ ลงไปชอปปิ้งที่แม่สายเลยดีกว่าดีกว่า

ดังนั้น เช้านี้ เราจึงอำลาดอยแม่สลองไปพร้อมๆกับบรรยากาศมัวๆ


ขากลับนี่ เราได้สอบถามเส้นทางกับทางรีสอร์ทเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราจะกลับทางที่ขับง่ายๆกัน นั่นคือทาง 1089

น้างชาวเขา เขาบอกว่า ทางนี้จะวิ่งไกลหน่อย แต่ถนนไม่ชัน ขับง่าย แต่ช่วงนี้ถนนไม่ค่อยดี มีหลุมบ่อเป็นระยะ แล้วก็มีบางช่วงทำถนนอยู่บ้าง แต่เมื่อเราขับไปจริงๆ ก็พบว่าไม่สาหัสเท่าไหร่ แค่ถนนไม่ดีเท่าทางหลัก แต่โดยรวมๆถือว่าขับสบายมาก ไมชันเลยซักนิด มีแต่เนินเขาเตี้ยๆ แถมยังมีหมู่บ้านตลอดทาง ให้เรารู้สึกอุ่นใจ เรียกว่าแทบไม่มีช่วงเปลี่ยวๆเลย ขับแป๊บเดียวก็ลงมาถึงพื้น รวมใช้เวลาพอๆกับตอนขาขึ้นมา เพราะเส้นทางนี้แม้จะไกลกว่า แต่ทำความเร็วได้มากกว่า

หลังจากลงมาถึงพื้น เราก็พบกับอากาศที่ร้อนสุดๆๆๆ แดดจ้าต้อนรับมาเลยเชียว ร้อนแบบนี้จะเดินตลาดท่าขี้เหล็กไหวเหรอเนี่ย เหอๆ

แต่ก็ไป....

ไปถึงก็ไปทำเอกสารผ่านด่านชั่วคราวก่อน เดี๋ยวนี้ไปทำที่หน้าด่านไม่ได้แล้ว ต้องไปทำที่เทศบาลที่เดียวเท่านั้น วันธรรมดาแบบนี้แทบไม่มีคนเลย โล่งสบายไม่ถึง 5 นาทีก็เรียบร้อย แล้วก็ไปชอปปิ้งกัน


ไปเมืองนอก...ใกล้นิดเดียว แค่เดินข้ามสะพานนี้ไป ข้างหน้าก้เมืองนอก(พม่า)แร้ว


ใครๆก็บอกว่าแม่สายมีทุกสิ่งให้เลือกสรร ทั้งเสื้อผ้า ของก๊อป แบรนด์เนม มือถือ cd ของเล่น บลาๆๆๆๆ ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
แต่พอไปถึงจริงๆ มันก็มีอย่างที่เขาว่ากันหล่ะค่ะ แต่บังเอิญว่าสินค้าต่างๆที่นี่ไม่ค่อยอยู่ใน target ของเราซักเท่าไหร่ เพราะใจจริงแล้ว อยากได้สิ้นค้าพื้นเมือง พวกกำไลเงิน กระเป๋าสาน หรือ ผ้าทอมากกว่า แต่หาไม่มีเลยซักร้านเดียว กลายเป็นมีแต่ขายสินค้าจากจีนไปซะหมด

ตลาดท่าขี้เหล็กของฝั่งพม่า เดินๆไปรู้สึกเหมือนกับกำลังเดินอยู่แถวคลองถม หรือสะพานเหล็ก แถมออกจะดูน่ากลัวกว่าเสียด้วย เพราะคนฝั่งนี้ผิวคล้ำหน้าเข้มๆ แถมแต่งกายปอนๆ ท่าทางไม่ค่อยน่าไว้ใจ

ยิ่งในวันธรรมดาที่นักท่องเที่ยวน้อยๆแบบนี้ พอมีนักท่องเที่ยวหลงไปหน่อย ก็เข้ามารุมกันใหญ่ บุหรี่ไหมๆๆ มือถือๆๆ cd ไหมๆๆ สารพัดสารแพ กว่าจะฝ่าวงล้อมมาได้แทบแย่เลยค่ะ คิดแล้วโชคดีที่พ่อมาด้วย ไม่งั้นคงจะร้อนๆหนาวๆเหมือนกัน เพราะมีแต่ผู้ชายดำๆตัวโตๆรุมเข้ามาเต็มไปหมด


หลังจากเดินรอบตลาดไป 1 รอบ ก็เริ่มเจาะลึก หาเป้าหมายที่ต้องการ นั่นก็คือมาดู cd และ dvd ซึ่งใครๆก็บอกว่าราคาถูกและมีให้เลือกเยอะมาก เห็นว่าใครมาที่นี่ต่างแบก cd กลับกันไปเป็นกระสอบเลยเชียว เราก็อยากได้มั่ง แต่หลังจากเดินสำรวจอยู่หลายรอบ ก็พบว่าแผ่นแนวคลาสสิกที่เราต้องการ มีให้เลือกจริงๆแค่ 2 ร้านใหญ่ๆ ส่วนร้านอื่นก็มีบ้างประปราย เท่านั้น

เนื่องจากแผ่นแนวเพลงคลาสสิกที่เราสนใจ ออกจะเป็นงานเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ตลาดใหญ่ ไม่เหมือน dvd หนังเกาหลี หรือ หนังประเภท 18+ ซึ่งมีวางกันอย่างโอ่โถง ในที่หยิบฉวยง่าย

ในขณะที่งานเพลงคลาสสิกอันทรงคุณค่า ซึ่งจริงๆก็มีให้เลือกเยอะมากๆๆๆ แต่เนื่องจากการเก็บรักษาและการจัดร้าน ทำให้ไม่น่าเลือกซื้อเลย ส่วนใหญ่จะถูกโยนใส่เป็นกล่องๆ ทิ้งๆขว้างๆต้องไปคุ้ยๆพร้อมกับคลุกฝุ่นไปด้วย แถมเวลาจะเลือกซื้อที ต้องเดินเข้าไปลึกถึงบริเวณในสุดของร้าน บางร้านก็ต้องแหงนหน้าดูหิ้งชั้นสูงๆ ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจ ทำให้เวลาหยิบเลือกแผ่นมาที ก็รู้สึกกังวลว่า แผ่นที่เราหยิบมานี่มันจะดูได้แน่เร้อ....

ดังนั้น ด้วยอุปสรรดังกล่าว จึงทำให้เลือกแผ่นได้แปบเดียว ก็ต้องขอลาเพราะน้ำมูกเริ่มไหล จากการสูดเอาขี้ฝุ่นเข้าไปเยอะแยะ แล้วพอหยิบมาเยอะเข้า ก้รู้สึกว่ามันหนัก ต้องถือพะรุงพะรัง เลยแบบว่าขี้เกียจ สรุปก็เลยได้กลับมา 20 กว่าแผ่น ทั้งของตัวเองและฝากชาวบ้าน มาตอนนี้คิดย้อนกลับไปแล้ว แหม...น่าจะซื้อมาเยอะกว่านี้อีกซักหน่อย เพราะคิดๆดูแล้วมันถูกมากๆๆๆ cd เพลงตกแผ่นละ 25 บาทส่วน dvd ก็แค่ 45 บาทเอง แถมตอนไปคิดตังค์ ขอเขาลดเพิ่มอีก ก็ปัดเศษให้อีกด้วย

และในระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลังเมามันส์อยู่ที่ร้าน cd พ่อก็แอบไปซื้อกล้องส่องทางไกลมา 1 ตัว ราคาตั้ง 1200 พ่อต่อได้ 600 บาท
(แต่ใจจริงข้าพเจ้าคิดว่า กล้องแบบนี้ ต่อซัก 3-4 ร้อยได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะดูพ่อจะภูมิใจมากเลยที่ต่อได้ถึงครึ่งราคา....เอาเห๊อะ...)

นอกจาก cd และกล้องส่องทางไกลแล้ว ก่อนเราจะกลับฝั่งไทย ก็ไม่ลืมที่จะซื้อของที่ใครๆบอกว่ามาแม่สายห้ามลืมซื้อเด็ดขาด นั่นคือ “กางเกงใน”

จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเลยนะเนี่ย.... แต่ใครๆต่างกำชับกันจริงว่า มาตลาดท่าขี้เหล็กอย่าลืมซื้อกางเกงในนะ ราคาถูกมากๆ
ซึ่งก็ถูกจริงๆค่ะ ตกตัวละ 10 กว่าบาทนิดๆเท่านั้นเอง แต่เป็นแบบธรรมดาเรียบๆ ไม่ได้มีลวดลายวิจิตรพิสดารอะไรมากนัก แต่เนื้อผ้าและคุณภาพ ก็ถือว่าใช้ได้ ดังนั้น เพื่อมิให้เสียความตั้งใจของคนแนะนำ ข้าพเจ้าเลยหยิบติดมือมา 1 โหล เอิ้กๆ

สุดท้าย แผนการชอปปิ้งที่แม่สาย ที่ข้าพเจ้าวางไว้ว่าน่าจะยาวนานถึง 2-3 ชม กลับจบลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ ชม เศษๆเท่านั้น และสิ่งที่ประทับใจที่สุดสำหรับตลาดท่าขี้เหล็ก กลับไม่ใช่บรรดาสินค้าราคาถูกต่างๆ แต่กลับเป็น โรตี ของพี่พม่า ซึ่งเข็นรถมาขายอยู่ในตลาด รสชาติดีมากๆ คงเพราะเขาใช้แป้งไม่เหมือนกับบ้านเรา และทอดจนกรอบ

แต่สิ่งที่ควรปรับปรุง คือ กะอีแค่โรตี 2 ชิ้น พี่พม่าใช้เวลาทำไปตั้งเกือบ 20 นาที ค่อยๆนวดค่อยๆทอด ค่อยๆราดนม และค่อยๆโรยน้ำตาล เห็นแล้ว แบบว่า.....โอ๊ย...ทำงานช้าแบบนี้ ชาติไหนจะรวยหล่ะเนี่ย


ราว 11 โมงกว่าๆ พวกเราก็กลับมาฝั่งไทยโดยสวัสดิภาพ อยากจะบอกว่าเพียงแค่ข้ามสะพานความยาวประมาณ 100 เมตร ก็ทำให้คุณรู้สึกสบายใจได้อย่างบอกไม่ถูก คำว่า “ปลอดภัยแล้ว” ผุดขึ้นมาในสมองทันใด


ข้ามมาถึงฝั่งไทยก็เจอะร้านผลไม้ คราวนี้หล่ะชอปปิ้งของจริง ผลไม้จากจีนสวยๆ ราคาถูก แถมน่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ
แต่เพราะว่าเรายังอยู่ที่นี่อีกตั้ง 2 วัน เลยแค่เดินดูสำรวจราคา และนัดกันว่า เดี๋ยวก่อนกลับจะหาเวลาแวะมาซื้อกลับกรุงเทพ แต่กระนั้น ก็ยังได้บัวหิมะ 3 โล และลูกพีช อีก 2 โล แถมด้วยขนมมาชเมโล กับ ป๊อกกี้ ราคา 4 แพ็ก 100 บาท ซื้อกักตุนเป็นเสบียงเอาไว้เผื่อกินเล่นระหว่างทาง
(ซึ่งมาอ่านเจอะใต้กล่องข้างล่างว่า ผลิตที่โรงงานในไทย ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ !!!)

มื้อเที่ยงวันนี้ เราตกลงทานกันที่แม่สาย จากที่ทำการบ้านไปว่าให้ไปทานแถวไปรษณีย์ แต่เราหาไปรษณีย์ไม่เจอะ ก็เลยตัดสินใจทานร้านอาหารจีนยูนานซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเทศบาลเมือง (ที่เลือกร้านนี้เพราะตะกี้ตอนขามา เหลือบเห็นว่ามีรถตู้นำทัวร์จอดอยู่เยอะๆมากๆ เดาว่าน่าจะอร่อย)


ร้านนี้ๆ


มื้อนี้ พ่อมีความสุขอีกแล้วที่ได้ทานอาหารจีน เมนูที่สั่งมาแล้วถูกใจที่สุดคือ หมูสามชั้นยูนาน มัน 3 ชั้นก็จริง แต่ไม่เลี่ยนมากเท่าไหร่ แถมรสชาติเผ็ดมากๆ กินกับหมั่นโถวร้อนๆ แล้วยังมีเห็ดอบซีอิ้ว และผัดกาดขาวผัดกุ้งแห้งด้วย รสชาติดีอร่อยมากๆ มื้อนี้เลยได้อิ่มตื้ออีกแล้ว แถมราคาไม่แพงด้วย


หมู 3 ชั้น อร่อยสุดยอดดด


ออกจากแม่สาย จุดมุ่งหมายต่อไปของเราคือไปสามเหลี่ยมทองคำ และไปนอนพักที่เชียงแสน ในแผนที่ดูแล้วเหมือนจะไกลกันมาก แต่แท้จริงแล้วใกล้นิดเดียว ขับรถแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว

แต่เนื่องจากอากาศร้อนจัดมาก แดดแรงสุดๆ แถมร้านค้าก็ไม่มีเปิดกันเลยซักร้าน เลยกะว่าเดี๋ยวเข้า โรงแรมพักหลบร้อนกันก่อนดีกว่า แดดร่มแล้วค่อยออกมาร่อนใหม่

ครั้งนี้เราพักที่โรงแรม de river เป็นบูติกรีสอร์ทเล็กๆซึ่งพึ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน อยู่ริมแม่น้ำโขง วิวสวยเชียวค่ะ



ห้องนอนเขากว้างกว่าห้องนอนที่บ้านเราอีก

เตียงเสริมของพ่อ ถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เพราะเราพักแบบห้องsuite เป็นเพียงแค่ฟูกบางๆปูกับพื้นเท่านั้นเอง แต่มีดีที่มี TV ให้ทั้ง 2 ห้องเลยไม่ต้องแย่งกันดู


ห้องพักของเราอยู่ชั้น 2 เป็นห้องหัวมุมอยู่สุดริมทางเดิน ที่ชอบมากๆคือมีระเบียงรอบห้องเลย แถมมีเก้าอี้นั่งเล่นให้ชมวิวแม่น้ำสบายๆ มองไปฝั่งตรงข้ามเจอะ คาสิโนของฝั่งลาวกำลังก่อสร้างอยู่ด้วย

แต่ถึงกระนั้นก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่แทบไม่ได้ใช้งานระเบียงน่านอนนี้เลย เพราะอากาศร้อนมากๆ ถ้าเป็นหน้าหนาวบรรยากาศริมน้ำเย็นๆแบบนี้ คงดีเชียวค่ะ

หลังจากพักผ่อนจนสบายแล้ว แดดก็ไม่ร่มซักที บ่ายๆอากาศร้อนๆแบบนี้ จะไปเที่ยวตะลอนๆตามวัดก็คงจะเหนื่อย แถมพึ่งอาบน้ำมาเย็นๆแล้วด้วย ไม่อยากจะเหงื่อซกอีก ก็เลยตกลงว่าขับย้อนไปเที่ยวหอฝิ่น รอแดดร่มกันดีกว่า



หอฝิ่น วันนี้ช่างเงียบเหงา มีรถนักท่องเที่ยวรวมทั้งพวกเราแค่ 2 คัน เท่านั้นเอง


ที่หอฝิ่นนี้ มีขนาดใหญ่มาก ตอนแรกเห็นราคาเข้าชมแล้วก็รู้สึกว่าคนละ 200 ก็แพงมาก กลัวๆอยู่ว่ามันจะเหมือนๆกับพิพิธภัณฑ์อื่นๆของบ้านเรา แต่เมื่อได้เข้าชมแล้ว ปรากฏว่าดีเกินคาด ไม่เสียดายตังค์เลยซักนิดเดียว

ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของฝิ่นและยาเสพย์ติดต่างๆ การจัดแสดงน่าสนใจ และดูตระการตามากๆ เดินๆดูแล้วคล้ายๆกับแนวพิพิธภัณฑ์ของสิงคโปร์ ซึ่งไม่ได้มีแต่จัดแสดงของมาวางๆแต่เพียบอย่างเดียว แต่มีหุ่นขยับได้ มีการฉายภาพ และ activity อื่นๆที่น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อเลยค่ะ

พ่อกับแม่ชอบที่หอฝิ่นนี้มากๆ โดยเฉพาะ เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีน และสงครามฝิ่น รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการสูบฝิ่น

ทั้ง 2 คน ต่างผลัดกันเล่าเรื่องประสพการณ์เกี่ยวกับคนสูบฝิ่น ที่เคยพบเจอะมาในสมัยวัยเด็ก แม่บอกว่าในสมัยก่อน ถ้ามีลูกเจ้าสัว หรือคนมีเงินมาขอแต่งงาน ต้องดูให้ดีเลย ส่วนใหญ่ก็สูบฝิ่นกันทั้งนั้น เพราะคนจีนรวยๆสมัยก่อน ชอบให้ลูกสูบฝิ่น เพราะสูบแล้วทำให้มีความสุข แล้วก็จะอยู่ติดบ้าน ไม่ออกไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ที่สำคัญคือ จะไม่ป่วยเป็นโรคอย่างอื่นด้วย เพราะติดแต่ฝิ่นอย่างเดียว(ตกลงมันดีหรือไม่ดี)

แถมยังเล่าอีกว่า แถวเยาวราชบ้านเก่าเรา ในซอยร้านแกงกระหรี่เจ้าโปรดของข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ข้างๆวัดมังกร ซอยนั้นทั้งซอย เคยเป็นโรงฝิ่นมาก่อน เปิดกันแบบถูกกฏหมายมีใบอนุญาติด้วยนะ ทั้งพ่อและแม่ ต่างรำลึกความหลังกันสนุกสนาน ส่วนข้าพเจ้าได้แต่ฟังด้วยความประหลาดใจ ปนหงุดหงิดนิดๆ เพราะเกิดไม่ทันยุคนั้น เลยไม่มีส่วนร่วมในประสพการณ์ดังเกล่า (รู้สึกเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้ แง่งๆ)

ครอบครัวของเราใช้เวลาอยู่ที่หอฝิ่นนานมากๆ เดินดูอย่างละเอียดทุกจุด ยังกับว่าพรุ่งนี้เราจะมีสอบไล่เรื่องฝิ่นและยาเสพย์ติดกันกัน หลังจากเดินชมจนครบ ก็ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีลูกมีหลาน เด็กเล็กๆ สมควรพามาเที่ยวที่นี่อย่างยิ่ง เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้ดีมากๆ

หลังจากออกจากหอฝิ่น แดดก็เริ่มร่มลงนิดนึงแล้ว พวกเราจึงไปเที่ยวที่สามเลี่ยมทองคำกัน


นี่หล่ะสามเหลี่ยมทองคำ มีแต่แม่น้ำโขง ร้อนๆโล่งๆ ไม่มีอะไรเลย นอกจากโดมตรงโน้นนนนน คือคาสิโนฝั่งลาว


มีพระตั้งอยู่ที่ทำบุญด้วย แต่จัดพื้นที่ไม่ค่อยดี ถ่ายรูปไม่สวยเลย เพราะมีแต่เต้นท์กันแดด กับสายอะไรไม่รู้ระโยงระยางเละเทะรกไปหมด


มา 3 เหลี่ยมทองคำ ไม่ถ่ายมุมนี้คงไม่ได้เนอะ ไม่ทราบเหมือนกันว่าสร้างไปเพื่ออะไร แต่ก็ดูอลังการดีค่ะ

หลังจากเดินเล่น กินน้ำมะพร้าวเย็นๆ และแวะเดินดูร้านขายของที่ระลึกหน่อยนึงแล้ว ก็ขึ้นไปเที่ยววัดพระธาตุภูเข่า ซึ่งอยู่ตรง 3 เหลี่ยมทองคำพอดี

ซึ่งวัดนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากโบสถ์เก่าๆ ซึ่งกำลังบูรณะอยู่ 1 หลัง แต่ที่ใครๆมักจะขึ้นมาเพราะเป็นจุดชมวิวสามเหลี่ยมทองคำจากมุมสูง ซึ่งจริงๆแล้ว ข้าพเจ้าว่า มองจากข้างล่างมันก็เหมือนๆกัน


ป้ายใหญ่ชัดเจนอยู่ริมถนนเลย


ทางขึ้นเป็นบรรไดพญานาค ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ เทียบดูกับคุณพ่อของข้าพเจ้าแล้ว เราเป็นคนแคระไปเลยแฮะ
(แต่เราไม่ได้เดินขึ้นไปหรอกค่ะ มันสูง ใช้ขับรถขึ้นไปแทน อิอิ)


ขออีกซักรูป


ข้างบนไม่มีอะไรเลยนอกจาก โบสถ์ 1 หลัง ซึ่งทรุดโทรมมากๆ แต่กำลังบูรณะอยู่ ขึ้นมาช่วยๆกันบริจาคนะคะ



บรรไดขาลงจากข้างบน สวยเหมือนกันเลยค่ะ



ชอบจริงๆเลยค่ะ บรรไดของทางเหนือเนี่ย


ลงมาจากวัดก็เริ่มเย็น และหิวพอดี ไปทานข้าวดีกว่า
จากที่ขับรถจากสามเหลี่ยมทองคำไปจนถึงที่พัก ก็เห็นแล้วว่า แทบจะไม่มีร้านอาหารน่าสนใจเลย ก็เลยเป็นอันว่าร้านศิริวรรณเนี่ยหล่ะ ดูโอเคที่สุด มีรถมาจอดทานกันหลายคัน เลยตกลงใจทานกันที่ร้านนี้

มาเที่ยวที่เชียงแสนนี่ ใครๆก็บอกว่าต้องทานปลาแม่น้ำโขง อันได้แก่ ปลาคัง ปลาบึก ปลาเค้า แล้วก็ปลาอะไรอีกก็ไม่รู้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้จักซักอย่าง ก็เลยสั่งเป็นลวกจิ้มรวมมิตรปลาแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเนื้อปลาลวกรวมทุกชนิด แต่หลังจากทานแล้ว ก็ปรากฏว่า ไม่ชอบเลยซักชนิดเดียว กลิ่นออกคาวๆ เนื้อแข็งๆไปซะหมด ที่สำคัญคือ อาหารของร้านนี้จานใหญ่มากๆๆ ตอนสั่งก็ไม่ทันดู แต่ตอนยกมานี่อึ้งไปเลย สรุปว่ากับข้าวเหลือบาน ส่วนเนื้อปลาลวกที่สั่งมานั้น กว่าครึ่งจาน ยกให้เป็นอาหารของเจ้าเหมียวที่ร้านอาหาร ซื้อมาร้องเมี๊ยวๆ ขอกินตั้งแต่เริ่มไปนั่ง



รวมมิตรลวกจิ้มปลาน้ำโขง ส่วนตัวข้าพเจ้าชอบกินปลาทะเลมากกว่า ส่วนปลาแม่น้ำโขงนี่มันออกคาวๆ แถมหนังหนาสุดๆอีกต่างหาก รสชาติไม่ถูกลิ้นเอาเสียเลย


สั่งกับข้าวมาเต็มโต๊ะ ถูกใจแกงส้มชะอมไข่ที่สุด อ๊ะ...แต่เมนูนี้จริงๆไม่ต้องถ่อไปกินถึงเชียงแสนก็ได้เนอะที่กรุงเทพก็อร่อย เอิ้กๆ


คืนนี้กลับถึงโรงแรมแต่หัวค่ำ นอนดูทีวี พร้อมกับทานผลไม้และขนมที่ซื้อจากแม่สายอย่างสบายใจ ที่ห้องของเรามีทีวีถึง 2 เครื่อง พ่อชอบใจเป็นที่สุด เพราะจะได้ดูข่าวได้เต็มที่ ไม่ต้องมาแย่งกับข้าพเจ้าซึ่งชอบดูแต่หนัง

คืนนี้พวกเราเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อเก็บแรงไว้เที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้

เตียงที่โรงแรมนี้นอนสบายมาก แข็งกำลังดี

“กลับบ้านเราไปซื้อที่นอนใหม่กัน”

คือ คำพูดติดปากของแม่ทุกครั้งที่ไปนอนโรงแรมที่มีเตียงถูกใจเสมอๆ ซึ่งดูเหมือนว่า แม่จะพูดทุกครั้งที่เราไปนอนบนเตียงที่ไม่ใช่ของเรา




Create Date : 25 กันยายน 2552
Last Update : 25 กันยายน 2552 17:46:11 น. 8 comments
Counter : 1121 Pageviews.

 
ภาพสวยมากเลยค่ะ
อยากไปบ้างจังเลย


โดย: Petite Elisa วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:18:37:02 น.  

 
แวะมาหาข้อมูลค่ะ


โดย: madame_vann วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:19:43:42 น.  

 
แวะมาทักทายและตามไปเที่ยวด้วยคนนะครับ


โดย: กัปตันลูกชุบ วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:22:58:41 น.  

 
การสร้างอะไรต่อมิอะไรมากมายที่สามเหลี่ยมทำงคำ ทำให้รกหูรกตาไปหมด เสียทัศนวิสัย แค่เห็นน้ำโขงและภูเขาก็พอแล้ว ไม่จำเป็นสร้างอะไรมากมาย


โดย: Innocent IP: 96.255.16.241 วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:23:50:08 น.  

 
น่าไปจัง


โดย: kwan_3023 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:7:41:56 น.  

 
คิดถึงเชียงราย
น่านุก


โดย: ชบาหอม วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:21:45:24 น.  

 
กะลังจะไปเดือน พย.


โดย: Poo (myroom_pu ) วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:13:57:44 น.  

 
สุดยอดครับนี่แหละเชียงรายดินแดนแห่งขุนเขา ทะเลหมอก ดอกไม้งาม สาวสวย เหนือสุดแดนสยาม จนใครหลายๆคนยกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในเมืองไทย


โดย: Royter วันที่: 8 มกราคม 2554 เวลา:10:01:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vitamin_C
Location :
Pasadena United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ อากาศดี ก็อารมณ์ดีเนอะ .......^-^

คิดถึงบ้านที่เมืองไทยเป็นที่สุด
ถ้าไม่นับห้องสมุดๆเจ๋งๆกับพิพิธภัณฑ์ดีๆ กับอาหารหลากหลายเชื้อชาติให้กินได้ไม่ซ้ำทุกวันแล้วหล่ะก็ เมืองไทยชนะขาดในทุกกรณี ว่าแต่เมื่อไหร่ ห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราจะพัฒนาซักทีน้อ....


ถึงแม้ว่าบล๊อกนี้จะไม่ค่อยมีสาระ แต่เนื้อหาและข้อความทั้งหมด
รวมไปถึงรูปภาพที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ ของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น จำกัด
ห้ามผู้ใดนำไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของบล๊อก หรือ จากกองบรรณาธิการ

หากมีข้อสงสัยใดๆ กรุณาติดต่อหลังไมค์
หรือ
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น 966/10 ซ.พระราม6 19 ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม 10400
โทร 02-6137140
Email vitavitac@gmail.com
Friends' blogs
[Add Vitamin_C's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.